ช่อง JSBC ของจีนรายงานข่าวสาวแซ่ Yan ที่ระบุว่าเธอได้รับเงินคืนจากแอปเปิลหลังจากเพื่อนของเธอสามารถปลดล็อก iPhone X ได้สำเร็จ
เธอระบุว่าคอลเซ็นเตอร์ไม่ยอมเชื่อเธอในตอนแรก จนกระทั่งเธอต้องเดินทางไปที่ร้าน หลังจากทางร้านพบว่าเพื่อนของเธอสามารถปลดล็อกเครื่องได้จริง จึงยอมคืนเงิน
เธอนำเงินที่ได้คืนมาไปซื้อ iPhone X อีกครั้งแต่ก็พบว่าเพื่อนของเธอสามารถปลดล็อกได้อยู่ดีจึงได้รับคืนเงินอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้มีกรณีคล้ายกันคือสองพี่น้องที่จงใจตั้งค่าหลอก iPhone X ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถปลดล็อกได้จากใบหน้าทั้งสองคน กรณีนี้ก็น่าสนใจว่าจะซ้ำรอยเดิมหรือไม่
ที่มา - South China Morning Post
Comments
สิริ: คนเอเชียหน้าเหมือนกันหมด ...
สิริ racist
ว่าแต่ไปซื้ออีกทีทำไมคิดว่าเครื่องแรกมีปัญหาเหรอ
ก็ต้องพิสูจน์
เพิ่งจะออกมาโม้ว่า Face ID ของตัวเองดีที่สุด ของคนอื่นห่วยสุด ๆ แท้ ๆ
เทคโนโลยียืนยันตัวตนด้วยใบหน้าของสมาร์ทโฟนรายอื่น "ห่วยทั้งนั้น" ?
คงโดนล้อยัน Tim Cook ออกจาก CEO
ก็ยังเป็นไปได้ว่าดีที่สุดอยู่นะครับ ดีที่สุดไม่ใช่ Perfect 100%
iPhone X อาจทำได้ 99.999% ถ้ายี่ห้ออื่นทำได้ 99.99% ก็ยังพูดได้ว่าดีที่สุดอยู่
คิดง่ายๆว่า iPhone X ขายได้เป็นสิบล้านเครื่อง ตอนนี้มีเคสแค่ 2 เคส แปลว่าผิด 2 ใน 10 ล้าน = แม่นยำ 99.99998% สูงกว่าที่ Apple ออกตัวไว้อีก
มันเหมือน login กับ user ที่ใช้ password 12345 ด้วย 13245 แล้วมันผ่านนะครับ
I need healing.
เครื่องมันจะงงหน่อย ๆ ก็ไม่แปลกนะครับ
Reddit มีคนเปิดประเด็นนี้อยู่เหมือนกันครับ
อันนี้จริงหรือตัดต่ออะครับ เหมือนมาก
ตัดต่อสิครับ
ชาวจีนนี่ผมพอแยกแยะออกนะ ชาวตะวันตกก็แยกออก เพราะดูหนังเขาเยอะ จนเกิดความเคยชิน
แต่ศิลปินเกาหลีนี่ ยอมรับเลยเรียกชื่อผิดเยอะ
คนจีนคนฝรั่งหน้าธรรมชาติผมว่าก็แยกออกนะ แต่เกาหลีนี่สิดูรายการรันนิ่งแมนเจอแขกรับเชิญเกิร์ลกรุ๊ปนี่สิงง ใครเป็นใครนี่
คลีนิกเดียวกัน
โถ่ ถ้ามัน scan นิ้วได้ปัญหาไม่น่าจะบานปลายขนาดนี้
Test Team ปล่อยหลุดมาได้อย่างไร
ไปซื้อแอนดรอยก็จบแล้ว มีสแกนนิ้ว 5555+
เอาจริงๆ ไม่ต้องเหยียดคนทำศัลยกรรมนะ แป้นหน้าคนเอเชียแนวตี๋หมวยนี่มันคล้ายๆกันอยู่แล้ว แล้วถ้าใช้สแกน 3 มิติดูส่วนเว้าส่วนโค้ง กลายเป็นหน้าแบนๆกันไปหมด มีจุดแตกต่างนิดเดียวเอง
ภาพ 2 สาว ในข่าว หน้าก็คล้ายกันจริงๆ ด้วยสิ
ยี่ห้ออื่นมีคืนเงินกรณีแบบนี้บ้างไหม
ปากไม่ดี ข่มคนอื่นไว้เยอะ ของตัวเองทำคือดี คนอื่นทำคือแย่ แต่มีดีที่สกิล Stone Skin Lv.Max เลยไม่กระเทือนเท่าไหร่
oled?
Face ID มีโอกาสผิดพลาด 1 ในล้าน
แต่ประชากรจีนมี 1.3 พันล้าน
ดังนั้นโอกาสผิดพลาดในจีนน่าจะมีมากถึง 1300 คน สินะสินะ
ดูภาพตามข่าวต้นทางโครงหน้าคล้ายกันมากเลย ที่ซีเรียสเพราะคนจีนกลัวมีปัญหากับระบบจ่ายเงิน WeChat Pay หรือ Alipay หรือเปล่า
แหม ...
เฮ้ยยยย
เพิ่งรู้ว่าใช้ matchine learning ด้วย ก็เจ๋งดีนะครับ
...ไม่เจ๋งก็ตรงที่ผู้บริหารโม้เกิน
ปัญหาน่าจะเกิดจาก machine learning รึเปล่าครับ เป็นจุดอ่อนไปซะละเหรอเนี่ย ?
สมัย android เค้าลงด้วยว่า... "ใช้เพิ่มความสะดวก แต่ถ้าจะเอาปลอดภัยให้ใช้นิ้ว"
ซึ่งส่วนตัว ผมเห็นด้วยนะ ใช้หน้าปลดล็อคสะดวกจริง
แต่พอ apple ขายในแง่ safety... มันก็จะเป็นอีกประเด็น
แต่ผมว่ามันปลอดภัยนะครับ ถ้าไม่ใช่แบบสองคนใช้เครื่องเดียวกัน แล้วเครื่องมันพยายามเรียนรู้ทั้งสองหน้า
เนื้อหาในข่าวนี่บ่งบอกความไม่ปลอดภัยเลยนะครับ สแกนยังไงก็ผ่าน ไม่ใช่โอกาสผิดพลาดเป็นครั้งคราวแบบสแกนนิ้ว
อันนี้ไม่รู้รายละเอียดนะครับ แต่ถ้าเป็นแบบที่คิด คือเครื่องมันจำหน้าทั้งสองคนไว้แล้ว (machine learning) ทำกี่ครั้งก็น่าจะผ่านครับ
แต่จาก ปสก.ตรง เครื่องในมือ ลองเอาไปให้พี่น้องลอง มันก็ไม่ได้นะครับ (Reset Face ID บ่อยมากครับ ตอนซื้อมาใหม่ ๆ กลัวมันจำหน้าคนอื่นที่มาขอเล่นเครื่อง ตอนนี้เริ่มนิ่งละ คนรอบตัวเล่นจนเบื่อละ)
ถ้างั้นก็ไม่ปลอดภัยครับ ในเมื่อสร้างมาเพื่อใช้งานคนเดียว จำหน้าเริ่มต้นแค่หน้าเดียว Machine Learning ก็ควรจะปรับปรุงเฉพาะหน้าที่จำ แต่กลายเป็นไปปรับปรุงการจำหน้าคนอื่นเพิ่มขึ้นมา ไม่ต้องมีข้อแม้อะไรเลย เอาเป็นว่าถ้าหน้าเหมือนกันมากมันยังแยกไม่ได้
ซึ่งภาพจากข่าวคือเหมือนกันเกิ๊น ยังกะฝาแฝด
ในเงื่อนไขนั้น ผมคิดว่า น่าจะต้องใช้เวลา และความพยายามในการ scan หน้าให้ผิดพลาดบ่อยครั้งมาก ๆ และอาจะหลายวันมาก ๆ ถึงจะเกิดปัญหารึเปล่าครับ (ไม่มีข้อมูล ไม่กล้าแย้งว่าใช่ หรือไม่ใช่ รอดูข่าวกันต่อไปครับ) แต่จากการใช้งานจริง Face ID นี่ทำให้ลืม Touch ID ได้จริง ๆ ครับ
ถ้าตามข่าวก็ไม่น่าจะใช้เวลานานขนาดนั้นนี่ครับ เปลี่ยนเอาตัวใหม่มาลองก็เป็นอีก ผมว่ามันแค่แยกหน้าคนสองคนนี้ไม่ออกมากกว่า
หรือถึงทำอย่างนั้นแล้วมันจะเกิดปัญหา มันก็ไม่ใช่เรื่องดีอยู่ดี แค่ใช้เวลากับความพยายามนิดหน่อยไม่ต้องแฮคอะไรด้วยซ้ำ
ในเงื่อนไขนี้ เท่าที่อ่านมา ไม่ใช่พยายามนิดหน่อยนะครับ เจ้าของเครื่องต้องรู้เห็นเป็นใจ คือพอ scan Face ID ไม่ผ่าน ต้องกด PIN 4 หรือ 6 หลัก ทำซ้ำ ๆ เพื่อให้เกิดการ learning ในสถานการณ์ประจำวัน ถ้าไม่ใช่คนใกล้ตัวจริง ๆ มาขอใช้เครื่องซ้ำแล้วซ้ำอีก หรือเรารู้เห็นเป็นใจ ผมคิดสาเหตุที่จะทำแบบนี้ไม่ได้เลยนะครับ (ผมมองว่ามันเป็นการแฮ็ค หรือการโจมตีจุดอ่อนของเครื่อง เพื่อให้เป็นข่าวด้วยซ้ำ)
ถ้าเงื่อนไขแค่นี้ ผมมองว่านิดหน่อยครับ แทบไม่ต้องใช้ความรู้ด้านลึกอะไรเลย คนทำไม่จำเป็นต้องมีความรู้ลึกซึ้งเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยใน OS ด้วยซ้ำ ถ้าระบบ Machine Learning มันเรียนรู้แล้วกลายเป็นจุดอ่อนมันก็ต้องปรับปรุงครับ แล้วผมว่ามันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรขนาดนั้น จริงๆมันก็คือคนสองคนหน้าเหมือนกันแล้วมันไม่ละเอียดพอที่จะแยกออกแค่นั้นเอง
ใช่ครับ ถูกต้องเลย ระบบควรจะแยกให้ได้น่าจะดีกับผู้ใช้ รอดูรุ่นต่อไปครับ ว่าเขาจะแก้ปัญหานี้ยังไง
มันเบสบนไอเดียที่ว่า มือถือของใครของมัน เป็นอุปกรณ์า่สนตัว พอเอามาใช้ร่วมกัน โอกาสผิดพลาดก็เริ่มเยอะ