Haruhiko Kuroda ผู้ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น เตือนความเสี่ยงของตลาดบิตคอยน์ระหว่างแถลงข่าวการประชุมนโยบายทางการเงินในวันนี้
Kuroda ระบุว่าสถานะการณ์ราคาของบิตคอยน์ตอนนี้ "ผิดปกติอย่างไม่ต้องสงสัย" (undoubtedly abnormal) และแทนที่มันจะทำหน้าที่ในการชำระเงิน ตอนนี้การใช้บิตคอยน์กลายเป็น "การเก็งกำไรล้วนๆ"
การเตือนของ Kuroda น่าจะมีผลต่อตลาดบิตคอยน์มากกว่าการเตือนจากธนาคารกลางอื่นๆ เพราะตอนนี้การซื้อขายเงินดิจิตอลประมาณ 42% เป็นการซื้อขายโดยบริษัทในญี่ปุ่น
จุดเริ่มต้นของช่วงขาขึ้นของราคาเงินดิจิตอลโดยเฉพาะบิตคอยน์ในปีนี้ก็มาจากการแก้กฎหมายการกำกับดูแลธนาคารของญี่ปุ่นที่ส่งผลให้บริษัทซื้อขายสามารถเปิดให้บริการได้โดยมีการกำกับดูแล
ที่มา - Nikkei Asian Review
Comments
ยอมรับ ว่าเกร็งกำไรล้วนๆ แต่ผมก็พร้อมที่จะเสี่ยง
อ้าว แล้วตอนไหนที่ไม่ใช่การเก็งกำไรหละครับ ถ้าเป็น currency ทั่วๆไปที่อ้างอิงตามประเทศ ผู้ว่าแบงค์ชาติออกมาพูดงี้ก็น่าเกลียด แต่นี่มันคือ crytocurrency มันคือศัตรูของทุกประเทศนี่นา 5555
จะอ้างโน่นอ้างนี่อะไร ตลาดเงิน ตลาดหุ้น ตลาดสินค้าใดๆ มันก็เก็งกำไรทั้งนั้นแหละ มีตลาดสินค้าใดที่ปราศจาการเก็งกำไรบ้าง
แต่ผมเข้าใจนะว่า ประธานธนาคารกลางของประเทศใดๆ มันก็ต้องค้าน crytocurrency อยู่แล้ว ก็ จุดมุ่งหมายหลักของ crytocurrency คือการโจมตี currency ที่อ้างตามรัฐบาลนี่แหละ
ผมก็เก็งกำไรจาก cryptocoins นะครับ แต่ผมก็ไม่เคยสนับสนุนแนวคิดที่ไม่ยอมรับคำเตือนของธนาคาร เพราะที่เขาพูดมามันก็เป็นเรื่องจริงนี่ งงว่าทำไมต้องดิ้นกัน และมันเป็นหน้าที่เขา เพราะที่ผ่านมาการลงทุนหลายคนลงทุนในลักษณะมีบ้านขายบ้านมีรถขายรถไปลงทุน เขาก็ออกมาเตือนสติและถ่วงดุลย์ในหลายๆมุมมอง จำหนี้ที่ประเทศเรายังใช้ไม่หมดในตอนนี้ได้ไหมครับ ว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น?
แล้วคนที่ก่อหนี้ตอนนั้นได้สำนึกอะไรบ้างไหม กับที่การเงินประเทศต้องมาแบกรับ รวมถึงผู้คนที่โดนตีตราค่าหัวไว้ว่าเป็นหนี้ต่อบุคคลจากภาระหนี้ของประเทศทั้งๆที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลย เป็นเพียงผลจากการลงทุนโง่ๆของคนในอดีต
อดีตไม่ได้สอนให้คนปัจจุบันเรียนรู้บ้างเลยหรือยังไงกัน
อยากให้ยอมรับความจริงแล้วจะเก็งกำไรก็เก็งไปเขาไม่ได้ห้ามเขาแค่เตือน
เปล่าๆ ผมไม่ได้เล่น เพราะผมประเมิณว่าความผันผวนมันสูงเกินกว่าที่ผมจะรับได้ ไม่ได้ดิ้นนะ แหะๆ
ขอขยายความนิดนึงว่า ผมเห็นด้วยกับการมีอยู่ของ cryptocurrency จริงๆ ผมเห็นด้วยมากกว่าประเด็น crypto นี่คือประเด็นที่มันเป็น decentralised currency ด้วย
ประธานธนาคารกลางเนี่ยเป็นตำแหน่งที่ต้องมี มารยาทสูงมากกับเรื่องต่างๆ ผมไม่ได้มองว่าเป็นการเตือน ผันผวนขนาดนี้ ใครๆ ก็น่าจะประเมินการรับได้ของตัวเอง ไม่ประเมินมันก็ไม่ฟังแล้ว (จริงไหม?) มันเป็นการให้ข่าวในลักษณะการเมืองคือให้ข่าวเพื่อที่จะ ดันให้เกิดผลกับราคามากกว่า ซึ่ง ประธานแบงค์ชาติไม่ควรทำ
สองวันก่อน ผู้ว่าแบค์ชาติไทยออกมาบอกว่าเป็นการพนันไปเสียหนิ
ผมยังไม่มองว่าเป้าหมายของ Crypto คือการ attack currency หลักนะ
ถึงจะบอกว่ามองลบอยู่ แต่ก็ด้วยปัจจัยอื่น
ในขณะที่ Crypto กลับไม่มีอะไรแบกรับ (รวมไปถึงฐานมูลค่าเลย) ซึ่งผมมองว่ามันสำคัญที่สุดในการจะเป็น Currency เลย (ในเมื่อพาร์ทมูลค่าของมัน แทบไม่มีอยู่จริง หรือไม่มีนัยยะ เค้าจะพูดว่าเป็นการเก็งกำไรล้วนๆ ก็น่าจะถูกต้องของเค้าแล้ว
ผมว่าคนจำนวนไม่น้อยเลยนะ ที่ยังไม่เข้าใจเรื่องของ Value/Underlying asset ของตัว Crypto เอง
ผมว่าตัว Crypto เองไม่ได้เป็นศัตรูต่อค่าเงินหรือระบบเงินเดิม .. แต่เป็นศัตรูต่อกฎหมายที่ควบคุมการไหลของเงิน (ซึ่งจริงๆมันเป็นกฎหมายที่ควบคุมธุรกิจสีเทา/ดำ) เป็นหลักซะมากกว่านะครับ .. มองในแง่รัฐ หรือนานาชาติเอง ผมว่าผู้ว่าธนาคารญี่ปุ่นเค้าก็มองว่าตัวเงินมันเป็นมิตรนะ ไม่งั้นมันไม่ออกมาในรูปกฎหมาย หรือให้มีการใช้งานได้ทั่วไปหรอก
การที่เงินไหลเข้าไหลออกจากชาติไหนๆ โดย trace ไม่ได้ว่าเป็นเงินประเภทไหน มันอันตรายนะครับ และถ้าเทรดบนเก็งกำไรล้วนๆ เวลา collapse จริงๆ ก็แบงก์ชาติ/สถาบันการเงินของแต่ละประเทศนั่นแหล่ะ ที่ต้องออกมารับผลกระทบจริงๆ
ยิ่งตอนนี้ Crypto มันง่ายเกินไปในการเข้ามาเก็งกำไร (แต่ยากมากที่จะเข้าใจมูลค่าและกลไกที่แท้จริง -- ขนาดธปท.ยังใช้คำว่าการพนัน 555 ซึ่งเอาจริงๆก็ใกล้เคียง) ในเคสปกติ ก่อนการลงทุนเราต้องประเมินของที่จะลงทุนอยู่แล้ว น่าจะทุกประเทศที่มีแบบประเมินความสามารถในการแบกรับความเสี่ยงก่อนการลงทุน (Risk Tolerance/Risk Profile)
ซึ่งถ้าว่ากันตรงๆ Crypto มันอยู่สุดขอบจริงๆนี่ครับ Odd rate ของ Blackjack/Poker ของบ่อนยังต่ำกว่ากว่า Crypto อีก... เสี่ยงกว่านี้ก็แทงบอลแทงม้าแล้ว ...... สำหรับผม ผมเลยมองว่าการให้ความเห็นเชิงนี้เลยดูเป็นการให้ความเห็นบน Fact เสียมากกว่า
เก็งกำไร กับ เก็งกำไรล้วนๆ ผมว่า ต่างกันนิดนึงนะครับ ในการเก็งกำไร ยังมีต้นทุน/ราคาที่แท้จริงอยู่อย่างมีนัยยะสำคัญ แต่ถ้าเก็งกำไรล้วนๆ มันคือคำสุภาพของการพนันเลย
เฉพาะเรื่องญี่ปุ่นนะครับ
ผมมองว่าญี่ปุ่นประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวเป็นสิบๆ ปีจนไม่รู้จะทำไงแล้ว ลดดอกเบี้ยจนเอาเงินไปฝากธนาคารแทบจะต้องเสียค่าฝาก คนก็ยังไม่เอาเงินไปลงทุนกันอยู่ดี แต่เอาไปซื้อตู้เซฟมาใส่เงินแทน คนญี่ปุ่นเองก็ไม่รู้จะเอาเงินไปลงทุนกับอะไรดี พอมี cryptocurrency มาก็เลยขนเงินในเซฟออกมาซื้อ รัฐเองอาจจะมองว่าอย่างน้อยถ้าดึงเงินแช่แข็งพวกนั้นออกมาได้ ถึงจะมาวนๆ ในการเทรดพวกนี้ก็อาจจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้บ้าง เลยค่อนข้างมีท่าทีเป็นมิตรครับ
ขอบคุณครับ
มองด้านนั้นก็ใช่อยู่ครับ
แต่ก็นะ จริงๆ ฝ่ายที่ดูจะเป็นมิตรกับ Crypto ที่สุดฝ่ายนึงถึงกับออกมาบอกว่ามันเก็งกำไรเพียวๆ น่าจะสะดุดใจกันบ้าง กลายเป็นการเมืองหวังผลในทิศทางราคาไปเสียอย่างงั้น
ผมแก้ให้นิดนึงครับว่า คนที่ออกมาบอกว่าบิทคอยน์เป็นการพนันคือ รมว.คลัง ครับ ไม่ใช่ผู้ว่าแบงก์ชาติ
ส่วนเรื่องการเตือนเนี่ย ที่จริงของไทยผมว่าน่าจะเป็นฝั่ง กลต. ออกมาจะตรงกับธุรกรรมตอนนี้มากกว่า (ซื้อเพื่อ "ลงทุน") แต่พอดีเนื่องจากมันเป็น "เงิน" เลยเป็นหน้าที่แบงก์ชาติไปแทน
เรื่องการให้ข่าวแบบที่คุณว่าเป็นในลักษณะการเมือง ผมมองว่าอย่างร้ายที่สุดคือให้ข่าว "ตามหน้าที่เฉยๆ" ไม่ได้ใส่ใจอะไร (ซึ่งไม่จริง) เพราะแบงก์ชาติเองไม่ได้มีผลได้ผลเสียอะไรกับราคาขึ้น-ลงของ cryptocurrency เลยครับ ก็ไม่รู้จะให้ข่าวดันราคาทำไม
ส่วนอีกมุมหนึ่ง คือถ้าจะให้ข่าวเพื่อ Discredit cryptocurrency ผมว่าก็เป็นหน้าที่ของแบงก์ชาติอยู่แล้ว ถ้ามองถึงในอนาคตเกิด cryptocurrency ได้รับความนิยมมาก มีการใช้จ่ายกันเสรีในชีวิตประจำวัน มาแทนที่เงินเฟียตได้ เท่ากับภาครัฐดำเนินนโยบายเศรษฐกิจด้วยนโยบายการเงินอะไรไม่ได้เลยนะครับ จะลดค่าเงินช่วยผู้ส่งออกก็ไม่ได้ จะลดดอกเบี้ยกระตุ้นเศรษฐกิจก็ไม่ได้ ก่อนจะถึงตอนนั้นแบงก์ชาติคงออกมาควบคุมหนักกว่านี้แน่นอน
+1
+1
อ้าขอบคุณครับ
รมว. คลังพูดคำนี้ได้ไม่เสียหายอะไรครับ ผู้ว่าแบงค์ชาติพูดนี่ผิดมารยาทสุดๆ
ตำแหน่งผิดนี่ความหมายข่าวเปลี่ยนไปเลยนะ ถ้าผมรู้ว่าเป็น รมว. คลัง ผมจะไม่เขียน comment แรก
การเก็งกำไรกับ "การเก็งกำไรล้วนๆ" เป็นคนละอย่างกันนะครับ :p
ผมว่ามันเรื่องเดียวกันจริงๆนะ ตลาดบนกระดานมันก็เก็งกำไรทุกอย่างอะครับ ถึงเวลาต้อง take delivery ก็ถึงจะอ้างอิงตามราคาตลาดจริง(บ้าง) แต่มันก็มีวิธีพิศดารสารพัดที่จะทำกำไรกันได้
ดูเรื่องนี้สิ http://www.imdb.com/title/tt1645089/?ref_=nv_sr_1
ผมไม่ได้ว่ามันเป็นเรื่องเดียวกันนะ แต่กลไกมันก็เป็นแบบนี้ทุกตลาด/สินค้าอะครับ
จริงๆ ผมเข้าใจที่คุณสื่อนะครับ แต่ผมไม่เห็นด้วยนิดนึงเลยแย้งไป คือก่อนหน้านี้มันไม่ใช่ "ล้วนๆ" คือไอ้พวกบิตคอยน์นี่ก่อนหน้านี้มันมีเก็งกำไรแต่อัตราส่วนการใช้งานอื่นมันก็ยังสูง แต่ตอนนี้คือการใช้งานแบบอื่นมันแทบไม่เหลือแล้วน่ะครับ
มันก็พอชำระหนี้ได้อยู่นะ แต่คงไม่มีใครบ้าจี้
เหมือนหุ้นก็ใช้ชำระหนี้ได้ ตอนที่มีการเทคโอเวอร์บริษัท
ผมว่า คำว่า ใช้ทำ "___" ได้ มันต้องสมเหตุสมผลนั่นล่ะ
ตอนนี้เอา Coin ชำระหนี้นี่ TX Fee ไม่ใช่ความจริงอ่ะครับ 555
จากการเฝ้าสังเกตุดู คนเล่นคอยน์นี่หัวร้อนกันง่ายมากเวลามีข่าวแนวๆ นี้ออกมา
ความโลภบังตา
จริง รักจะเสี่ยง ก็อย่าไปกลัวเสียงค้าน
ออกมาด่าคนค้าน ชักจะเหมือนแชร์ลูกโซ่เข้าไปทุกที
อารมณ์เหมือน เครือข่ายแชร์ลูกโซ่ ใครเตือนไม่ได้
+1 ดิ้นพล่านเลย
แต่ก็รู้ทันทีเลยว่าใครติดดอยอยู่มั่ง 55
และอีกกรณีคือเวลามีข่าวว่า "ฟองสบู่"
เวลาผมคุยกับเพื่อนนักเทรดบางคนที่ศรัทธา BTC มากนี่แทบจะทะเลาะกันตายเลยครับ
ผมก็เทรด แต่ผมมอง BTC ว่ามัน Overvalue ไปมากแล้วจากการเก็งกำไรปั่นกระแสกันนั่นแหละ
เลยกลายเป็นผมเทรดตามน้ำ เอาเงินมาใช้ แต่ไม่ซื้อ BTC ดองไว้หวัง $1,000,000 แบบที่เพื่อนผมฝัน
ผมกลัวว่าความจริงคนที่ออกมาหัวร้อนจะไม่ใช่คนที่เล่นอะซิ แค่อยากตามกระแส
SPICYDOG's Blog
สัปดาห์นี้ แดงทั้งกระดาน
พอมันแดง สื่อกับเจ้าก็จะปั่น เพราะมันปั่นง่าย
ต้นสัปดาห์ bitcoin.com ผู้สร้าง BCH ออกมาบอก เทBTCหมด ไปถือBCH
ผล... BCH พุ่ง
กลางสัปดาห์ สื่อไทยบอก สถาบันการเงินเจ้าหนึ่งกำลังจะใช้Ripple(XRP)
ผล... XRP พุ่ง
มันปั่นกันสนุกจัง ฮ่าๆ
ต้องปั่นสิ เพราะดูเหมือนไกล้จะเริ่ม countdown งานเทประจำปีแล้วนี่นา ^^
พอเม่าโดนเผาไปเยอะๆ ค่อยกลับมาปั่นกันใหม่อีกรอบ
คือมูลค่าของสกุลเงินปกติคือ
สกุลเงินปกติ C มีค่ามาจาก A + B โดยที่
A = มูลค่าที่ขึ้นกับสัดส่วนทองคำสำรองหรือสิ่งอื่นที่ประเทศต่างๆยอมรับ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงตามธรรมชาติ
B = มูลค่าส่วนที่เกิดจากการเก็งกำไรค่าเงิน และการค้าขายสัญญาล่วงหน้าต่างๆ
สมมติว่าสกุลเงินปกติ C ถูกกำหนด value ด้วยสัดส่วน A ประมาณ 90% และ B อีก 10%
แต่ Crypto currency ทุกวันนี้มันไม่มีส่วน A เลยครับ (สิ่งที่ใกล้เคียง A ที่สุดคือมูลค่าของพลังงานที่ใช้ไปในการขุด แต่มันเป็นสิ่งที่ใช้ไปแล้ว เอามาชำระหนี้ไม่ได้) value มันมาจากส่วน B ล้วนๆ เราถึงได้เห็นว่าราคาในแต่ละวันมันวิ่งขึ้นลงยิ่งกว่ารถไฟเหาะ เพราะไม่มีพื้นฐานที่มีเสถียรภาพมากพอในการกำหนด value ให้มันนั่นเอง
นี่น่าจะเป็นที่มาของ quote ที่บอกว่า bitcoin คือ "การเก็งกำไรล้วนๆ" (มีแต่ส่วน B นั่นเอง)
มีหลายๆบอกว่า A = ค่าไฟที่เสียไปกับการขุด เป็นตัวค้ำประกันมูลค่าว่านี่ไง 1 BTC มีค่าขั้นต่ำเท่าค่าไฟ (เช่น John Mcafee)
ซึ่งมันเป็นคนละเรื่องกันเลย
EDIT : อ่านข้าม เพิ่งเห็นว่าพูดถึงตรงนี้ไปแล้ว = =
แต่จริงๆ ผมมองว่ามันใกล้เคียงกันนะครับ
คือด้วยความที่ไม่มีสินทรัพย์อ้างอิงใดๆเลย
ดังนั้นคนที่ถือ(แบบทั่วๆไป) หรือขุด หรือเป็นผู้ประคอง Transaction
จะมีค่าไฟเป็นตัวเลขในใจในการเคาะราคา ยังไงมันก็ไม่เคาะต่ำไปกว่านี้อ่ะ
คือถึงจะบอกว่ามัน intangible ก็จริง แต่ถ้ามูลค่าของมันหลังเฉลี่ยทั้งโลก
ออกมาต่ำกว่าต้นทุนค่าขุด ก็จะไม่มีประโยชน์ในการขุดอีกต่อไป เมื่อไม่มีการ
ขุดใดๆเกิดขึ้น ถึงตรงนั้นมันจะตายไปเอง (เพราะก็จะใช้งานไม่ได้)
สำหรับกิจการที่ไม่มีอะไรจับต้องได้เลยขนาดนี้ การมองว่ามูลค่า A ที่ว่ามันคือ
การพูดถึง operating expense (Realtime = ในขณะนั้น) อาจจะใกล้เคียงที่สุด
ถ้าคิดซะว่าเป็นกิจการกำไร 0% ราคาที่ควรเป็นมันก็คือ มูลค่าเหรียญ = OpEx นี่ล่ะครับ
ซึ่งราคามันสามารถลงมาได้ถึงจุดนี้ (เหมือนกิจการหรือค่าเงิน ที่มันจะไม่ลงไปต่ำกว่า A หรอก)
แต่ถึงจะบอกแบบนั้นก็ตาม ไอจุด A ที่ว่ามันก็ไม่ได้สูงขนาดนั้นอยู่ดี
ธุรกิจไอที มูลค่ามันมีอะไรที่เป็น OpEx เยอะอยู่ในหลายมิติอยู่แล้ว
ผมว่ามันไม่แปลกอะไรถ้าของที่อยู่บนธุรกิจนี้จะคิดมูลค่าจากตรงนี้
(คือให้คิดมูลค่า Google จาก ตึก+จำนวนฮาร์ดดิสก์+สิ่งก่อสร้าง มันก็ไม่ใช่ไง)
-- แต่การเรียกว่าค้ำประกันก็ดูไม่ใช่นั่นล่ะ
ิเมื่อตอนต้นตุลา เรตนี้
At $0.12 kW/h a Bitcoin costs $1,567.88 to mine.
At $0.04 kW/h a Bitcoin costs $522.62 to mine.
ตอนนี้น่าจะขยับไป 1.6 เท่าจากวันนั้นก็ราวๆ $840-$2510 (ไม่รวมค่าเสื่อม ซึ่งเทียบกันก็น้อยอ่ะนะ)
ซึ่งช่างไกลกับตัวเลขจริงๆที่เป็นอยู่มากโขเหลือเกิน
มองในมุม Bitcoin = สินค้า นี่เห็นด้วยเลยครับ
แต่ในมุม Bitcoin = Currency นี่ผมว่ามันจะเหลื่อมกันอยู่นะครับ
ผมมองว่า Currency นั้น Operation Expense มันแทบไม่มีนัยสำคัญในการประกันมูลค่าเลย
อาจจะเป็นเพราะ Bitcoin มันก้ำกึ่งระหว่าง 2 อย่างนี้ด้วย การประเมินมูลค่ามันเลยดูกลืนๆกันอยู่
ผมว่าเอา OPEX มา value ไม่ได้เพราะว่า
เวลาคนขุด bitcoin มาขายอาจจะมีราคาในใจว่าต้องขายไม่น้อยกว่าค่าไฟที่จ่ายไป (มองว่าต้องถอนทุนคืนหรือเท่าทุน)
แต่สำหรับคนซื้อแล้ว perceived value คือจะเอา bitcoin ไปทำอะไรหรือจ่ายซื้ออะไรได้แค่ไหน ซึ่งมันไม่เกี่ยวข้องกับ OPEX ของคนขายเลย
มันเกี่ยวตรงที่ว่าธุรกรรมจะเกิดมันต้องมีคนขุดไงครับ ถ้าราคามันตกลงจนไม่คุ้มค่า OPEX คนขุด คนก็จะเลิกขุดกัน ถึงตอนนั้นคนอยากซื้อก็ซื้อไม่ได้เพราะไม่มีคนยืนยันธุรกรรมให้
ไม่ครับ ถ้าราคามันตกลงจนไม่คุ้มค่าขุด คนส่วนหนึ่งจะเลิกขุดไป อันนี้ใช่ครับ แต่เมื่อกำลังขุดลดลง ค่าความยากมันก็จะลดลง ต้นทุนการขุดเองก็จะต่ำลง สุดท้ายมันก็จะต่ำจนกลับมาคุ้มค่าก็จะยังมีคนกลุ่มหนึ่งขุดต่อไป คนอยากซื้อก็ซื้อได้ต่อไปครับ
กาลครั้งหนึ่งมันขุดได้ง่ายๆ ด้วย notebook ธรรมดาๆ เครื่องนึงแบบไม่ต้องร่วม pool ก็ขุดได้ทั้งบล็อคครับ ถ้าค่าความยากมัน drop ลงไปถึงขนาดนั้นมันจะไม่มีใครขุดเลยหรือ?
ค่าความยากมันไม่ได้ลดลงไม่ใช่เหรอครับ แค่เทคโนโลยีมันดีขึ้นจนทำให้ต้นทุนในการคำนวณที่ค่าความยากนั้นมันถูกลง หรือผมเข้าใจอะไรผิดไป
ลดลงครับ ค่าความยากนี่คำนวณด้วยอัลกอริธึ่มโดยดูจากระยะเวลาที่ใช้ในการขุดบล็อค n บล็อคก่อนหน้า (ราวๆ นั้น) ถ้าระยะเวลาต่อบล็อคมันเกินสิบนาทีมันจะลดลง ถ้าต่ำกว่าสิบนาทีมันจะเพิ่มขึ้นครับ
ความยากขึ้นลงได้ครับ แปรผันตามกำลังการขุด
เป็นคนละเรื่องกับการลดผลตอนแทนทีละครึ่ง (Halving) ครับ
มันก้ำกึ่งนี่ล่ะครับ
ในโพสต์ต้นเลยใช้คำว่า "ต้นทุนขณะนั้น"
แต่ถ้ามันลงไปถึงจุดที่ Diff ลดต่ำขนาดนั้น
ต้นทุนขณะนั้นก็ลดลง มูล่คาต่ำสุดที่คนจะยอมขายก็ลดลงด้วย
(และยิ่งทำให้สัดส่วนของความเป็นการ เก็งกำไร ยิ่งกว้างไปอีก
หรืออาจจะแคบลงด้วยการลดมูลค่ามาเหลือหลัก 100$-1000$ อะไรแบบนั้นอยู่ดี)
ดังนั้นเคสนั้นมูลค่าปัจจุบัน(ในอนาคต) ก็เปลี่ยนไปไงครับ
แต่ผมว่า ถ้าเข้ารูปนั้น ตัว BTC เองก็จะลดความน่าเทรดกันไปด้วย
ผมว่าที่คนสนใจเพราะมันแพง มากกว่าเพราะมันใช้ง่าย
ซึ่งถ้าออกทางนั้นก็จะกลายเป็นว่ากลับไปคอนเซ็ปแรกคือค่าบริการ
แต่ยังไงผมว่าเคสนั้นจะเกิดมันต้องมี currency อื่นให้ไปหมุนอยู่ดี
คือมูลค่าลดต่ำกว่าค่าขุดจนถึงขั้นเลิกขุด .. diff ลดขุดง่าย
น่าจะสะท้อนว่าคนไปอย่างอื่นมากกว่า คนอยากกลับมานะครับ
(เพราะยากขนาด แพงขนาดนี้ยังไม่ยอมไปอย่างอื่นกันเลย)
มันเป็นปลายทางของเงินสกปรกทั่วโลกไว้ฟอกเงินครับ
ถ้าวันใหนวันนึงมัน clash ขึ้นมา ซักพักก็จะมีเงินไหลกลับมาเอง
ตอนนี้คนเข้าไปลงทุนน่าจะมีมากกว่าแล้วนะครับ ส่วนพวกฟอกเงินก็รวยขึ้นไม่รู้กี่เท่า
my blog :: sthepakul blog
ช่วยอธิบายการฟอกเงินผ่าน BTC หน่อยครับ เพราะที่ผมเข้าใจ
- หากคุณจะเอาเงินร้อนมาซื้อ BTC ตอนนี้คือคุณต้องผ่าน HOST ทั้งหลายซึ่งต้องมีการยืนยันตัวตนก่อนเทรด รู้หมดว่าใครเอามาฟอก
- ถ้าขุดเอง แสดงว่าเอาเงินร้อนไปซื้อการ์ดจอมาขุด กรณีนี้ผมว่าไม่น่าคุ้มเท่าไร
แล้วสรุปแล้วการฟอกเงินผ่าน BTC ทำยังไงครับ
ซื้อขายไม่ผ่านเว็บเทรดก็มีครับ (Over The Counter)
จากนั้นส่งให้คนที่มี account ในกระดานเทรดขายเอาเงินออกมาอีกที
ที่เคยเห็นในข่าว
โซนยุโรปบางประเทศนี่มีตู้ให้แลกบิทคอยด์เลยครับ
จนทางการอังกฤษต้องออกนโยบายป้องกันการฟอกเงินมา
Buffett partner Charlie Munger says bitcoin is ‘total insanity,’ avoid it ‘like the plague’
"I think it is perfectly asinine to even pause to think about them," Munger said. "It's bad people, crazy bubble, bad idea, luring people into the concept of easy wealth without much insight or work. That's the last thing on Earth you should think about … There's just a whole lot of things that aren't going to work for you. Figure out what they are and avoid them like the plague. And one of them is bitcoin. … It is total insanity."
https://www.cnbc.com/2017/12/22/buffett-partner-charlie-munger-says-bitcoin-is-total-insanity-avoid-it-like-the-plague.html