สำนักข่าว Bloomberg รายงานถึงเครื่องมือพิเศษอีกตัวของ Uber คือ Ripley ซอฟต์แวร์สำหรับควบคุมเครื่องจากระยะไกล ในกรณีที่สำนักงาน Uber ถูกบุกค้นจากเจ้าหน้าที่
รายงานนี้ระบุว่าผู้จัดการประจำสำนักงานจะได้รับการฝึกมาตรการในกรณีถูกบุกค้นสำนักงาน เรียกว่า "unexpected visitor protocol" ให้โทรศัพท์กลับสำนักงานใหญ่เพื่อแจ้งเตือน เจ้าหน้าที่ในสำนักงานใหญ่จะรีโมตเข้ามาล็อกหน้าจอ, เปลี่ยนรหัสผ่าน, และปิดเครื่อง โดยเครื่องเหล่านี้รวมตั้งแต่เดสก์ทอป, โน้ตบุ๊ก, ไปจนถึงสมาร์ตโฟน
บริษัทขนาดใหญ่อื่นๆ ก็มักมีขั้นตอนเมื่อถูกบุกค้นเช่นเดียวกัน เช่น ต้องปิดเครื่องทันทีและขอตรวจเอกสารหมายค้นให้เรียบร้อยก่อน ในกรณีของ Uber มีการใช้ Ripley ล็อกเครื่องในสำนักงานต่างๆ ทั่วโลกไปแล้วอย่างน้อย 24 ครั้ง ครั้งหนึ่งคือการบุกตรวจภาษีที่แคนาดา เจ้าหน้าที่ถูกล็อกจนไม่ได้ข้อมูลอะไรกลับไป อย่างไรก็ตาม Uber ระบุว่าเมื่อเจ้าหน้าที่ขอหมายค้นระบุไฟล์ที่ต้องการอย่างชัดเจนทางบริษัทก็มอบให้เจ้าหน้าที่ในที่สุด
รายงานนี้ระบุว่า Uber ยังใช้ Ripley อย่างน้อยถึงปี 2016 โดยปี 2017 ที่ผ่านมา Uber เพิ่งเปลี่ยนตัวซีอีโอ มีการประกาศเปลี่ยนแนวทางการทำงานให้หยุดการสอดแนมคู่แข่ง และมีท่าทีร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐมากขึ้น เช่นกรณีการต่อใบอนุญาตในลอนดอน
ที่มา - Bloomberg
Comments
อย่างกับบริษัทจารกรรม
oxygen2.me, panithi's blog
Device: HP Zbook, iPad Pro, iPhone 15PM, iPhone 16+, Nothing Phone 1
ดูๆ แล้วผมว่ามันก็ควรเป็นระบบที่จำเป็นสำหรับสำนักงานทั่วไปเหมือนกันนะ
นึกถึงสมัยก่อน ร้านเนทบ้านเรา วันดีคืนดีก็มีจนท.บุกยึดเครื่องไปที่สน. แล้วต้องเจรจาอะไร กว่าจะปล่อยคืนมา ส่วนใหญ่โดนข้อหามั่วสุม รวมไปถึงพวกจับลิขสิทธิ์แบบกลั่นแกล้ง เช่นมานั่งโหลด file mp3 ลงเครื่องเอง แล้วแจ้งจับเอง
ตอนหลังบ้านเราใช้ diskless ปิด server ข้อมูลเครื่องลูกหายหมด ไม่เหลือหลักฐาน
ก็คงคล้ายๆกัน
ได้ใจจริงๆ เด่วใช้บ้าง
รู้สึกว่าเหมาะกับประเทศไทยที่ภาพลักณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐไม่ค่อยดี