พร้อมโอนเงิน PromptPay กำลังจะเปิดลงทะเบียนเป็นทางการวันที่ 15 นี้ และจะเปิดโอนปลายเดือนตุลาคมนี้ ตอนนี้ก็เริ่มมีข้อสงสัยถึงความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวในระบบการโอนเงินใหม่นี้ เช่น บทความในผู้จัดการรายวัน และข่าวในเดอะเนชั่น ผมเองก็ตั้งข้อสังเกตไว้สามประเด็นหลัก ในบล็อกของผมเอง ได้แก่ ความเป็นส่วนตัวของหมายเลขโทรศัพท์, อันตรายในกรณีที่หมายเลขโทรศัพท์ถูกขโมย, และกระบวนการเมื่อหมายเลขโทรศัพท์เปลี่ยนเจ้าของ
ธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมกับกสทช. ลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วม เพื่อศึกษาหาแนวทางร่วมกัน ในการยกระดับความปลอดภัยด้าน Cyber Security และการยืนยันตัวตนบนสมาร์ทโฟน เพื่อป้องกันการถูกสวมรอยทำธุรกรรมทางการเงิน
ขณะที่การให้บริการพร้อมเพย์ ที่จะผูกกับเบอร์โทรศัพท์นั้น ทางกสทช. ระบุว่าภายในเดือนธันวาคมนี้ จะเชื่อมโยงข้อมูลลายนิ้วมือของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทั้งแบบรายเดือนและเติมเงินเข้ากับฐานข้อมูลเดิมที่มีอยู่ ผ่านโอเปอเรเตอร์เจ้าต่างๆ เพื่อความปลอดภัยในการใช้บริการพร้อมเพย์มากยิ่งขึ้นด้วย แต่จะไม่บังคับเหมือนการลงทะเบียนซิม
หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทยเปิดตัวพร้อมเพย์ไปเมื่อเช้านี้ ตอนนี้ก็ประกาศค่าธรรมเนียมออกมาแล้ว โดยมีจุดสำคัญคือการโอนเงินไม่เกิน 5,000 บาทจะฟรีทุกรายการ เมื่อจ่ายผ่านอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ
ส่วนวงเงินเกินนั้นได้แก่
ธนาคารแห่งประเทศไทยเปิดตัวบริการ "พร้อมเพย์" (PromptPay) บริการชำระเงินผ่าน Any ID ใช้โอนเงินระหว่างบุคคลและโอนเงินไปยังนิติบุคคล
Any ID เปิดให้ใช้หมายเลขบัตรประชาชนหรือหมายเลขโทรศัพท์มือถือแทน การลงทะเบียนจะเปิดให้ลงทะเบียนบางธนาคารที่พร้อมตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม และทุกธนาคารตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม ส่วนการให้บริการพร้อมเพย์จะเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคมนี้
ก่อนหน้านี้เว็บไซต์ลงทะเบียนของธนาคารไทยพาณิชย์เคยระบุว่าการโอนด้วย Any ID จะมีค่าธรรมเนียมถูกกว่าการโอนข้ามธนาคารตามปกติ อย่างไรก็ตามเว็บไม่ได้ระบุว่าค่าธรรมเนียมเป็นเท่าใด
หลังผ่านกำหนดเส้นตายวันที่ 16 พฤษภาคม ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยบังคับให้ทุกธนาคารเปลี่ยนบัตรทีเอ็มเป็นแบบชิป ซึ่งได้สร้างความสับสนให้กับประชาชนทั่วไป ถึงการคิดค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนบัตรและค่าธรรมเนียมรายปีแบบใหม่ของแต่ละธนาคาร โดยเฉพาะกรณีที่บางธนาคารระบุว่ายินดีเปลี่ยนให้ฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่มีเงื่อนไขและประเภทของบัตรที่ไม่มีการเปิดเผยให้กับประชาชนทั่วไปได้รับทราบ
ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทยได้เผยแพร่ตารางอัตราค่าธรรมเนียมในการเปลี่ยนบัตรแต่ละธนาคารในทุกๆ ประเภทบัตร โดยข้อมูลเป็นข้อมูลที่อัพเดตล่าสุด ณ วันที่ 23 พฤษภาคมครับ สามารถดาวน์โหลดหรือเข้าไปดูได้ที่นี่เลยครับ
ที่มา - Bank of Thailand
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกประกาศเตือนร้านค้าและสถานประกอบการ ให้ระวังความเสี่ยงของการชำระเงินผ่าน "ผู้ให้บริการต่างประเทศ" ที่ไม่ได้รับใบอนุญาตบริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์จาก ธปท. เพราะมีความเสี่ยงว่าถ้าหากถูกเชิดเงิน ผู้รับเงินจะไม่ได้รับความคุ้มครองจากทางการไทย
ประกาศของ ธปท. มุ่งไปที่ร้านค้าในแหล่งท่องเที่ยว ที่ยอมรับการชำระเงินจากผู้ให้บริการในต่างประเทศที่ไม่ได้จดทะเบียนในไทย ถึงแม้ ธปท. ไม่ได้ระบุชื่อ แต่หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์และ ThaiPBS รายงานว่าผู้ให้บริการรายดังกล่าวคือ WeChat Pay ที่นักท่องเที่ยวจีนนิยมใช้งาน แต่ WeChat Pay ไม่ได้ขอรับใบอนุญาตจาก ธปท. ดังนั้น ธปท. จึงไม่สามารถให้ความคุ้มครองได้ถ้าเกิดปัญหาขึ้น
เส้นตายการย้ายระบบบัตรเอทีเอ็มไปใช้งานบัตรชิปอยู่ที่วันที่ 16 พฤษภาคมนี้ ตอนนี้ธนาคารธนชาตก็ออกมาประกาศแล้วว่าจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 6 เป็นต้นไป
ทางธนชาตให้บริการเป็นบัตรเดบิตแต่ระบุว่าค่าบริการไม่ต่างจากบัตรเอทีเอ็มธรรมดา (ค่าออกบัตร 100 บาท ค่าบริการรายปี 200 บาท มีแบบสมัครหลายปีได้ลด) และในแง่การใช้งานแล้วก็สามารถปรับลดวงเงินเดบิตจนเหลือศูนย์เพื่อให้เป็นบัตรเอทีเอ็มได้ นอกจากนี้หากใช้รูดบัตรก็ยังได้เงินคืนอีก 0.75%
เมื่อวานนี้ นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แถลงข่าวโดยระบุว่าคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินระยะที่ 3 โดยเป็นแผนงานซึ่งจะทำให้ระบบทางการเงินของประเทศมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และมุ่งไปยังทิศทางของ Digital Banking หรือการทำธุรกรรมแบบดิจิทัลมากขึ้นกว่าเดิม
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยแพร่ข่าวฉบับที่ 8/2557 เรื่อง ข้อมูลเกี่ยวกับ Bitcoin และหน่วยข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ที่ลักษณะใกล้เคียง ซึ่งเป็นการอธิบายลักษณะและความเสี่ยงของ Bitcoin และอื่น ๆ ที่มีลักษณะใกล้เคียง
ในข่าวดังกล่าวยังมีข้อแนะนำให้ประชาชนทั่วไปศึกษาข้อมูลอย่างระมัดระวัง เนื่องจากไม่ถือเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย มีมูลค่าผันแปรอย่างรวดเร็ว มีความเสี่ยงถูกขโมยจากวิธีโจรกรรมข้อมูล และมีความเสี่ยงที่ผู้ใช้จะไม่ได้รับการคุ้มครองเนื่องจากไม่ได้เป็นสื่อชำระเงินตามกฎหมายจึงอาจทำให้ยากในการติดตามข้อมูลการโอนเพื่อใช้เป็นหลักฐานดำเนินคดี
ที่มา - ธนาคารแห่งประเทศไทย (PDF)
ต่อจากข่าว ธนาคารแห่งประเทศไทยระบุ การซื้อขาย Bitcoin ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนเงินตรา ทำให้บริษัท bitcoin.co.th กลับมาซื้อขายอีกครั้ง
ล่าสุด นางรุ่ง มัลลิกะมาส โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาชี้แจงว่ากรณีนี้ต้องดูในรายละเอียดว่า bitcoin.co.th เปิดบริการในส่วนใด แต่ตามจดหมายของ ธปท. นั้นไม่อนุญาตให้นำ Bitcoin แลกเป็นเงินตราต่างประเทศ ไม่ว่าการแลกเปลี่ยนจะเกิดขึ้นภายในหรือภายนอกประเทศก็ตาม เพราะอาจจะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ. ควบคุมการแลกเปลี่ยน พ.ศ. 2485 และอาจมีความผิดตามกฎหมายฟอกเงินด้วย
จากเมื่อปีที่แล้วที่บริษัทบิทคอยน์ยื่นเรื่องขออนุญาตซื้อขาย Bitcoin ในประเทศไทยไปและได้รับแจ้งว่าการซื้อขายอาจจะผิดกฎหมายจนต้องยุติการให้บริการ ตอนนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ส่งจดหมายกลับมายังบริษัท ระบุว่าการซื้อขายบิทคอยน์นั้นไม่มีการซื้อขายธนบัตรต่างประเทศ ทำให้ไม่ต้องขออนุญาต
แต่จดหมายยังระบุด้วยว่าหากลูกค้าของบริษัทบิทคอยน์สามารถนำไปแลกเปลี่ยนเงินตราได้ในต่างประเทศก็อาจจะเข้าข่ายธุรกิจปัจจัยชำระเงินต่างประเทศ ตามพรบ.ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พ.ศ. 2485 แต่ตอนนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยยังไม่ขยายขอบเขตของธุรกิจประเภทนี้ออกไปจากปัจจุบัน
เมื่อวันพุธที่ผ่านมาบริษัทบิทคอยน์ก็กลับมาให้บริการซื้อขายอีกครั้ง
ข่าวสั้นนี้เป็นข่าวต่อเนื่องจากข่าว "ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่งระงับการแลกเปลี่ยน Bitcoin ภายในประเทศไทย" ครับ
บริการ Bitcoin เป็นบริการระบบสกุลเงินออนไลน์แบบไม่ระบุตัวตนที่ได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อยๆ ในระยะเวลาที่ผ่านมา จนทำให้เกิดผู้ให้บริการรับแลกสกุลเงินตราจากเงินจริง เข้ามายังบริการ Bitcoin เป็นจำนวนมาก รวมถึงในไทยอย่างเช่น บริษัท บิทคอยน์ จำกัด ที่ได้พยายามตรวจสอบกฎหมาย และจดทะเบียนกับหน่วยงานภาครัฐต่างๆ มาโดยตลอด
ในวันนี้ทางธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการจัดสัมมนาเกี่ยวกับการทำงานของ Bitcoin และการดำเนินการธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง จนมีข้อสรุปจากทางฝ่ายนโยบายและกำกับการแลกเปลี่ยนเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า เนื่องจากขาดข้อกฎหมายกำกับเฉพาะด้านที่ชัดเจนพอ จึงแจ้งว่าการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin ต่อไปนี้ผิดกฎหมายการเงินประเทศไทย