มีรายงานจากผู้ใช้ iPhone X บางคน ว่าหลังจากอัพเดต iOS เป็นเวอร์ชันล่าสุด 11.2 ที่ออกมาแบบกะทันหันเมื่อวานนี้ ก็ทำให้ไม่สามารถใช้งาน Face ID ได้ตามปกติ โดยขึ้นข้อความเตือนว่า "Face ID is Not Available"
แอปเปิลไม่ได้ออกรายละเอียดอย่างเป็นทางการ แต่วิธีแก้ไขที่มีรายงานออกมานั้นสามารถทำได้ไม่ยาก โดย ปิดและเปิด iPhone X ขึ้นมาใหม่ ก็จะสามารถใช้งาน Face ID แต่หากยังใช้งานไม่ได้อีก ให้ตรวจสอบดูว่าได้ตั้งวันและเวลาในโทรศัพท์เป็นอัตโนมัติหรือไม่ เนื่องจากปัญหาดังกล่าวนี้พบมากในผู้ใช้ iPhone X ที่แก้ปัญหาเครื่องรีบูทชั่วคราวด้วยการเปลี่ยนวันที่ก่อนหน้านี้
iPhone X เริ่มจำหน่ายมากขึ้นในหลายประเทศ และแอพการเงิน ธนาคาร หลายแอพก็เริ่มรับรองการยืนยันตัวตนในแอพด้วยใบหน้า Face ID แต่ที่เกาหลีใต้ แอพธนาคารทั้งหลายต่างเลือกที่จะไม่รับรองไปก่อนในตอนนี้ ขณะที่แอพธนาคารหลายแห่งทั่วโลก รวมทั้งในไทย ต่างรองรับคุณสมบัติดังกล่าวกันแล้ว
Face ID กลายเป็นเป้าหมายใหม่ของนักวิจัยที่จะทดสอบความทนทานการถูกหลอก วันนี้ทีมวิจัยจาก Bkav บริษัทซอฟต์แวร์ความปลอดภัยเวียดนามก็แถลงความสำเร็จในการสร้างใบหน้าสามมิติหลอก Face ID
ทาง Bkav ระบุว่า Face ID อาศัยการจับใบหน้าสามมิติของโครงหน้าโดยรวม และประมวลผลบางจุดเป็นพิเศษเช่นรอบดวงตา, จมูก, และปาก ทีมงานพิมพ์โครงหน้าสามมิติ และอาศัยภาพสีสองมิติของจุดสำคัญมาแปะบนโครงหน้าเพื่อหลอก Face ID ได้ โดยจมูกนั้นต้องอาศัยช่างฝีมือสร้างขึ้นมาเฉพาะ
ต้นทุนของการสร้างใบหน้าหลอกอยู่ที่ 150 ดอลลาร์หรือ 5,000 บาท โดยการสแกนใบหน้าสามมิตินั้นทำได้ไม่ยากนัก โทรศัพท์เช่น Sony XZ1 มีสแกนเนอร์สามมิติในตัว หรืออาจจะใช้เครื่องสแกนระดับมืออาชีพก็ได้เช่นกัน
ข่าวนี้คงไม่ประหลาดใจนัก แต่ก็ช่วยยืนยันว่าทำจริง โดย Mark Gurman แห่ง Bloomberg รายงานว่าแอปเปิลกำลังพัฒนา iPad Pro ที่รองรับการจดจำใบหน้า Face ID เหมือนใน iPhone X คาดสามารถวางจำหน่ายได้ในปี 2018 นี้
ข้อมูลยังบอกว่า iPad Pro รุ่นนี้มีการออกแบบหน้าตาใหม่ โดยใช้แนวทางเดียวกับ iPhone X คือขอบข้าง และตัดปุ่ม Home ออกไป อย่างไรก็ตาม iPad Pro รุ่นนี้จะไม่ใช้หน้าจอ OLED แต่ความสามารถอื่นก็จะเหมือนใน iPhone X รวมทั้ง Animoji
นอกจากนี้ iPad Pro แล้ว แอปเปิลยังเตรียมเปิดตัว Apple Pencil รุ่นใหม่ในปีหน้าด้วย
ที่มา: Bloomberg
เพียงไม่กี่วันหลังจาก iPhone X เริ่มวางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่าน ลูกค้าธนาคาร OCBC สิงคโปร์ สามารถสแกนใบหน้าเพื่อยืนยันตัวตนเข้าใช้งานแอปต่างๆ ของธนาคารด้วย Face ID ได้แล้ว โดยใช้ชื่อบริการว่า OCBC OneLook ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยให้ลูกค้าธุรกิจและลูกค้ารายย่อยของธนาคาร ใช้งานแอป OCBC Mobile Banking ได้สะดวกยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ลูกค้าของ OCBC ยังสามารถใช้ Face ID โอนเงินให้ผู้อื่นผ่านแอป OCBC Pay Anyone หรือติดตามการลงทุนผ่านแอป OCBC OneWealth ได้อีกด้วย
จากกรณีมีผู้ทดลองปลดล็อก Face ID บน iPhone X โดยใช้ใบหน้าของน้องชายที่คล้ายกันแล้วสามารถปลดล็อกได้ จนเป็นกระแสว่า Face ID น่าจะมีช่องโหว่เยอะนั้น ล่าสุดเจ้าของคลิปได้ออกมายอมรับแล้วว่า iPhone X นี้มีการตั้งค่าหลอกเอาไว้ก่อนถ่ายทำคลิป ทำให้สามารถปลดล็อกได้
หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีประเด็นเรื่องการใช้ฝาแฝดปลดล็อค Face ID บน iPhone X ได้ ซึ่งถึงแม้จะยังเป็นที่สงสัยว่าการทดลองดังกล่าวของ Mashable น่าเชื่อถือแค่ไหน แต่ก็น่าจะก่อให้เกิดข้อสงสัยกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของ Face ID อยู่บ้างไม่มากก็น้อย
ล่าสุดมีผู้ใช้บน Reddit โพสต์กระทู้ระบุว่า iPhone X ของเขาสามารถถูกปลดล็อคได้ด้วยน้องชายแท้ๆ ของเขา โดยทั้งสองคนอายุห่างกัน 5 ปีและไม่ได้เป็นฝาแฝด แค่ใส่แว่นที่มีลักษณะเดียวกันเท่านั้น โดยในคลิปคนพี่ที่เป็นเจ้าของ iPhone X ส่งเครื่องให้คนน้องปลดล็อคโดยถอดแว่นก่อนซึ่งก็ไม่สามารถปลดล็อคได้ ก่อนที่จะให้คนน้องใส่แว่นและปลดล็อกอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้สำเร็จ
ค่อนข้างได้รับความสนใจอย่างมากกับฟีเจอร์ Face ID บน iPhone X ไม่ว่าจะในประเด็นของเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัย ซึง Craig Federighi เคยยืนยันเรื่องความปลอดภัยแล้วว่า ไม่สามารถใช้รูปถ่ายได้ และคนปลดล็อคต้องไม่หลับตาด้วย อย่างไรก็ตามคำถามที่หลายๆ คนน่าจะยังสงสัยอยู่คือ "แล้วฝาแฝดล่ะ?"
ล่าสุด Mashable ได้จับฝาแฝดเหมือน 2 คู่มาทดสอบปลดล็อคด้วย Face ID โดยให้ตัวเครื่องสแกนหน้าของแฝดคนที่ 1 และให้แฝดคนที่ 2 มาปลดล็อค ปรากฎว่า iPhone X สามารถปลดล็อคได้ทั้ง 2 เครื่อง ซึ่งแตกต่างจากกรณีของลายนิ้วมือ ที่ถึงแม้จะเป็นฝาแฝดแต่ลายนิ้วมือก็ยังแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะคน
หลังแอปเปิลเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในแต่ละปี ก็ย่อมหนีไม่พ้นจะถูกหยิบไปล้อไปแซวเปรียบเทียบต่างๆ นานา คราวนี้เป็นทีของ Huawei ที่ทำโฆษณาล้อเลียน Face ID ของแอปเปิล ซึ่งคาดว่าเป็นการโฆษณา Huawei Mate 10 ที่ใกล้จะเปิดตัวไปพร้อมๆ กัน
ตัวโฆษณาเป็นโฆษณาสั้นๆ โดยมีหัวตัวตลกกำลังถูกสแกนใบหน้าพร้อมข้อความ Unlocking... อยู่บนกรอบที่เหมือน iPhone X ก่อนที่ระบบขึ้นว่า Failed. Try Again. พร้อมปิดด้วยแฮชแทค #TheRealAIPhone และวันที่ 16 ตุลาคมนี้ ซึ่งก็น่าจะเป็นวันเปิดตัว Mate 10
น่าติดตามครับว่า Mate 10 จะมีลูกเล่นอะไรใหม่ที่ล้ำไปกว่า Face ID ของแอปเปิลหรือไม่และแค่ไหน
ที่มา - Huawei Mobile
Craig Federigh หัวหน้าฝ่ายซอฟต์แวร์ของแอปเปิล เดินสายให้สัมภาษณ์สื่อหลายแห่งเกี่ยวกับ Face ID ระบบปลดล็อกด้วยใบหน้าที่ใช้ใน iPhone X ซึ่งมีประเด็นน่าสนใจหลายอย่างต่อเนื่องจากอีเมลที่เขาตอบนักพัฒนา
เขาเริ่มต้นโดยเล่าถึงการเตรียมชุดข้อมูลเพื่อเรียนรู้สำหรับสร้างตัวแบบ โดยใช้รูปภาพมากกว่าพันล้านไฟล์ ออกมาเป็นอัลกอริทึมที่ใช้งานได้ดี และเมื่อนำมาใส่ใน iPhone ข้อมูลทั้งหมดจะเก็บไว้แค่ในเครื่องเท่านั้น ไม่มีการส่งออกข้อมูลเพื่อนำไปเรียนรู้เพิ่มเติมอีก ซึ่งทั้งหมดเพื่อความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน
แอปเปิลอัพเดตเอกสารคำแนะนำในการส่งแอพเพื่อตรวจสอบก่อนขึ้น App Store สำหรับนักพัฒนา มีประเด็นใหม่ที่น่าสนใจดังนี้
คำถามเรื่องระบบปลดล็อกด้วยใบหน้าใน iPhone X ที่ชื่อ Face ID ดูจะยังมีออกมาต่อเนื่อง ล่าสุด Keith Krimbel นักพัฒนาได้อีเมลสอบถาม Craig Federighi หัวหน้าฝ่ายซอฟต์แวร์ของแอปเปิล และเขาได้นำอีเมลคำถามและคำตอบมาโพสต์ลง Twitter มีรายละเอียดดังนี้
คำถามแรกนั้นมาจากที่แอปเปิลบอกว่า Face ID ทำงานได้ แม้เราสวมหมวก, ผ้าพันคอ, ใส่แว่นตา, แต่งหน้า แต่เมื่อถามถึงแว่นตากันแดด Craig บอกว่า ใช้งานได้เป็นส่วนมาก แต่ไม่ทั้งหมด โดยการทำงานนั้นจะใช้อินฟราเรดในการตรวจสอบดวงตา
ในคีย์โน้ตเปิดตัว iPhone X นั้น ช่วงเวลาหนึ่งที่ถูกพูดถึงอย่างมาก ก็คือการสาธิตการใช้งานโดย Craig Federighi หัวหน้าฝ่ายซอฟต์แวร์ เนื่องจากเขาเริ่มด้วยการใช้ Face ID ปลดล็อกเครื่อง แต่ทว่ามันกลับไม่ทำงานจนต้องใช้เครื่องสำรองแทน
โฆษกของแอปเปิลไม่ปล่อยให้คนสงสัยนาน ได้ทำจดหมายชี้แจงสื่ออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเวทีว่า iPhone X ถูกวางไว้บนเวที และทีมงานหลังเวทีได้มาหยิบจับทดสอบดูความปกติหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่หยิบเครื่อง กล้องหน้าสแกน Face ID ก็จะทำงานเช็กใบหน้าคนหยิบมาดูทุกครั้ง ซึ่งย่อมไม่สำเร็จเพราะไม่ใช่ใบหน้าของ Craig แต่พอเป็นเช่นนี้หลายครั้ง ถึงคราวที่ Craig จะหยิบมาใช้งานจริง iPhone ก็เลยขึ้นข้อความบังคับให้ใส่ Passcode ก่อนนั่นเอง