หลังจาก Seagate ยกเลิกการผลิตฮาร์ดดิสก์แบบ 7200 RPM สำหรับโน้ตบุ๊กไปแล้ว ก็เปิดตัวฮาร์ดดิสก์รุ่นไฮบริดที่มี SSD ผสมกับฮาร์ดิสก์ในราคาเริ่มต้น 79 ดอลลาร์ตามมาแทบจะทันที

ฮาร์ดดิสก์ชุดนี้เป็นการรีแบรนด์มาจากฮาร์ดดิสก์ตระกูล Momentus XT แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นฮาร์ดดิสก์ตระกูล SSHD (Solid State Hard Drive) ทุกรุ่นมี SSD ทำหน้าที่เป็นแคชภายในอยู่ 8GB

SSHD มีทั้งรุ่นเดสก์ทอปและโน้ตบุ๊ก รุ่นโน้ตบุ๊ก 500GB ราคา 79 ดอลลาร์ 1TB ราคา 99 ดอลลาร์ รุ่นเดสก์ทอป 1TB ราคา 99 ดอลลาร์ รุ่น 2TB ราคา 149 ดอลลาร์

ฮาร์ดดิสก์ความเร็วสูงที่หมุนด้วยความเร็ว 7200 RPM เคยเป็นฮาร์ดดิสก์สำหรับโน้ตบุ๊กชั้นสูงที่สามารถจ่ายเพิ่มเพื่อความเร็วได้ แต่ทุกวันนี้ตลาดโน้ตบุ๊กราคาแพงกลับถูกครองด้วย SSD ไปจนหมด ทำให้ Seagate ออกมาประกาศเลิกสายการผลิตนี้ไป

Seagate ระบุว่าเทคโนโลยีการใช้ SSD ร่วมกับฮาร์ดดิสก์ หรือที่เรียกว่า Solid State Hybrid Drives (SSHD) นั้นให้ประสิทธิภาพโดยรวมดีกว่าฮาร์ดดิสก์แบบ 7200 RPM

ฮาร์ดดิสก์แบบ 7200 RPM ขนาด 2.5 นิ้วล็อตสุดท้ายในสายการผลิตจะส่งมอบช่วงกลางฤดูร้อนนี้

ที่มา - X-bit labs

หลังจากที่ได้ประกาศซื้อ LaCie ไปเมื่อประมาณกลางปีที่ผ่านมา วันนี้กระบวนการเข้าซื้อ LaCie ของ Seagate ได้เสร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยในขณะนี้ Seagate ถือหุ้นของบริษัท LaCie อยู่ 65% ซึ่งมากพอที่จะควบคุมบริษัทได้แล้ว และในอีก 6 เดือนข้างหน้านั้นก็จะถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 95%

ในโลกอุปกรณ์เก็บข้อมูลภายนอก หลายคนน่าจะได้เห็น LaCie ที่เป็นผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ภายนอกที่เด่นๆ คือเป็นผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์แบบ Thunderbolt มารองรับกับเครื่อง Macbook Pro เป็นเจ้าแรกๆ วันนี้ซีเกตก็ประกาศเข้าซื้อหุ้นจากซีอีโอและกลุ่มของเขารวมเป็นหุ้น 64.5% ทำให้ซีเกตมีอำนาจครอบครองบริษัทได้ทันที ส่วนผู้ถือหุ้นที่เหลือทางซีเกตจะตั้งรับซื้อหุ้นตามกระบวนการต่อไป

การซื้อครั้งนี้มีมูลค่า 186 ล้านดอลลาร์ โดยตัว LaCie เองมีเงินสดในบริษัท 65 ล้านดอลลาร์ หลังกระบวนการจบ Philippe Spruch ประธานและกรรมการผู้จัดการของ LaCie จะไปนั่งเป็นหัวหน้าฝ่ายสินค้าคอนซูมเมอร์ของซีเกต

Seagate ออกมาแถลงข่าวถึงเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลบนจานแม่เหล็กชนิดใหม่ ที่เรียกว่า heat-assisted magnetic recording หรือ HAMR ช่วยให้จัดเก็บข้อมูลความจุมากขึ้นบนพื้นที่จานเท่าเดิม

เทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลบนดิสก์ในปัจจุบันเรียกว่า Perpendicular Magnetic Recording (PMR) เริ่มใช้งานเมื่อปี 2006 และมีขีดจำกัดสูงสุดของความจุต่อฮาร์ดดิสก์ขนาด 3.5 นิ้วมาตรฐานที่ประมาณ 3TB ต่อจาน (ถ้าเป็นฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กขนาด 2.5 นิ้วอยู่ที่ 750GB) และถ้าวัดเป็นความจุต่อพื้นที่คือ 620 กิกะบิต (Gb) ต่อตารางนิ้ว

การเพิ่มเทคโนโลยี HAMR เข้ามาช่วย จะช่วยเพิ่มความจุต่อพื้นที่เป็น 1 เทระบิต (Tb) ต่อตารางนิ้ว คิดเป็นการใช้งานจริงคือ 6TB บนดิสก์ขนาด 3.5 นิ้ว และ 2TB สำหรับดิสก์ 2.5 นิ้ว

ซีเกทรายงานรายได้ไตรมาสสองของปีบัญชี พบว่ารายได้รวมอยู่ที่ 3,200 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 150 ล้านดอลลาร์จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว แต่กำไรสุทธินั้นอยู่ที่ 563 ล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นถึง 3.75 เท่าเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว

ซีเกทส่งมอบฮาร์ดดิสก์ได้ทั้งหมด 47 ล้านลูกในไตรมาสที่ผ่านมา โดยเหตุการณ์น้ำท่วมไทยทำให้ผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์พบกับความยากลำบากในการผลิตสินค้า แม้แต่ตัวซีเกทเองที่โรงงานไม่ถูกน้ำท่วมแต่โรงงานซัพพลายเออร์หลายรายถูกน้ำท่วมไป เหตุการณ์ทั้งหมดทำให้ซีเกทมีต้นทุนการผลิตต่อลูกเพิ่มขึ้น 2.5 ดอลลาร์ แต่ราคาขายในตลาดกลับเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ยถึง 13 ดอลลาร์

จากข่าว ซัมซุงขายธุรกิจฮาร์ดดิสก์ให้ซีเกท เมื่อเดือนเมษายนปีนี้ ตอนนี้การควบกิจการเสร็จเรียบร้อยแล้ว

Seagate และ Western Digital เตรียมจะปรับลดระยะเวลาการรับประกันสินค้าของตน โดย Seagate จะรับประกันฮาร์ดดิสก์สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและวางตักส่วนใหญ่เพียง 1 ปี และส่วนที่เหลือจะรับประกันเพียง 3 ปี จากที่เคยเป็น 5 ปี นับแต่ตั้งวันที่ 31 ธันวาคม 2554 เป็นต้นไป

สำหรับ Western Digital จะลดระยะเวลาการรับประกันสำหรับสินค้า 3 กลุ่ม — Caviar Blue, Caviar Green, และ Scorpio Blue — จาก 3 ปี เหลือเพียง 2ปี นับจากวันที่ 2 มกราคมเป็นต้นไป ส่วนสินค้าอื่น ๆ จะไม่ได้รับผลกระทบนี้ครับ

มีรายงานว่าขณะนี้สายการผลิตฮาร์ดดิสก์ของผู้ผลิตหลักทั้ง 4 รายอย่าง Western Digital, Seagate, Hitachi และ Toshiba กำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักเนื่องจากปัญหาน้ำท่วมในประเทศไทย หลายโรงงานต้องหยุดการผลิตชั่วคราว ส่วนโรงงานที่ยังผลิตได้ก็ประสบปัญหาการตัดกระแสไฟฟ้าและเส้นทางขนส่งที่ตัดขาด ตลอดจนโรงงานซัพพลายเออร์ก็ล้วนหยุดสายการผลิตเช่นกัน ทั้งนี้ผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ทุกรายต่างพยายามสต็อกสินค้าคงคลังไว้ให้มากที่สุด เนื่องจากไตรมาสสุดท้ายของปีเป็นช่วงที่มียอดขายสูงสุด

ซีเกตเปิดตัวฮาร์ดดิสก์ 2.5 นิ้ว Momentus Thin ซึ่งมีความหนา 7 มิลลิเมตร ความจุสูงสุด 320GB อัตราหมุน 7,200rpm สำหรับใช้ในแท็บเล็ต ซึ่งปัจจุบันแท็บเล็ตนั้นใช้ SSD เป็นหน่วยความจำหลักแต่มีข้อจำกัดบางอย่างเช่นขนาดความจุ

แท็บเล็ตรุ่นแรกที่จะใช้ฮาร์ดดิสก์นี้คือ Archos G9 แท็บเล็ตซีพียู dual-core 1.5GHz โดยใส่ฮาร์ดดิสก์ความจุ 250GB วางราคาขายไว้ $279 สำหรับขนาดหน้าจอ 8 นิ้ว และ $349 สำหรับ 10 นิ้ว

ที่มา: ซีเกต

ช่วงต้นปีนี้ ยักษ์ใหญ่ของวงการ์ฮาร์ดดิสก์ทั้ง Seagate และ Western Digital ต่างควบกิจการผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์รายเล็กเข้ามา ย้อนข่าวเก่า

• Western Digital เข้าซื้อกิจการ Hitachi Global Storage Technologies
• ซัมซุงขายธุรกิจฮาร์ดดิสก์ให้ซีเกท

การควบกิจการทั้งสองกรณีทำให้ Seagate และ Western Digital กลายเป็นผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์รายใหญ่มากของตลาด (40% และ 50% ตามลำดับ) แต่เรื่องก็ไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะคณะกรรมการยุโรปกำลังเข้าสอบสวนการซื้อกิจการทั้งสองกรณี ว่าเข้าข่ายผูกขาดตลาดหรือไม่

The Wall Street Journal รายงานว่าซัมซุงมีแผนจะขายธุรกิจฮาร์ดดิสก์ออกไปเพื่อนำเงินสดไปลงทุนในธุรกิจกลุ่มอื่น โดยซัมซุงเล็งขายธุรกิจส่วนนี้ออกไปในมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ แต่ดีลอาจจบลงที่มูลค่าไม่เกิน 1 พันล้านดอลลาร์ โดยซีเกทน่าจะเป็นผู้ซื้อกิจการส่วนนี้ไปจากซัมซุง

ถ้าหากดีลนี้เป็นตามข่าว จะทำให้ผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์รายใหญ่ในตลาดเหลือเพียงแค่ 3 รายคือ โตชิบา ซีเกท และ Western Digital (ที่เพิ่งซื้อฮิตาชิไป) โดยจะมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 10%, 40% และ 50% ตามลำดับ

ปัจจุบันซัมซุงมีส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจฮาร์ดดิสก์ประมาณ 11% และยังเป็นส่วนธุรกิจที่ขาดทุนของซัมซุง

Seagate ออกผลิตภัณฑ์ฮาร์ดดิสก์แบบต่อภายนอกรุ่นใหม่ GoFlex Slim ซึ่งมีจุดขายที่ความบางเพียง 0.9 ซม. เท่านั้น (บางกว่า GoFlex ultra–portable รุ่นพกพาที่ขายในปัจจุบันอยู่ 38%)

GoFlex Slim ทำงานที่ 7,200 RPM, เชื่อมต่อแบบ USB 3.0, มีให้เลือกขนาดเดียวคือ 320GB ขายราคา 99.99 ดอลลาร์สหรัฐ (ผมไม่แน่ใจว่าบ้านเราเข้ามาขายหรือยังนะครับ) ในสหรัฐยังจะมีรุ่น HFS+ ที่ใช้กับแมคโดยเฉพาะ และขายในร้าน Apple Store ด้วย

Seagate เปิดตัว SSD รุ่น Pulsar.2 สำหรับ SSD ที่มีขนาดใหญ่ และ Pulsar XT.2 สำหรับการใช้ SSD ความเร็วสูง พร้อมกับ HDD สำหรับองค์กร คือ Savvio และ Constellation

SSD นั้นตัว Pulsar.2 จะมีขนาดสูงสุด 800GB โดยทั้งหมดจะเป็นดิสก์แบบ 2.5" SATA 3.0 SAS โดยมีอัตราการเสียต่อปี (annualised failure rate - AFR) อยู่ที่ 0.44% ต่อปีและอายุการใช้งานเฉลี่ย 2 ล้านชั่วโมง สำหรับรุ่น Pulsar XT.2 นั้นจะมีขนาดสูงสุดที่ 400GB โดยมีความเร็วในการอ่านอยู่ที่ 360MB/s และเขียน 300MB/s สามารถทำ IOPS ได้ 48,000 read IOPS และ 22,000 write IOPS

ฮาร์ดดิสก์ลูกผสม Seagate Momentus XT ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากตลาด เพราะผสมความเร็วของ SSD กับราคาถูกของฮาร์ดดิสก์แบบเดิมเข้าด้วยกัน ตัวเลขของ Seagate เองระบุว่าขายได้ถึง 350,000 ตัว

แต่ใช้กันมาได้สักพัก ก็มีผู้ใช้รายงานปัญหาของ Momentus XT กันเป็นจำนวนมาก จุดที่เป็นปัญหาหลักคือ Advanced Power Management (APM) ที่ออกแบบมาให้หมุนจานฮาร์ดดิสก์ใช้ช้าลง (spin down) เพื่อประหยัดพลังงาน แต่ Seaagate กลับตั้งค่าให้มัน spin up/down บ่อยเกินไป ผู้ใช้รายหนึ่งรายงานว่าเดือนแรกมีจำนวน spin up/down ถึง 65,000 ครั้ง

หลังจากก่อนหน้านี้ Seagate บริษัทผลิตฮาร์ดดิสก์ได้รับข้อเสนอจากกลุ่มนักลงทุน TPG Capital ขอซื้อกิจการ โดยข้อเสนอมีมูลค่าราว 7.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ล่าสุด Seagate ได้ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวแล้ว โดยให้เหตุผลว่าข้อเสนอนี้ไม่น่าสนใจสำหรับบริษัทและผู้ถือหุ้นปัจจุบัน

Seagate ได้ถูกศาลสั่งให้จ่ายค่าชดใช้ให้อดีตพนักงานเป็นเงิน 1.9ล้านเหรียญสหรัฐ โดยอดีตพนักงานผู้นี้ได้ย้ายถิ่นฐานจาก Dallas ไปยัง Minnesota เพื่อไปทำงานให้กับ Seagate ในตำแหน่งงานที่ไม่มีอยู่จริง พนักงานผู้นี้ควรจะได้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเทคโนโลยี Solid State Drive (SSD) ให้กับ Seagate แต่เขากลับถูกเลิกจ้าง (lay off) ในอีกหลายเดือนต่อมา

ทางทนายของอดีตพนักงานได้กล่าวว่า 'เหตุผลที่เขาได้รับก็คือ เขาถูกจ้างในตำแหน่ง yield engineer แต่่โปรเจคนี้ไม่บรรลุผลสำเร็จตามที่ตั้งไว้' และยังกล่าวอีกว่า 'พวกเขาไม่สนใจว่ามันจะมีผลกระทบอะไรต่อชีวิตการทำงานของพนักงานคนนี้หรือเปล่า'

Seagate บริษัทผลิตฮาร์ดดิสก์รายใหญ่ของโลก ยืนยันข่าวว่ามีบริษัทนักลงทุน (private equity firm) สนใจซื้อกิจการของบริษัท

ปัจจุบัน Seagate เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ แต่ถ้าการซื้อกิจการเกิดขึ้นจริง ก็จะกลายเป็นบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ (private - อันนี้จะคล้ายๆ กับกรณีของทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่เคยอยู่ในตลาด แต่พอโดนซื้อกิจการก็กลายเป็นบริษัทจำกัดตามปกติ)

เหตุผลในการซื้อ Seagate เป็นเรื่องการลงทุนล้วนๆ เพราะนักลงทุนของ Seagate เห็นว่าหุ้นของบริษัทมีมูลค่าสูงกว่าราคาปัจจุบัน จนน่าซื้อทั้งบริษัท ก่อนหน้านี้ Seagate เคยถูกซื้อมาแล้วเมื่อปี 2000 และกลับเข้าตลาดหลักทรัพย์ใหม่ในปี 2002

ที่มา - Reuters

ข่าวนี้น่าจะสร้างความประหลาดใจไม่น้อยเมื่อ Seagate ซึ่งมีชื่อในฐานะผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ได้ประกาศโครงการความร่วมมือกับ Samsung ซึ่งเป็นผู้ผลิต Flash Memory รายใหญ่ เพื่อพัฒนาชุดส่วนควบคุม (Controller) สำหรับ Solid State Drive (SSD) ในระดับองค์กรซึ่งมีความต้องการด้านประสิทธิภาพการทำงาน และความทนทานสูงกว่าระดับผู้ใช้งานทั่วไป

Steve Luczo ซีอีโอของ Seagate กล่าวว่าการพัฒนาด้าน SSD จะช่วยให้เสริมความแข็งแกร่งด้านผลิตภัณฑ์หน่วยความจำที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ขณะที่ ดร. Changhyun Kim รองประธานอาวุโสของ Samsung บอกว่าโครงการนี้จะช่วยเพิ่มความต้องการ NAND Flash ที่ใช้ใน SSD ระดับองค์กรมากขึ้น

ข่าวนี้น่าจะยืนยันได้อีกขั้นว่าถึงเวลาของ Solid State Drive แล้ว

ซีเกตออกฮาร์ดดิสก์ตระกูล FreeAgent GoFlex Desk (ชื่อยาวมาก) ซึ่งเป็นฮาร์ดดิสก์แบบต่อภายนอกตัวแรกที่มีความจุถึง 3TB

นอกจากความจุมหาศาลแล้ว มันยังรองรับ USB 3.0 และ FireWire 800 ด้วย (ต้องซื้ออุปกรณ์ต่อเพิ่ม) รุ่นมาตรฐาน USB 2.0 ราคาตัวละ 249 ดอลลาร์ มีไดรเวอร์ NTFS สำหรับแมค ทำให้คนใช้แมคที่ต้องการฟอร์แมตเป็น NTFS สามารถใช้งานได้ไม่มีปัญหา

อย่างไรก็ตาม ด้วยปัญหาข้อจำกัดของซอฟต์แวร์ 32 บิต ทำให้เราเห็นความจุของมันได้แค่ 2.1TB เท่านั้น

ที่มา - Gizmodo, TechCrunch

Seagate เริ่มส่งฮาร์ดดิสก์แบบลูกครึ่งตัวใหม่ล่าสุดให้สื่อมวลชนทดสอบแล้วหลังการเปิดตัวสัปดาห์ที่แล้ว แต่รายงานจาก The Tech Report ก็ออกมาไม่น่าประทับใจนักเมื่อประสิทธิภาพของมันในเชิงตัวเลขนั้นตามหลังแม้กระทั่ง HDD รุ่นสูงๆ โดยไม่สามารถเอาชนะ SSD ในท้องตลาดได้เลย โดยเฉพาะเมื่อวัดประสิทธิภาพในเชิง IO ต่อวินาทีแล้ว Momentus XT ถึงกับไปอยู่ท้ายตารางทีเดียว

ต้นตอของปัญหนานี้ดูจะเป็นเฟิร์มแวร์ภายในที่มีปัญหาในการจัดการคิวของคำสั่ง ถ้าใช่จริงนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ Seagate มีปัญหากับเฟิร์มแวร์ของตน

คนแถวๆ นี้ที่ประกาศตัวรอซื้อกันคงต้องรอยืนยันการแก้ปัญหาเฟิร์มแวร์นี้กันก่อนซะแล้ว

การเลือกระหว่างฮาร์ดดิสก์ปรกติที่มีราคาถูกมากในทุกวันนี้กับ SSD ที่ประสิทธิภาพดีกว่าในแทบทุกๆ ด้านแต่ราคาต่อความจุแพงมากอาจจะเป็นเรื่องยาก และแนวคิดที่จะทำฮาร์ดดิสก์แบบลูกครึ่งก็มีมานานพอสมควร แต่ดู Seagate Momentus XT ก็น่าจะเป็นสินค้าตัวแรกๆ ที่เราๆ ท่านๆ จะหาซื้อมาใช้งานกันได้ โดยภายในนั้นมันคือฮาร์ดดิสก์ขนาด 500GB หรือ 320GB หรือ 250G GB ตามแต่รุ่น และมีหน่วยความจำแคชขนาด 32MB และ SSD แบบ SLC ขนาด 4GB มาทำหน้าที่แคชอีกชั้นหนึ่ง

การใช้ SSD มาช่วยเป็นพื้นที่แคชให้กับพื้นที่ HDD ตามปรกติทำให้ Momentus XT มีประสิทธิภาพดีกว่าฮาร์ดดิสก์แบบ 10,000 รอบต่อนาทีเสียอีก แต่ประสิทธิภาพนี้ก็ยังต่ำกว่า SSD จริงๆ อยู่พอสมควร (ดูวีดีโอท้ายข่าว)

พื้นที่ฮาร์ดดิสก์ในปัจจุบันนั้นนับวันจะเต็มเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนดูเหมือนฮาร์ดดิสก์ขนาด 2 TB ที่จำหน่ายกันอยู่นั้นเริ่มจะไม่เพียงพอ ทาง Seagate นั้นก็เตรียมที่จะออกฮาร์ดดิสก์ตัวใหม่ขนาด 3 TB ให้ใช้กันแล้วครับ

ไม่ว่าฮาร์ดดิสก์ในจะราคาถูกลงเร็วแค่ไหน แต่เราคงเห็นกันว่าอนาคตนั้น SSD จะเข้ามาแทนที่อย่างแน่นอน ด้วยความเร็วที่ทิ้งห่างไปเรื่อยๆ และราคาที่ลงมาจับต้องได้ วันนี้สัญญาณที่ชัดเจนอีกอย่างหนึ่งก็มาถึงเมื่อ Seagate ผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์รายใหญ่ได้ประกาศสายการผลิต Pulsar SSD ออกมาแล้ว

Pulsar จะออกมาพร้อมกันสามขนาดคือ 50GB, 100GB และ 200GB ทั้งหมดเป็นแบบ 2.5" แต่เน้นการใช้งานในระดับองค์กรเป็นหลัก เนื่องจากใช้เทคโนโลยี SLC ที่มีต้นทุนแพงกว่าแบบ MLC ที่ใช้งานใน SSD ของ Intel

ถ้ายังจำกันได้ Seagate เคยมีข่าวปลดพนักงานในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย ในวันนี้ดูเหมือนสถานการณ์นี้จะยังไม่จบ โดย Seagate ได้เปิดเผยว่าเตรียมตัวที่จะเลิกจ้างพนักงาน และปิดโรงงานที่อยู่ในสิงคโปร์ครับ