OpenZFS ออกเวอร์ชั่น 2.2.1 ปิดการทำงานฟีเจอร์ Block Cloning หลังพบปัญหาข้อมูลสูญหายในบางกรณี โดยตอนนี้ยังไม่พบสาเหตุที่ชัดเจน
Block Cloning เป็นฟีเจอร์ที่ลดการใช้พื้นที่ดิสก์ในกรณีที่ต้องการสำเนาไฟล์ไปยังไฟล์ใหม่ ผลการทำงานคล้ายกับฟีเจอร์ Deduplication ในระบบไฟล์หลายระบบ ที่ตรวจสอบว่าข้อมูลในบล็อคแต่ละชุดเหมือนกันหรือไม่หากเหมือนกันให้เก็บไว้ชุดเดียว แต่ Block Cloning นั้นทำงานด้วย system call เฉพาะว่าขอสำเนาข้อมูลใน block มาใช้งานทำให้กระบวนการโดยรวมเรียบง่ายกว่า
บั๊กนี้กระทบ OpenZFS 2.2.0 ที่เพิ่งออกมาไม่นาน และมีดิสโทรไม่มากนักที่รวมไปใช้งานแล้ว เช่น FreeBSD 14 แต่ทาง FreeBSD ก็ปิดฟีเจอร์ Block Cloning เป็นค่าเริ่มต้น
กระแส Black Lives Matter ในช่วงนี้ ทำให้ซอฟต์แวร์หลายตัวปรับแก้เรื่องภาษาที่ใช้ ไม่ให้กระทบคนผิวดำ เช่น Chrome เปลี่ยนคำว่า Blacklist เป็น Blocklist
ซอฟต์แวร์อีกตัวที่แก้ไขเรื่องนี้คือ OpenZFS โครงการพัฒนาระบบไฟล์ ZFS ของฝั่งลินุกซ์ ที่เลิกใช้คำว่า slaves (ในบริบทของ master/slave) เปลี่ยนมาใช้คำว่า dependents หรือชื่อย่อ deps แทน
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เสนอแก้โดย Matthew Ahrens ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้สร้าง ZFS มาตั้งแต่ยุค Sun Microsystems ในปี 2001 และปัจจุบันยังเป็นนักพัฒนาหลักของโครงการ OpenZFS เขาให้เหตุผลในการแก้ว่า ควรเลิกใช้คำที่หมายถึง "ทาส" ในซอฟต์แวร์ เพราะไม่จำเป็นอะไร
ไลนัสตอบคำถามเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่ารู้สึกอย่างไรกับการพัฒนาเคอร์เนลที่ไปกระทบต่อโมดูลภายนอกอย่าง ZFS เมื่อเร็วๆ นี้ และไลนัสก็เข้ามาตอบว่า ZFS นั้นเป็นโมดูลภายนอกที่ไม่ได้รับการซัพพอร์ตโดยตรง และการโหลดโมดูลภายนอกเข้าไปในเคอร์เนลนั้นสามารถทำได้แต่ทางเคอร์เนลไม่ได้ดูแลว่ามันจะทำงานได้
นอกจากประเด็นการใช้โมดูลเคอร์เนลภายนอกแล้ว ไลนัสยังแสดงความกังวลต่อออราเคิลเป็นพิเศษ โดยระบุว่าเคอร์เนลลินุกซ์นั้นคงไม่สามารถรวมเอาโมดูล ZFS เข้ามาในโครงการได้ หากไม่ได้รับจดหมายอนุญาตเป็นทางการโดยตรงจากตัวแทนฝ่ายกฎหมายของออราเคิล หรือให้ดีก็ให้ Larry Ellison เซ็นด้วยตัวเอง แม้แต่การสร้างชั้นคั่นกลางเพื่อให้โมดูลทำงานได้ก็ไม่น่าจะดีพอ เพราะออราเคิลก็เคยฟ้องกูเกิลจากการใช้อินเทอร์เฟซจาวามาแล้ว
ระบบไฟล์ ZFS ที่ซันพัฒนาขึ้นเพื่อใช้กับ OpenSolaris ถือว่าเป็นระบบไฟล์ล้ำยุคมีความสามารถมากมาย แต่เพราะมันใช้สัญญาอนุญาตแบบพิสดารกว่าชาวบ้าน (ใช้ CDDL) ทำให้ระบบปฏิบัติการโอเพนซอร์สตัวอื่นๆ อย่างลินุกซ์ไม่สามารถนำไปใช้ได้โดยง่าย ส่วนแอปเปิลเป็นอีกค่ายที่มีข่าวออกมานานว่าสนใจ ZFS ถึงขนาดมีเสียงลือกันว่า ZFS นี่ล่ะคือ The Next Big Thing (ที่ภายหลังถูกจงใจลืม) ของ Mac OS X 10.5 Leopard ฝั่ง Jonathan Schwartz ซีอีโอของซันถึงกับ
ZFS ระบบไฟล์สุดล้ำจากซันที่ใช้บน OpenSolaris แต่ใช้บนลินุกซ์ไม่ได้เพราะติดปัญหาเรื่องสัญญาอนุญาตคนละแบบ เคยเป็นข่าวหลายครั้งว่าแอปเปิลจะใช้มันใน Mac OS X มาตั้งแต่ 10.5 Leopard ยังไม่ออก (ปี 2006 นู่น)
ตอนนี้ 10.6 Snow Leopard วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว และไม่มี ZFS แต่อย่างใด
คำถามที่ตามมาจึงเป็นว่า เกิดอะไรกับ ZFS ในค่ายแอปเปิลกันแน่ แน่นอนว่าเราต้องคิดคำตอบกันเอง คำตอบที่เป็นไปได้คือแอปเปิลยังทดสอบ ZFS ไม่เสร็จ หรือไม่ก็ แอปเปิลมองว่า ZFS อาจไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับผู้ใช้ Mac OS X อีกต่อไป คนที่ได้ใช้ฟีเจอร์ของ ZFS มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น?
ที่มา - ZDNet
ความสามารถที่โดดเด่นอย่างหนึ่งใน OpenSolaris คือ ZFS ที่เป็นระบบไฟล์ที่มีความสามารถล้นเหลือ เช่นการรวมดิสก์หลายๆ ลูกเข้าด้วยกัน หรือจะเป็นความสามารถในการย้อนเวลาของดิสก์กลับไปดูได้ว่าก่อนหน้านี้ไฟล์ต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
ความสามารถเหล่านี้เป็นเรื่องที่ดี ปัญหาคือมันใช้งานค่อนข้างลำบาก เพื่อแก้ปัญหานี้ทางซันเลยทำปลั๊กอินให้กับ Nautilus ซึ่งเป็นไฟล์บราวเซอร์ของทาง Gnome เพื่อให้ใช้งานกันได้ง่ายขึ้นชื่อว่า time slider
เดโมดูได้ในที่มาข่าวนี้ แต่โดยหลักแล้วก็แค่มี slider ขึ้นมาด้านบนของ Nautilus ว่าอยากย้อนเวลาไปดูไฟล์เมื่อวันที่เท่าใหร่ และสามารถนำไฟล์รุ่นเก่านั้นไปวางไว้ที่อื่นเช่น Desktop ได้
น่าใช้จริงๆ หวังว่า Ubuntu 9.04 น่าจะรวมความสามารถนี้ไว้
แอปเปิลได้ทยอยแจก ZFS Read/Write Developer Preview 1.1 ให้กับนักพัฒนาโปรแกรมที่ได้ลงทะเบียนไว้กับทางบริษัทในอาทิตย์นี้
ก่อนหน้านี้แอปเปิลได้ออกมายืนยันว่า Mac OS X Leopard (10.5) นี้จะไม่มีการนำ ZFS ไปใช้เป็นระบบจัดการไฟล์หลักแต่อย่างใด แม้ว่าทางซันออกมายืนยันว่าจะมีการนำ ZFS ไปใช้แน่นอน ทางแอปเปิลได้แค่บอกว่า Leopard นั้นทำได้แค่อ่าน ZFS ได้อย่างเดียว (Read-Only) และจะไม่สามารถทำการแก้ไข สร้าง หรือลบไฟล์บนระบบ ZFS ได้เลย แต่ ZFS Read/Write Developer Preview 1.1 นี้ทำให้ Leopard มีความสามารถที่จะนำระบบจัดการไฟล์ ZFS ไปใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพนั่นเอง
จาก ข่าวเก่า ที่บอกว่าจะมีการใช้ระบบแฟ้ม ZFS (Zettabyte File System) ของ Sun เป็นระบบแฟ้มหลักของ Mac OS X 10.5 (Leopard) นั้น ทางด้าน Apple (โดย Brian Croll, ผู้อำนวยการอาวุโสด้านทำการตลาดให้ Mac OS) ได้ออกมาบอกยืนยันว่า จะไม่มีการใช้ ZFS เป็นระบบแฟ้มหลักบน Leopard โดยจะยังคงใช้ระบบแฟ้มเดิมของ Apple (HFS+) ต่อไป
มีคนตั้งข้อสังเกตว่า การบอกว่าจะใส่ ZFS เข้าไปใน Leopard เป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะ ZFS ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้งานในระดับ Consumer ธรรมดา แถมยังกินพลังประมวลผลเยอะอีกต่างหาก
Jonathan Schwartz จาก Sun ออกมาประกาศที่งานของบริษัทที่กรุงวอชิงตันดีซีว่าแอปเปิลจะใช้ ZFS เป็นระบบจัดการไฟล์หลักของ Mac OS X 10.5 (Leopard)
"ที่จริงแล้ว... ในอาทิตย์นี้พวกคุณจะเห็นว่าแอปเปิลกำลังจะประกาศที่งาน Worldwide Developer Conference ว่า ZFS จะถูกไปใช้เป็นระบบจัดการไฟล์ใน Mac OS 10" - Jonathan Schwartz
ZFS เป็นระบบไฟล์แบบ 128 บิตที่ซันใช้บน Solaris มีฟีเจอร์น่าสนใจหลายอย่าง และช่วงหลังมีข่าวลือออกมาตลอดว่าแอปเปิลกำลังจะนำไปใช้บน Mac OS X เช่น
และเร็วๆ นี้ มีคนไปสังเกตว่าในระบบรายงานบั๊กของทีม OpenSolaris มีร่องรอยที่น่าสนใจเกี่ยวกับข่าวลือนี้
หลังการเปิดตัว Apple OS X 10.5 Leopard มา แอปเปิลก็ทิ้งท้ายถึง Next Big Thing เอาไว้ให้หลายๆ คนสงสัยกันเล่นๆ ว่าจะมีอะไรมา่ให้แปลกใจ แต่ระหว่างรอการยืนยันในการเปิดตัวครั้งหน้าที่คาดว่าจะวางขายกันเสีัยที OS X 10.5 ตัวล่าสุดก็มีเมนูรองรับ ZFS หรือ Zettabyte File System มาให้เราเห็นกันแล้ว เรื่องนี้สำหรับคนทำเซิร์ฟเวอร์กันอยู่้คงเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่กันทีเดียว
ZFS เปิดตัวครั้งแรกใน Sun Solaris 10 ด้วยความสามารถที่เหนือชั้นหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเขียนแบบ Tansactional ที่ไฟล์จะถูกเขียนโดยรับประกันว่าข้อมูลทั้งหมดถูกเขียนสำเร็จหรือไม่เช่นนั้นจะไม่มีอะไรถูกเขียนลงไปเลย หรือจะเป็นความสามรถในการทำ Snapshot ที่ทำให้เราสามรถอ่านไฟล์ในอดีตขึ้นมาได้
มีข่าวจาก Mailing List ของเวบ OpenSolaris ว่า แอปเปิลสนใจที่จะจับเจ้า ZFS ซึ่งเป็น File System ของ Solaris มาลงใน Mac OS X ครับ
ซึ่งใน OSNews กระแสตอบรับค่อนข้างดีทีเดียว :)
ที่มา - OSNews