งานวิจัยล่าสุดจากคณะจิตวิทยามหาวิทยาลัยมิชิแกน อาจจะเป็นหลักฐานชิ้นแรกที่แสดงว่าการฝึกสมองช่วยให้เราฉลาดขึ้นได้จริง (ตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นความเชื่อซะมากกว่าครับ เพราะไม่มีงานวิจัยรองรับ)
งานนี้เรียกว่าสร้างความตื่นเต้นได้มากพอสมควรครับ เพราะงานวิจัยที่ผ่านๆมา ไม่มีงานไหนเลยที่สามารถแสดงให้เห็นได้ว่า ผลจากการฝึกอย่างหนึ่งสามารถส่งผ่านไปยังการทดสอบอีกแบบหนึ่งได้ เช่นฝึกในแบบฝึก A ก็จะทำแบบฝึก A เก่งขึ้น แต่พอไปทำแบบฝึก B ก็ง่อยพอๆกับคนไม่เคยฝึกแบบฝึก A มาก่อน
ข่าวจาก Scientific American ระบุว่า บริษัท CYBERDYNE จากประเทศญี่ปุ่น ประสบความสำเร็จในการสร้างชุดโครงภายนอก (exoskeleton) เพื่อใช้ในการเพิ่มพละกำลังของมนุษย์ และกำลังจะทำการผลิตเป็นจำนวนมากให้ได้ถึง 500 ชุด
เจ้าชุดที่ว่า (ชื่อว่า HAL; Hybrid Assistive Limb) ทำงานโดยการตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าบริเวณผิวหนัง (ซึ่งเกิดจากการสั่งการของสมองไปที่กล้ามเนื้อ) แล้วทำการคำนวณทิศทางและแรงที่มอเตอร์ของชุดจะทำงานเพื่อช่วยเสริมแรงของผู้สวมใส่ ซึ่งทาง CYBERDYNE ระบุว่าสามารถเพิ่มพละกำลังได้ตั้งแต่ 2-10 เท่า แล้วแต่รุ่นและจุดประสงค์ในการใช้งาน
งานวิจัยจาก Duke University เผยว่า แม้ตอนเป็นวัยรุ่นเราจะมีไอคิวต่ำเตี้ยเรี่ยดินแค่ไหน ถ้าเลือกงานถูกก็จะทำให้ไอคิวสูงขึ้นได้
งานวิจัยนี้ได้เปรียบเทียบค่า IQ ของผู้เข้าร่วมจำนวน 1,036 คน ระหว่าง IQ ตอนอายุ 20 ต้นๆ (โดยใช้ข้อมูลจากการทดสอบไอคิว ตอนเข้าประจำการกองทัพสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2) กับ IQ ในปัจจุบัน (50 ปีให้หลัง) และทำการเปรียบเทียบลักษณะงานที่ทำหลังจากปลดประจำการ พบว่ากลุ่มที่ทำงานที่ต้องอาศัยสติปัญญา (เช่นงานที่ต้องทำงานหลายๆอย่างพร้อมกัน (multi-tasking) หรืองานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการและการจัดระบบ รวมถึงงานที่ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่เรื่อยๆ) และงานที่ต้องติดต่อสื่อสารกับผู้คน มี IQ เพิ่มขึ้น ในขณะทีกลุ่มที่ทำงานใช้แรงงานจะมี IQ ต่ำลง
งานวิจัยล่าสุดระบุว่าเงินสามารถซื้อความสุขได้จริงๆครับ... ด้วยการใช้เงินนั้นเพื่อคนอื่น หรือบริจาคให้กับการกุศล
งานวิจัยดังกล่าว (ตีพิมพ์ในวารสาร Science ฉบับวันที่ 21 มีนาคม 2008) ระบุว่า จากการสำรวจรายได้ และการใช้จ่ายของกลุ่มตัวอย่างจำนวน 632 คน พบว่าการใช้จ่ายเพียงอย่างเดียวที่พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับระดับความสุข คือการใช้จ่ายเพื่อสังคม (เช่นซื้อของขวัญให้คนอื่น หรือบริจาคให้การกุศล) ซึ่งพบว่ามีผลในระดับที่ใกล้เคียงกับการได้ขึ้นเงินเดือนเลยทีเดียว และเมื่อทำการเปรียบเทียบระดับความสุขก่อนและหลังได้รับโบนัสของพนักงานบริษัทจำนวน 16 คน พบว่ากลุ่มที่ใช้เงินโบนัสส่วนใหญ่เพื่อคนอื่น ก็มีความสุขเพิ่มขึ้นมากกว่ากลุ่มที่ใช้จ่ายเพื่อตัวเอง
เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2551 ทีมศัลยแพทย์จาก University of California San Diego Medical Center ประสบความสำเร็จในการผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบผ่านทางช่องคลอดของผู้ป่วย เป็นครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกา (ข่าวไม่ได้ระบุว่าเคยมีที่ประเทศอื่นมาก่อนรึเปล่าครับ)
โดยเทคนิคในการผ่าตัดนี้มีชื่อว่า "NOTES" (Natural Orifice Translumenal Endoscopic Surgery; การผ่าตัดโดยใช้กล้องส่องภายใน ผ่านทางช่องเปิดตามธรรมชาติ) ซึ่งกระบวนการก็ตรงตัวตามชื่อครับ คือเป็นการผ่าตัดโดยการสอดกล้องเข้าไปทางช่องเปิดตามธรรมชาติของมนุษย์ เช่น ช่องปาก ช่องคลอด หรือทวารหนัก แล้วเจาะรูผ่านทางช่องเปิดนั้นๆเพื่อเข้าสู่ช่องท้อง แล้วทำการผ่าตัดที่อวัยวะเป้าหมาย (เช่นไส้ติ่ง หรือถุงน้ำดี)
ในงานวิจัยที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร Science ฉบับวันที่ 4 เมษายน 2008 Guatam Dantas และคณะนักวิจัย จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ได้ค้นพบเชื้อแบคทีเรียในพื้นดินที่สามารถย่อยสลายยาปฏิชีวนะ (หรือที่เรียกกันง่ายๆว่า ยาฆ่าเชื้อ) ได้ แถมยังกินยาปฏิชีวนะเป็นอาหารหลักอีกตะหาก
ซึ่งเจ้าเชื้อดังกล่าวนี้มีความดื้อยาปฏิชีวนะสูงมาก และสามารถกินได้ทั้งยาปฏิชีวนะที่ได้จากธรรมชาติ (เช่นเพนนิซิลิน) และยาปฏิชีวนะสังเคราะห์ รวมถึงยารุ่นใหม่ๆด้วย
จากยา 18 ขนานที่ผู้วิจัยทดลองใช้ พบว่ามีถึง 13-17 ชนิดที่เจ้าแบคทีเรียนี้สามารถใช้เป็นอาหารได้
เป็นที่รู้กันในกลุ่มนักวิจัยด้านสมองมาหลายปีแล้ว ว่าการนอนหลับทั้งก่อนและหลังการเรียนรู้นั้นมีผลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียน และการอดหลับอดนอนทั้งในคืนก่อนการเรียนและหลังการเรียนมีผลให้การเรียนรู้ในวันนั้นๆแย่ลง
แต่งานวิจัยใหม่โดย Olaf Lahl และคณะจากมหาวิทยาลัย Dusseldorf ประเทศเยอรมนี (ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Sleep Research ฉบับเดือนมีนาคม 2008) พบว่า นอกจากการนอนหลับตามปกติแล้ว การงีบหลับในตอนกลางวันหลังจากการเีรียน ก็ช่วยให้จำสิ่งที่เรียนไปได้ดีขึ้นเช่นกัน
STMicro บริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ชิปชั้นนำจากยุโรป (พัฒนาร่วมกับห้องปฏิบัติการ Veredus ในสิงคโปร์) ประกาศว่าได้พัฒนาชิปที่สามารถตรวจจับเชื้อไข้หวัดสายพันธุ์ต่างๆ รวมถึงไข้หวัดนก H5N1
โดยชิป Vereflu นี้มีขนาดเล็กเท่าเล็บหัวแม่มือ ทำงานโดยการตรวจจับสารก่อโรค (pathogens) และสารพันธุกรรมของไวรัสไข้หวัดสายพันธุ์ต่างๆในเลือดหรือสารคัดหลั่งจากโพรงจมูกได้ในการตรวจครั้งเดียว โดยใช้เวลารอผลเพียงสองชั่้วโมง
ตามข่าวระบุว่าชุดตรวจไข้หวัดที่ใช้อยู่ปัจจุบันสามารถตรวจได้ครั้งละ 1 สายพันธุ์เท่านั้น และกว่าจะรู้ผลก็ใช้เวลาเป็นวันถึงเป็นอาทิตย์