จากรายงานที่น่าสนใจโดย Deseret News ศาสตราจารย์ David Wiley แห่งมหาวิทยาลัยบริคแคมยัง (Brigham Young University, BYU) กล่าวว่าเมื่อนักเรียนเริ่มเรียนด้วยการฟังเลกเชอร์จากไอพ็อด ,เลกเชอร์โน้ตและสไลด์ก็มีให้ออนไลน์อยู่แล้ว และมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ใช้เนื้อหากับรายละเอียดของคอร์สคล้าย ๆ กัน ว่าง่าย ๆ เนื้อหาและสิ่งที่ต้องการจะเรียนรู้อยู่บนอินเทอร์เน็ตหมดแล้ว สามารถบอกได้เลยว่า การไปเข้าห้องเรียนและเลกเชอร์ที่มหาวิทยาลัยนั้นจะต้องกลายเป็นสิ่งล้าสมัยก่อนปี 2020 แน่นอน
Wiley ยังได้กล่าวอีกว่า การศึกษาระดับอุดมศึกษานั้นมันต่างกับชีวิตประจำวันของนักเรียนโดยสิ้นเชิง มหาวิทยาลัยทุกวันนี้มันเป็นสิ่งที่ปิดกั้นและน่าเบื่อ แต่สาเหตุหลักที่เราทุกคนต้องไปเสียค่าเทอมให้กับมหาวิทยาลัยนั้นก็เพื่อไปเอาหน่วยกิตและปริญญาเท่านั้นเอง
Wiley นั้นเป็นเริ่มต้น Flat World Knowledge ซึ่งเป็นบริการที่เปิดให้คนทั่วไปสามารถดาวน์โหลดและสั่งพิมพ์ผลงานวิจัย (Peer-reviewed Journal) และหนังสือได้ นอกจากนี้แล้วเขายังก่อตั้งโรงเรียน Utah Open High School ที่จะเริ่มทำการเรียนการสอนเร็ว ๆ นี้อีกด้วย โดยโรงเรียนมัธยม Open High School แห่งนี้มีนักเรียนประมาณ 125 คน
เมื่อก่อนที่เขาสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยรัฐยูท่าห์ (Utah State University) เขามีชื่อเสียงจากวงการอุดมศึกษาในสหรัฐเนื่องจากเขาได้ทำการเปิดชั้นเรียนที่ใคร ๆ ก็สามารถเข้าเรียนได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าเทอมและไม่ต้องมีรหัสล็อกอินเข้าเรียน และแน่นอน เขายังได้รู้จักนักเรียนจากรอบโลกอีกด้วย เช่นกันในเทอมนี้ แม้ว่าเขาจะย้ายมาอยู่ที่ BYU แล้วก็ตาม เขายังเปิดชั้นเรียนที่มีนักเรียนที่ไม่เสียค่าเทอมจากอินโดนิเซียจนถึงบราซิลเข้าเรียนอีกด้วย
ถามว่าแล้วนักเรียนจะทำการบ้านอย่างไร? Wiley ให้นักเรียนของเขาทุกคนสร้าง Blog แล้วทำการบ้านในนั้น ทำให้ทุกคนในโลกสามารถเข้ามาอ่านการบ้านของแต่ละคนได้หมด และแน่นอน เมื่อการศึกษากลายเป็นการศึกษาเปิดและดิจิทอลแบบนี้ คนหลาย ๆ คนคงเริ่มเข้าร่วมวงด้วย ทั้งนักศึกษาและศาสตราจารย์
Wiley ยังได้ทิ้งท้ายว่า หากมหาวิทยาลัยไม่ทำการเปลี่ยนแปลงก็คงอยู่ไม่รอด
ที่มา - Deseret News ผ่านทาง Slashdot
อยากทราบว่ามหาวิทยาลัยในไทยตอนนี้ไปถึงไหนแล้วครับ เรื่องการเข้าห้องเรียนกับเลกเชอร์? (อันนี้ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นนะครับ)
Comments
เนื้อหาทั้งหมดในบล็อคนี้สงวนลิขสิทธิ์ CC-By
ลอกการบ้านต้องใส่ที่มา ไม่งั้นผิดกฏหมาย ใช่ไหม
ปกติการบ้านของมหาลัยต้องเจอการแสกนและตรวจผ่าน Turnitin.com เพื่อดูว่าลอกใครมาหรือไปเอามาจากแหล่งที่มาโดยไม่มี Citation อยู่แล้วครับ
@TonsTweetings
+1
กำัลังเช็ครายงานเด็กใน turnitin.com พอดี :D
จากรายงานที่น่าสนใจโดย Deseret News ศาสตราจารญ์ David Wiley
หน่วยกิจ => หน่วยกิต ครับ
ศาสตราจารญ์ เขียนแบบนี้นะครับ ศาสตราจารย์
ตอนผมเรียนอยู่ ผมหารายงานใน Google แล้วแปลไทยส่งตลอดเลยคับ จบมาด้วยเกรด 2.56
ใช้ google translate แปลด้วยหรือเปล่าครับ
ถ้าใช้ 2.56 นี่ถือว่าสูงมากๆเลย
ฮ่าๆๆ
จริงด้วยแฮะ
มาเรียนเพื่อเอาใบปริญญาไปสมัครงานจริง ๆ
ถึงกระนั้น บ. ก็ไม่อยากรับ เพราะจบใหม่
(0 year experience)
:-(
ความรู้ที่ใข้ทำงานอยู่ตอนนี้ ก็ไม่ได้มาจากในห้องเรียนเลย ทั้งๆที่งานที่ทำมันก็สาขาเดียวกันกับที่เรียน เเพราะว่าเนื้อหาที่อาจารย์เค้าสอนมันมักจะมีอยู่แค่เพียงสองประเภท ประเภทแรก ไม่ได้ใช้ ส่วนประเภทที่สอง เอาไปใช้ไม่ได้
+10
มหา'ลัย มีไว้จีบสาว
ซึ่งสิ่งนี้มิอาจมีสิ่งใดทดแทนใด
มหาลัยหลายใจ
Hi5!!
คิดถึงชีวิตวัยรุ่น คิดถึงรั้วมหาลัย คิดถึงนักศึกษา เอ๊ย ชีวิตนักศึกษา...อะครับ สบ๊ายสบาย ชีวิตนอกจากเรียนแล้วก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก แถมมีสาวๆให้เหล่อีก(แฮ่!) ผมว่ามหาลัยเมืองไทยทั่วไปไม่ต้องปรับตัวหรอกครับ ชีิวิตนักศึกษาตอนนี้มีแต่คนแย่งเข้าไปเีรียน (และอยากกลับเข้าไปเรียน) มันมีบรรยากาศที่ทดแทนกันไม่ได้อยู่ แต่ม.รามคำแหง ประเภทศึกษาทางไกลเงี้ย ระบบนี้คงเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงกระบวนการครับ \(@^_^@)/ M R T O M Y U M
ส่วนตัวผมคิดว่ามหาวิทยาลัยที่มีการเรียนการสอนในชั้นเรียนแบบเดิมน่าจะได้รับผลกระทบไม่มากนะ
เพราะสิ่งที่โลกไซเบอร์ไม่อาจทดแทนได้ก็คือ การได้มีส่วนร่วมในชั้นเรียนอย่างแท้จริง ทั้งบรรยากาศ และการได้พบปะพูดคุยกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนได้อย่างแท้จริง และบางวิชาไม่สามารถเรียนบนอินเทอร์เน็ตได้ เช่น การทดลองทางเคมี ดาราศาสตร์ ฯลฯ แต่แนวคิดห้องเรียนไซเบอร์ก็คงทดแทนห้องเรียนแบบเดิมได้ในระดับหนึ่งเท่านั้นเอง
~?Ja:aๅe ฯJกัU|S๐~
+1
ปกติไปมหาลัยก้อไม่ค่อยจะได้ไปเรียนอยู่แล้ว
ไปทำกิจกรรม ไปเจอเพื่อนๆแล้วนัดกันไปเที่ยวต่อ ไปจีบสาว
เวลาจะสอบจริงๆ ไปอ่านเองกับไปติวกันมากกว่า
ปล. ลองเข้าเรียนมาหลายมหาลัยละ
... เธอผ่านมา และจากไป พร้อมลมหนาว ...
ถ้าฝรั่งก็คงใช่อยู่
แต่มหาลัยของไทย มันไม่ใช่แค่ที่เรียนหนังสือ
วิศวะคอมกับซอฟต์แวร์ที่เกษตรก็เริ่มมีบาง 3-4 วิชาที่ถ่าย vdo แล้วให้คนที่ขาดที่ดูได้ครับ
ซึ่งก็ดีครับ เพราะว่าหลายๆ คนใช้ทวนสอบกัน
E.I.G - Everyday Is Good
ที่รามเกือบทุกวิชาสามารถดูวิดีโอบรรยาย ทั้งผ่านอิทเทอร์เน็ต ยืมจากคณะ และสามารถอ่านตำราบนเว็บได้
ม.รามฯ นำไปหลายก้าวแล้วบนพื้นฐานแนวคิดเดียวกัน
ของผมคณะ IT บางมด ก็มีอัด VDO ให้ดูผ่าน Streaming ทุกคลาสนะครับ เอาไว้ทวนตอนใกล้สอบได้ดีมาก
ใครว่ารามกระจอก ไม่จริงอย่างยิ่ง
เข้าจุฬาได้ เก่ง จบจุฬาได้ ธรรมดา
เข้ารามได้ ธรรมดา จบรามได้ แม่มเทพ !
+1 (ไม่จบง่ะ)
_________________pawinpawin
เคยไปดูประกาศผลสอบเด็กรามฯ วิชาเคมี
400 คน P 1คน ที่เหลือ F หมด ... ไม่รู้ทำได้ไง
เท่าที่เคยเอาข้อสอบเก่ารามฯมาดู กับข้อสอบใหม่
นับแบบหยาบๆ ก็เหมือนกัน 75% แล้ว ... อ่านดู 2 รอบ
ก็เหมือนทำสอบวิชา สลน. สมัยปฐมเลย ...
จำ choice ไปก็สอบได้โดยไม่ต้องอ่านโจยท์
ข้อสอบวิชาพื้นฐานจะเป็นอย่างนั้นครับ เพราะนักศึกษาเยอะ
ให้ข้อสอบเป็นแบบเติมคำหล่ะตรวจไม่ไหวแน่
และปีนึงมีการสอบ 5 ครั้ง ใครจะออกข้อสอบใหม่ๆ 100 ข้อ ได้ทุกครั้ง
แต่ระบบของเขาจะคัดกรอกเองว่า เมื่อถึงรายวิชาที่เป็นวิชาหลักแล้ว
ส่วนมากก็จะเป็นอัตนัย ให้นักศึกษาได้คิด วิเคราะห์
ซึ่งข้อสอบลักษณะนี้ ต่อให้จำยังไง ก็ไม่สามารถทำให้สอบผ่านได้ครับ
ไม่ต้องยกตัวอย่างคนอื่น ... ผมนี่แหล่ะ
สอบวิชา CT211 (ประมาณโปรแกรมมิ่งเบื้องต้น) วิชาปี 2
ได้ F อยู่ประมาณ 10 กว่าครั้ง
ถึงจะผ่าน
อย่างเกณฑ์ในการสอบผ่าน คือ 60% นะครับ
ถ้าข้อสอบมี 3 ข้อ (อัตนัย)
คุณทำได้ 2 ข้อ ก็แทบจะไม่มีโอกาสผ่านอยู่แล้ว และสอบทีเดียว
ครั้งเดียวจบแทบไม่มีคะแนนเก็บ
ซึ่งระบบนี้ต่างกับมหาวิทยาลัยปิดอื่นๆ ที่มีทั้งคะแนนเก็บ สอบกลางภาค และเกณฑ์การสอบผ่าน (ที่จะไม่ F)
ก็น่าจะอยู่ที่ 50% หรือต่ำกว่านั้น
อันนี้ผมชี้ประเด็นเปรียบเทียบให้เห็นเฉยๆ ว่าวิธีการศึกษามันแตกต่างกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า
คุณภาพของบัณฑิตที่จบมาจะต่างกัน ที่ผมกล้าพูดก็เพราะผมเองก็เรียนทั้งที่รามฯ และเรียนที่มหาวิทยาลัยปิดของรัฐที่สอบเข้าไป
การมีผู้สอบผ่านเพียง 1 คน หรือการไม่มีผู้สอบผ่านเลย ... เป็นเรื่องปกติที่รามฯ ครับ
สอบได้ไม่ถึงเกณฑ์ก็ต้องถือว่าสอบตก ... ก็ต้องยอมรับกัน ไม่ปล่อย
นักศึกษาก็ต้องไปอ่านหนังสือมาใหม่ ไปทำความเข้าใจมาใหม่ ไปทบทวน ไปศึกษาเพิ่มเติมในสิ่งที่ตนเองขาดไปเอง
ลองไปสัมผัสกับรามฯ จริงๆ ผมเชื่อว่าคุณ Nozomi จะไม่กล่าวคำดูถูกแบบนี้
กลับมาคราวนี้ ... เพื่อมาทวงความฝันคืน!!
ผมมีข้อสงสัยอยู่ว่า "โดยภาพรวมแล้ว" เพราะการแข่งขันแบบแย่งเข้าจุฬากัน ทำให้มหาลัยนี้คัดเอาเด็กหัวกะทิไปหลายอยู่ แล้วด้วยธรรมชาติของเด็กที่ขยันเรียน ขยันอ่านหนังสือ จนสอบเข้าได้เนี่ย ก็น่าจะพาตัวเองจบได้แหละมั้งครับ ?
twitter.com/exfictz
ที่ท่านพูดมา ก็จริงบางส่วน แต่ไม่ทั้งหมดครับ เพราะจากการที่ผมก็เป็นบัณฑิตจากรามทั้งตรีและโท สาขานิติศาสตร์ ข้อสอบก็ไม่ยากไม่ง่ายครับ กลางๆ ถ้าตั้งใจอ่านหนังสือจริงๆ ก็สอบผ่านได้ แต่จะได้ G (4.00)หรือไม่ ก็ต้องดูว่าท่านตอบแม่นกฎหมาย และสามารถวิเคราะห์ได้ดีเพียงใด ส่วนใหญ่คนจะได้ G ไม่มากครับ แต่ข้อสอบที่ถือว่าเทพจริงๆ ต้องข้อสอบเข้าผู้ช่วยผู้พิพากษาครับ ซึ่งยากมากถึงยากที่สุด
ปีหนึ่งๆ นิติศาสตรบัณฑิตประมาณ 5000 คน (ทุก ม.)สอบเนติได้แค่ 7-8% และจาก 7-8% นี้ไปสอบผู้ช่วยฯ ได้แค่ 1% ทั้งนี้ยังไม่รวมบัณฑิตของปีก่อนๆ ที่ยังสอบไม่ได้อีกด้วยครับ
~?Ja:aๅe ฯJกัU|S๐~
ยังอีกไกล หลายๆวิชาก็ไม่เห็นจะเอาแนวคิดนี้ไปใช้เลย ต้องไปยิมที่อัดเสียงของเพื่อนมาใช้อยู่ดี
LongSpine.com
มหาวิทยาลัยเมืองไทยกะเมืองนอกต่างกันเป็น 100 ปี
นอกจากนั้นก็อยู่ที่คน.... ว่าอยากเรียนแบบไหน
ไปมหาลัยเพื่อพัฒนา EQ,AQ และเอา Connection ต่างหากครับคือจุดสำคัญของจริง
;)
งั้นแสดงว่าระบบโซตัสก็จะหายไปซินะ
รุ่นน้องต้องคอยเม้นรุ่นพี่วันละอย่างน้อยหนึ่งครั้งในเทอมแรก!!!
เม้นท์ให้มันกระชับหน่อย!!!!
edited : ซ้ำครับ
ไม่หรอก มันก็คงแย่ลงเรื่อยๆเหมือนปกติแหละ
LongSpine.com
พวกไม่เข้าโซตัส แต่ AQ EQ ดีก็เยอะแยะนะครับ
กิจกรรมอื่นๆนอกจากโซตัส เช่น แข่งขันเป็นทีมจับคู่เพราะมหาลัยเดียวกัน หรือทำอะไรบางอย่างร่วมกันมีเยอะแยะไปครับ
มีความสามารถ แต่ขาด Connection ไม่ต่างไรกับ มีความสามารถแต่ขาดโอกาส ขาดคนช่วยเหลือช่วยดันแหละครับ
มันอยู่ที่คน
บางทีเราต้องการ EQ มากกว่า IQ ครับ
---
Khajochi Blog : It's not a Bug ... It's a Feature
แฟนพันธุ์แท้สตีฟจ็อบส์ | MacThai.com
AQ MQ ด้วยนะครับ ;)
Q ที่แยก CEO จากคนธรรมดาได้เหมือนจะเป็น สองตัวนี้แหละครับ
แต่ถ้าอยากเป็นลูกจ้างตลอดชีพ ก็ไม่ต้องมีก็ได้ครับสนุกดีเหมือนกัน คริๆๆๆ
ชีวิตมหาลัยออกจะสนุก ถ้าต่อไปไม่มี รุ่นน้องคงน่าสงสารแย่
ส่วนตัวผมเห็นด้วยอย่างมาก แต่ผมว่ามันน่าจะเจอกันครึ่งทางมากกว่า เช่น ปี 1 มาทุกคนจะเรียนรู้การใช้ระบบต่างๆ จากนั้นทำกิจกรรมปกติ ทุกคนไม่ต้องเข้าห้อง การบ้านส่งออนไลน์ เรียนออนไลน์ เป็นต้น
หากนักศึกษามีข้อสงสัย นัดกันผ่าน blog จากนั้นมานั่งคุยกันได้เหมือนกัน
ป.ล. มหาลัยผมยังต้องเข้าเรียน 80% โบราณมาก
ม.ไทย เรียนเพื่อเอากระดาษไปสมัครงาน
ความเห็นจากเพื่อนผม
เอาสังคม เอาความกระตือรือร้นด้วย
ถามว่าคุณนั่งเฉยๆอยู่บ้าน คุณจะอยากทำไรมั้ย นอกจากเล่นเกมออนไลน์
เห็นเพื่อนเรียนก็อยากเรียนตามเค้า
ความเห็นผม
ทำไมอาจารย์ต้องสอนซ้ำไปซ้ำมาทุกปี
แค่เราอัด vdo ไว้อัพขึ้น youtube(หรือที่อื่น) เราก็ไม่ต้องเมื่อยปากสอนอีกต่อไป
คนจะทบทวนวิชาเรียนกี่รอบก็ได้ ใครอยากเรียน ก็เรียนได้
แต่รูปแบบของสังคมมันก็จะเปลี่ยนไปอยู่ดีนั่นแหละ
ปล. แต่สาวๆ มันอยู่ใน มหาลัยฯ!!
Moss 's blog
+100 เลย โดยเฉพาะ ป.ล. 555
my blog
เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับกระผม...! เลคเชอร์อาจจะอัดเทปครั้งเดียวมาวนฉายได้ แต่นักศึกษารุ่นใหม่อัดเก็บไว้ได้ไม่ซ้ำกันทุกปี อ่าวพวกแอบถ่ายนี่ผ่า... \(@^_^@)/ M R T O M Y U M
+1
เหมือนถามว่าทำไมต้องมีพวกค่าย แคมป์นั่นแคมป์นี่ ค่ายโอ ค่ายโน่นนี่ มาออนไลน์กันดีกว่าแล้วแข่งกันแบบออนไลน์ในเวลาจำกัดดีกว่าเนอะ .... : P
มหาวิทยาลัยผมเคยทำครับ อัดวีดีโอมาสอน แล้ว อ. ก็ไม่ต้องจ้าง TA มาช่วยงาน อ.ก็เป็น TA เอง ใครไม่เข้าใจก็ถามอ. สนคนอื่นเข้าใจก็ดูวีดีโอต่อไป
แต่ดูเหมือนว่าไม่สำเร็จมั่ง เพราะเด็กไม่ค่อยสนใจกับวีดีโอที่อัดมาสอนเท่ากับคนจริงๆ เท่าไหร แล้วก็เหมือนจะโดนซุบซิบว่า อ.ขี้เกียจสอน ไม่รู็ว่าตอนนี้เลิกทำไปยัง เฮ้อ! นำเทคโนดลยีมาใช้ก็โดนว่าอีก
<mOkin>
ตรู่ว่าแล้วในโลกนี้มีปัญหา เขาไม่ด่า ก็ชื่นชม หรือเฉยๆ
สามประเภทที่ว่านี้มิเปลี่ยนเลย จงวางเฉยใครถือสาเป็นบ้าตาย<mOkin/>
การเรียนที่บ้านขาด Motivation ที่จะผลักดันตัวเองและพัฒนาตัวเอง อีกอย่างการเข้าสังคมนับเป็นทักษะอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำงานจริง ยกตัวอย่างเพื่อนร่วมรุ่นของผมคนหนึ่ง จบออกมาเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เหรียญทอง ได้ทำงานบริษัทที่มีฐานะมั่นคงที่สุดบริษัทหนึ่งในประเทศไทย สุดท้ายก็ต้องลาออกจากงานเนื่องจากไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมที่ทำงานได้
ผมว่าการเรียนด้วย VDO มันเหมาะเอาไว้สำหรับทบทวน หาความรู้เพิ่มเติม หรือชดเชยในส่วนที่ขาดเรียนไปมากกว่า ไม่เหมาะจะเอามาแทนการเีรียนการสอนในปัจจุบันไปทั้งหมด อาจจะำนำมาช่วยเสริมการสอนได้แต่ไม่ใช่ทดแทนแน่นอน
That is the way things are.
มหาวิทยาลัยผม มีการเรียนผ่านเว็บบ้าง ขึ้นอยู่กับตัวผู็สอนด้วย เช่น เซ็คข้างๆที่เพื่อนผมเรียนมาเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งเป็นวันหยุด งดการเรียนการสอน อาจารย์ก็นัดเลย "สองทุ่มตรง เจอกันในเว็บนะคะ ใครไม่ออนไลน์ถือว่าขาดเข้าเรียนหนึ่งครั้งนะคะ" (สงสัยอีกหน่อยคงต้องมีบ็อตเข้าเรียนแทน?
ปล. ระบบเรียนออนไลน์ที่ว่า เป็นเหมือนระบบเสริมที่กำลังทดลองน่ะครับ ยังคงเน้นการเรียนในห้องอยู่ดี
เห็นด้วยกับเรื่องนี้มากกว่า บางคนไม่มีบุญ ไม่มีโอกาส ไม่มีคนส่งเงิน และไม่มีเวลาว่างพอเอาเวลาไปเรียนภาคปกติได้ อย่างน้อยมันก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ไม่น่ามองข้าม บางคนต้องการโอกาสเพื่อเข้าสังคม แต่บางคนต้องการเวลาเพียงเพื่อหาเงินมายาไส้ในวันพรุ่งนี้
มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ GIF ให้มีขนาดน้อยกว่า 20kB
ถ้าเป็นแบบนี้ ก็ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์กับคนอื่น ถ้าเป็นเกม The Sims ค่าสังคมเป็น 0
เรียนผ่านหน้าจอโลกของมนุษย์ก็จะแคบลงมาก ไม่มีรับน้อง ไม่เจอเพื่อนๆ ไม่มีเพื่อนใหม่
ลองคิดดูนะ เหมือน Wall-E อะ
อีกหน่อย EQ คนจะต่ำลงมาก เพราะพัฒนาแต่ IQ
เหมือนการจะจีบใครสักคน คุณใช้ IQ หรือ EQ เข้าหาคนที่คุณจะจีบมากว่าล่ะ
จะจีบผ่าน iPod งั้นรึ
ก็ไปมีมนุษย์สัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่เพื่อนในมหาวิทยาลัยสิครับ สังคมรูปแบบใหม่ๆมันจะเข้ามาแทนที่
สมัยก่อนก็คงไม่เคยมีใครคิดว่าอนาคตจะมีคนใช้โทรศัพท์จีบกันหรอก
LongSpine.com
มีทั้งข้อดี ข้อเสีย นะคะ แต่ก็น่าจะเอามาเป็นแนวทางพัฒนากันต่อไป
ตอบแบบนี้ ไปเป็นรัฐมนตรีได้เลยครับ
ถ้าคุณคิดว่าไม่เข้าเลกเชอร์วิชาผมเพราะเข้าใจแล้ว เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า ผมก็ไม่ว่าอะไร - อาจารย์ท่านนึง ชอบมากครับ ยังจำได้ ;)
---------- iPAtS
iPAtS
ถ้าด้วยนิสัยคนไทยแล้วไซร้ เข้าเรียนในห้องเรียนดีกว่านะ (ถึงผมเองจะเข้าแต่ไม่ค่อยจะเรียนซักเท่าใหร่ นอนกับเล่นซะมากกว่าก็เถอะ ดีกว่าไม่เข้านะ ไม่เข้านี่หายไปเลย เข้านี่อ่านๆไปมันก็ อ๋อออ ตอนนั้นตูนั่งเล่น PSP เกมส์นั่นนี่หว่าตอนเค้ากำลังสอน ;p)
+100 มันคงใช้ได้กับบางประเทศ แต่ละที่มาตรฐานความคิดและวัฒนธรรมมันต่างกันอ่ะนะ
ตอนนี้มีเว็บของ NSTDA ที่เริ่มเอาการเรียนการสอนออนไลน์มาใช้เหมือนกัน (แต่เสียเงินนะ บางวิชา) ใครสนใจลองเรียนดูได้ที่ www.learn.in.th (บางวิชาเรียนฟรี) วิชาที่เปิดก้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์แหละครับ
ข้อดีของมหาลัยคือ สาว สาว และก็สาว
สาวเทียม ?
สาวดุ้น ?
สาวแตก
สาวแท้...แต่หน้าเหียก - -"
ผมคิดว่าปัจจุบันความรู้ทางวิชาการสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าเดิมมาก การพัฒนาตรงนี้อาจไม่หนีกันมาก แต่ด้านมนุษยสัมพันธ์นั้นน่าจะห่างออกไปและน้อยลงทุกวัน น่าจะหาหนทางพัฒนามากกว่านี้และคงเป็นปัญหาต่อไปในอนาคตถ้าผู้คนปฏิสัมพันธ์กันโดยไม่ปรากฏตัวตนเลย
"ปฏิสัมพันธ์กันโดยไม่ปรากฎตัวตนเลย"
มันมีมาตั้งแต่สมัยผูกจดหมายกับขานกพิราบแล้ว ไม่ใช่หรือ ?
ดังนั้น ผมจึงไม่เห็นว่าน่าเป็นห่วงแต่อย่างใด สำหรับประเด็นของข่าวนี้
ในทางกลับกัน ผมว่าเหมาะกับห้องเรียนของเด็กไทยนะ
เพราะเด็กเราก็ฟังอย่างเดียว ไม่ค่อยยกมือถามครูอาจารย์อยู่แล้ว
ปฏิสัมพันธ์แบบไม่ปรากฏตัวเท่าที่จำได้สมัยเรียน
finger
ntalk
ytalk
write
elm
pine
telnet mud.mind.net 9000 <-- อ้าว ฮิฮิ ใครจำได้มั่งมั้ยนี่
อีกสักพัก อาจารย์คงต้อง online twitter ไว้ แล้วให้เด็กส่งคำถามมาทาง twitter ส่วนหน้าห้อง ก็จะมีป้ายไฟวิ่งขึ้นคำถามของเด็ก (เหมือน sms ในทีวี)
+1 เอาฮา แต่นำไปใช้ได้ เหมาะกับการเรียนออนไลน์เลยน่ะนี้
<mOkin>
ตรู่ว่าแล้วในโลกนี้มีปัญหา เขาไม่ด่า ก็ชื่นชม หรือเฉยๆ
สามประเภทที่ว่านี้มิเปลี่ยนเลย จงวางเฉยใครถือสาเป็นบ้าตาย<mOkin/>
หาแฟนได้ก็ตอนอยู่มหาลัย
ถูก
เห็นด้วยกับความคิดนี้ ผมก็คิดแบบนี้มาประมาณ 1 ปีแล้วครับ
แต่ผมมองว่า search engine จะเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก เพราะใครอยากรู้อะไรก็ search หาเอา
ในบ้านเราคงไม่มีหรือถ้ามีก็ช้ากว่านั้นไปอีก 20ปี
มีครับมหาลัยผมนี้แหละ
มีการให้ทุน อ.ไปทำจำนวนหนึ่งถือว่ามากเอาการ อ.ทุกคนสามารถขอได้
มีการอบรมการทำสื่อโดยโปรแกรมโน้นนี้มากมาย แบบฟรีๆ
แต่ผลักดันนโยบายไม่สำเร็จ เพราะ อะไร??
- ทำออกมาไม่มีคุณภาพ?? UP แค่สไลด์ที่สอนแค่นั้นหรือ
- ทำไปทำไหมก็สอนจริงๆ ก็เหนื่อยแล้ว
- ทำแล้วจะมีคนเข้ามาหรอ
- ขอจำกัดในด้านอินเตอร์เน็ตอีกมากมาย ที่มันยัดเยียดเนื้อหาได้ไม่ครับถ้วน
ผมเขียนมาเพื่อบอกว่าที่ไทยก็มีครับ แต่ด้วยเหตุผลนานาของคนไทยมันเลยไม่สำเร็จ
ส่วนตัวผมนั้นผมเห็นด้วยว่าควรจะมีให้ดูทุกวิชา อย่างน้อยๆ ก็วิชาบังคับอะไรนั้นน่ะ
<mOkin>
ตรู่ว่าแล้วในโลกนี้มีปัญหา เขาไม่ด่า ก็ชื่นชม หรือเฉยๆ
สามประเภทที่ว่านี้มิเปลี่ยนเลย จงวางเฉยใครถือสาเป็นบ้าตาย<mOkin/>
หลายความเห็นบอกว่าไม่มีแล้วจะได้ connection ได้ IQ EQ ยังไง ผมคิดว่าต้องถามต่ออีกนิด ว่าจะเอาเงินกับเวลานั้นไปใช้ทำอะไร ถ้าเอาไปเทียบกับการนั่งอยู่บ้านเฉยๆยังไงมันก็ดีกว่าอยู่แล้วครับ
ส่วนตัวผมเองดูเรื่อง finance กับ statistic จาก Khan อยู่ รู้สึกว่าเข้าใจแต่ไม่มั่นใจว่าจะใช้ยังไง