Eric Schmidt ซีอีโอของกูเกิล ให้สัมภาษณ์กับ Fox Business Network ถล่ม Bing เป็นชุด คัดมาเฉพาะอันเด็ดๆ
"It’s not the first entry for Microsoft. They do this about once a year."
แปล (นี่ไม่ใช่ความพยายามครั้งแรกของไมโครซอฟท์ พวกเขาออก search engine ใหม่ทุกปี (หมายถึง MSN กับ Live Search)
“We think search is about comprehensiveness, freshness, scale and size for what we do. It’s difficult for them to copy that.”
แปล (เราคิดว่าหัวใจสำคัญของ search คือต้องเพียบพร้อม, สดใหม่, รองรับผู้ใช้ที่ขยายตัวได้ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เราทำได้และประสบความสำเร็จ ไมโครซอฟท์อยากทำแบบเดียวกันแต่มันไม่ง่ายหรอก)
“You earn (share). You don’t buy it with ads, you earn it and you earn it customer by customer, search by search, answer by answer.”
แปล (ส่วนแบ่งตลาดของเราไม่ได้มาจากการโฆษณา มันมาจากผู้ใช้บอกกันปากต่อปาก ใช้ผลิตภัณฑ์ของเราแล้วมั่นใจเลยใช้ต่อมาเรื่อยๆ)
เว็บไซต์ Search Engine Land มีจับโกหก Schmidt อย่างละเอียด แฟนกูเกิลห้ามอ่าน ส่วนวัดกันด้วยตัวเลข ComScore บอกว่าส่วนแบ่งตลาดของ Bing ในสหรัฐสัปดาห์ล่าสุดขึ้นมาเป็น 15.5% จากเดิม 13.8% ในสัปดาห์ก่อนหน้านั้น
ที่มา - paidContent
Comments
อิอิ งานนี้บอสใหญ่ออกโรงเองเลยวุ้ย
แสดงว่าได้ผลก้นเริ่มร้อนแล้ว...
ผมเองก็ใช้แทน Google เกือบ 100% แล้วนะ
ขึ้นอยู่กับคุณภาพและผลลัพธ์ของการค้นหา และการบริการที่สามารถครอบคลุมทั่วทั้งโลก ซึ่ง BING แทบสู้บริการอันหลากหลายของ Google ไม่ได้เลย
ฮาที่ "Search Engine Land มีจับโกหก Schmidt"
Schmidt เค้าก็พูดถูกของเค้านะ
---
Khajochi Blog : It's not a Bug ... It's a Feature
แฟนพันธุ์แท้สตีฟจ็อบส์ | MacThai.com
+1
หลายอันก็ไม่ถูกครับ เช่น Schmidt บอกว่าทุกปี แต่ Search Engine Land พิสูจน์ได้ว่า ทุกสองปีตะหาก :P (MSN ปี 2005, Live Search ปี 2007)
นี่ยังแค่เริ่มต้นเท่านั้น เราเชื่อว่า Microsoft ก็มีเทคโนโลยที่ไม่แพ้ Google เหมือนกัน
คอยดูกันต่อไป
ใจเย็น นี่แค่โหมโรง
ตอกกลับได้สะใจมาก เหมือนด่าแบบผู้ดี
ปล.แปลเป็นไทยได้ีดีมาก ถ้าให้ผมแปลจะกระด้างกว่านี้เยอะ :>
ถ้า MS เอาจริง อะไรก็ทำได้ครับ
อย่าง X-Box ที่เฮฮากันเมื่อ 5-6 ปีก่อน เดี๋ยวนี้ขึ้นมาสูสีกับ Sony ได้แล้ว
CMDEVHUB
เขียนเอามันส์ ลองเข้าไปดูความมันส์ได้ครับ
เมื่อไหร่จะเอาจริง?
แต่ส่วนหนึ่งมาจากโซนี่สะดุดขาตัวเองด้วย
พลาดที่แปลงไม่ได้ แล้วก็กินไฟมากกว่าตู้เย็น
เฟด ได้แชมป์ เพราะ นาดาล ตกรอบต้น ๆ งั้นเหรอ ?
เปรียบเทียบได้อย่างชัดเจนเห็นภาพ
ลายเซ็นยาวเกินไปครับ
Windows Mobile ยัง Epic Fail อยู่
@TonsTweetings
ผมก็ใช้ Bing นะ
ตอนแรกๆก็มี Switchback กลับไป Google บ้าง
ตอนนี้กลับไปใช้ Google เฉพาะที่ต้องการ Result ที่อิงกับเมืองไทย
ถ้าเป็น Global Result ล่ะก็ ผมว่าใช้ได้เลย
ผมก็คนนึงล่ะ แต่ bing error อยู่เหมือนกันนะ บางเวลา
Google ก้นเริ่มร้อน
อย่าดูถูก microsoft นะครับ
วันนี้ microsoft ทำให้เพื่อนผมที่เกลียด IE มากๆ บอกว่า
"IE 8 ก็เจ๋งดีเหมือนกันหว่ะ" ไปแล้วครับ
ทุกวันนี้ microsoft ต้องแข่งกับบริษัทใหญ่ๆมากกว่าบริษัทอื่น
ยังดูแลพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ดีขนาดนี้ ก็ถือว่าเยี่ยมแล้วล่ะครับ
ส่วนหนึ่งที่คนไม่อยากใช้คือเรื่องความปลอดภัย ไม่ใช่ความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ แต่เป็นความไม่ปลอดภัยของผู้ใช้เอง คือ กลัวไมโครซอฟท์จะปล่อยมนุษย์ต่างดาวไว้ในเครื่องหรือแอบดูข้อมูลในเครื่องของผู้ใช้ว่าเป็นของเถื่อนหรือเปล่า เสร็จแล้วส่งข้อมูลออกไปแล้วส่งข้อมูลกลับเข้ามาทำให้เครื่องไม่สามารถใช้งานได้ปกติ
อีกอย่างคือ ไมโครซอฟท์ชอบฝังตัวเองเข้ากับระบบเหมือน ie ฝังกับวินโดว์ อีกนัยหนึ่งเพื่อผูกขาด อีกนัยหนึ่งเพื่อความสะดวกของผู้ใช้ ทำให้กลายเป็นจุดอ่อนให้แฮคเกอร์โจมตี ในกรณีของ Bing เช่นเดียวกัน หากฝังเข้ากับ ie ซึ่งก็คือฝังเข้ากับระบบ อาจเป็นจุดอ่อนอีกอันหนึ่งที่เกิดปัญหาได้
แต่ไม่กลัว Google Desktop ส่งข้อมูลกลับไปให้กูเกิล?
+1
คิดไว้แล้วว่าจะต้องมีคนติงแบบนี้ เพราะว่า google ไม่ใช่บริษัทที่ขายซอฟท์แวร์ไงครับ ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่า google จะตรวจสอบของเถื่อน .....นี่พูดถึงเรื่องซอฟท์แวร์เถื่อนอย่างเดียวนะครับ ในเรื่องอื่นๆ แต่ละเจ้าคงเหมือนกัน
หมายถึงแอบส่งข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ออกไปน่ะครับ ไม่ได้หมายถึงเช็คของเถื่อน
แต่ที่คุณ mk พูดคือข้อมูลทุก ๆ อย่างที่ถูกส่งออกไป ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนบุคคล หรือข้อมูลการใช้งานซอฟต์แวร์ต่างๆ ด้วยครับ
การกลัวตรวจสอบว่าใช้ซอฟต์แวร์เถื่อนผมแนะนำให้ว่าให้ซื้อของแท้ซะ จะได้ไม่ต้องมานั่งจิตตกครับ
Ford AntiTrust’s Blog | PHP Hoffman Framework
ตอนผมใช้ IE8 แทบจะถอดกลับเปลี่ยนมาใช้ IE7 แทบไม่ทัน เป็น Browser ตัวแรกในชีวิต ที่ผมต้องถอดทิ้งหลังใช้งานภายในหนึ่งชั่วโมง
มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ GIF ให้มีขนาดน้อยกว่า 20kB
ตัว Final เหรอครับ?? ถ้ายังงั้นคุณก็เป็นส่วนน้อยแล้วหล่ะผมว่า
The Phantom Thief
ขอถามเกี่ยวกับปัญหาที่เป็นหน่อยครับ ว่าทำไหมถึงอยากกลับไปใช้ IE7
ผมคิดว่า IE8 มันคือ IE7 ที่มาเพิ่ม ฟีเจอร์บ้างตัวเท่านั้นไม่เห็นมีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายครับ
เหมือน IE7 ตัวสมบูรณ์นั้นเอง
<mOkin>
ตรู่ว่าแล้วในโลกนี้มีปัญหา เขาไม่ด่า ก็ชื่นชม หรือเฉยๆ
สามประเภทที่ว่านี้มิเปลี่ยนเลย จงวางเฉยใครถือสาเป็นบ้าตาย<mOkin/>
ความดื้อด้านของ MS ส่งผลในระยาวอยู่บ่อย ๆ ถึงไม่ชนะ แต่ถ้าได้ส่วนแบ่งซัก 30-40% ก็ถือว่าแจ่มแล้ว เพราะกูเกิ้ลต้องนั่งไม่ติดง้ดของดีออกมาสู้แน่ ๆ จะได้สนุก ๆ กันไป ไม่ใช่อะไรก็ "กู" อย่างทุกวันนี้
ถูกต้องครับ มันมีตลาดใต้ท้องช้างเสมอ ตราบใดที่ยังทำรายได้ ก็ไม่จำเป็นต้องชนะเสมอไป
ทุกวันนี้ Pepsi ก็ยังกำไร ไม่ต่างจากโค้ก เพียงแต่ไม่ใช่ผู้นำในตลาดเท่านั้น
@TonsTweetings
แต่ผมว่า Pepsi เป็นผู้นำไปแล้วนะ อย่างน้อยก็เมืองไทย ถึงไม่นำแต่ส่วนสัดถือว่าใกล้เคียงกันมาก ผมเคยดูข่าวผู้นำการตลาดเครื่องดื่มอัดแก๊ซ หลายประเทศ Pepsi เป็นอันดับหนึ่ง ส่วนผมเองดื่ม อาเจบิ๊ก กับ กระทิงแดงโคล่า เหตุผลเดียว ถูก :>
จากประสบการณ์จริงครับ หาแอบถายได้แค่สามรูป แต่เอาเป็นว่าเพิ่งเริ่มต้น แต่ผมมองว่าเป็นการ rebranding ของ live มากกว่า เพราะ live มันชื่อเสียทำไงก็เข็นไม่ขึ้นก็เอาตัวใหม่ บวก โฆษณา เข้าไป การมาของ bing กับ google ต่างกันมาก จากสิ่งหนึ่งบอกต่อ แต่อีกสิ่งโฆษณา อะไรมันต่างกัน แต่ต้องดูระยะยาว การขึ้นอันดับสองนั้นน่าจะมาจากการที่ จะเรียกได้ว่า ลองของใหม่ยังเห่อ ยังสดอยู่แต่เมื่อไหร่มันไม่สด มันอาจเป๊ก
ผมว่าค่อนข้างยากที่จะเข้ามาแทน Google สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้ติดตามของใหม่ ๆ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ ก้อจะติดใช้ Google นอกจากมันจะแจ๋วจิง ผมเชื่อว่า มากกว่า60% ยังไม่รู้ว่า bing คืออะไร ที่แน่ ๆ เพื่อนในclass กว่า 30 คน ผมไม่มีใครรู้แน่ๆ และยังคงใช้ กูgle ค้น
ตราบใดที่เวบทั่วไปยังสนับสนุนให้ทุกคนเปลี่ยนมาใช้ไฟร์ฟอกซ์ นั่นก็หมายความว่าสนับสนุนให้ทุกคนมาใช้ google ด้วย เหตุผลคือ ตรงมุมขวาบนเล็กๆ นั่นไง
สิ่งที่เป็นจุดเด่นของ google อีกอย่างคือ มีนวัตรกรรมใหม่เป็นที่น่าตื่นเต้นเสมอ และ ฟรี
น่าสนใจในแง่ของการประเมิณ Market Share ว่าแยกแยะกันยังไง? คนจับตัวเลขมีวิธีการอะไรที่ทำให้มั่นใจว่าใน 15.5% ที่ว่าไม่มีใครใช้ Google เพื่อ Double Check ด้วย? และก็ในทางกลับกันตัวเลขที่อยู่ในฝั่งของ Google มั่นใจว่าไม่มีใครหันมาลอง Bing บ้างเหมือนกัน? หรือจะบอกว่าจับจากตัวเลข Traffic? ถ้าใช่ก็คงต้องบอกว่าเป็นข้อมูลดิบที่อาจจะไม่ได้บอกหรือตัดสินอะไร(เหมือนกับการทำธุรกิจที่ไม่มีใครประเมิณตัวเลขสุทธิจาก GP)
โดยเฉพาะในตลาดออนไลน์ ที่การเลือกของผู้ใช้ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ที่ตัวเลือกใดตัวเลือกหนึ่ง ไม่เหมือนกับโทรทัศน์ที่ถ้าเลือกดูตลกสามช่าก็แปลว่าไม่ได้ดู จตุพล/โน้ต แทะโลม มณีนุช แต่การใช้งานอาจจะเป็นในลักษณะที่บอกไปก่อนหน้าคือ ผู้ใช้ Google ส่วนหนึ่งก็หันมาลอง Bing กันบ้างแล้ว ส่วนผู้ใช้ Bing อาจจะแทบทั้งหมดยังกลับมาเช็คผลกับ Google เทียบด้วย อย่างนี้จะบอกว่าใครเป็นผู้ใช้ฝ่ายไหน? หรือถ้าตั้งคำถามใหม่อาจจะได้ว่า การจับตัวเลขแบบเดิมยังจำเป็นอยู่มั้ย? หรือการดู Feedback ความพึงพอใจของผู้ใช้อย่างเช่นการดูอัตราความถี่ในการกลับเข้ามายังระบบของ IP เดิม, กระแสตอบรับที่ปรากฏในกลุ่ม Community, การ Monitor ลิ้งค์ ฟังก์ชั่น/ฟีเจอร์ พิเศษต่างๆ ที่ทำหรือออกแบบไว้ถูกใช้งานอย่างครบถ้วน กว้างขวาง, การทำแบบสอบถาม เหล่านี้อาจจะมีประโยชน์ในการประเมิณอย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนกว่ามั้ย?
ส่วนการแสดงความเห็นเชิงวิพากษ์คู่แข่งที่อยู่ในธุรกิจเดียวกันและอาจจะตีความโดยรวมได้ว่าค่อนไปในเชิงลบ
ถ้าใช้มาตรฐานของคำว่า มารยาท มาวัด โดยส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างตลกอยู่สักหน่อย คือมันก็ไม่ถึงกับเป็นกฏที่ต้องห้ามทำ แต่ถ้าเป็นไปได้เลี่ยงได้ก็คงจะดีกว่า (ในกรณีที่ทีมทำงานของ Hotmail ออกมาเหวี่ยงเอากับทีมของ Google ผมเองก็มีความเห็นในลักษณะเดียวกัน) แต่ถ้าหลุดไปจาก Context ของคำว่า มารยาท แล้ว ยิ่งมองเป็นเรื่องประหลาดที่จะวิจารณ์ เพราะข้อเสียของคู่แข่ง ถ้ามี และเรามองเห็น จะไปเตือนไปบอกให้รู้ตัวทำไม? กลับไปซุ่มพัฒนาของเราในจุดนั้นแล้วเอาออกมาตีจะดีกว่ามั้ย? หรือถ้าแค่ค่อนขอด ค่อนแคะ แค่นจะวิจารณ์ อันนี้ถ้าเป็น Junior ในองค์กรเป็นคนแสดงออกจะไม่แปลกใจเท่าไหร่ แต่เมื่อคนพูดคือ CEO น่าจะต้องมั่นใจในระดับหนึ่งว่าสิ่งที่เราพูดมันไม่ Paradox ยกตัวอย่างเช่น การตลาดหรือความสำเร็จของ Search Engine ไม่จำเป็นต้องใช้ Ads. แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทำ Ads. แล้วจะไม่สำเร็จถูกมั้ย? (อย่างนั้น ประโยชน์อะไรที่เราจะไปวิจารณ์การใช้งบของคู่แข่ง) หรือความสำเร็จของ SE มาจากการบอกต่อของผู้ใช้ แต่ก็อีกเหมือนกันที่ทำ Ads. แล้วก็ไม่ได้แปลว่าคนจะไม่บอกต่อจริงมั้ย ตรงกันข้าม Effect ที่ได้ ตัว Ads. อาจจะช่วยเร่งปฏิกิริยาการบอกต่อไปในตัว
ถึงตอนนี้ จากหลายๆ กรณีโดยเฉพาะการแสดงออกในเคส Yahoo ที่ Google ทำให้เห็นว่าหวงพื้นที่ยึดครองมาก ผมมีความไม่มั่นใจส่วนตัวในประเด็นที่ว่า ท่าทีที่เป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับ Microsoft ตั้งแต่ต้นของ Google นั่นเป็นเพราะ Microsoft คือสิ่งที่ Google อยากเป็นและเป็นให้ยิ่งกว่าหรือไม่...?
เรื่อง methodology นี่ ComScore มีบอกอยู่แล้วครับ (หากินด้วยข้อมูล ก็ต้องทำให้น่าเชื่อถือ) เพียงแต่ต้องไปค้นกันหน่อย
Google อยากทำได้เหมือนที่ Microsoft ทำได้คือมีส่วนตลาด ซอฟต์แวร์ แต่ไม่ใช่การผูกขาดแน่นอนครับเพราะการกระทำหลายอย่างของ Google นั้นไปในแนวทางแบบเปิด (Opensource) ขณะที่ Microsoft อยากได้ในสิ่งที่ Google มีนั้นคือส่วนแบ่งในตลาดออนไลน์ แต่ไม่อยากทำ Opensource แต่ชื่อของ Microsoft นั้นขายไม่ค่อยออกหรอกครับแบร์นมันตายตัวภาพลักษณ์มันมาแล้วต้องยืมมือ อดีตผู้สร้าง yahoo มาเสริมภาพตัวเองขณะที่ Google กับ Apple เป็นผู้กำหนดตลาดแทน ได้แค่ตามแล้วครับ
"Google อยากทำได้เหมือนที่ Microsoft ทำได้คือมีส่วนตลาด ซอฟต์แวร์ แต่ไม่ใช่การผูกขาดแน่นอนครับ" <-- ถึงขั้น "แน่นอน " เลยเหรอครับ? :)
ผูกขาดที่คุณพูดถึงคืออะไร? จริงๆ ต้องถามต่อไปว่า "ผู้กำหนดตลาด" ที่ว่านี่ มันคือสถานะที่ยั่งยืน?(เพราะเห็นบอกว่าต่อจากนี้ MS ทำได้แค่ตามแล้ว)
เอาเป็นว่าผมชวนทวนความจำเรื่อง ผูกขาด/ไม่ผูกขาด ผู้นำ ผู้ตาม อะไรนี่หน่อยดีกว่า
ประวัติศาสตร์วงการ PC มันเริ่มมาจาก Apple ออกผลิตภัณฑ์เป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแล้วประสบความสำเร็จมาก จน IBM พัฒนาสินค้าขึ้นมาแข่ง และทำดีลกับ MS ให้ขายพ่วง DOS ของตัวเองไปด้วย ต่อมาตกลงเงื่อนไขกันให้ MS ทำ DOS เวอร์ชั่นแยกขายของตัวเองได้ ในยุคนั้นคอมพิวเตอร์ที่ทำขายออกมาใช้คำว่า MS-DOS Compatible ก่อนจะใช้ IBM PC Compatible อีก จน Phoenix ทำ BIOS ที่มีโครงสร้างและการรับส่ง Input/Output เหมือนกับของ IBM เป๊ะออกมาขาย ถึงได้เริ่มมีการใช้คำว่า IBM PC Compatible กันตอนหลัง ทีนี้พอมันมี spec จาก Phoenix ออกมาโดยที่ไม่ต้องไป Reverse Engineering ของ IBM เองมันก็ทำให้ทั้งส่วน Hardware และ Software สามารถพัฒนาโดยอิงกับมาตรฐานที่ว่า แล้วมาใช้งานร่วมกันได้ แม้จะถูกพัฒนาและผลิตมาจากคนละที่ เกิดเป็น Ecosystem ที่หลายคนหลายฝ่ายร่วมกันพัฒนา Platform นี้ขึ้นมา เป็นจุดเริ่มต้นของคำว่าระบบเปิดในความหมายของยุคนั้นเหมือนกัน
มองย้อนกลับไป MS ก็อาจจะเทียบได้กับ Linux ในยุคนี้ เพราะถึอเป็นแนวร่วมนึงของระบบที่ทำให้หลุดพ้นจากการผูกมัดผู้ใช้ไว้กับทั้ง Hardware/Software จาก Apple และสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ IBM PC Compatible มันบูมมากเพราะผู้ใช้กลัวว่าจะติดกับ Apple จนโงหัวไม่ขึ้น(เหมือนที่กลัว MS กันทุกวันนี้) เลยหนีมาใช้ระบบเปิดที่ผู้ผลิตมาจากหลายๆ ที่ดีกว่าไม่ยึดติดกับใครดี แต่เหตุผลจริงๆ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องราคาด้วย :)
เหตุการณ์ดำเนินมาถึงจุดนึง จนในยุคที่ MS พ่วง IE มาให้ใน OS ของตัวเองแล้วโดนฟ้องเรื่องผูกขาดตลาด อันนี้ก็เหมือนจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ภาพของ MS กลายเป็นมารร้ายจอมผูกขาดมากขึ้น ผู้เล่นอื่นในตลาดก็เริ่มจะบ่นทำนองว่า ใจคอจะไม่เหลือพื้นที่ให้เพื่อนยืนในเกมเลยใช่มั้ย ส่วนผู้ใช้ก็อารมณ์เดิมออกมาโวยวายปนสะกดจิตกันเองว่าถ้าขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป ผู้ใช้จะต้องติดอยู่กับ MS จนโงหัวไม่ขึ้น(อีกแล้ว) จนเป็นกระแสต่อต้านปนหมั่นไส้มาจนถึงทุกวันนี้
ที่ชวนคุยยืดยาว เพราะอยากจะชี้ชวนให้เห็น 2-3 เรื่อง คือคำว่า "MS ผูกขาด" คนยุคหลังๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังพูดถึงอะไร หรือกรณีไหนของ MS มักเป็นคำพูดรวมๆ ซะมากกว่า หรือในอีกมุมหนึ่งการผูกขาดที่ผู้ผลิตกลัวกับที่ผู้ใช้กลัวมันเป็นคนละอย่างกัน ในแง่ของผู้ใช้คือไม่ต้องการให้มีการผูกขาดใดๆ เกิดขึ้นในตลาดเพราะกลัวว่าตัวเองจะตกอยู่ในระบบที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องเสียเงินให้ใครคนหนึ่งคนเดียวหรือใครคนหนึ่งคนนั้นออกมาบอกว่าคุณต้องเสียเงินตรงนี้เพิ่มแล้วตัวเองก็ต้องยอมเสียเพราะไม่มีทางเลือก ขณะเดียวกันฝั่งของผู้ผลิต การกลัวว่าจะมีผู้เล่นรายใดผูกขาดตลาดไปคือความกลัวว่าจะไม่มีที่ยืนสำหรับตัวเองและหมดโอกาสที่เป็นฝ่ายผูกขาดตลาดเสียเอง เหมือนที่ MS เคยถูกจัดว่าอยู่ในฝั่งของระบบเปิดและทุกวันนี้กลายเป็นภาพของผู้ผูกขาดเสียเอง ฉันใดฉันนั้น ไม่มีอะไรรับประกันว่า Google ที่ภาพดูเป็นพระเอกและอยู่ในฝั่งของระบบเปิดในความหมายของทุกวันนี้ จะไม่กลายเป็นผู้ลุกขึ้นมาผูกขาดในอนาคต ที่น่าสนใจคือ "เจตนา" ว่า Google กำลังคิดอะไรอยู่ เพราะเท่าที่ดู Google หวงพื้นที่ในตลาด Search Engine มากพอสมควรแม้ตัวเองจะกิน Market Share เกินครึ่งอยู่แล้ว จนออกมาแสดงออกในการมีส่วนร่วมให้ดีลระหว่าง MS กับ Yahoo! ไม่บรรลุ (ถ้าไม่กลัว/ไม่หวง คงไม่ขัดขวาง) รวมไปถึงความพยายามที่จะครอบครองทุกอย่างบนอินเทอร์เน็ต บริการช่วงหลังที่ดังๆ กันขึ้นมา(e.g. Twitter, Facebook, Digg) ก็เคยมีข่าวความพยายามเข้าซื้อจาก Google ทั้งนั้น หรือถ้าไม่ซื้อก็ทำแข่งเพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาด(e.g. Knol/Wikipedia, Orkut/Facebook, Picasa/Flickr, Jaiku/Twitter, Gmail/Hotmail|Yahoo! Mail) นี่ยังไม่นับรวมว่า Google มี OS สำหรับอุปกรณ์พกพาอย่าง Android(ที่ในแง่ของ Dev แล้วเขียนลงไปใน Layer ลึกๆ ก็ติด Permission ยุ่บยั่บ ทำอะไรไม่ได้) และอาจจะ(หรืออาจจะไม่)มีโทรศัพท์ของตัวเองในอนาคต กับระบบเครือข่ายที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตในพื้นที่เฉพาะด้วย ด้วยความพยายามในการเข้ายึดครองพื้นที่ใหม่และรักษาพื้นที่เดิมขนาดนี้ ต่อให้ Sergey Brin/Larry Page เป็นเพื่อนสนิทหรือคนในครอบครัว ผมก็ไม่กล้าจะไปยืนยันว่าจะไม่มีวันที่ Google ลุกขึ้นมากลายเป็นผู้ผูกขาดตลาด "แน่นอน" ครับ
ส่วนในกรณีว่าใครเป็นผู้นำหรือใครทำได้แค่ตามนั้น ถ้ายังจำได้ว่า Apple ที่หลายคนมองว่าเป็นผู้นำในวันนี้ ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในภาวะเกือบล้มละลายมาก่อน เพราะฉะนั้นการที่คุณบอกว่าแบรนด์ MS ตายไปแล้วและจากนี้ทำได้แค่ตาม ผมคิดว่าคุณประเมิณ MS ต่ำไปครับ...
เสริมอีกหน่อยว่า เรื่องการซื้อคนกันไปกันมาในวงการ IT ผมมองเป็นเรื่องธรรมดา และคงไม่ได้มองเลยไปถึงว่าซื้อใครมาเสริมภาพอะไร เพราะในวงการใดๆ ก็ตาม การโยกย้ายของบุคลากรถือเป็นเรื่องปกติ รวมไปถึงตัว Google เองด้วย ถ้ายังจำกันได้ข่าวแรกๆ ที่เราได้ยินเกี่ยวกับ Google คือการเข้าซื้อตัวบุคลากรของ MS แบบยกเข่ง เป็นข่าวที่เราได้ยินก่อนเรื่องราวความสำเร็จของ Google ด้วยซ้ำ
ใช่ครับเขากว้านซื้อทุกอย่างทำไม IBM OS/2 จบเห่ละครับเพราะอะไร ทำไม win95 win 3.1 ถึงขายได้มันเป็นลูกไม้ของ Ms ครับ Ms เคยเปิดเผย Sourcecode เหรอครับก็ไม่ แต่เอา Opensource ไปพัฒนาไปใช้ เอาง่ายๆ zlib ง่ายเลย facebook ก็ Opensource บนโลกอินเตอร์เน็ทมันเป็นกระแสนะครับจับต้องยังไม่ได้เท่ากับตลาด ซอฟต์แวร์ ถ้า Android มันมีสัญญาแบบ Apache นะครับ ยังไงก็เปิด ใช้บน PCs ได้ มันก็อาจใช้บน Linux ได้ จุดต่างของการครอบงำตลาดคือ ราคา การกำหนดตลาด ถึงแม้ Apple จะมีส่วนแบ่งไม่มากนักในตอนนี้แต่ทุก OS ก็ออกแบบไล่ตามหมด
google จะทำอะไร Ms ก็จะเอาบ้าง แต่ภาพลักษณ์มันไม่ใช่แล้วละครับ ผมคิดว่าการครอบงำบนอินเตอร์เน็ทนั้นเปลี่ยนได้ง่ายกว่าบนตลาดซอฟต์แวร์
ทำไม OS/2 Warp ถึงจบเห่? คุณพยายามจะสื่อว่าเพราะ MS Tricky ใช้งบส่วนหนึ่งที่ IBM จ้างไปพัฒนา Windows ของตัวเองด้วย? เป็นลูกไม้ของ MS? มันมีส่วนบ้างแต่ก็ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด เหตุผลประกอบอื่นก็คือ IBM สะดุดขาตัวเองในตลาด Consumer พอสมควร หลังจากออก IBM PCjr อะไรนั่นที่ไม่แม้แต่จะ Compatible กับระบบเดิมของตัวเองจากนั้นก็ค่อยๆ ถอยห่างออกจากตลาด Consumer ไปเรื่อยๆ และเสียพื้นที่ส่วนใหญ่ของตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลไปให้ Compaq กับพลพรรคอื่นๆ แทน ในการประเมิณหรือวิเคราะห์อะไรก็ตามโดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำการค้าหรือธุรกิจ ถ้าพอจะให้คำแนะนำอะไรได้ อยากแนะนำว่านอกจากเรื่องราวหรือข้อมูลในแนวดิ่งแล้วลองมองข้อมูลและสถานะการในแนวกว้างด้วย วงการธุรกิจไม่ใช่ละครหลังข่าวที่จะต้องมีคนดีที่สุดและคนเลวที่สุดตลอดเวลา เช่นผมคิดว่าคุณสรุปเร็วและง่ายเกินไปในกรณีของ OS/2 Warp ถ้ามันไม่ประสบความสำเร็จ เป็นเพราะนั่นคือลูกไม้ของตัวโกง MS? จริงๆ แล้วมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เราควรจะเข้าไปดูปัจจัยในเวลานั้นของ IBM ด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น ในช่วงต้นๆ ของยุค 90 เสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึง IBM เกี่ยวกับเรื่องการตัดสินใจที่ผิดแล้วผิดเล่ามีเยอะมาก
ส่วนคำถามว่า MS เคย Opensource อะไรมั้ย คงต้องถามกลับไปว่ารู้จัก Codeplex มั้ยครับ? พวก Ironpython และอีกสารพัด Iron น่าจะเคยได้ยินผ่านหูมาบ้างใช่มั้ย?(อันที่จริงอาจจะรวมไปถึงการให้ความสนับสนุนในเคสของ Mono ผ่าน Novell ด้วย) คำถามคำตอบ ผมเข้าใจว่ามีอยู่ในตัวไม่น่ามีอะไรจะต้องตอบกัน ซึ่งคงไม่ต้องมาเถียงกันอีกว่าจริงใจหรือไม่จริงใจ เพราะทางเดียวที่จะรู้ข้อเท็จจริงเรื่องนี้คงต้องนั่งทางในไปอ่านใจของแต่ละคนกัน
ในประเด็น Android อันที่จริงส่วนตัวผมไม่ได้กังขาอะไร แต่แปลกใจที่คุณ pad4thai กลับยกเรื่องที่มันใช้ Apache License มาอธิบาย เพราะในวงการ Opensource และกลุ่มผู้พัฒนาเองกลับกังวลใจในประเด็นนี้กัน เพราะมันมีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดการแตกสายพัฒนาแยกกันไปคนละทิศละทางขาดความเป็นเอกภาพและเข้ากันไม่ได้ในอนาคต อีกประเด็นก็คือ Apache มันเปิดช่องให้ซอร์สใหม่ที่พัฒนาสามารถแยกเปลี่ยน License ได้ แล้วใครจะกล้ารับประกันว่าในอนาคตผู้พัฒนาต่างๆ หรือกระทั่ง Google เองจะไม่ลุกขึ้นมาพัฒนาแล้วปล่อย Release ใหม่เป็น License อื่น
เท่าที่อ่านมาเหมือนคุณ pad4thai จะสนใจ Opensource/FOSS อยู่พอสมควร แต่จากที่เห็นประเมิณ Google ว่าดำเนินไปในแนวทาง Opensource อันนี้เดาว่าคงยังไม่ใช่สาย Hardcore เพราะพวกเครดิตสูงๆ หลายคนใน Opensource Community ก็ดูเหมือนจะขวางๆ Google กันอยู่พอสมควร ถ้ายังไม่ได้อ่าน The javascript Trap ของ Richard Stallman อยากแนะนำให้ลองไปอ่านดู อาจจะจริงบ้างไม่จริงบ้าง บางอย่าง RMS แกก็ติด Paranoid ไปหน่อย แต่ก็มีประเด็นน่าสนใจอยู่ด้วยเหมือนกัน เช่นที่ระบุว่า Gmail, Google Docs อะไรพวกนี้เป็น Proprietary ทั้งหมด และประโยชน์อะไรที่เราจะหนีจาก MS Office ที่เป็น Proprietary อันนึงไปหา Proprietary อีกอันนึง?
เรื่องการเป็นผู้นำและเรื่องการออกแบบ อันนี้ไล่กันจริงๆ นี่มันสรุปยากนะว่าใครนำใคร ใครลอกใคร (ถ้าจะทวงถามสิทธิ์การเป็นผู้นำ สงสัย Xerox จะกลายเป็นเจ้าครองบัลลังก์ไป) เอาเข้าจริงทั้งหมดก็ลอกกันไปกันมา เหมือนที่หลายคนรู้สึกตื่นเต้นกับ WIndows 7 แต่ผมกลับรู้สึกว่าหลายอย่างมันลอกมาจาก KDE ขณะเดียวกันคนใน KDE Community ก็ออกมาทักทีมพัฒนาว่าใน Release ใหม่ที่กำลังจะออกอย่าพยายามเป็น Windows Vista/7 มากไปกว่านี้อีกเลย และคงไม่ต้องบอกว่า Gnome พยายามเป็น OSX แค่ไหน เหมือนกับที่คงไม่ต้องแจกแจงว่าอะไรบ้างที่ OSX ไปลอกคนอื่นมา นี่คงไม่สามารถนำมาเป็นข้อยืนยันอะไรได้ แต่เอาเป็นว่าผมชวนให้เห็นว่ามันมีมุมมองจากสองข้างเสมอในประเด็นของการเลียนแบบและในการพัฒนา DE จริงๆ แล้วมันก็มีการหยิบยืมต่อยอดไอเดียกันอยู่ตลอดเวลา
สุดท้ายในประเด็นเรื่องภาพลักษณ์มันใช่หรือไม่ใช่ ครอบงำหรือไม่ครอบงำ หรืออะไรครอบงำยากง่ายยังไงนั้น เหมือนเดิมครับ อยากชวนให้มองอะไรออกไปกว้างๆ บางอย่างมันไม่สามารถสรุปอะไรได้ง่ายๆ เร็วๆ แบบนั้น คุณบอกว่าวันนี้ภาพลักษณ์ MS มันไม่ได้แล้ว แต่อาจจะมีอีกคนที่บอกว่าภาพลักษณ์ MS ยังได้อยู่ คือมันเป็นทัศนะส่วนตัวของใครของมัน อีกสองปีจากนี้ไปเกิดกระแสเปลี่ยนแปลงอะไรอีกคุณอาจจะเป็นคนที่บอกว่า เออ ภาพลักษณ์ MS ยังพอได้อยู่ แล้วมีคนอื่นออกมาบอกว่าภาพลักษณ์ MS ไม่ได้แล้ว... ที่จะสื่อก็คือคำว่าภาพลักษณ์หรือทัศนะของผู้ใช้นี่มันไม่ใช่สิ่งแน่นอนและเปลี่ยนแปลงได้ เอาไปใช้วัดอะไรได้ยาก รวมถึงที่คุณคิดว่า Google ไม่มีทางผูกขาด "แน่นอน" ในความคิดเห็นส่วนตัว ผมคิดว่าไม่มีใครจะสามารถไปยืนยันอะไรอย่างนั้นได้ เพราะการทำธุรกิจก็เหมือนกับการทำสงครางแย่งชิงพื้นที่กัน ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีพื้นที่สำหรับนักบุญในสมรภูมิรบอยู่แล้ว ถ้า Google ไม่ต้องการที่จะสร้างให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดจริง(ซึ่งเป็นปรัชญาขั้นพื้นฐานของการทำธุรกิจ) ด้วยทรัพย์สินที่มีอยู่ทุกวันนี้มากพอที่จะใช้ดำเนินงานที่ไม่แสวงผลกำไรได้แล้ว ทำไมไม่ประกาศปรับโครงสร้างตัวเองเป็นมูลนิธิซะเลย? การออกมาเปิดเผยซอร์สทุกวันนี้ส่วนใหญ่(รวมถึงเคสของ Google เองด้วย)ไม่ใช่เพื่อเหตุผลเรื่อง Social หรืออะไรทำนองนั้นอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเพราะเหตุผลเรื่องการบริหารต้นทุนในการพัฒนาแล้วหันไปหาไปสร้างโครงสร้างรายได้จากทางอื่นแทน หรือตามที่คุณคิดว่าการครอบงำ/ผูกขาดอินเทอร์เน็ตทำไม่ได้หรือต่อให้ได้ก็ยาก คุณต้องเข้าใจด้วยว่าทุกอย่างมันมีพัฒนาการ และต้องไม่ลืมสิ่งที่ Steve Jobs พูดในงาน All things digital(ปีไหนจำไม่ได้)ที่บอกว่า Bill Gate น่าชื่นชมในแง่ที่เป็นผู้ก่อสร้างอณาจักร Microsoft ขึ้นมาจากในช่วงเวลาที่ไม่มีใครนึกออกว่า Software Company คืออะไร เพราะคนในยุคนั้นคิดว่าสิ่งทำเงินคือ Hardware ส่วน Software เป็นของฟรีที่เอาไว้แถมไปพร้อมกับเครื่อง ยังไงยังงั้น ถ้าคุณคิดว่าอินเทอร์เน็ตมันครอบงำผูกขาดไม่ได้ ต้องเผื่อใจไว้ส่วนหนึ่งด้วยว่าที่คุณคิดไม่ออกว่ามันจะเป็นไปได้ยังไงอาจจะแค่เพราะจินตนาการคุณยังไปไม่ถึงเท่านั้นเอง... ครับ :)
ถึงจะอ่านไม่รู้เรื่องในหลายจุด แต่ขอยกนิ้วให้เลยครับ
ตรงใจมาก
onedd.net
onedd.net
อย่าว่าแต่คนยุคนั้นเลยครับ คนยุคนี้หลายๆ คนก็ยังนึกว่า Software เป็นของฟรีที่เอาไว้แถมไปพร้อมกับเครื่อง
The Phantom Thief
คุณ pad4thai คงมีอคติกับ MS มากไปมังครับ บริษัทขาย Software จะให้มาเปิด Sourcecode ให้ชาวบ้านเขาไปปู้ยี่ปู้ยำก็ตายซิครับ ร้านก๋วยเตี๋ยวบ้านเราบางเจ้ายังหวงสูตรไว้เลย จะเอาไปเทียบกับ google คงไม่ได้หรอกเพราะเจ้านั้นเขาหากินกับของฟรีมาตลอด แล้วที่ google ประสบความสำเร็จมาได้ไกลขนาดนี้นะ เพราะเกาะ windows กินมาตลอดเหมือนกัน
ตัวข้าคือมาตรฐาน
คือตำนานอันยิ่งใหญ่
ชื่อเสียระบือไกล
โลกกว้างใหญ่ข้ายึดครอง
ทุกคนต้องตามข้า
สั่งซ้ายขวาต้องเลี้ยวหัน
เปิดเผยทำไมกัน
โลกแบ่งปันแค่เลื่อนลอย
หลอดไฟ เครื่องบิน วิทยุ
ใครเล่ายุให้สร้างสรรค์
เปิดเผยทำไมกัน
ไม่มีวันได้ร่ำรวย
เก็บเกี่ยวหรือขูดรีด
โอ๋ร้องซี๊ดดดแล้วเพื่อนเอย
กำไรอย่ามากเลย
คนเคยเคยได้ใช้กัน
ผมอาจมีอคติมากไปครับต้องขอโทษด้วย เรื่องที่เล่ามาบางอย่างผมยังไม่เคยทราบมาก่อนเลยต้องขอขอบคุณมากครับที่เปิดเผยความรู้ให้ไม่เก็บเงินก่อนบอก FF นั้นเป็นตัวอย่างที่ดีครับสำหรับ OSS เปิดก็ยังมีคนใช้ Redhat ก็เป้นตัวอย่างที่ดีทุกอย่างมีรูปแบบธุรกิจของมันเองครับแล้วแต่ว่าเราจะมีปัญญาคิด ทำกันรึเปล่า การเป็๋นผู้กำหนดมาตรฐานโดยให้คนอื่นตามมาตรฐานตนไม่ยอมทำตามมาตรฐานของส่วนใหญ่นั้นก็อีกเรื่องครับ เอาเป็นว่าผม ยอมแพ้ :D
ไอ้ หลอดไฟ เครื่องบิน วิทยุ รถยนต์ มันไม่มี Sourcecode นะซิ ใครจะก็ไปทำเอา รถถึงจะมี 4 ล้อ เหมือนกัน แต่เครื่องในมันก็ไม่เหมือนกัน ต่างคน ต่างคิด ต่างผลิต มอเตอร์ไซด์มีสองล้อ บางคันใช้โซ่ บางคันใช้สายพาน วงจรจุดระเบิดเครื่องยนต์แต่ละยี่ห้อยังไม่เหมือนกันเลย ทุกวันนี้บริษัทรถยนต์ก็มีความลับในการผลิตแทบจะทุกยี่ห้อละมั้ง
เหมือนกับ OSX, WINDOWS, OS/2, ฯลฯ ผมไม่เคยได้ยินข่าวว่าบริษัท พวกนี้เปิดเผย Sourcecode ออกมา เพราะตางคนก็มีเทคโนโลยีของตัวเอง ใครมีฝีมืออยากจะมาแข่งขันกันในตลาด ก็เอา บังเอิญมี linux นี่แหละมาจุดประกาย OpenSource ซึ่งใครชอบอะไรก็มีตัวเลือกให้เลือกใช้อยู่แล้ว แต่มันก็มีข้อเปรียบเทียบระหว่างของฟรีกับของเสียตังอีกนั่นแหละ
ถ้าคุณคิดว่า MS ผูกขาดลองหันกลับไปดูอีกที เดี๋ยวนี้ "อะไรๆก็ กู" ถ้าไม่มี "กู" ตอนนี้คุณจะทำยังไง
ไปลอง bing แล้วไม่ประทับใจ เหมือนไปลอง chrome เลย ไม่ประทับใจ
งานนี้คงต้องดูกันยาวๆ
ที่ลองมา จากที่ลองปรับ Bing.com เป็น USA พบว่าผลการค้นหาออกมาได้ค่อนข้างตรงและประทับใจนะครับ Images Search ก็ได้ภาพที่ต้องการเยอะ
แต่อยากบอกว่า Images Search อืดมาก ชอบง่ายๆแบบ Google มากกว่า
ผมก็ใช้แต่ตัว US เหมือนกันแฮะ
ส่วนเรื่องค้นหารูป ผมว่าไม่ช้านะ กำลังดี ไม่ต้องเปลี่ยนหน้ายิ่งดีใหญ่
Acting Reporter & My Elder Brother Blog + Spread HIA'08 Books
วันดีคืนดี chrome ของผม ก็ใช้ bing เป็น default ซะงั้น เล่นแบบนี้ก็ไม่ชอบนะ
แล้ว Yahoo! ก็เดินหน้าไปอีกก้าว(สู่เหวหายนะ...)
Qi Lu >> ช่วงหลังเขาเริ่มท้อแท้กับอนาคตของบริษัทเลยวางแผนจะพับเสื่อกลับเมืองจีน ระหว่างที่กำลังลังเลอยู่นั้น เขาก็ได้รับโทรศัพท์สายหนึ่งจากผู้ชายที่ชื่อว่าสตีฟ บัลเมอร์ และเรื่องทุกอย่างก็เริ่มต้นขึ้น
สรุปแล้ว Qi Lu เปลี่ยนจากแผนพับเสื่อกลับเมืองจีน เป็นพับเสื่อให้ Yahoo แทนเสียแล้วสิ
โดยส่วนตัว Google ผมใช้เป็นตัวทดลองเปิดเน็ตไปแล้วครับ ไม่ได้ใช้ค้นมาหลายวันละ แต่ต้องยอมรับว่าหน้าเว็บเค้าเปิดเร็วจริงๆ
The Phantom Thief
ลองใช้แล้ว search video and picture พอใช้ได้