ข่าวช้าไปนิดแต่นี่คือปฏิกิริยาจากการเซ็นสัญญาของไมโครซอฟท์-ซัมซุง
เริ่มจากฝ่ายกูเกิลออกแถลงการณ์ว่า การเซ็นสัญญาครั้งนี้เป็นกลุยทธ์ซ้ำๆ ของไมโครซอฟท์ที่เห็นมาจนเบื่อแล้ว ไมโครซอฟท์ไม่ประสบความสำเร็จในตลาดสมาร์ทโฟน จึงต้องหันมาใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อ "ขู่เข็ญ" (extort) กำไรจากบริษัทอื่นแทน ส่วนกูเกิลก็ยืนยันว่าจะสนับสนุนพันธมิตรของ Android ต่อไป
ฝั่งไมโครซอฟท์ออกมาตอบโต้ผ่านบล็อกว่า สัญญาสิทธิบัตรของไมโครซอฟท์กับซัมซุง จะช่วยให้ทั้งสองบริษัทปลอดภัยจากสงครามสิทธิบัตรมากขึ้น สัญญาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าการแลกสิทธิบัตรกัน (corss licensing) ใช้แก้ปัญหาสิทธิบัตรได้ และช่วยให้บริษัทสามารถเดินหน้าสร้างนวัตกรรมต่อไปได้ โดยไม่ต้องห่วงเรื่องคดีฟ้องร้องอีก
ไมโครซอฟท์พบว่าคู่แข่ง (โดยเฉพาะกูเกิล) มักจะบ่นเรื่องผลกระทบของสิทธิบัตรต่อ Android แต่จะเห็นว่าซัมซุงและ HTC ซึ่งเป็นผู้ผลิต Android รายใหญ่ที่สุดในสหรัฐกลับมาเซ็นสัญญากับเรา
ที่มา - TechCrunch (Google), TechNet (Microsoft)
Comments
แล้วถ้ากรณีเป็นโมโตหละ?
จะไม่จ่าย(แอบคุยนอกรอบ)
จะยอมwin win
หรือจะแลกหมัดกันเลย(ฟ้องมาฟ้องกลับ)
เอาเข้าไป
อ่าวข่าวนี้รู้ทันทีเลยว่า google ทำตัวไม่ดีเลย
ทำ Android ขึ้นมาโดยที่ไม่สนว่าเทคโนโลยีมันจะไปชนกับสิทธิบัตรของใครๆ
หรือ ไม่ยอมหาสิทธบัตรมาไว้ในมือก่อนเพื่อทำ Android ให้แข็งแกร่ง
ปล่อยให้ผู้ผลิตต้องผจนกับภัยร้ายจากสิทธิบัตรก่อน ถึงจะเริ่มหาทางแก้
รู้แล้วเหรอครับว่าเขาละเมิดเรื่องอะไร?
จำเป็นที่เราต้องรู้ด้วยเหรอครับ ไม่เห็นเกี่ยวกับเมนไอเดียของข่าวเลย
ยกตัวอย่างสิทธิบัตรที่ microsoft ยื่นฟ้อง moto เกี่ยวกับความสามารถของ android ที่อยู่ในมือถือของ moto
9 รายการด้วยกัน ความสามารถทางด้านการส่งมีเมล ปฏิทิน การซิงค์รายชื่อผู้ติดต่อ และเทคโนโลยีที่ใช้ในการเตือน
แอพพลิเคชั่นเกี่ยวกับความเข้มของสัญญาณและ แบตเตอรี่
ส่วนรายอื่นๆที่ใช้ android จะโดนสิทธิบัตรใบไหนก็แล้วแต่อารมณ์ microsoft
ใน 9 รายการนี้ มีอยู่ 3 รายการ ที่ผมมีความเห็นว่า ไม่น่าจะให้จดสิทธิบัตรได้เลย
เพราะไม่ใช่สิ่งที่ผู้จดสิทธิบัตร ต้องคิดค้น อะไรใหม่ออกมาเลย
ทุกๆ email protocol เป็น Standard และเปิดอยู่แล้ว การใส่ความสามารถนี้ลงไป คือการ Support protocol เหล่านั้น
RF และ Battery Indicator เป็นค่าจาก A2D ที่มาจาก Hardware อยู่แล้ว มาเข้าสมการแปรผันตรงเพียงสมการเดียวสั้นๆ เพื่อนำไปแสดงผลเท่านั้น
3 รายการนี้ ทำให้ผมสงสัยนักว่า ว่าเจ้าหน้าที่ฝรั่ง คงเป็นบุคคลากรที่ไม่รู้และเข้าใจในงานที่ตัวเองต้องพิจารณามากพอ หรือ... สงสัยจะมีใต้โต๊ะเหมือนแถวบ้านเราเหมือนกัน จึงได้รับสิทธิบัตรมาอย่างที่ไม่น่า
วันที่ Microsoft ยื่นจด มันมีแค่ Windows Mobile ที่ทำได้ และมันคือ จุดขายของ WinMOครับ
แต่วันนี้ มันคือ เรื่องพื้น ต่างวาระ และเวลาครับ
คุณไม่ควรเอาปัจจุบัน มาตัดสิน อดีต
เอ่อ... ขอให้อ่านความเห็นผมดีๆ นะครับ ไม่มีตรงไหน เอ่ยถึง Microsoft และผลิตภัณฑ์ของ Microsoft เลยครับ
ดังนั้น Reply ของคุณ จึงไม่มีเหตุผลเอาเลยสำหรับผมนะครับ
ความเห็นผมไม่ได้เกี่ยวกับเงื่อนเวลาเลยครับ อดีต/ปัจจุบันก็เอามาอ้างไม่ได้ครับ
ผมออกความเห็นถึงความรู้ความสามารถของเจ้าหน้าที่ ที่มีหน้าที่พิจารณาในการรับจดสิทธิบัตรโดยอาศัย 3 กรณีที่กล่าวมาเป็นตัวอย่างเท่านั้นครับ เพราะถึงไม่ใช่ 3 กรณีนี้ของบริษัท Microsoft ก็ยังมีกรณีของบริษัทอื่นๆ อีกมากมายที่เป็นเช่นตามที่ผมกล่าวไป คือทำแค่ให้ผลิตภัณฑ์ตัวเอง Support มาตรฐานที่เป็นมาตรฐานเปิดของโลกอยู่แล้ว มันเป็นแค่ Feature เท่านั้นครับ
ไม่เช่นนั้น PC Mainboard ใบแรกที่นำ USB 3.0 Chip ไปติดตั้งบน Board และทำการปรับแต่ง BIOS ให้ Config USB port ได้ ก็ต้องสามารถจดสิทธิบัตรได้ และส่งผลให้ Mainboard อื่นๆ ไม่สามารถรองรับ USB 3.0 ได้เลยโดยไม่จ่ายให้ผู้ผลิต PC Mainboard รายแรกที่ Support USB 3.0 งั้นสิครับ?
ผมยกตัวอย่างอื่นให้อ่านแล้ว ไม่ได้แตะต้อง Microsoft แล้วนะครับ ทีนี้ขอให้พิจารณาข้อเขียนผมให้ดีอีกครั้งครับ ว่า "กรรม" ของข้อเขียนผมคือใคร?
ผมยังนึกหาเหตุผล ดีๆ ให้กับความคิดคุณไม่ได้อยู่ดีครับ
เรื่อง USB 3.0 มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้นนี่ครับ เท่าที่อ่านดู ก็ยังไม่เข้าใจว่า ปัญหา มันคืออะไร ถ้าต้องเสียค่า สิทธิบัตร USB 3.0
และถ้าเป็นเช่นนั้น ด้วยกลไกการตลาด ก็จะมี Port ชนิดใหม่ ออกมาอยู่ดี และ USB 3.0 ก็ไม่เกิด เรื่องมันก็แค่นี้เอง
ทั้ง 3 รายการที่ผมทัก โดยเฉพาะกรณี Indicator นั้น มันเหมือนกรณี USB 3.0 เป๊ะเลยไงครับ แต่ผู้ผลิต PC Mainboard ที่ Support USB 3.0 เป็นรายแรก เขาจดสิทธิบ้ตรไม่ผ่านกัน เพราะ.... อย่างที่ผมอธิบายมาแล้ว...
ต้องขอโทษจริงๆ ที่ผมอธิบายได้ไม่ดี รบกวนพยายามทำความเข้าใจหน่อยนะครับ
--- Edit เพิ่มเติม ---
การผลิต USB 3.0 Chip ไม่ว่าจะกี่ Pin ในรูป Package ใดๆ ต้องเสียค่าสิทธิบัตรอยู่แล้วครับ
แต่การนำ USB 3.0 Chip ไปติดตั้งบน Mainboard และปรับปรุง Firmware ตลอดจน Software ให้ Support ตลอดจนการแสดงสถานะของการใช้งาน USB 3.0 Chip นั้น จดสิทธิบัตรไม่ผ่านครับ
เหมือนกรณี Indicator หรือยังครับ?
ผมพยายามคิดวิธีอธิบายให้ดีขึ้นอีกครับ
Google ไม่ได้ทำ Android ครับ
ใช่ครับผมทราบ แต่ลึกๆในใจผมไม่เชื่อ
ไม่ยอมหาสิทธบัตรมาไว้ในมือก่อนเพื่อทำ Android ให้แข็งแกร่ง
- ไอ้หย๋า แล้วเขาจะซื้อ Moto มาทำไมล่ะนั่น
มันต่างกันตรงประบวนการครับคือแทนที่จะพยายามป้องกันหลายๆทางก่อนจะเกิดผล แต่กลับปล่อยให้มีผลเกิดก่อนแล้วค่อยหาทางอุด
มันก็เป็นหนทางของคนมาทีหลังแต่อยากนำหน้าคนที่อยู่มานาน ซึ่งผมว่ามันก้ำกึ่งอยู่ว่าจะผิดหรือถูกไม่ว่าในแง่ศีลธรรมหรือกฏหมายก็ตาม
ชื่อ : Not Available at this Moment (N/A)
+111 มันเหมือนตอนแรกมาช้า และเป็นผู้ตามหลังไกลลิบ เลยฝ่าไฟแดงทุกแยก เพื่อให้ตามทันหัวแถว จะบอกว่าไม่มีฝีมือก็ไม่ใช่เพราะคิดอะไรใหม่ๆ พอดู แต่จะบอกว่าไม่เคยผิดกติกาก็พูดไม่ได้เต็มปาก พอจะได้ขึ้นรับถ้วยเป็นอันดับหนึ่ง เลยโดนอันดับ 2, อันดับ 3 ทักท้วงกรรมการ ข้อหาผิดกติกา เลยต้องอาศัยเสียงโห่จากแฟนๆ ช่วยกดดันบ้าง
อธิบายได้เห็นภาพมากครับ :)
ชัดเจนมาก อยากก็ไลค์สักสิบหน
สาวกชักดิ้นชักงอกันเป็นแถว
Apple, MS, RIM ทำ iPhone, WP, BB มานี่ สนว่าเทคโนโลยีมันจะไปชนกับสิทธิบัตรของใครๆ บ้างหรือเปล่าครับ?
ถ้าคุณสน คุณก็คงไม่ได้ทำมันตั้งแต่เริ่มแล้ว เพราะมันไม่มีทางหรอกที่จะ 'ไม่ชนเลย'
'หรือ ไม่ยอมหาสิทธบัตรมาไว้ในมือก่อนเพื่อทำ Android ให้แข็งแกร่ง'
เพราะว่าแต่ก่อนมันไม่มี 'สงครามสิทธิบัตร' ที่บางเจ้าเล่นอยู่ไงครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ตรงย่อหน้า 1 กะ 2 ถ้าเป็นผมจะไม่กล้ายืนยันอะไรแบบนี้แน่นอนเพราะว่าเราเป็นบุคคลภายนอกไม่รู้ถึงข้อเท็จจริงทั้งหมดและบริษัทที่พูดถึงมาทั้งหมดนั้นก็ดำรงอยู่ในวงการนี้มานานกว่า Google ทั้งสิ้น ดังนั้นคุณไม่อาจแน่ใจได้ว่าเค้าทำแล้วหรือว่ายังไม่ทำหรือว่าทำมากขนาดไหน จริงมั้ยครับ
แต่ขอแนะให้คิดตรงท่อนสุดท้ายสักหน่อยว่า คนเรานั้นไม่สามารถยกข้ออ้างที่ตนไม่รักษาสิทธิของตัวเองมาต่อสู้กับคนที่ต้องการใช้สิทธิที่เค้ามีอยู่ตามกฏหมายได้ การที่จะฟ้องก่อนหรือฟ้องหลังมันเป็นแค่ผลทางจิตใจในสงครามจิตวิทยามากเสียกว่าจะเป็นประเด็นที่เอามาตัดสินความถูกผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องกฏหมายยิ่งแล้วใหญ่การที่คุณประมาทเลินเล่อหรือละเลยไม่ดูแลรักษาสิทธิที่ตัวเองมีมันย่อมเป็นผลร้ายแน่นอนอยู่แล้ว คุณจึงไม่สามารถเอาความเลินเล่อของคุณมาอ้างเพื่อประโยชน์ของตัวคุณเองได้
เหมือนกับเมื่อก่อนคุณปล่อยให้คนข้างบ้านทั้งซ้ายและขวาขโมยกินกิมจิที่คุณดองไว้เรื่อยมา และคุณเองก็ไปขโมยมะม่วงกับแบล็คเบอรี่บ้านข้างๆกินเช่นกัน เป็นแบบนี้เรื่อยมาโดยทั้งหมดไม่เคยแจ้งความหรือห้ามปรามกัน แล้ววันหนึ่งข้างหลังบ้านคุณมีคนย้ายเข้ามาใหม่เค้าปลูกต้นแอ้ปเปิลแล้วคุณอยากกินแอ้ปเปิ้ลของคนหลังบ้านขึ้นมาจึงไปขโมยมากินบ้างจนโดนคนหลังบ้านแจ้งความจับ คุณจะไม่สามารถอ้างได้ว่าปกติคุณก็ปล่อยให้คนอื่นๆเข้ามาขโมยผลไม้ในสวนมาตลอดทำไมคุณจะขโมยของคนอื่นบ้างไม่ได้ เพราะคุณไม่รักษาสิทธิของตัวเองมันก็เป็นเรื่องส่วนตัว จะเอามาเหมารวมให้คนอื่นไม่รักษาสิทธิแบบคุณนั้นมันทำไม่ได้ครับ
ป.ล.เรื่องข้างบนเป็นเรื่องสมมุติทั้งสิ้นไม่ได้มีความเกี่ยวพันกันจริงๆตามที่สมมุติแต่อย่างใด :D
ชื่อ : Not Available at this Moment (N/A)
ย่อหน้าที่ 1 ถ้า Apple ทำแล้วก็คงไม่โดนรุมฟ้องขนาดนี้หรอกครับ RIM ก็โดน Dolby ฟ้องในสิ่งที่เรียกว่าพื้นฐานมากๆ
บ้านหลังที่พึ่งมาปลูก เค้าก็ขโมยของคนอื่นมากินเหมือนกันนี่ครับ? หรือว่าไม่ใช่?
ตรรกะคุณมันแปลกๆนะครับ ^^ เหมือนจะมีบ้านที่ขโมยแล้วไม่ผิดอยู่เจ้านึง ทั้งๆที่บ้านนั้นก็ขโมยคนอื่นเค้ากินมาตลอด แต่พึ่งจะมาบอกว่าห้ามบ้านข้างๆขโมยกิน ^^
คุณคงมองไม่ออกถึงการ'แลกเปลี่ยน' ซึ่งไม่ได้หมายความตรงตัวว่า'ขโมย'
มีบ้านอยู่เก้าหลัง บ้านหลังต่างๆมีผลไม้คนละชนิด ทั้งเก้าหลังรู้กันว่าหากคุณอยากจะกินผลไม้ของบ้านไหนก็ให้เด็ดเอาไปได้ ถ้าไม่ใช่การถอนต้นแล้วนำไปเป็นของบ้านตัวเอง วันหนึ่งมีบ้านหลังที่สิบมา บ้านหลังที่สิบมาใหม่เลยเริ่มปลูกต้นแอปเปิ้ลเล็กๆ ระหว่างนั้นก็เด็ดผลไม้ของบ้านอื่นกินไปพลาง พอต้นแอปเปิ้ลโตจนออกดอกออกผล บ้านหลังใหม่ก็เขียนติดต้นแอปเปิ้ลไว้ว่า ห้ามเด็ดโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะดำเนินการตามกฎหมาย ^^
คุณคิดว่าเป็นเพราะบ้านทั้งเก้าหลัง'ไม่รักษาสิทธิของตัวเอง' หรือ เป็นเพราะ'ความเห็นแก่ตัว'ของบ้านหลังที่สิบ หล่ะครับ ^^? การใช้กฎหมาย กับการมีอยู่ของกฎหมาย มันเป็นคนละเรื่องกัน มิฉะนั้นเวลาที่คุณให้เพื่อนคุณยืมเงินเกิน 50 บาท คุณมิต้องมานั่งเขียนสัญญากู้ยืมทุกครั้งหรือครับ?
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ประเด็นของคุณคือ จะบอกว่า บ้านหลังที่สิบเห็นแก่ตัว? ไม่ควรฟ้อง? ผมว่า ธุรกิจมันก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วครับ ถ้าผมให้คนอื่นยืมเงินที่มีมูลค่าเท่าสิทธิบัตรพวกนี้ ผมขอเขียนสัญญาด้วยสิทธิที่มีตามกฏหมายดีกว่า คนอื่นจะเขียนไม่เขียน ผมไม่ขอก้าวก่ายครับ กลับกัน ถ้าผมไปยืมคนเงินคนอื่นด้วยมูลค่าเดียวกัน เค้าจะเขียนไม่เขียนก็แล้วแต่เค้าครับ ไม่บังคับ :)
หลุดประเด็นไปแล้วครับ ผมไม่ได้ตัดสินว่าใครผิดหรือไม่ผิดเลยซะด้วยซ้ำ(นั้นมันหน้าที่ศาล)แต่ผมบอกว่าเค้ามีสิทธิฟ้องโดยที่คุณไม่สามารถยกข้ออ้างที่คุณยอมโดนละเมิดมาก่อนมาอ้างได้นั่นคือประเด็นครับ แถมเรื่องของผมยังไปไม่ถึงกรณีเรื่องที่เพื่อนหลังบ้านคุณไปทำอะไรเลยด้วยซ้ำคุณอย่าเพิ่งสรุปเอาเองสิครับ -_-"
อันที่จริงผมสนับสนุนการฟ้องร้องกันตามกฏหมายด้วยซ้ำไปนะครับจะใครฟ้องใครมันก็เป็นการใช้สิทธิครับ ผมจึงไม่เคยบอกเลยว่าการฟ้องร้องนี้มันผิดเพราะมันเป็นการรักษาสิทธิของตัวเอง และยังเป็นแนวทางการพิสูจน์ความจริงด้วยซ้ำไป ผมจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปสกัดกั้นกระบวนการค้นหาข้อเท็จจริงเพราะมันมีแต่เสีย
จริงอยู่ที่คุณและผมมีความรู้สึกชอบพอต่างกัน แต่การแสดงออกก็ควรตั้งอยู่บนอะไรที่สมเหตุสมผลด้วยครับ ผมจึงไม่สนับสนุนการที่เราจะเอาเหตุที่ไม่สมผลซึ่งไม่มีหลักการรองรับมาอ้างซึ่งมันไม่ได้อะไร และเจ้าตัวคู่กรณีก็ยังไม่ทำเองเลยด้วยซ้ำ
เอางี้คือถ้าตามตัวอย่างคุณบอกว่าเค้าแลกเปลี่ยนกันทั้งๆที่มันเป็นการกระทำเช่นเดียวกันกับที่ผมบอกว่าเป็นขโมย ดังนั้นสิ่งที่แตกต่างนั่นก็คือ"ความยินยอม"ของเจ้าของบ้านนั่นเองครับที่จะทำให้การ"แลกเปลี่ยน"ของคุณมาเป็นการ"ขโมย"ที่ผมพูดถึงมันก็คือสิ่งที่เรียกว่าความยินยอมเท่านั้นเองครับ
ซึ่งกรณีที่คุณยกมามันก็ไม่สร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรเลยเพราะสุดท้ายคุณเอาความรู้สึกของคุณเองไปตัดสินโดยใช้คำว่า"เห็นแก่ตัว"มาเป็นข้ออ้างในการเรียกร้องหาความเป็นธรรมให้กับความปล่อยปะละเลยของคุณเอง ซึ่ง"ความเห็นแก่ตัว"นี้กฏหมายก็ยอมรับไว้ในระดับหนึ่งครับกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ทั้งปวงบนโลกนี้ล้วนตั้งอยู่บนความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ทั้งสิ้น เพียงแต่ความเห็นแก่ตัวนี้มันมีหลายระดับซึ่งในระดับที่กฏหมายและวิญญูชนในอุดมคติเค้ายอมรับกันเรียกว่า "สิทธิ" ไงครับ
อย่าลืมว่าการที่คุณบอกว่าเค้าทำๆกันมาแบบนี้ตั้งนานแล้วมาบังคับคนมาใหม่ให้ทำตามนั้นมันเป็นการเอากฏหมู่มาอยู่เหนือกฏหมายนะครับ
ดังนั้นถ้าเอาตามที่คุณว่าคนปลูกแอ้ปเปิลมาเด็ดกินผลไม้คุณถ้าคุณไม่ยินยอม มันก็เป็นหน้าที่คุณเองที่จะหาหลักฐานมาฟ้องเขากลับ ไม่ใช่พยายามหาข้ออ้างที่ว่าคุณไม่เคยฟ้องใครเลยมาอ้างเวลาโดยฟ้องซะงั้น ซึ่งผมว่าคุณเองก็รู้ดีว่ามันทำไม่ได้ในความเป็นจริงใช่ไหมครับ
ซึ่งถ้าเอามาเทียบเคียงกับข้อเท็จจริงทั้งสองฝ่ายเค้ากระทำอย่างถูกต้องตามที่ผมว่ามาอยู่แล้วครับดังนั้นปัญหามันจรึงไม่ได้อยู่ที่การกระทำของบริษัท แต่อยู่ที่การกระทำของคนนอกอย่างพวกเรานี่แหละที่พยายามหาเหตุที่ไม่สมผลมายกอ้างแทนเค้า ผมจึงอยากให้คุณลองคิดดูว่าการที่คนเราจะหวงถึงสิทธิที่ตนพึงมีทำไมคุณถึงมองว่ามันผิด นั่นแหละประเด็นครับ
ป.ล.ผมค่อนข้างแน่ใจว่าคนปลูกแอปเปิ้ลกับคนดองกิมจิเค้าไม่ใช่เพื่อนกันตั้งแต่คนทำกิมจิเค้าเอาแอปเปิลไปหมักเป็นกิมจิแอปเปิ้ลสูตรพิเศษขายแล้วล่ะครับ XD
ป.ล.2 เรื่อง 50 บาททำให้ผมทราบว่าคุณค่อนข้างมีอายุแล้ว แต่ตอนนี้เค้าเพิ่มเป็น 2,000 บาทแล้วครับ :D
ชื่อ : Not Available at this Moment (N/A)
มองคนละมุมครับ คุณมองในมุมของนักธุรกิจ มันก็เป็นจริงในมุมมองของคุณ เพราะ'กฎหมาย'มันให้ทำได้อยู่แล้ว
ส่วนผมมองในมุมของนักพัฒนาครับ ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีมาก่อนแล้ว การเกิดขึ้นในปัจจุบันคือการต่อยอดจากของเดิมทั้งนั้น ลูกแอปเปิ้ลนี่ก็ไปขโมยเมล็ดชาวบ้านเค้ามาปลูกเหมือนกัน บริษัทแต่ละบริษัท และนักพัฒนา ต่างอยู่ด้วยกันในสังคมที่เราเรียกว่า 'Fair' ผมว่าคำๆนี้เป็นเหตุเป็นผลมากกว่าคำว่ากฎหมายอีกครับ เพราะไม่ได้ใช่แค่กฎหมายอย่างเดียวมาตัดสิน แต่ใช้ทั้งกฎหมาย จริยธรรม รวมถึงจรรยาบรรณ ในการอยู่ร่วมกัน
และผมยอบรับครับ ว่าผมไม่ได้เป็นคนที่ชื่นชมในระบบกฎหมาย(แต่ก็เคารพในกฎหมาย) เพราะแม้แต่กฎหมายที่ว่าดียังถูกปฏิรูปตามกาลเวลาเลย ถ้าคุณจะบอกว่าบ้านหลังที่สิบทำถูกแล้ว เพราะกฎหมายเขียนมาว่าอย่างนั้น คนพวกแรกไม่ทำเอง ก็เป็นสิทธิ์ของคุณครับ
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าข้อความของผมนั้น'สมเหตุสมผล' เพียงแต่คุณไม่สามารถยอมรับเหตุและผลนั้นได้มากกว่า
และผมก็ค่อนข้างแน่ใจว่าคนข้างบ้านที่ปลูกแอปเปิ้ลหลายๆรายเลิกกินแอปเปิ้ลแล้วหล่ะครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ผมว่าหลุดประเด็นไปไกลแล้วครับ ถือว่าผมผิดเองแหละที่คิดว่าการยกตัวอย่างที่มัน Simple+Clear จะทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ดันกลายเป็นการต่อยอดข้อเท็จจริงซะอย่างงั้น
คำถามผมมาจากประโยคนี้ครับ
การที่คุณบอกแบบนี้แปลว่าคุณจะสื่อว่าการฟ้องเรื่องสิทธิบัตรก่อนเป็นสิ่งที่ผิดอย่างนั้นหรือครับ? ถ้าไม่ใช่จะสื่อว่าอย่างไร?
ถ้างั้นคำถามมันก็เลยมีต่อว่าเพราะอะไรถึงผิด เพราะคนอื่นเค้าไม่ฟ้องกันงั้นหรือ?
คุณกลับเลี่ยงไปตอบว่าคนที่ฟ้องก็ลอกเลียนมาก่อนเหมือนกัน ซึ่งมันคนละเรื่องครับ คุณพยายามเอาความผิดคนละกรรมมาหักล้างกันซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ใครๆก็รู้ครับ
ส่วนการที่คุณจะบอกว่าอะไร Fair ไม่ Fair มุมมองของคุณมันทำได้ครับ แต่ปัญหาคือคุณจะอ้างกับคนอื่นได้อย่างไรว่า Fair หรือไม่เพราะคำๆนี้มันยิ่งกว่าครอบจักรวาลและขึ้นอยู่กับมุมมองที่ซึ่งมันไม่มีอะไรจะมาอ้างอิงมันได้เลย ถ้าคุณจะบอกว่าทำแบบนี้มันไม่ Fair คุณก็ต้องมีเหตุผลที่ดีพอและยอมรับได้ให้เค้าฟังด้วยถ้าไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีใครทำตามคุณแน่นอน
ส่วนจะเลิกทำไปแล้วหรือยังไงความผิดก็ยังไม่หายไปครับ
ชื่อ : Not Available at this Moment (N/A)
ก่อนหน้านี้ไม่'สงครามสิทธิบัตร' ก็ไม่ได้แปลว่า สิทธิบัตรไม่มีค่า และให้ใครจะละเมิดยังไงก็ได้นะครับ ส่วนเรื่อง ไม่สนใจแล้วทำออกมา"ชน" ไม่มีใครว่าครับ แต่มันมีค่าเสียหาย แค่นั้นเอง
แยกแยะสิทธิบัตรซอฟท์แวร์ กับสิทธิบัตรการประดิษฐ์นิดนึงนะครับ ระวังสับสน และประเด็นหลักของข่าวที่ลืมกล่าวถึงคือแลกกันแล้ว มีจ่ายส่วยต่อเครื่องเหมือน HTC อยู่หรือไม่?
ไมโครซอฟท์ก็เคยจ่ายค่าสิทธิบัตร mp3 ไปตั้งเยอะครับ ผมว่าก่อนหน้านี้มันไม่มีเจ้าไหนละเมิดสิทธิบัตรคนอื่นแล้วมาใช้คำพูด 'เล่นลิ้น' แบบที่บางเจ้าเป็นอยู่มากกว่า
ไมโครซอฟต์ตอบซะกลายเป็นฮีโร่ที่ออกมาช่วยปกป้องซัมซุงเลย สุดยอดจริงๆ
ผมว่าgoogleเองก็ดูแลpartnerได้ไม่ค่อยดีนะ partnerเลยต้องหาทางกันเอง
เห็นจะจริง
ถูกต้องนะคร้าบ เรื่องดูแลพาร์ทเนอร์เนี่ยของไมโครซอฟต์เค้าเลยล่ะ...
และก็ไม่มาตามจับละเมิดลิขสิทธิ์บ้าเลือดแบบบางเจ้าด้วย (ไม่เกี่ยวกับข่าว)
ถ้า M$ เดินเข้าออฟฟิตไปจับลิขสิทธิ์ Windows นี่ได้หลายกะตังอยู่
cross licensing ใช่มั้ยครับ
ผมเบื่อชมัด
ก็เข้าใจว่าคนคิดคนแรกก็คงจะหวงเอาไว้ใช้เอง ก็ลงทุนไปตั้งเยอะ
ส่วนคนลอก บางคนที่ดีเค้าก็เอามาพัฒนาให้ดีขึ้น แต่ไอ้บางคนก็ยัดมาทั้งดุ้นเลย แบบนี้ก็เกินไป
ไอ้สิทธิบัตรแบบครอบจักรวาลนี่ คนจดมันก็เห็นแก่ตัวไปหน่อยนะ และไอ้บางสิทธิบัตรก็หยุมหยิมซะจนน่าเบื่อ
บางทีผมกลับรู้สึกว่า ถ้าทำได้คนแรกจนทุกคนจดจำได้ แล้วมีคนมาลอกตาม แสดงว่าของเรามันดีจริงๆ คนอื่นถึงมาเลียนแบบ เวลาใครเห็นก็จะพูดว่า อ๋อ เหมือนไอโฟนใช่ไม๊.....
ซึ่งถ้าทำได้ไม่ดีเท่าก็โดนด่าไปเอง แต่ถ้าทำได้ดีกว่า ก็ถือว่าเป็นการพัฒนาให้มันดีขึ้น
ทุกวันนี้เวลาเทียบสมาร์ทโฟน ไอโฟนก็ถูกยกมาเป็นบรรทัดฐานแทบทุกครั้ง คนที่เหนื่อยผมว่าไม่ใช่คู่แข่งนะ แอปเปิลเองต่างหากที่ต้องทำให้เหนือกว่ามาตรฐานเดิมที่ตัวเองทำไว้
การเป็นแชมป์ไม่ยากเท่าการรักษาแชมป์
ขออภัย ตอนตอบมัวไปนึกถึง แอปเปิล มากไปหน่อย
ไมโครซอฟท์ คงต้องเรียกผู้ผลิตทุกรายที่ทำโทรศัพท์ Window Phone และ Android Phone มาเซ็นต์สัญญา ถ้ามีสิทธิบัตรมาแลกกันก็เป็น ครอส ไลเซ่นซิ่ง win win ทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าไม่มีก็คงต้องเรียกเก็บเงิน แบบ HTC จะได้ไม่ต้องฟ้องร้อง ส่วนที่ฟ้องโมโตโรล่า ก็คงต้องสู้กันต่อไป ถ้าไม่คุยให้จบเพื่อเซ็นต์สัญญาระหว่างกัน
เรื่องสิทธิบัตร ของไมโครซอฟท์ อย่าลืมว่า ไมโครซอฟท์ทำ window mobile มาก่อน จึงมีประเด็นไปจดสิทธิบัตร และเป็นเจ้าของจนถึงทุกวันนี้ ถ้ารายใด จะเอาไปใช้งานก็ควรคุยกับไมโครซอฟท์ให้ชัด ไม่ใช่ไปละเมิดก่อน แล้วโดนฟ้องทีหลัง