ข่าวสดๆร้อนๆ และ(น่า)จะร้อนไปถึงอินเทลและลุงสตีฟ จ็อบส์ด้วย เรื่องก็มีอยู่ว่า นายแมทธิว โรเบิร์ต ยัง ได้ยื่นฟ้องศาลสหรัฐฯ โดยนายยังอ้างว่า นายจ็อบส์ได้ขโมยผลงานของนายยังไปให้บริษัทอินเทลโดยไม่ได้รับอนุญาตจากตน ซึ่งนายยังอ้างว่า ผลงานชิ้นนั้นก็คือต้นแบบของ Intel Core-2 Duo และเทคโนโลยี virtualization ที่อินเทลกำลังขายในท้องตลาด และนายยังได้เรียกร้องค่าเสียหายจากอินเทลและจ็อบส์เป็นเงินถึง 5 พันล้านเหรียญ
รายละเอียดของการฟ้องร้องด้วยจำนวนเงินมหาศาลครั้งนี้แสดงไว้ในไฟล์ PDF ที่ลิงค์ในแหล่งข่าว ซึ่งมีรายละเอียดยาวพอสมควร แต่สรุปคร่าวๆได้ว่า นายยังเคยได้แสดงผลงานของเขาต่อนายจ็อบส์ที่บริษัทแอปเปิลในปี 2003 ซึ่งนายยังเรียกผลงานของเขาว่า คอมพิวเตอร์ที่ทนต่อแฮกเกอร์และไวรัสโดยใช้โปรเซสเซอร์แบบมัลติเฟส ซึ่งมีชื่อเรียกสั้นๆว่า LANCELOT อย่างไรก็ตาม นายจ็อบส์ไม่เคยตอบตกลงยอมรับเอางานของเขาไปผลิตแต่อย่างใด จนกระทั่งในปี 2006 บริษัทอินเทลได้ประกาศทุ่มงบ 218 ล้านเหรียญให้กับเทคโนโลยี virtualization ร่วมกับ VMware และในข่าวมีรูปภาพที่ท่านรองประธานอาวุโสของอินเทล นาย Pat Gelsinger กำลังถือเมนบอร์ดตัวหนึ่งด้วยมือข้างซ้าย ซึ่งนายยังอ้างว่า เมนบอร์ดตัวนั้นสร้างจากทรัพย์สินทางปัญญาที่เขาคิดค้นขึ้นมาในนามว่า LANCELOT นั่นเอง
ผมได้เรียบเรียงข้อกล่าวหาที่นายยังได้ยื่นต่อศาล ด้วยลำดับเหตุการณ์ ดังต่อไปนี้
หมายเหตุ ขอย้ำอีกทีว่าเป็นข้อกล่าวหาที่ยังไม่ได้รับการตัดสินในชั้นศาล
ประมาณเดือนมีนาคมปี 2003 นายยังได้แสดงผลงาน LANCELOT ของเขาให้นายจ็อบส์ดู แต่ไม่ได้ส่งรายละเอียดของงานนี้ให้กับจ็อบส์ (น่าจะเป็นพิมพ์เขียว) โดยนายยังเสนอกับจ็อบส์ว่า เขาจะช่วยแอปเปิลพัฒนาผลิตภัณฑ์และช่วยในเรื่องการตลาด หากจ็อบส์ยอมเซ็นสัญญาและจ่ายค่าตอบแทนให้เขาเป็นเงิน 250 ล้านเหรียญ แต่ท้ายที่สุด จ็อบส์ก็ไม่ได้ตอบตกลงในสัญญาดังกล่าว
ในปลายปี 2003 นายจ็อบส์ได้มอบทรัพย์สินทางปัญญาของนายยัง ไปให้บริษัทอินเทลโดยไม่ได้รับอนุญาต และจ็อบส์ไม่ได้บอกอินเทลด้วยว่าเอามาจากใคร ซึ่งในเวลาต่อมา งานดังกล่าวได้ถูกนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ Dual-Core/Core-2 Duo และเทคโนโลยี virtualization
เดือนมิถุนายนปี 2006 บริษัทอินเทลได้ออกข่าวที่มีภาพรองประธานอาวุโสของอินเทลกำลังถือเมนบอร์ดที่สร้างจากผลงานของนายยัง
นายยังกล่าวว่า มีมูลเค้าที่อินเทลเคยได้เอางานของเขาไปใช้ก่อนปี 2006 โดยในปลายปี 2005 อินเทลได้ออกผลิตภัณฑ์ไมโครเซสเซอร์ dual-core และได้ขอการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยหลายแห่งและโปรแกรมเมอร์หลายท่าน ให้ช่วยแก้ปัญหาเรื่องมัลติเทรด โดยนายยังอ้างว่า อินเทลเอาเทคโนโลยีของเขาไปใช้ แต่ยังไม่รู้วิธีใช้ที่ถูกต้อง อินเทลเลยต้องยืมมือคนอื่นให้เข้ามาช่วย ซึ่งนายยังกล่าวว่าเขารู้วิธีดังกล่าว
ในปี 2006 นายยังพบว่าอินเทลได้ประโยชน์จากงานของเขาเป็นเงินมากกว่า 2 แสนล้านเหรียญ นายยังจึงส่งจดหมายไปหาอินเทล เพื่ออ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของในผลงานของเขาในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2007 (ลองไปอ่านได้ที่หน้า 12 ของไฟล์ PDF) โดยนายยังได้เรียกร้องให้อินเทลจ่ายชดเชยให้เขาเป็นเงินมูลค่า 70% ของรายได้ที่อินเทลหาประโยชน์จากงานของเขา และเขาทิ้งท้ายว่าหากไม่ทำตาม เขาจะส่งมอบงานของเขาไปให้คู่แข่งของอินเทลอย่าง AMD
ผ่านไปไม่ถึงเดือน อินเทลตอบจดหมายกลับไปหานายยังด้วยใจความนิ่มๆ ว่า "อินเทลขอไม่ดำเนินการกับเรื่องนี้" อย่างไรก็ดี อินเทลไม่ได้คัดค้านหรือยอมรับว่านายยังคือเจ้าของผลงาน
หลังได้รับจดหมายตอบกลับจากอินเทล นายยังเขียนจดหมายไปหาอินเทลอีกครั้ง โดยเรียกร้องเงิน 15% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์ทุกตัวที่พัฒนาโดยใช้ผลงานของเขา
อินเทลได้ตอบจดหมายกลับไปหาเขา แต่ผมไม่เจอหลักฐานประกอบดังกล่าวในไฟล์ PDF ซึ่งผมคิดว่าคำตอบจากอินเทลคงขัดแย้งกับสิ่งที่นายยังต้องการ ทำให้นายยังต้องฟ้องศาลเพื่อขอความเป็นธรรม
ในเวลาต่อมา นายยังพบว่า หนังสือพิมพ์หลายแห่งให้ข่าวว่าอินเทลสร้างกำไรกว่า 5 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งนายยังกล่าวว่าเป็นเม็ดเงินที่เกิดจากงานของเขา
นายยังกล่าวว่าอินเทลจะไม่ได้เป็นผู้นำระดับโลกในตลาดไมโครโปรเซสเซสเซอร์เลย หากว่าวันนั้น สตีฟ จ็อบส์แห่งแอปเปิลไม่ได้ขโมยเอาผลงานของนายยังไปให้อินเทล และเป็นเรื่องง่ายที่บริษัท AMD หรือบริษัท Micron Technology จะได้เป็นผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมไมโครเซสเซอร์ หากว่าได้ผลงานของเขาไปพัฒนา
UPDATE - แก้ไขและให้ข้อมูลเพิ่มเติมในข่าว นั่นคือ ในปี 2003 นายยังไม่เคยเข้าพบจ็อบส์แบบตัวต่อตัว นายยังเพียงแค่ส่งพัสดุหรือจดหมายของ LANCELOT ไปให้แอปเปิลพิจารณา และผลงานดังกล่าวยังไม่ได้จดสิทธิบัตร (ขอขอบคุณคุณ cyberdude ที่ช่วยตรวจข่าวครับ)
ที่มา - TG Daily
Comments
เหมือนฟ้องเพราะอยากให้ตัวเองดังเลย
LongSpine.com
สุดท้ายก็คงจบที่การยอมความเหมือนเดิม อยากให้อินเทลแพ้ เพราะคดีความเรื่องการดำเนินธุรกิจของอินเทลนั้นมีเยอะมากๆ จะได้สำนึกบ้าง
รอให้ดัง แล้วค่อยฟ้อง อีกแล้วครับท่าน แต่อันนี้ฟ้องเพราะกำไร ถ้าเค้าขายแล้วขาดทุนจะฟ้องไหม? ถ้าเอาผลงานตัวเองไปแล้วขายขาดทุนจะออกมาบอกไหมว่าฝีมือตูเองแหละ (คำตอบดู Zealot ไปนิดนึง ช่วงนี้เห็นข่าวรอให้ดังแล้วฟ้องบ่อยเหลือเกิน)
ถ้าคุณทำอะไรซักอย่างออกมา ไปเสนอเขาแล้วเขาไม่เอา ไม่จ่ายเงินให้คุณ แต่กลับเอาผลงานคุณไปใช้
เขาจะฟ้อง นั่นก็เป็นเรื่องที่ควรจะทำ ถูกต้องแล้วนี่ครับ?
ข่าวนี้ มันไม่เหมือนข่าวอื่นๆ นะครับ ข่าวอื่นนี่เหมือนเขารอชุบมือเปิบโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ประมาณว่า เฮ้ย มันบังเอิญเอาชื่อตูไปใช้ว่ะ เข้าล็อกเลย ฟ้องซะ
แต่ข่าวนี้ เจ้าตัวออกมาบอกว่าเป็น "ผลงาน" ของเขาครับ
ถ้าเขาขายขาดทุน แล้วจะฟ้องทำไมล่ะ ฟ้องแล้วได้เงินมั้ยล่ะ การขึ้นศาลครั้งนึงมันต้องใช้เงินนะครับ คุณก็พูดตลกๆ
เจ้าของผลงาน ก็ deserve กับเงินที่เขาควรจะได้จากผลงานของเขา ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วนี่ครับ?
+1 ครับ กว่าจะเกิดเป็นคน กว่าจะโตมา กว่าจะร่ำเรียนได้ กว่าจะมีผลงาน สุดท้ายทุกอย่างที่ทำมาโดนขโมย ถ้าใครบอกว่าอบากดังผมก็ไม่สนหรอก
+10 ครับ ถ้าเป็นเรื่องจริงนี่ intel คงจะเสียหน้าไม่น้อยเลย
เรื่องทรัพสินทางปัญญานี่มันไม่ใช่จะคิดกันมาง่ายๆ ครับ ผมเองทำ thesis อยู่
กว่าจะปิ๊งไอเดียออกมานี่เหนื่อยพอดูเลยล่ะครับ
ใจจริงลึกๆ ก็อยากให้นายยังชนะคดีนี้เพราะไม่ค่อยชอบ intel เท่าไร (แอบเชียร์ AMD อยู่ลึกๆ)
ขาดทุนจะฟ้องให้เปลืองทำไมครับ
คุณนี่ก็แปลกแหะ
แทนที่จะคิดว่าขโมยของคนอื่นยังไงก็ผิด
ดันไปคิดว่าคนฟ้องเห็นแก่ได้รอเค้าดังแล้วค่อยฟ้อง
ผมมีความเห็นว่า นายยังไม่ได้ "รอให้ดัง แล้วค่อยฟ้อง" หรอกครับ เค้ารู้ตัวและดำเนินเรื่องมาตั้งแต่ปี 2006 แล้ว แต่ก็ไม่ได้มีผลตอบสนองจากอินเทลตามสมควร จึงต้องฟ้องศาลและทำให้เป็นข่าวในวันนี้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็ปุ๊บปั๊บโผล่มาฟ้องเลย
อ่านแล้วก็ดูมีเค้าเหมือนกัน เพราะตั้งแต่ยุค Dual-core จนถึง Core 2 Duo นี่เทคโนโลยีของอินเทลเรียกว่าก้าวกระโดดไปเลย มันต้องมีอะไรซักอย่างบ้างล่ะน่า แต่จะเป็นอย่างที่นายยังอ้างไว้รึเปล่าเนี่ย อันนี้ต้องติดตามตอนต่อไป
อ่อ...ถ้าโยงไปเรื่องจ็อปส์ แล้วถ้าโยงมาเรื่องนี้ (ถ้าเป็นความจริง) การที่แอปเปิลจะย้ายมาซบอินเทลเมื่อสมัย Dual Core (และใช้ C2D เรื่อยมา แถมมีอภิสิทธิ์เหนือบริษัทอื่นอีก) ก็ดูจะเป็นเรื่องเดียวกันเลย
รอดูว่าเรื่องจริง หรือ ละคร
เดาว่าต้มคนดู
ถ้าเรื่องจริงเนี่ย เจ็บปวดไม่ใช่น้อย
ทำไมหมอนี่ไม่รีบเอาผลงานไปเสนอขาย AMD ซะตั้งแต่ตอนที่ Core Duo, Core 2 Duo ออกมาใหม่ๆ หว่า - -"
แล้วที่ AMD ออก X2 ออก Phenom มาเนี่ย เพราะ เฮียจ๊อบแกเอาพิมพ์เขียวของตาคนนี้ไปให้ ADM ด้วยงั้นเหรอ?
ผมว่า AMD ไม่ได้ได้ไป
นายยังจดสิทธิบัตรไปก่อนหน้านี้หรือยังครับ?
@TonsTweetings
น่าสงสัยในข้อนี้มาก
ถ้าจดแล้วคงจะน่าดูว่ามวยยกนี้จะเป็นอย่างไร
จากแหล่งข่าวและในคำฟ้อง เหมือนกับบอกว่านายยังกล่าวว่าเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของเขา แต่ผมสรุปเอาเองว่ายังไม่ได้จดลิขสิทธิ์หรือ patent อย่างเป็นทางการ โดยเขาใช้คำว่า ผลงานของเขาเป็น patentable ครับ
จากการอ่านข่าวและดูคำร้องที่นายยังยื่นฟ้องต่อศาล ผมคิดว่า หากสิ่งที่นายยังกล่าวเป็นเรื่องจริง แต่นายยังแพ้คดี อาจจะมาจากการขาดหลักฐานที่หนักแน่น เพราะผมคิดว่าเขายังขาดพยานปากเอกที่จะมายืนยันข้อเท็จจริงของเขาได้ว่าสิ่งที่อินเทลทำคือสิ่งที่มาจากงานเขา บวกกับงานที่เป็น patentable แต่ยังไม่เป็นทางการ และมีสิ่งหนึ่งที่ผมไม่ได้นำเสนอในข่าว ไม่แน่ใจว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกความมองภาพลบในตัวเขาหรือเปล่า ? (อันนี้เป็นความสงสัยผมนะ ไม่ใช่ข้อสรุป) คือ นายยังมีคดีติดตัว ซึ่งโดนควบคุมความประพฤติอยู่
โดยส่วนตัวของผม ผมนึกถึงใจเขาใจเราครับ ถ้าผมเป็นนายยัง และถ้าสิ่งที่นายยังทำเป็นเรื่องจริง แม้ว่างานผมจะดังไม่ดัง ขายได้หรือขายร่วง ผมก็จะฟ้องคนที่แอบอ้างเอางานผมไปหาผลประโยชน์ หากว่างานผมเป็นผลประโยชน์นั้นเแก่ส่วนรวม เพื่อสังคม เพื่อประเทศ เพื่อโลก ผมคงรู้สึกประทับใจและไม่กล้าฟ้องคนแอบอ้างเพื่อให้คนด่าว่าผมดังหรอกครับ แต่งานนี้มันเป็นประโยชน์ทางธุรกิจ
หากเอาใจเขาใส่ใจเราไปที่ฝั่งจำเลย หากอินเทลเป็นคนคิดเอง แต่งานดันไปคล้ายกับของนายยังจริง อันนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าเห็นใจอินเทล และอินเทลก็ต้องยืนยันให้ได้ว่า ลุงสตีฟ จ็อปส์ ไม่ได้มีเอี่ยว หรือลุงจ็อบส์ต้องยืนยันให้ได้ว่าผลงานให้อินเทลโดยบริสุทธิ์ใจและถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีอะไรในกอไผ่
อย่างที่ผมเน้นด้วยตัวหนานะครับ สิ่งที่นายยังฟ้องเป็นเพียงข้อกล่าวหา ยังไม่ได้ชี้ดำชี้แดงว่าชัวร์หรือมั่วนิ่ม แต่แน่นอนครับ อินเทลและลุงจ็อบส์ยังไม่ได้โต้ตอบ ณ ตอนนี้ นายยังพูดแต่ฝ่ายเดียว มีหลักฐานฝ่ายเดียว ตราชั่งความยุติธรรมจึงต้องมีน้ำหนักของอีกฝ่ายมาถ่วงดูว่า ใครถูก ใครผิด หรือเป็นเพียงความเข้าใจผิด ที่ทางอินเทลกับจ็อปส์ไม่ได้อธิบายให้นายยังเข้าใจแต่แรกๆ
JavaBoom (Boom is not Java, but Java was boom)
http://javaboom.wordpress.com
My Blog
+1 พูดได้ดีครับ
แก้ไขข้อความนิดนึง ใช้คำผิดไป คือคำว่าลูกความ จริงๆต้องเป็นคณะลูกขุน ผมเบลอไปนิด นายยังเขามีคดีติดตัวที่โดนควบคุมอยู่
JavaBoom (Boom is not Java, but Java was boom)
http://javaboom.wordpress.com
My Blog
ขออ้างอิงคำของอาจารย์ cyberdude จาก freemac นะครับ
ประเด็นที่น่าสนใจใน PDF ที่อ้างอิงนั่นแหละ
นาย young เจ้าของเรื่อง ตอนนี้ติดคุกอยู่ในเรือนจำ snake river ในโอเรกอน
เขาไม่เคยเข้าพบ สตีฟ จอปส์ แต่ที่ฟ้องเพราะบอกว่าเคยเขียนจดหมายเล่า 'ไอเดีย' ไปให้ที่ Apple (เข้าใจว่าตอนนั้นก็อยู่ในคุกแล้ว)
ไม่น่าจะมีการจดสิทธิบัตรใดๆ (ใช้คำว่า patentable invention, and copyrightable work ไม่ใช่ patented)
แอปเปิลมี Unsolicited Idea Submission Policy ประกาศอยู่ชัดเจนมานานแล้ว
http://www.apple.com/legal/policies/ideas.html
ไม่รับไอเดีย อย่าส่งมา ถ้ายังดื้อส่งมาเอง จะถือว่าเป็นสิทธิของบริษัทฯผู้รับ และเอาไปใช้อ้างอิงไม่ได้
และใครจะเชื่อบ้างว่า คนทั้ง Intel ไม่มีใครคิดเรื่อง Virtualization ออกก่อนปี 2003 ถ้าไม่มีนาย Young?
ความคิดเรื่อง Virtual Machine มันมีมาตั้งแต่ยุคแรกๆของคอมพิวเตอร์แล้วนี่นะ?
จาก http://www.freemac.net/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=29706
เป็นไปได้ครับ นั่นคือสิ่งที่อินเทลและแอปเปิลต้องชี้แจงในชั้นศาล ทั้งนี้ทั้งนั้น นายยังมีคดีติดตัวอยู่ (ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร) เขาก็ไม่มีทนายด้วย และยังขาดพยานปากเอกอีัก ส่วนนี้ เหมือนเขากล่าวเพียงฝ่ายเดียวเลย
ผมไม่รู้ว่ายังเขาอยากอ้างเรื่องอะไรเป็นหลัก ถ้าหากสิ่งที่นายยังอ้างคือ เขาเป็นคนคิดค้นเทคโนโลยี multicore และ virtualization อันนี้ต้องถือว่านายยังผิดไปเต็มๆเลย แต่ถ้าสิ่งที่เขาฟ้องเป็นเรื่องต้นแบบของ LANCELOT ที่คล้ายกับสิ่งที่อินเทลทำ อันนี้เป็นเรื่องที่นายยังมีน้ำหนักข้อมูลในชั้นศาลน้อยไปเลย ถ้ากล่าวในแง่งานวิจัยแล้วก็คือ เขาจะโดนตำหนิว่าขาดการค้นคว้าข้อมูลว่ามีใครทำอะไรมาบ้าง เพราะมันเป็นไปได้ที่งานพวกนี้มันมีอะไรคล้ายๆกัน แต่โดยส่วนลึก อย่างองค์ประกอบและวิธีการ มันอาจจะต่างกัน
ส่วนเรื่อง multicore หรือ dual core เป็นที่ยอมรับในวิชาการมาแล้วว่าต้องการ multithreading แต่นายยังอ้างเหมือนว่าอินเทลขอให้คนร่้วมมือแก้ปัญหา multithreading นั้น เป็นเพราะอินเทลไม่รู้วิธีการใช้ multicore ข้อมูลตรงนี้ เมื่อถูกอ่านโดยนักวิจัยสายนี้ก็คงอยากเรียกนายยังมาสอบปากคำ (เรียกว่าสอบถามดีกว่า) จริงๆผมก็เป็นคนหนึ่งที่อยากถามหลายคำถามกับนายยังครับ แต่การตอบคำถามของเขามีผลต่อรูปคดีอย่างแน่นอน
ปล. ฝากบอกไปถึงคุณ cyberdude ด้วยนะครับ ว่าผม javaboom แปลเอง ด้วยความนับถือ ผมไม่ได้แปลทั้งเอกสารให้ละเอียดมันผิดด้วยหรือครับ ถ้าผิดขอโทษด้วย แต่ผมก็บอกไว้ในข่าวแล้วว่า ข่าวนี้เป็นการอ้างของนายยัง และผมนำเสนอในมุมของนายยังครับ และใน PDF เป็นการให้ข้อมูลนายยัง โจทก์คือนายยัง ผมก็ไม่ได้บอกว่าเขาเดินไปที่แอปเปิลนะครับ เขาก็ไม่ได้ลงรายละเอียดในส่วนนี้ และผมไม่ได้ไปหาข้อมูลของอินเทลและแอปเปิลมาค้านกับนายยังครับ ขอบคุณที่แนะนำมาจาก Freemac
JavaBoom (Boom is not Java, but Java was boom)
http://javaboom.wordpress.com
My Blog
แถวนั้นของแรง
เชื่อแล้วครับว่าแรงมาก ผมอ่้านย่อหน้าท้ายของคุณ cyberdude บวกกับพาดพิงผมในส่วนแรก ผมคิดว่าผมทำผิดมากเลยเปล่าเ้นี่ย ถ้าอ่านในข่าว ผมก็บอกแล้วว่าเป็นการอ้่างนายยัง ยังไม่ได้ระบุว่าเขาถูกหรือผิดเลย จริงๆต้นข่าวบอกว่าเขาโดนความคุมตัวจริง ผมไม่ได้เขียน จริงๆแล้วผมตั้งใจครับ ผมยอมรับ ผมไม่ใช่นักข่าวมืออาชีพ ผมยอมรับผิดว่าผมใช้ความรู้สึกส่วนตัวที่ว่าผมไม่ควรเอาเีรื่องที่เขามีึความผิดมาเขียน โดยความเข้าใจส่วนตัวของผมว่า มันอาจจะทำให้คนบางคน (อาจจะส่วนน้อย) มองนายยังในแง่ไม่ดีว่า "ติดคุกนี่หว่า" แต่ผมก็ระบุใน comment ไปแล้วว่านายยังเจออะไรมาบ้าง
คนที่รู้จักผมใน blognone จะทราบว่าผมไม่ใช่คนฟันธงว่าอะไรถูกอะไีรผิด ผมนำเสนอข่าวนี้ในมุมของนายยังเพราะแหล่งข่าวก็เน้นแต่นายยัง แต่ท่านจะเห็นว่าผมจะเขียนแยกไปที่ comment ว่าทางอินเทลกับแอปเปิลก็มีส่วนถูกเช่นกัน ไม่ได้คิดที่จะมายืนยันว่าใึครถูกใึครผิดเลย
ที่คุณ cyberdude ตำหนิผม เหมือนจะเน้นไปที่นายยังพบกับจ็อบส์ยังไง อันนี้ผมไม่ทราบครับ ผมอาจจะอ่านไม่เจอใน PDF อย่างที่คุณ cyberdude เจอ เพราะคุณ cyberdude ก็เขียนในวงเล็บว่า (เข้าใจว่าตอนนั้นก็อยู่ในคุกแล้ว) และอีกครั้งครับ การที่ผมระบุว่าข้อมูลนายยังเป็นการกล่าวอ้างของเขายังไม่ได้ตัดสินในชั้นศาล ก็แปลว่าทั้งหมดที่ผมนำเสนอในข่าว อาจจะถูกหรือผิดก็ได้
JavaBoom (Boom is not Java, but Java was boom)
http://javaboom.wordpress.com
My Blog
มีอ้างถึงผมด้วย (ถึงจะไม่เอ่ยชื่อตรงๆ) ผมขอใช้พื้นที่ตรงนี้ชี้แจงหน่อย
"สิ่งผิด" ในข่าว เป็นไปได้ตั้งแต่จุดผิดเล็กๆ น้อยๆ เช่น พิมพ์ตก สะกดผิด ไปจนถึงการแปลผิดความหมาย ซึ่งการจะทำให้ข่าวที่ลงใน Blognone มีลักษณะ "perfect" เป็นไปได้ยากมาก (ยังมีปัจจัยเรื่องมาตรฐานของแต่ละคนไม่เท่ากันด้วย)
แทนที่เราจะหวังให้ข่าวใน Blognone สมบูรณ์พร้อม ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรมหาศาลมาก (และคำว่าสมบูรณ์ของแต่ละคน ต่างกันแค่ไหน?) เรามีวิธีที่ง่ายกว่ามาก โดยการ check & balance ด้วยชุมชนคนอ่านจำนวนมาก (อย่างน้อยๆ ก็หลายร้อยต่อข่าว อย่างมากๆ ก็เป็นพันเป็นหมื่น) และสร้างกระบวนการ/ช่องทางสำหรับแก้ไขจุดบกพร่องในข่าวจะดีกว่า
นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไม ข่าวใน Blognone จึงต้องมีที่มาเสมอ (ไม่มีไม่มีสิทธิ์ได้ขึ้นหน้าแรก) เพราะเป็นหนึ่งในกรรมวิธีที่ช่วยให้กระบวนการ check & balance เป็นจริงขึ้นมาได้
ที่ผ่านมาก็มีสมาชิกในชุมชนจำนวนมาก ช่วยกันแก้ไขจุดบกพร่อง (ที่ในบางครั้งก็หลงหูหลงตาเข้าไปบ้าง) ไม่ว่าจะเป็นสะกดผิดเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงกระทั่งการแปลที่ไม่ตรงความหมายตั้งต้น อาจจะด้วยปัจจัยด้านพื้นความรู้ในแต่ละสาขา หรือสำนวนภาษาอังกฤษต้นฉบับที่ซับซ้อน
ผมเชื่อว่าสุดท้ายแล้ว ข่าวที่ผ่านกระบวนการ check & balance โดยชุมชน จะเป็นข่าวที่มีคุณภาพ "ดีพอ" แก่การตีพิมพ์บนหน้าเว็บ อย่างไรก็ตาม คุณลักษณะของข่าวบน Blognone (และสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลาย) จะมีความต่างไปจากข่าวบนกระดาษ ตรงที่มีการแก้ไข ปรับปรุงอยู่เสมอ มีความ dynamic ซึ่งต่างไปจากข่าวบนสิ่งพิมพ์กระดาษ ที่พอหมึกไปสัมผัสโดนกระดาษแล้วก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีก
ความเห็นของคุณ cyderdude ก็ถือเป็นหนึ่งในกระบวนการ check & balance อันนั้น เพียงแต่ไม่แสดงมาในรูปคอมเมนต์ของเว็บตรงๆ เท่านั้นเอง
ผมคิดว่าคุณ javaboom ไม่มีความผิดอะไรครับ การเขียนข่าวของ Blognone ไม่ใช่การรายงานข่าวแบบเดิมๆ แต่เป็นการ "สนทนา" ในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับข่าว ไม่มีเรื่องถูกผิด มีแต่มุมมองที่ต่างกันออกไปก็เท่านั้น และ Blognone ก็ยินดีเปิดรับมุมมองอื่นๆ ที่ต่างออกไป (ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ ข้อเขียนที่คุณ latesleeper เขียนตอบ คุณชิตพงษ์)
และถึงแม้ว่ามุมมองที่ต่างกันจะไม่มีใครผิดถูก การเริ่มเขียนข่าวเองนั้นง่ายกว่าการวิจารณ์มาก ในแง่ของ contribution แล้ว ผมก็ต้องขอบคุณคุณ javaboom เป็นอย่างสูงครับ
ขอบคุณครับ ผมเป็นนักเขียนหน้าใหม่ ผมก็เพิ่งเจอคนพาดพิงแบบนี้ ผมเลยร้อนตัวเกินไปหน่อย เพราะพาดพิงมาถึง Blognone อีก ผมเลยคิดว่า ผมเป็นต้นเหตุให้คนมอง Blognone ว่าเสนอข่าวไม่ดีด้วยหรือเปล่า
แต่ผมขอบคุณคุณ cyberdude เพราะผมไม่ได้เสนอว่านายยังเขามีคดี อันเป็นสิ่งที่มีอยู่ในที่มาของข่าว อันนี้ผมจงใจละไว้ในข่าว แต่ไปเขียนใน comment แทนครับ เพราะเหตุผลแย่ๆของผมเองที่ว่า ผมไม่อยากพูดเรื่้องที่ว่าใครติดคุกมาก่อนหรือกำลังติดคุกอยู่ (เป็นความรู้สึกทางจิตใจของผม) อย่างไรก็ดี ผมคงสภาพของต้นข่าวที่เขาเสนอข้อมูลของนายยังเป็นหลัก และเมื่อไหร่ก็ตามที่ อินเทลและจ็อบส์นำเสนอข่าวโต้กลับ ผมหรือสมาชิก Blognone ท่านอื่นย่อมไม่นิ่งดูดายที่จะเสนอข่าวแก้ต่างกลับแน่นอนครับ
ขอบคุณอีกครับ
JavaBoom (Boom is not Java, but Java was boom)
http://javaboom.wordpress.com
My Blog
น่าเห็นใจคุณ javaboom .. อ่าน comment ทางนั้นแล้วรู้สึกของขึ้นเหมือนกันนะ
---
Khajochi Blog : It's not a Bug ... It's a Feature
แฟนพันธุ์แท้สตีฟจ็อบส์ | MacThai.com
ขอบคุณครับ
มันเป็นสไตล์การเขียนข่าวของผม ... การตกหล่นในเรื่องคดีติดต่ออันเก่าของนายยังผมอธิบายไปแล้ว ส่วนเรื่องนายยังแสดงข้อมูลให้จ็อบส์ยังไง อันนี้ไม่มีระบุ รายละเอียดไงเดี๋ยวคงมีการสืบสวนเอง ส่วน patentable ผมกล่าวใน comment ไปแล้ว สำหรับ Unsolicited Idea Submission Policy ผมไม่เจอใน PDF นะ แต่คุณ cyberdude อธิบายเพิ่มมาว่าเป็นประเด็นใน PDF ผมประมาทที่อ่านไม่เจอข้อมูลนี้ในเอกสารของนายยังจริงๆครับ ตอนนี้ก็ยังไม่เจอครับ ... ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องรอให้อินเทลกับจ็อบส์มาตอบเองน่ะครับ
ผมอยากอธิบายให้คุณ cyberdude หรือท่านที่ไม่เข้าใจ คือ ผมไม่ใช่นักข่าวมืออาชีพ ผมและนักเขียนใน Blognone หลายท่าน เขียนข่าวด้วยความสมัครใจ ด้วยใจบริสุทธิ์ โดยส่วนตัว ผมตั้งใจเขียนข่าวในสาย HPC ซึ่งรวม virtualization ที่ปรากฎในข่าวนี้ด้วย ใครถูกใครผิด ผมไม่ขอตัดสิน ผมขอเสนอข่าวตามที่นายยังอธิบายไว้ แต่ถ้าใครอยากได้ความน่าเชื่อถือของนายยังอย่างที่ึคุณ cyberdude อยากให้ผมบอกว่านายยังเป็นใคร ผมไม่อยากแนะนำด้วยการบอกว่าเขาติดคุก มันขัดกับความรู้สึกผม เพราะท้ายที่สุด ศาลเป็นคนตัดสิน ไม่ใช่ให้คนอ่านข่าวมาตัดสิน
เป็นเพียงข้อความเดียวที่ผมต้องมาตอบ comment หลาย comment ทั้งที่อยากจะหยุดไปซะ เพราะมาจากข้อความหนึ่งที่คุณ cyberdude กล่าว แล้วผมไม่สบายใจ ก็แค่ข้อความว่า นักเขียนข่าวบางคนรีบเขียนข่าวเพราะกลัวคนอื่นแย่งข่าว กลัวไม่อัพเดท แล้วทำให้คุณภาพข่าวแย่ลง ... เรื่องนายยัง ไม่มีการพิพากษาเลย ทำไมต้องมาพิพากษานักเขียนใน Blognone ด้วย เป็นครั้งแรกใน Blognone ที่มีการแหย่หนวดผมให้อารมณ์เสียพอสมควร
JavaBoom (Boom is not Java, but Java was boom)
http://javaboom.wordpress.com
My Blog
เห็นด้วยครับ ผมว่าเขียนข่าวมันก็ไม่จำเป็นจะต้องละเอียดมาก.. จะให้หาข้อมูลละเอียดเหมือนเขียน Thesis รึไง (55 ผมร้อนตัวแทนซะเอง)
___________pawinpawin
ผมอ่านข่าวแล้วก็เข้าใจว่าต้องการแค่เสนอความจริงเป็นมุมๆไปนะครับ ผมเห็นด้วยกับข่าวแบบนี้ เพราะมันทำให้เห็นมุมมองหลายๆมุมดี
คิดว่าเป็นเรื่องปกติที่อาจมีคนเอาไปตีความอะไรให้ได้ผลประมาณว่าตัวเองนั้นเก่งกว่า เรื่องแบบนี้มันน่าอารมณ์เสียแต่ว่าในเมื่อเขาคิดแบบนั้นเราก็ไปทำอะไรไม่ได้ (ได้แต่ทำใจ) สุดท้ายสิ่งที่คนจะตัดสินก็คือเนื้อหาของข่าวมากกว่าคำพูดของคนคนหนึ่งแหละครับ
LongSpine.com
เพิ่งอ่านเจอ comment คุณ ABZee
ไม่มีอะไรแล้วครับ จริงๆผมไม่ได้ติดใจอะไรกับข้อมูลเพิ่มเติมที่คุณ cyberdude เสนอมาเลยครับ เพราะหากใครมีมุมมองหรืออ่านข่าวอะไรเพิ่มได้ก็สามารถเพิ่มได้เรื่อยๆครับ ข่าวเก่าๆผมผมก็ไม่ได้แปลแล้วมาแปะไว้ัในนี้ทุกๆส่วน ท่านใดต้องการเสนอเพิ่มใน comment ผมยินดีอยู่แล้ว มันคือธรรมชาติของ blognone ที่ผมเจอมาเป็นเรื่องปกติและทำให้ท่านอื่นได้มุมมองเพิ่ม เหตุผลที่ผมติดใจจริงๆ ผมเคลียร์ไปแล้วครับผม ผมกับคุณ cyberdude เราเป็นมิตรกันครับ
JavaBoom (Boom is not Java, but Java was boom)
http://javaboom.wordpress.com
My Blog
55555555555555555555555555
ฮาแตกสุดๆ แอปเปิลนี่เมพขิงๆ
นโยบายนี้เป็นการป้องกันตนเองน่ะครับ
ดีกว่า วัวหายล้อมคอกก็แล้วกัน ...
ผมมองว่า Blognone อยู่ในสถานะของผู้นำสาร ไม่ได้อยู่ในฐานะของผู้พิพากษา ดังนั้นจะบอกว่าฝ่ายใดถูกก็คงไม่ใช่หน้าที่
onedd.net
onedd.net
เออ รู้สึกนะครับว่าถ้าจำไม่ผิด CPU ประเภท DUO CORE นะจะมีมานานแล้วนะครับ
ถ้าเป็นของ Intel ตัวแรกจะเป็น P III 500 ตัวที่เป็น Slot A นะครับประเภท
1 M/B ใส่ CPU ได้ 2 ตัว และ ของค่าย AMD จะเป็น Duron 600 1 M/B ใส่ได้ 2 CPU เหมือนกัน [ถ้าเป็นคนที่ใช้คอมตั้งแต่ยุค P II หรือ K6 II เป็นต้นมาต้องรู้จักดี ] รู้สึกจะเป็นปี 2000 ต้น ต้น เพราะ งั้น แปล ว่าต้อง มีการคิด ขึ้นมาก่อนปี 2003 แน่ แน่
ครับ Dual core หรือหลักการ multicore มันน่าจะเกิดขึ้นมาก่อนปี 2003 แล้วครับ ผมไม่้มีข้อมูลว่ารุ่นแรกเกิดขึ้นเมื่อปีไหน แต่การใส่โปรเซสเซอร์ลงไปที่เมนบอร์ดมากกว่า 1 หน่วย เช่นใส่ PIII เข้าไป 2 หน่วย เราไม่เรียกว่าเป็น dual core นะครับ เราเรียกว่าเป็น dual processor ครับ ซึ่งอยู่ในประเภท multiprocessor หลักการนี้มีมาตั้งแต่กำเนิดคอมพิวเตอร์รุ่นแรกๆแล้วครับ
วิศวกรออกแบบ Multicore ขึ้นมา จริงๆไม่ใช่เทคโนโลยีก้าวกระโดดอะไรเลย แต่เพราะว่าการเพิ่ม clock speed ให้ได้ตาม Moore's law อย่างแต่ก่อน มันทำได้ยาก นักวิจัยเรียกสิ่งนี้ว่า กำแพง ปัจจัยสำคัญสิ่งหนึ่งคือ ความร้อนและการกินไฟ อีกเรื่องคือ อัตราความผิดพลาดในการทำงาน ส่วนการใช้ multiprocessor นั้นยังคงให้ต้นทุนที่สูงกว่า และไม่ได้แก้ปัญหาความร้อนและการกินไฟได้เท่า multicore ดังนั้น เราจะพบว่าพอถึงยุค multicore แล้ว การเขียนโปรแกรมแบบ multithread จึงถูกนำขึ้นมากล่าวขานเยอะมาก เพราะ clock speed ไม่ได้ช่วยเร่งความเร็วได้มากอย่างแต่ก่อน หากแต่ต้องใช้จำนวน core ที่มากขึ้นมาช่วยประมวลผล
JavaBoom (Boom is not Java, but Java was boom)
http://javaboom.wordpress.com
My Blog
นายแมทธิว โรเบิร์ต ยัง ได้ยื่นฟ้องศาลสหรัฐฯ โดยนายยังอ้างว่า นายจ็อบส์ได้ขโมยผลงานของนายยังไปให้บริษัทอินเทล
จ็อบส์ได้ขโมยผลงานของนายยังไปให้บริษัทอินเทล ?!?
งง ถ้าจะขโมยไปจริง ทำไมไม่เอาไปให้ IBM ที่ผลิต CPU ให้ Apple (ในตอนนั้น)
แค่ยื่นฟ้องน่ะครับ ยังไม่ได้สืบสวนกันเลยว่าตกลงมันเป็นยังไง
LewCPE
lewcpe.com, @wasonliw
ผมเลยต้องสมัครสมาชิกที่นี่เลย...
เอาเป็นว่า ถ้าความเห็นของผมทำให้ผู้เจ้าของข่าวนี้และผู้เกี่ยวข้องเสียความรู้สึกก็ขออภัย แต่อยากจะบอกว่าเขียนด้วยเจตนาดีครับ
ผมไม่ได้'ตัดสิน 'หรือ'พิพากษา' นายยัง หรือใครอื่นเลย เพียงแต่ชี้ให้เห็นว่า ในข่าว และเอกสารอ้างอิงมันมีข้อมูลนั้นๆอยู่แล้ว (ไม่ต้องไปหาข้อมูลเพิ่มด้วย เพราะคุณเองก็รู้อยู่)
แล้วการที่คนอ่านจะทราบว่า คนฟ้องติดคุกอยู่ ก็ไม่ได้เป็นการตัดสินเขาในข่าวนี้ เพราะเรืองที่เขายื่นฟ้อง มันคนละประเด็นกันครับ
ถ้าบอกว่า คุณละเนื้อหานั้นไว้ เพื่อไม่ให้คนอ่าน'พิพากษา'นายยังไปก่อน อันนั้นแหละเป็นการดูถูกหรือตัดสินใจแทนคนอ่านโดยการเจตนาปิดบังเนื้อหาบางส่วน...
คนอ่านข่าวมีสิทธิที่จะรู้ และเขาสามารถคิดด้วยตัวเอง
ผมเข้าใจดีว่าผู้แปลข่าวที่นี่เป็นอาสาสมัคร ทำด้วยใจ ซึ่งน่าชื่นชมครับ ไม่ใช่ทุกคนที่จะมาทำอย่างคุณๆได้ แต่เมื่อทำจริงแล้วก็อย่าให้ความเป็นมือสมัครเล่นมาเป็นข้ออ้างขัดขวางความสมบูรณ์แบบที่คุณจะทำได้ครับ
จากในข่าวแปล:
"ประมาณเดือนมีนาคมปี 2003 นายยังได้แสดงผลงาน LANCELOT ของเขาให้นายจ็อบส์ดู แต่ไม่ได้ส่งรายละเอียดของงานนี้ให้กับจ็อบส์"
"แต่ท้ายที่สุด จ็อบส์ก็ไม่ได้ตอบตกลงในสัญญาดังกล่าว"
จากเอกสารที่แปลมา " In March or April of 2003, pro se plaintiff, sent a copy of the Designs... to Steve Job s , at Appl e Computer , in California, but did not send Mr . Jobs, the
proprietary information, which is the Trade Secret."
-ถ้าแปล 'sent' ว่า 'ส่ง' ธรรมดา ก็เข้าใจแล้วว่าไม่เคยมีการพบกัน
จากเอกสาร "b ) Steve Jobs , never replied to pro se plaintiff."
-ไม่เคยตอบรับ, ไม่เคยได้รับการตอบกลับ
คือมันเขียนให้อ่านเข้าใจง่ายๆได้น่ะครับ เลยไม่แน่ใจว่าจะจะเขียนให้ตีความได้ว่า นายยังเข้าไปแสดงผลงานให้จอปส์ดูทำไมฤา?
การ'ส่งจดหมายไป แล้วไม่ได้รับการตอบกลับใดๆ' กับการ'ได้เข้าเสนอผลงาน คุยเรื่องสัญญาแล้วฝ่ายตรงข้ามเงียบไป' มันต่างกันเยอะนะครับ
ส่วนความเห็นของผมเรื่อง กลัวตกข่าว กลัวโดนแย่งข่าวนั้น ถ้าทำให้เจ้าของเรื่องเสียความรู้สึกก็ขอโทษอีกครั้ง ยืนยันว่าผมไม่ได้เจาะจงหมายความถึงตัวคุณครับ แต่เป็นความเห็นรวมๆว่า ในที่สุด ไม่ว่าจะอาชีพหรือสมัครเล่น มาเขียนข่าวก็คงอยากให้เร็วๆเพื่อให้ทันเหตุการณ์
อันนี้ผมรู้สึกเอาเองจากข่าวอื่นที่คนอื่นเขียนมาก่อนแล้ว พอไปบ่นเข้าตอนนี้พอดีก็เหมือนว่าคุณมารับไป ต้องขออภัย
ความ perfect ไม่มีหรอก แต่ถ้าช่วยๆกัน วิจารณ์ รับฟัง แก้ไข ในสิ่งที่พอรับฟังได้ มันก็น่าจะดียิ่งๆขี้นใช่มั๊ยครับ
ผมไม่ได้จงใจติให้คุณท้อ หรือยั่วให้อารมณ์เสียนะครับ ผมแค่แสดงความเห็น หนึ่งเสียง ซึ่งอาจจะมีค่าหรือไม่ก็แล้วแต่ :)
ส่วนเรื่อง Unsolicited Idea Submission Policy สำหรับคนที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนแล้วรู้สึกขำ ก็ขอให้ทราบว่าเป็นเรื่องธรรมดาในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการสร้างสรรค์ครับ บริษัทผลิตสื่อ วงการภาพยนตร์ วงการซอฟท์แวร์จะมีประกาศไว้
ไมโครซอฟท์, อโดบี, มิราแม็กซ์, ดิสนี่ย์ ฯลฯ มีบอกไว้หมดครับ
ที่เขาต้องทำก็เพื่อการป้องกันพวก innovation without talent คือได้แต่คิดไปเรื่อยแต่ทำเองไม่เป็นครับ พวกที่เขียนพล็อตหนังหน้าเดียว, ฮัมเพลงใส่เทป,หรือดีไซน์ฮาร์ดแวร์ใส่กระดาษเช็ดปาก ใส่ซองสุ่มส่งไปบริษัทใหญ่ๆ แล้วเก็บต้นขั้วลงทะเบียนไว้ รอฟ้องเวลาที่มีสินค้าอะไรคล้ายๆกันออกมาขายทีหลัง
คนที่มีไอเดียต้องมีความสามารถจริงด้วย อย่างน้อยก็ทำ proof of concept หรือเดโมออกมาเป็นรูปร่าง ละเอียดพอจดสิทธิบัตรได้ถึงจะอยู่รอด มีสิทธิ์เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากผลงานได้
ถ้าคนอย่าง Linus, Page หรือ Zuckerberg ได้แต่คิด แล้วอธิบายไอเดียใส่กระดาษส่งไปขอเงินเฉยๆ โลกมันก็ไม่เป็นอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้หรอกครับ...
สมมุติว่าผมต้องทำงานที่ใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้มาหลายปี ถ้าพอรู้ข้อเท็จจริงหรือมีความเห็นอะไรจากมุมมองนี้บ้าง พอเข้ามาแสดงความเห็นก็อาจจะถูกพิพากษาให้เป็น 'สาวก' ไปในทันทีก็ได้
ที่จริงผมแค่ท้วงในสิ่งที่ผมเข้าใจว่ามันไม่ถูก เพราะผมไม่อยากจะ tolerate ตัวความไม่รู้อันนั้น (ขอแย้งในสิ่งที่กล่าวถึง ไม่ได้ว่าไปที่ตัวผู้พูด)
ถ้าผมพอจะรู้เรื่องการปลูกข้าวนาปรัง ผมก็คงไปคิด ไปแย้งในฟอรั่มปลูกข้าว แล้วก็คงถูกหาว่าเป็น 'สาวก'ของสิ่งอื่นอีก...มันก็เท่านั้นเอง :)
สำหรับคนที่ชอบการ stereotype บางทีวิธีคิดแบบนี้ก็ทำให้ชีวิตพวกเขาง่ายขี้น ....
ขอบคุณที่รับฟังครับ
ลืมไป ขอบคุณคุณ artslan ที่ช่วยเอาความเห็นผมมาแปะไว้ข้างบน
แต่ขอออกตัวว่าผมไม่เคยเป็นอาจารย์ครับ หลายๆแห่งที่ผมเข้าไปดู(รวมทั้งที่นี่ด้วย) มีครูอาจารย์ที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมอ่านเขียนอยู่หลายท่าน ถ้าเรียกคนรู้น้อยอย่างผมเป็นอาจารย์ ก็อาจจะเป็นการลบหลู่ท่านที่อยู่ในวิชาชีพจริงๆเหล่านั้นครับ
ขอบคุณคุณ cyberdude ที่เข้ามาชี้แจงครับ
ผมว่าเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ทำกันที่เราทั้งสองคนมาเจอกันและคุยกันให้ดี ก่อนที่จะัมีการตำหนิติเตียนหรือดุคนๆนั้นแบบลับหลัง ซึ่งตอนนี้คุณ cyberdude ประพฤติตัวได้น่าชื่นชมครับ
ผมยอมรับผิดว่าผมไม่้เสนอข่าวในส่วนที่นายยังติดคุก ยืนยันว่าเป็นความรู้สึกส่วนตัวของผมครับ ผมยอมรับอย่างลูกผู้ชายว่าผมกลัวผู้อ่านข่าวบางท่านตำหนินายยังว่าติดคุกจริงๆครับ แต่้หากหมายถึงผมดูถูกผู้อ่านหรือนายยังไปด้วย ผมขอโทษทุกๆท่านในที่นี้
แม้คุณ cyberdude ยืนยันว่าการให้ข่าวส่วนนายยังติดคุกเป็นส่วนที่ต้องทำ ผมยืนยันในที่นี้ว่าถ้ามีข่าวประเภทนี้อีกผมก็จะไม่ทำครับ ส่วนเรื่องการส่งงานไปให้นายจ็อบส์ดู คุณ cyberdude เข้ามาแก้ข่าวให้ด้่วย นั่นก็คือ check & balance ครับ แล้วผมจะแก้ในส่วนท้ายของข่าว ขอบคุณครับ
สไตล์การเขียนข่าวของผม ผมเลือกเองว่าจะตัดเรื่องอะไรออก จะเลือกเรื่องอะไรเข้า จะคุยเรื่องอะไรก่อนหลัง และผมว่านี่ึคือสมาคมของ Blognone ครับ ผู้เขียนข่าวเลือกเอง และที่เราเน้นคือการใส่ที่มาที่ไป ถ้ามีท่านใดเจอว่าข่าวนี้ต้องเสนอข้อมูลเพิ่ม ท่านนั้นก็สามารถเสนอข่าวเพิ่มเติม หรือวิจารณ์ต่อไปได้ แต่ขอแึค่ว่า อย่าใช้ึำคำพูดเสียดสี กระทบกระทั่งผู้อื่น ดั่งที่เราได้ใส่กฎเกณฑ์การแสดงความคิดเห็นไว้ครับ
Blognone คือ เว็บคุยข่าว ไม่ใช่สำนักข่าว อย่างที่คุณ cyberdude เข้าใจถูกต้องแล้วครับ เราเป็นอาสาสมัครครับ เราเอาข่าวมาคุยกัน อีกส่วนหนึ่งคือ การมาพบปะกันระหว่างคนที่ชอบหรือไม่ชอบในสิ่งเดียวกัน มาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่แตกต่างกันด้วย โดยรวมแล้ว เราเป็นสมาคม Web 2.0 หรือ X.X อะไรก็ตาม แต่เป็นแหล่งที่เรามาพบปะกัน สำหรับตัวผมเอง ผมเข้ามา blognone หาใช่เพื่อมาเขียนข่าวไอทีเท่านั้น แต่จุดประสงค์อีกอย่้างคือผมได้เจอเพื่อนครับ
โดยสรุปแล้วเป็นความเข้าใจผิดของผมต่อข้อความคุณ cyberdude เองครับ ผมเพียงตกใจในข้อความที่ว่า คุณ cyberdude ให้ผมอ่านให้ละเอียดนิดนึงและมาจบท้ายด้วยการพาดพิงถึง blognone ว่ารีับเขียนข่าว กลัวคนตัดหน้า ส่วนนี้ ทำให้ผมมีความรู้สึกไม่ดีและหดหู่ไปค่อนวันเลยครับ
แต่ท้ายที่สุดแล้ว คุณ cyberdude ก็เข้ามาอธิบายในที่แห่งนี้ มาสร้างความเข้าใจให้ผมและเพื่อนนักเขียนท่านอื่น ผมชื่นชมในตัวคุณ cyberdude ด้วยใจจริงครับ และขอโทษในทุกๆคำพูดทุกๆความรู้สึกของผมที่ไม่ดีในอดีตที่มีต่อคุณ cyberdude ครับ และหวังว่าเรายังสามารถคุยกันได้ในโอกาสอื่นๆในฐานะมิตรภาพนะครับ :)
ด้วยความเคารพ
JavaBoom - ศิวดล ไชยศิริ
JavaBoom (Boom is not Java, but Java was boom)
http://javaboom.wordpress.com
My Blog
คุณ javaboom ตอบดีมากครับ
ขอชื่นชม
ขอบคุณครับ
JavaBoom (Boom is not Java, but Java was boom)
http://javaboom.wordpress.com
My Blog
ขอบคุณในความเข้าใจครับ
ทุกวันนี้เรามักจะใจร้อน พอมีความเห็นขัดแย้งไม่ใช่พวกก็รีบใส่กันก่อน
พอได้รับการตอบรับแบบนี้จากที่นี่ก็สบายใจขี้นเยอะครับ
ผมเองอ่านที่คุณรู้สึกมาตอนแรก ตัวเองก็ต้องรีบกลับเข้าไปดูว่าเราเขียนว่าคนอื่นตรงตัวและแรงแบบนั้นเชียวหรือ ทั้งที่ไม่ได้เจตนาอย่างที่บอก
ที่ตอนแรกเสียมารยาทบอกฝากสมาชิกท่านอื่นมา เพราะผมไม่ได้คิดจะสมัครสมาชิกเพื่อโพสแย้งแค่เรื่องเดียวครับ ไม่ทันคิดว่าจะทำให้เกิดเป็นเรื่องเหมือนว่ากันข้ามบอร์ด แต่พอกลับมาอ่านเจอที่นี่ก็รู้สึกไม่สบายใจ ถ้าไม่เข้ามาชี้แจงเองก็อาจจะทำให้คนที่นี่รู้สึกไม่ดีต่อทาง freemac ไปด้วย ทั้งๆที่เป็นแค่ความเห็นและการกระทำของผมเพียงคนเดียว
และขอบคุณจริงๆ อีกครั้งที่ทำให้รู้สึกว่า คนไทยเรายังมีความสามารถที่จะเห็นต่างกันได้อย่างเป็นมิตรอยู่ครับ :)