ที่ผ่าน World AI Conference ที่เซี่ยงไฮ้ กูเกิลนำเสนอเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่บริษัทได้ทำมาและแนวทางที่กำลังทำต่อไป คนหนึ่งที่มาร่วมนำเสนอด้วย คือ Lily Peng ผู้จัดการโครงการ (product manager) ของกูเกิลที่ดูแลการวิจัยโครงการทำนายเบาหวานได้จากภาพดวงตา และโครงการนี้กำลังทำวิจัยอยู่ในประเทศไทยอยู่ด้วย และผมได้มีโอกาสสัมภาษณ์เธอถึงความคืบหน้าโครงการและการนำเทคโนโลยีเช่นนี้มาใช้งานจริง
เธอระบุว่าก่อนจะมีการใช้งานเทคโนโลยีเหล่านี้ได้จริง ต้องมีการยืนยัน (validate) ว่าอัลกอริทึมนี้ใช้ทำนายเบาหวานกับคนไทยได้ โดยต้องเทียบผลกับผู้เชี่ยวชาญว่าเมื่อดูภาพแลัววินิจฉัยออกมาเป็นอย่างไร จุดสำคัญอย่างหนึ่งที่กูเกิลมาทำวิจัยเรื่องนี้ในเมืองไทย เพราะไทยมีโครงการคัดกรองเบาหวานในระดับชาติอยู่แล้ว
หลายชาติไม่มีโครงการคัดกรองโรคในระดับชาติ บางชาติมีโครงการคัดกรองที่กระจายกันไปตามสิทธิต่างๆ ทำให้มีมาตรฐานบางอย่างที่ต่างกัน และการที่กูเกิลเลือกทำงานกับหน่วยงานในบางชาติ เช่น อินเดีย หรือไทย เพราะชาติเหล่านี้ได้วางพื้นฐานเหล่านี้ไว้ และหากโครงการเหล่านี้มีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยก็จะช่วยให้โครงการมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เป้าหมายของโครงการสร้างปัญญาประดิษฐ์เพื่อตรวจเบาหวานจากภาพสแกนม่านตาคือการทำให้สถานพยาบาลปฐมภูมิ (primary care) สามารถสื่อสารกับคนไข้ได้มากขึ้นว่าอาการเป็นอย่างไร มีสถานะที่ดีขึ้นหรือแย่ลง ต้องการการดูแลเพิ่มเติมหรือไม่ อย่างไรก็ดีการใช้งานน่าจะจำกัดอยู่ในฐานะเครื่องมือสำหรับแพทย์ โดยอาจจะเป็นแพทย์ทั่วไปไม่ต้องเป็นแพทย์เฉพาะทางในการอ่านผลสแกน
ก่อนจะนำเทคโนโลยีไปใช้งานได้จริง ยังต้องดูถึงขั้นตอนการรักษาของไทย แนวทางการทำงานและข้อจำกัดเป็นอย่างไร เช่น หน่วยพยาบาลต่างๆ มีอินเทอร์เน็ตหรือไม่ ไปจนถึงอุปกรณ์ที่หน่วยงานต่างๆ ใช้อุปกรณ์ยี่ห้ออะไรบ้าง ตอนนี้โครงการระหว่างกูเกิลและพันธมิตรในไทยยังอยู่ในช่วงไม่เปิดเผยข้อมูล และจะมีการตีพิมพ์ผลที่ได้ต่อไปเมื่อโครงการเสร็จสิ้น
Comments
และมีคนเป็นกันเยอะด้วยป่าว :P
ข่าวในลักษณะนี้ เช่น เลือกประเทศโน้นสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ ก็จะออกมาด่าประเทศตัวเอง พอข่าวนี้ google เลือกไทยก็คงจะหาช่องทางด่ากันอีก
จริง บางทีก็ไม่เข้าใจนะว่าถ้ามันอึดอัดมากทำไมไม่ย้ายไปอยู่ที่อื่น ไม่รู้จะตามแซะให้ได้อะไรขึ้นมา งง
คนตรรกะป่วยๆแบบนี้มีอยู่ทุกที่จริงๆ
สงสัยคงชอบความห่วยแตกของประเทศนี้มั๊ง ถึงว่าหรือแซะอะไรไม่ได้ ทำเป็นแต่ไล่คนไม่ชอบออกไป
ไม่ก็คงโดนระบบห่วยๆ กับการโฆษณาชวนเชื่อล้างสมองไปหมดแล้ว ห้ามถาม ห้ามสงสัย ห้ามคิด ชาบูอย่างเดียว
ก็คงต้องปล่อยให้มันห่วยอย่างนี้ต่อไป ท่าจะชอบกัน
สังคมประเทศนี้ เป็นสังคมก้มหน้าครับ
ถามคิด ห้ามถาม ห้ามสงสัย ห้ามวิจารณ์
คาดไม่ผิดจริงๆ ว่าต้องมีประโยคสุดคลาสสิค
"ไม่พอใจก็ออกไป"
ดูกันดีดีๆ ประเทศนี้สมองไหลยังไม่พอหรอ 555
...สมองไหลออก แต่มะเร็งยังอยู่
ทำแบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับหนีความจริงครับ คนด่าและบ่นเรื่องต่างๆ ออกมาจากใจ จิตสำนึก และความเครียดสะสม เพราะมันเกิดขึ้นจริงในชีวิตเขาไง และเพราะปัญหาเดิมๆ ในบ้านเรา มันไม่เคยไปไหนหรือพัฒนาอะไรเลย มันถึงมีคนด่าและบ่นออกมาไง ถ้ามันแก้ไขและพัฒนาจนหลุดจากปัญหาไปแล้ว เสียงด่าจะลดลงไปเอง หรือหายไปเลย
ถ้ามีคนที่เห็นใจและใส่ใจที่จะแก้ปัญหาจริงๆ ในบ้านเรา เราคงไม่ต้องมารับฟังและอ่านความเห็นที่มีทั้งด่า เสียดสี หรือดูถูกหรอกครับ เราคงไปไกลเหมือนสิงคโปร์แล้ว มองใกล้ๆเลย เกาะเล็กแต่ศักยภาพเทียบเท่ามหาอำนาจ เทียบอะไรไม่ได้เลยครับ
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
ตรรกะป่วยครับ
ผมด่าบ่อยมาก เพราะอะไร เพราะผมรู้ว่าไม่สามารถหนีไปไหนได้ ผมอยากย้ายไปประเทศอย่างนอร์เวย์ใจจะขาด แต่ทำไมไม่ไป?
ค่าย้ายบ้าน/ค่าอยู่อาศัย - ไม่มี
citizenship - ไม่มี
งาน - พอข้อสองไม่มี ข้อนี้ก็ยาก
ผมเห็นดาราบางคนบอกไม่พอใจก็ไปอยู่ที่อื่น ครับ..ผมไม่ได้รวยมีเงินเป็นล้านอย่างท่านๆจะได้ย้ายไปไหนก็ได้ แค่ย้ายบ้านในประเทศไทยยังเสียค่าใช้จ่ายเป็นล้าน นี่พูดถึงการย้ายประเทศกันเลย
พอย้ายไมไ่ด้ ก็เลยต้องพยายามทำให้มันพัฒนา แต่พอพยายามแล้วมันไม่พัฒนา สุดท้ายก็วกกลับมาด่า แต่สิ่งนึงที่ผมสังเกตุคือคนบอกให้ย้าย มักจะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา เลยไม่ค่อยรู้สึกรู้สมอะไรกับปัญหาของประเทศมากนัก
ไปลองศึกษาดูก่อนนะครับว่าถ้าคิดจะย้ายหนีไปอยู่ประเทศอื่นจริง ๆ มันยากแค่ไหน การจะเอาเงินออกไปจากประเทศนี้มันยากมาก ๆ คุณไปเปิดบัญชีที่ประเทศอื่นแล้วจะโอนเงินออกไปเฉย ๆ ไม่ได้ ต้องมานั่งอธิบายว่าเอาออกไปทำไมไปลงทุนหรือซื้ออะไร จะบอกว่าเบื่อประเทศนี้แล้วจะไปอยู่ที่อื่นไม่ได้ถือว่าผิดกฎหมาย
และกูเกิลก็ขายข้อมูลให้บริษัทประกันต่อ ผ่าม!
ลองเปลี่ยนเป็นสิงคโปร์หรือมาเลเซียสิคงจะมีแน่
แต่ว่าในคอมเมนต์ของข่าวนี้ผมยังไม่มีใครด่าหรือว่าอะไรเลยนะครับ จนกระทั่งมาเจอคอมเมนต์ของคุณที่มาจุดประเด็นขึ้น
จริงครับ พึ่งเม้นที่2เอง ก็ออกตัวซะแล้ว 555
+1
เข้าใจว่าไทยเป็นประเทศที่มีความทันสมัยด้านหมอๆ โดยที่ราคาไม่แพงมากเกินไป
แถมคนกระจุกตัวกันมากในพื้นที่เล็กๆ น่าจะสะดวกในการทำวิจัย เพราะต้นทุนไม่สูงเกิน และมี Sample เยอะ
+1
ที่เลือกไทนน่าจะเพราะอันนี้
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/750575
เข้าใจว่าอันนี้คือเป็น DM แล้วครับ โดยภาวะเบาหวานขึ้นตานี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังเป็นเบาหวานครับ ส่วนของกูเกิลเป็นตรวจก่อนจะเป็นเบาหวาน
จริงๆ เขาเลี่ยงไม่พูดถึงตัวงานที่ทำอยู่เท่าไหร่ครับ (ผมถามพวกกลุ่มตัวอย่าง โรงพยาบาล อะไรแบบนี้ ไม่ตอบเลย) บอกว่าอยู่ระหว่าง embargo รอแถลงงานเต็มอย่างเดียว บอกแค่กว้างๆ ว่าประเทศไทยพร้อมเพราะมี national program ที่ค่อนข้างเป็นระบบ
lewcpe.com, @wasonliw
อ้อครับ เห็นเขียนว่าโครงการทำนายเบาหวานจากดวงตา เลยเข้าใจว่าตรวจว่าจะเป็นเบาหวานไหมจากดวงตา ไม่ต้องเจาะเลือด
คือโครงการที่ตีพิมพ์มาแล้วเป็นอันนั้นครับ
แต่ขอบเขตโครงการของไทยนี่ไม่รู้เลย (อาจจะแคบกว่านั้น)
lewcpe.com, @wasonliw
การมีโครงการในระดับชาติอยู่แล้ว นอกจากจะช่วยให้การทำงานเป็นระบบ และมาตรฐานขึ้น ก็อาจหมายถึงถ้าออก Products มาได้ ก็มีแนวโน้มที่จะขายได้มากกว่าประเทศที่ยังไม่ตั้งงบ หรือให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ..
แต่อย่างไรผมก็มองว่าดี เพราะมัน Win & Win ?
my blog
อยากรู้ว่า ทำนายเบาหวานจากภาพดวงตาได้แล้ว จะเอาไปใช้ประโยชน์ได้มากแค่ไหน
เพราะตรวจเบาหวาน ตรวจแม่นๆ เจาะเลือดง่ายกว่าหาโอกาสมาตรวจภาพดวงตา (นัดตรวจ หยอดยาขยายม่านตา ฯลฯ)..
ขั้นตอน เข้าแลบตรวจเลือดก็น่าจะไม่ต้องมี น่าจะลดได้เยอะนะครับ
การถ่ายภาพ retina ต้องใช้เวลาเยอะกว่าตรวจเลือดอีกครับ มาถึงต้องมาหยอดยาขยายม่านตา ทิ้งไว้เกือบ 30 นาทีจนมันขยายโตเต็มที่จึงจะสามารถส่องด้วยกล้องได้ครบถ้วน ในทางตรงกันข้าม ถ้าตรวจเลือดมาเพื่อตรวจเฉพาะ blood glucose / HbA1c ไม่เกิน 20 นาทีได้เลย
ผมเข้าใจว่าถ้าใช้ภาพแค่บางส่วน ไม่ต้องขยายม่านตาก็ได้แบบนี้ถึงจะ superior กว่าอย่างชัดเจน
น่าจะเกี่ยวกับการเทรนบุคลากรด้วยนะครับ เทรนให้หยอดตากับถ่ายภาพ น่าจะง่ายกว่าการเทรนให้เจาะเลือดแล้วตรวจเลือด ห้องแลบก็ไม่ต้องใช้แลบขั้นสูงเท่าแลบเจาะเลือด ถึงจะใช้เวลามากกว่า แต่ทำได้หลายหน่วยกว่าก็ดูเป็นทางเลือกที่ดีนะครับ
https://youtu.be/1KhuLg_F8rc
จากคลิปล่าสุดเลยครับ ไม่รู้ว่าถ่ายแบบไหนเหมือนกัน
ถ้าจากข่าวเก่าน่าจะเป็นภาพถ่ายจอประสาทตา (retina) หรือเปล่าครับ