Mike Pompeo รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ ให้สัมภาษณ์ว่ารัฐบาลสหรัฐกำลังพิจารณาดูว่า จะแบนโซเชียลจีน แบบเดียวกับที่รัฐบาลอินเดียทำ หรือไม่
Pompeo บอกว่าพิจารณาเรื่องการแบนแอพจีนอย่างจริงจัง โดยยกกรณีของการแบน Huawei และ ZTE ที่เกิดขึ้นแล้วมาเทียบ
ส่วนเหตุผลที่แบนแอพจีน มาจากความกังวลว่าแอพเหล่านี้จะส่งข้อมูลกลับไปให้รัฐบาลจีน โดย Pompeo แนะนำว่าคนอเมริกันไม่ควรโหลดแอพแบบ TikTok มาใช้งาน เว้นเสียแต่ว่าอยากให้รัฐบาลจีนเข้าถึงข้อมูลของตัวเองได้
Mike Pompeo ภาพจาก @SecPompeo
Comments
ดีมาก
@TonsTweetings
Apps War
แบนเยอะ ๆ เดี๋ยวเกิดสงครามจนได้ แบบเดียวกับ WWII
เจ้าพ่อ 2 สาย
1.สายรัสเชีย-com
2.สายสหรัฐ-dem
ซึ่งไม่น่าชื่นชมเลย
ลืมอีกอันครับ
3-สายจีน-dictatorship(as communist)
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
ผมสาย บล็อกนัน.com ครับ
ประชาชนสหรัฐ คงต้องเลือกแล้วครับ ว่า...
หรือ 3. กดส่ง data ให้ FBI, KGB และ ทางการจีนเฉย ๆ
นะครับ
ถามผู้รู้เล่นๆหน่อยครับว่า ถ้าเกิดตอบโต้กันไป ตอบโต้กันมา จนผู้นำทั้ง 2 ชาติเกิดบ้าพลัง ยกเลิกการค้าขายระหว่างกันขึ้นมาจริงๆ แบบว่าไม่ให้นำเข้าและส่งออกเลย (ซึ่งมันคงเกิดขึ้นยากแหละ) ใครจะเจ็บหนักกว่ากันครับ
เอาแค่แบนสินค้าของกันและกันพอนะครับ ไม่เอาถึงระดับเบี้ยวเงินกู้หรืออะไรที่สัญญาผูกพันระยะยาว เพราะอันนั้นคงเป็นเรื่องใหญ่กว่านี้มากๆ
..: เรื่อยไป
ผมว่าเป็นช่วงใกล้เลือกตั้ง เลยออกมาหาผู้ร้าย(อันใหญ่ๆ ที่คนรู้จักเยอะๆ)ให้ท่านประธานาธิบดี แต่พอหลังเลือกตั้งก็จูบปากกันอยู่ดี
มุมมองในแง่ร้ายสุดๆ คือ
มันมีแนวโน้มที่ฝรั่งพยายามตัด supply chain จีน ออกจากระบบโลกก่อนก่อสงครามกับจีนจริงๆอยู่ครับ
ซึ่งไปถึงจุดนั้นได้ ฝรั่งจะมี supply chain ที่ผลิตได้เรื่อยๆ
แต่จีนจะไม่มี supply chain ให้ซื้อ
แล้วต่อให้จีนผลิตเองได้ก็จะโดนบอมบ์จนผลิตไม่ได้อยู่ดี
ถือหุ้นบริษัทที่อยู่นอกจีนก็จบละครับ หนามยอกเอาหนามบ่งได้สบายครับ
นั่นคือสาเหตุที่ฝรั่งไล่ทุนจีนด้วยครับ
จีนกะสหรัฐมันเปรียบได้กับสามีภรรยาที่ไม่ได้รักกันแล้ว แต่ยังหย่ากันไม่ได้เพราะติดเรื่องลูก สมบัติอะไรเต็มไปหมด มันก็จะเป็นแบบนี้แหละครับ งอนกันดีกัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้หรอก เพราะผลประโยชน์มันเยอะเกินกว่าจะหักกันได้
อีกหน่อยคนคงต้องกลับมาใช้ email ติดต่อกัน
เพราะแต่ละประเทศแบน platform กันไปกันมา
TikTok กำลังจะโดนแบนใน US
แต่ก่อนหน้านี้ จีนแบน Google, YouTube, Facebook, Instagram, Twitter ฯลฯ อีกมากมาย ไปก่อนแล้ว ....
จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะบริบทมันต่างกัน
จีนประกาศตัวแต่แรกแล้วว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ควบคุมข้อมูลข่าวสารโดยรัฐบาล ประกาศตั้งแต่ก่อนแอปพวกนี้จะเกิดด้วยซ้ำ ฉะนั้นเข้าไม่ได้ก็ไม่แปลก
แต่ประเทศที่ประกาศตัวเองว่าเสรี ใครจะเข้ามาลงทุนแข่งขันอะไรก็ได้อย่างสหรัฐฯ กลับแบนแอป ก็ควรต้องโชว์หลักฐานอะไรบ้าง
ผมคิดว่าไม่เชิงนะ เพราะเค้าก็มีอำนาจแบนบนพื้นฐานของกฎหมายของเค้า และคนโดนแบนก็มีสิทธิ์จะยื่นแย้งได้ (ผิดกับจีน) เพราะกฎหมายเค้าเปิดช่องไว้ ไม่ใช่ว่าเสรีทุกอย่าง และทุกอย่างมีกระบวนการขั้นตอน (ตอนนี้ก็ยังไมไ่ด้แบน) หากถูกแบนจะด้วยเหตุผลที่ออกมาอธิบายได้หรือไม่ อันนั้นก็ต้องให้สิทธิอธิปไตยของประเทศนั้นๆ ครับ ซึ่งก็มีกระบวนการให้มันสมดุล มีการสู้กันระหว่างรัฐกับเอกชน ของอุทธรณ์ต่างๆ นาๆ หลักฐานใหม่มาที่เป็นผลดีกับเอกชน หรืออุทธรณ์ขอทำตามข้อกำหนดของรัฐ ก็เอาข้อมูลหรือหลักฐานมา ถ้าฟังขึ้นหรือตรวจสอบแล้วโอเค ก็ปลดแบนไป ถ้าทำไม่ได้ก็ตัวใครตัวมัน
ผมให้ความเห็นในมุมของสิทธิอธิปไตยของประเทศนั้นๆ บนพื้นฐานว่าเค้าก็มีสิทธิ์ทำได้ แม้จะบอกว่าตัวเองเป็นประเทศเสรี แต่ถ้ากระบวนการเค้าเปิดช่องให้ทำ ซึ่งก็มีตัวอย่างแล้วในกรณีหัวเหว่ย
ทุกอย่างที่ทำก็ทำเพื่อความมั่นคงของประเทศตัวเอง บางครั้งก็มีเหตุผลดีมาประกอบการแบน บางทีหาเหตุผลดีๆไม่ได้ก็แบนมันดื้อๆ
จีนต้นทุนทางเสรีภาพต่ำ จะทำอะไรแม้ไม่มีเหตุผลประกอบหรือเหตุผลไม่น่าฟังก็ดูไม่เป็นไร
อเมริกา ต้นทุนเสรีภาพสูง ทำอะไรที่ไม่มีเหตุผลหรือเหตุผลไม่น่าฟัง คนก็เลยยี้กันเยอะ
แต่สุดท้ายที่สองประเทศทำ ก็เพื่อความมั่นคงของชาติตัวเอง
ในอีกทางนึงการที่จะไปค้าขายกับเขาแบบที่ของเขาดีเราก็จะไม่ให้เงินไหลออกไปหาเขา แต่ของเราดีเราจะเอาออกไปโกยเงินเข้ามานี่ผมก็ไม่เห็นด้วยนะครับ
ทุกวันนี้ที่ใช้งาน social ของ US ก็ไม่ต่างกับส่งข้อมูลให้รัฐบาล US รึเปล่า?
ก็ชัดเจนว่าจะแบ่งโลก social เป็นสองขั้วด้วยคำว่า "ความมั่นคง"
เดี๋ยววันนึงประเทศเราก็จะโดนบีบให้ตัดสินใจว่าจะเดินตามใคร...
ถึงวันนั้นเราอาจมี “ไทยแชท / ไทยแชะ / ไทยแซะ”
ให้ใช้งาน
ถ้าบังคับใช้ของไทย ผมไม่เล่นเลยครับ ในความคิดผมให้ข้อมูลจีนยังดีกว่าให้ข้อมูลรัฐบาลไทย
มั่นใจในจีนขนาดนั้ยเลยเหรอครับ เพราะหน่วยงานรัฐสามารถดูข้อมูล, กรองเนื้อหา และลบได้แทบจะทันที ดูแล้วแย่กว่าไทยอยู่ตรงที่เขาเอาจริงและเข้มงวดเรื่องนี้เยอะกว่าเรามาก
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
้เดาว่าน่าจะหมายถึงจีนเอาข้อมูลไปก็ทำอะไรเราไม่ได้มาก (เขาอยู่จีนเราอยู่ไทย) แต่รัฐบาลไทยเอาไป ทำอะไรได้เยอะแยะเลย ไม่น่าจะหมายถึงมั่นใจจีนมากกว่ามั้งครับ
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ต่างครับ ฝั่ง US ภาคเอกชน ประชาชนเค้ายังมีอำนาจคานกับรัฐบาลอยู่มาก
เอกชนมีสิทธิ์กับข้อมูลนั้นก่อนถึงมือรัฐบาลสหรัฐ
แต่จีน รัฐบาลต้องอ่านข้อมูลนั้นออกด้วย
ก็ในเมื่อเบอร์หนึ่งกำลังจะร่วงด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง เบอร์สองที่กำลังจะขึ้นมาก็จะโดนเตะตัดขาอย่างงี้เรื่อยๆแหละครับ ยังไงก็ไม่ยอมหรอก
จีนแบนได้ ทำไหมสหรัฐจะแบนกลับบ้างไม่ได้
คนจีนในไทยตอบหน่อย
ตัวเองไม่ให้คนในคอกตัวเองใช้ของที่มาจากที่อื่น
พอคนนอกอยากแบนของที่มาจากคอก คนจีนโพ้นทะเล ดันเดือดร้อน
เกี่ยวอะไรกับคนจีนในไทยครับเนี่ย แสดงความเห็นเหมือนคอมเมนต์ในข่าวเป็นไปในเชิงไม่เห็นด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่นะ...
ผมหมายถึงคนที่เข้าข้างจีนทุกอย่าง ทั้งๆที่ไม่ดูหลักความจริง
ผมเลยพูดว่าเขาคือคนจีน ที่ไม่ได้อยู่ในจีน
ที่อ่านคอมเมนต์อื่นมาก็ไม่เห็นว่าจะมีใครเข้าข้างจีนทุกอย่างนะครับ
ถ้าคุณหมายถึงอย่างนั้นเขาเรียก โปรฯจีน ครับ
จริงของคุณ คือสัจธรรมจริงแท้แน่นอนสินะครับ (ฮา)
หลักคิดน่ากลัวมาก ใครคิดไม่ตรงกับตัวก็พลักเขาไปเป็นอีกฝ่าย
ด้วยหลักคิดแบบนี้ทำให้เมื่อก่อนคนไทยต้องรบราฆ่าฟันกันเอง
เพราะถูกอีกฝ่ายพลักให้เป็น ผกค.
ตอนเด็กๆ คนแบบนี้น่าจะหยิกคนที่ไม่ให้ท้ายตัวเองด้วย
ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรนะ แต่แค่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณเขียนก็เลยมาตอบ และเนื่องจากคุณโพสเนื้อหาเป็น public ผมเลยมีสิทธิ์ที่จะ comment ได้ หวังว่าจะไม่เข้าใจผิดว่าผมเดือดร้อนนะ
ถ้ามองแค่การกระทำเพียงอย่างเดียว มันก็แฟร์ "แบนมาแบนกลับ ไม่โกง"
แต่ถ้ามองบริบทรอบข้างด้วย จะเห็นว่ามันแปลกๆ
ฉะนั้นถ้า 3 ประเทศนี้แบนแอปข่าวสักตัวนึง ประเทศไหนจะแปลกที่สุด?
ไม่จำเป็นต้องทำตามนี่ คำพูดเฉย ๆ ไม่ได้เป็นกฎหมาย หรือรัฐธรรมนูญของที่นั่น ใช้สิทธิไม่ต่างกัน