การเติบโตของ TikTok โดยเฉพาะในสหรัฐก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นเพียงภัยคุกคามด้านความมั่นคง (ในมุมมองรัฐบาลสหรัฐ) แต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นภัยคุกคามกับ Facebook ที่จะเข้ามาแย่งส่วนแบ่งการตลาดและเม็ดเงินโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย และดูเหมือนว่าการเตะตัดขา TikTok ในสหรัฐที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้จะมี Mark Zuckerberg อยู่เบื้องหลังด้วย
Wall Street Journal รายงานโดยอ้างข้อมูลจากคนที่เกี่ยวข้องว่า Mark Zuckerberg ได้พูดคุยและล็อบบี้ทั้ง Donald Trump จากการพบกันในเดือนกันยายนปีกลาย และวุฒิสมาชิกจากทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันหลายรายช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ถึงภัยคุกคามจากบริษัทอินเทอร์เน็ตจีนและ TikTok นำไปสู่การสืบสวนและตรวจสอบ TikTok จนในท้ายที่สุดนำมาสู่คำสั่งประธานาธิบดีเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
นอกจากการล็อบบี้แล้ว WSJ รายงานด้วยว่า Zuckerberg ได้ตั้งกลุ่ม American Edge ขึ้นมาเพื่อโฆษณา(ชวนเชื่อ)และยกย่องบริษัทเทคของอเมริกัน ว่าเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ, ความมั่นคงและอิทธิพลทางวัฒนธรรมของอเมริกัน
อย่างไรก็ตามต้นเดือนที่ผ่านมา มีรายงานว่า Zuckerberg แสดงความเห็นต่อประเด็นการแบน TikTok ในการประชุมกับพนักงาน Facebook ไปในทางไม่เห็นด้วยว่าการแบนจะส่งผลเสียในระยะยาวมากกว่า ทว่า Instagram ก็ปล่อยฟีเจอร์ Reel ที่ก๊อป TikTok ทันทีหลังคำสั่งแบนไม่นาน
ก่อนหน้านี้ Kevin Mayer ซีอีโอของ TikTok เองเคยพูดถึง Facebook ในแถลงการณ์กรณีที่ TikTok โดนแบน ว่า Facebook มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแบน TikTok ในสหรัฐโดยอ้างเหตุผลด้านชาตินิยม
But let's focus our energies on fair and open competition in service of our consumers, rather than maligning attacks by our competitor – namely Facebook – disguised as patriotism and designed to put an end to our very presence in the US
ขณะที่ Josh Howley วุฒิสมาชิกของสหรัฐพรรครีพับลิกันก็เคยออกมาแสดงความเห็นในระหว่างการสืบสวนกรณี TikTok ละเมิดข้อมูลส่วนตัวเด็กเมื่อปีที่แล้วว่า "ขณะที่ชาวอเมริกันกำลังกลัว TikTok ในเรื่องความเป็นส่วนตัว แต่สิ่งที่ Facebook กลัวคือการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดโซเชียลมีเดียไป" ก่อนที่ Kelli Ford โฆษกของ Howley จะย้ำว่าสิ่งที่ Howley กังวลคือ Facebook จะอ้างถึงภัยคุกคามจีนเป็นแท็กติกด้าน PR เพื่อสร้างภาพบวกให้กับตัวเอง
ที่มา - Wall Street Journal
Comments
แลกกับการไม่แบนโพสของทรัมพ์สินะ
ปีกลาย > ปีที่แล้ว ?
เอาจริงนะ ไอ้ข้อหาผูกขาดนี่คือจะเล่นงานพวกบริษัทใหญ่ๆในอเมริกาจริงๆเหรอ? ถ้ามองว่าประเทศจีนพัฒนาจนจ่อคอหอยได้ขนาดนี้แล้วเนี่ย?
+1 คือผมรู้สึกว่าบ. ใหญ่ๆ อย่าง Apple, Microsoft นี่บางทีก็ใหญ่จนน่าจะต้องบังคับแยกบ. บ้างหรือเปล่า - -" แต่แยกแล้วจะสู้เจ้าใหญ่ต่างชาติอย่างไร
ไม่แผ่วเลยจริงๆ facebook เนี่ย
นิสัยนักการเมืองเลยนะมาร์ค