คณะกรรมการการค้าของสหรัฐ หรือ Federal Trade Commission (FTC) ยื่นฟ้อง Facebook ในข้อหาผูกขาดตลาดโซเชียลเน็ตเวิร์คแล้ว
FTC บอกว่า Facebook มีพฤติกรรมปิดกั้นการแข่งขันมายาวนานและทำอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การไล่ซื้อบริษัทที่มีโอกาสมาเป็นคู่แข่งในอนาคต ทั้ง WhastApp, Instagram และกำหนดเงื่อนไขใน API ว่าห้ามนำไปใช้ทำฟีเจอร์บางอย่างแข่งกับ Facebook รวมถึงห้ามใช้โปรโมทหรือเชื่อมต่อกับบริการโซเชียลอื่นๆ ยิ่งทำให้ Facebook ผูกขาดมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นหนึ่งในบริษัทใหญ่ที่สุดของโลก มีกำไรมหาศาล
ตัวอย่างเงื่อนไข API ที่ไม่เป็นธรรมคือแอพ Vine ของ Twitter ในปี 2013 ที่โดน Facebook ปิดไม่ให้เชื่อมต่อ API และทำให้ Vine ไม่สามารถดึงรายชื่อเพื่อนจาก Facebook ได้
ในคำฟ้องนี้ FTC ร่วมกับอัยการจาก 46 รัฐทั่วอเมริกา และ 2 เขตพิเศษคือ DC/Guam ร่วมกันยื่นฟ้องต่อศาลเขต DC ขอให้สั่งแยกธุรกิจ Instagram กับ WhatsApp ออกมา, ให้ศาลสั่งห้าม Facebook กำหนดเงื่อนไขบีบนักพัฒนา, และ Facebook ต้องยื่นขออนุมัติการซื้อกิจการในอนาคต
ฝั่ง Facebook ตอบโต้ FTC ว่าการซื้อ Instagram/WhatsApp เป็นการซื้อเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น และผ่านการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกแล้ว กรณีของ Instagram ได้ FTC เป็นคนอนุมัติเองด้วยซ้ำ คดีลักษณะนี้ไม่เคยมีมาก่อน และจะเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ที่ FTC ต้องการกลับไปแก้ไขในสิ่งที่ตัวเองเคยอนุมัติไปแล้วในอดีต
Facebook ยังบอกว่าเราซื้อ Instagram มานาน 8 ปีแล้ว ซึ่ง Instagram ที่ทุกคนใช้อยู่ทุกวันนี้คือ Instagram เวอร์ชันที่ Facebook สร้าง ไม่ใช่เวอร์ชันที่ซื้อมาเมื่อ 8 ปีก่อน ซึ่งตอนนั้น Instagram ยังมีพนักงานแค่ 13 คนเท่านั้น และกรณีของ WhastApp ก็เป็นแบบเดียวกัน
ส่วนเรื่อง API ที่ปิดกั้นคู่แข่ง เป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรมนี้อยู่แล้ว โดย Facebook อ้างว่าบริษัทอื่นๆ อย่าง LinkedIn, Pinterest, Uber ก็มีเงื่อนไขแบบนี้ และคู่แข่งรายอื่นๆ อย่าง YouTube, Twitter, WeChat ก็ไม่มีปัญหาทางธุรกิจใดๆ โดยที่ไม่ต้องมี API ของ Facebook ด้วย
Comments
เส้นแบ่งมันอยู่ตรงไหนดีล่ะ การค้าเสรี VS ผูกขาด ปลาใหญ่กินปลาเล็กไปเรื่อยๆก็เป็นปกติ หรืออีกหน่อย Apple ก็โดนฟ้องบ้าง เพราะผูกขาดผลิตฮาร์ดแวร์ซอฟท์แวร์ในบริษัทเดียว
ดูที่ว่าพยายามกีดกันนคุ่แข่งหรือเปล่า ต้องปล่อยให้แข่งอย่างเป็นนธรรม เช่นการเข้าซื้อ instagram อาจจะเข้าข่าย
เรื่องเส้นแบ่งนี่พูดยาก สิ่งที่ใช้พิจารณาหลักๆคือผลประโยชน์ของผู้บริโภคครับ
ถ้าเริ่มมีอำนาจเหนือตลาดมากๆ จนมีความเสี่ยงที่จะเกิดผูกขาดและส่งผลเสียต่อผู้บริโภคโดยรวมก็จะเริ่มโดนจับตามอง และอาจจะต้องมีการควบคุมและลดอำนาจลง
ในกรณี Facebook ก็คือมีอำนาจเหนือตลาดแน่นอนก็เลยถูกจับตามองอยู่แล้ว แต่ที่ฟ้องเพราะเริ่มเห็นว่ามีการใช้อำนาจเพื่อกีดกันการแข่งขันไม่ให้การแข่งขันเกิดขึ้น ซึ่งมันส่งผลเสียกับผู้บริโภคระยะยาวครับ
ส่วน Apple ที่ผ่านมายังไม่ค่อยโดนอะไรเพราะมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับสอง เจ้าที่เป็นอันดับหนึ่งก็เลยโดนไปก่อน แต่ช่วงปีนี้ก็เริ่มโดนประเด็นผูกขาด App Store เหมือนกันครับ
เอา Instagram มาทำให้เละขึ้นเรื่อยๆทุกวัน กลายเป็นทุนนิยมตีบวก ยัดเยียด tab shopping มาทำไมก็ไม่รู้ จะกดโพสทีก็ไปรวมกับ story ยุ่งยากไปอีก ad เมื่อก่อนมีนิดเดียว เดี๋ยวนี้สองโพสก็แทรกมาที จบ story คนนึงก็เด้งขึ้นมาอันนึง กดรีพอร์ตทุก Categories แล้ว offensive scam politic บลาๆ จนคิดจะเลิกเล่นอยู่ แต่ติดตรงตามคน ตามดารานักร้องที่ชอบเท่านั้นแหละ เข้าใจว่าต้องการหารายได้ ต้องการทำกำไร แต่บางทีมันก็ยัดเยียดเกิดไป เฮ้อ.
ของไทยไม่เห็นมีงี้เลย
คนละขั่วกับจีนเลยเนาะ จีนบริษัทนึง ใหญ่มหาโหด ทำแทบทุกอย่าง
คิดว่าท้ายสุดแล้วไม่น่าจะแยกได้ เพราะ เมกาจะขาดบริษัทใหญ่ๆ ไปอีกหนึ่งเพื่อ ต่อกร กับ บริษัทจีน
+1 ผมว่าบริษัทไอทีพวกนี้โตเกินไป แต่ถ้าจะให้แยกคือก็จะกลายเป็นสู้บริษัทจากตปท. ที่ไม่มีกฎนี้ไม่ได้
จริง ๆ ก็ไม่น่าอนุมัติให้ซื้อ Instagram แต่แรก ตอนนี้แทบจะผูกขาด social media ทั้งโลกแล้ว
That is the way things are.
อยากให้คนทำงานแบบนี้มีในไทยบ้างดีล Lotus คงไม่เกิด
+1
ประเทศที่มีรัฐบาลทำเพื่อประชาชน กับประเทศที่มีรัฐบาลทำเพื่อคนบางกลุ่ม มันจะเหมือนกันได้อย่างไร
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ไม่มีคนทำงานแบบนี้ มันอยู่ที่... นั่นแหละ
และที่สำคัญคือก็ยังมีคนโง่สนับสนุนสิ่งห่วยๆพวกนี้อยู่โดยไม่ยอมรับว่าตัวเองถูกล้างสมอง
คนทำงานแบบนี้ในไทยก็มีครับ แต่......นั่นแหละ 555
ig story โพสต์ยากขึ้นเยอะเลย ui หลังๆแย่ลงเรื่อยๆ
โดนซักทีเหอะ รำคาญ ยัดเยียดให้เชื่อม Facebook เกิน สมัคร Instagram ด้วยอีกเมลหลัก(อีเมลเดียวกับ Facebook) ไม่ได้ บอกอีเมลนี้ใช้แล้วสมัครซ้ำไม่ได้ แต่พอกดลืมรหัสผ่านดันบอกบัญชีนี้ไม่มีอยู่