ราคาซื้อขายบิตคอยน์ได้ปรับเพิ่มขึ้นทำสถิติใหม่สูงสุดอีกครั้ง โดยล่าสุดสูงกว่า 60,000 ดอลลาร์ต่อบิตคอยน์แล้ว สถิติราคาสูงสุดบิตคอยน์ก่อนหน้านี้อยู่ที่ราว 58,000 ดอลลาร์ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ปีนี้
ข่าวสำคัญของบิตคอยน์และเงินคริปโตในช่วงที่ผ่านมา มีทั้ง Meitu เป็นบริษัทจีนรายใหญ่แห่งแรกที่ประกาศซื้อบิตคอยด์เป็นสินทรัพย์ลงทุน มาจนถึงการซื้อขายสินทรัพย์ในรูป NFT หรือ Non-Fungible Token ตัวอย่างเช่นการเปิดประมูลทวีตข้อความแรกของ Jack Dorsey สะท้อนการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้งาน
ที่มา: CoinDesk
Comments
ตราบใดที่ทำให้ทั่วไปเข้าใจไม่ได้ก็ยากที่จะ go mainstream ระดับทองคำ ตอนนี้ยังมีคนคิดว่าเป็นเงินปลอมๆ อยู่เลย
เชื่อว่าทองคำตอนแรกก็มีคนคิดว่าเป็นแค่หินเหมือนกันครับ
อีก2วันคง 2m แล้วก็พุ่งพรวดๆ
รู้งี้
รอคนมาบอกว่าฟองสบู่จะแตกครับ
To the Moon, No..To the Mars! - Elon Mask
RIP Graphic Cards for Gamers
แค่มนุษย์คนนึงที่อยากรู้เกี่ยวกับวงการไอที
ว่าแต่ NFT มันเกี่ยวกับ Bitcoin ยังไงนะครับ ?
รอทองคำลงอีกซักหน่อยก็เอาไปซื้อทองคำ
คนรวยเค้าไม่อยากเล่นหุ้นตอนนี้
อนาคต คงเป็นร้อยล้าน
ผมไม่แน่ใจว่าเรายังจะคุยกันเรื่อง cryptocurrency จะรอดไม่รอดได้รึเปล่า
หรือมี link ที่ไหน debate กันจบไปแล้วไหมครับ
เคยมีคนว่า คนที่โจมตีเงินคริปโตว่าไม่มีพื้นฐาน ก็มีแต่พวกรู้ไม่จริงไม่เคยศึกษา
ผมก็พยายามหาอ่านบทความทั้งหลาย รู้ว่ามันมีการจำกัด supply มีการ burn ทำความรู้จักกับ ecosystem ไปจนถึงกลไก liquidity pool ว่าเรียกคนแรกๆเข้ามายังไง อะไรจะเป็นตัวล่อเรียกให้คนต่อมาเอาเงินมาวางเพิ่ม ฯลฯ ผมก็ไม่รู้ว่าผมมีความรู้พอจะเริ่มคุยกับคนอื่นได้รึยัง
แต่เท่าที่ผมพยายามหาอ่านมาแล้ว ผมก็ยังยืนอยู่ฝั่งที่คิดว่ามันยังไม่น่ารอด คือเทคโนโลยีมันดีมันมีนวัตกรรมแหละ มันออกแบบไว้แล้วว่าจะมี trend ที่ถ้าคนใช้งานเยอะขึ้น networking effect มา เดี๋ยวก็แก้ปัญหาค่าเงินให้เสถียรไปเอง เดี๋ยวก็มีคนเต็มใจรับ coin ใช้จ่ายซื้อของได้ทุกร้าน
แต่ไม่คิดว่าทุกอย่างมันจะ converge ไปถึงระดับเงินที่ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ยังมองไม่เห็นว่าอะไรจะเป็น game changer ที่จะพาไปถึงจุดนั้น
ถึงแม้ว่ามันจะ fungible อย่าง money แต่ผมคิดว่าความสะดวกในแง่ user experience มันไม่ใช่ปัจจัยหลักที่จะทำให้คนส่วนใหญ่ใช้งานแบบ money คือต้องรับและใช้จ่ายด้วยสกุลเงินนั้นได้เลย ไม่ต้องไปแปลงเป็นสกุลเงินอื่นก่อน
ผมก็ยังคิดว่ามันจะไปสุดได้แค่ level เดียวกับทอง เป็น asset ที่เอาไว้กระจายน้ำหนัก portfolio บ้าง เป็น alternative investment asset อารมณ์เก็บเงินไว้ในหุ้นแล้วขายหุ้นมาซื้อของ มีแค่คนส่วนน้อยที่ยอมรับความเสี่ยงแบบนี้ได้
ผมก็รู้แหละว่ามันมี stable coin อยู่ แต่ที่เข้าใจตอนนี้คือ stable ด้วยเงิน fiat ซึ่งถ้างั้นเราจะไป stable ในนั้นกันไปทำไมให้เสียค่าธรรมเนียมเข้าๆออกๆ
หรือเพราะผมงกค่าธรรมเนียมเกินไป เลยมองอะไรจำกัดอยู่แค่สกุลเงินที่สะดวกใจจะรับเงินเดือน
อยากรู้ว่าคนที่มองว่ามันจะรอด (หมายถึงแง่มูลค่าที่รันอยู่ใน network instance ไม่ใช่แง่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี) ทำไมถึงเชื่อว่ามันจะรอด ด้วย factor อะไร
เอกชนไม่มีทางทำให้เกิดขึ้นได้โดยไม่ได้รับความร่วมจากรัฐบาล และรัฐบาลไม่มีทางยอมให้เหรียญพวกนี้เข้ามาเป็นช่องทางชำระเงินหลักแน่นอนครับ ขนาด facebook เปิดตัวอย่างดีมีทุนพร้อมแถมไม่ได้ถึงขนาดสร้างสกุลเงินใหม่ยังร่วงเลย เพราะของที่ควบคุมไม่ได้อาจจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจมากกว่า ผมมองมันแค่ของเก็งกำไรอย่างนึงเท่านั้นครับ กว่าจะไปถึงจุดที่ใช้งานจริงได้เหรียญพวกนี้คงแหลกสลายไปหมดแล้วครับ
ผมว่ามันไม่ได้เกิดเป็นสกุลเงินใช้กันทั่วไปหรอก มูลค่าผันผวนมากเกินไป ที่ผมมองคือคนหาเอาไว้เก็งกำไรมากกว่าที่จะเอาไว้ใช้จ่าย
กล้าใช้ในการซื้อของจริงหรือครับ วันนึงมูลค่าขึ้นแรงอีกวันลงแรง คนซื้อสินค้าอยากได้ของถูก คนขายของอยากได้กำไร เอาอย่างเทสล่าขายรถตอนบิตคอย 60,000 USD วันต่อมา บิตคอยลงมาเหลือ 50,000 USD แบบนี้เละแน่ๆ ถ้าหลังจากขายแล้วไม่รีบเอาไปแลกเป็นสกุลเงิน USD เร็วๆตั้งแต่ต้น แต่ดันเก็บเป็นรูปแบบบิตคอยไว้ไปเลย มูลค่ายอดขายได้วิ่งขึ้นลงเป็นรายวันแน่ๆ ถ้าในมุมฝั่งผู้ซื้อคือมองตรงข้าม คือซื้อสินค้าตอน 60,000 USD พอมาอีกวันนึ่งเหลือ 50,000 USD ก็เสียดายแล้ว เพราะเงินจากการทำงานยังเป็นสกุลเงินปกติที่เอามาแลกเป็นบิตคอยก่อนใช้งานก่อน ส่วนต่างมันเยอะ นี่ยังไม่รวมการแสดงรายได้เพื่อใช้ในการเสียภาษีในประเทศนั้นๆที่เขาจะยึดตามสกุลเงินของตัวเองอีกต่างหาก จะคำนวนรายได้ที่แน่นอนยังไงแกว่งขนาดนี้ ถ้าเอาแบบไม่ปราณีคือคิดอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่มีการซื้อขายสำเร็จเลย เจอแบบตอนประกาศรายได้ตอนปิดงบบัชชีช่วง BTC ลงได้ขาดทุน มหาศาลแน่ๆ
หรือว่าตอนนี้มีการล็อคความเสี่ยงของบิตคอยได้แล้วโดยทีไม่ต้องรีบเอา BTC มาแลกเป็นสกุลเงินท้องถิ่นเพื่อบันทึกเป็นรายได้กันล่ะอันนี้ผมไม่รู้ แต่ถ้ายังทำไม่ได้ มันก็ยังเอามาเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนได้ห่วยมากเลยล่ะ
ปัญหานี้จะหมดไปเมื่อทุกคนเลิกยึดติดกะ USD เพราะ 1 บิตคอยน์ ก็เท่ากับ 1 บิตคอยน์ ไงครับ ไม่เห็นจะผันผวน
อันนี้ผมมองต่างแฮะ ที่มันเป็นอย่างทุกวันนี้เพราะมันถูกอิงกับ USD นะสิครับ
ถ้า 1 BTC = 1 BTC ไม่อิงกับใคร วันนั้นยังมองไม่ออกเลยว่าจะเป็นยังไง
ใช่ครับ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเชื่อ แต่ความเชื่อใน USD มันถูก back ด้วยโภคภัณฑ์ทั้งหมด น้ำมัน อาหาร อาวุธ ต่างๆ มันถึงยิ่งใหญ่มาก จนคุณหรือคนทั่วไปนึกไม่ออกว่าถ้าไม่มี USD แล้วโลกจะเป็นยังำง
1 BTC = 1 BTC เฉพาะเวลาแลกเปลี่ยน BTC กับ BTC นะครับ แต่เวลาเราใช้เงินเราใช้แลกเปลี่ยนกับของอย่างอื่น ซึ่งมันก็ผันผวนแหละแต่ไม่ขนาดนี้
ไม่ต้องเทียบกับ USD ก็ได้ครับ แต่เทียบกับอะไรได้บ้างนะครับที่มันไม่ผันผวน เทียบกับบ้าน เทียบกับรถ เทียบกับข้าว ผันผวนแรงหมดเลยนะ
เราจะไม่รู้สึกมันผันผวนถ้าเราไม่ต้องแปลงค่าเงินครับ
อย่างเงินบาทมันก็ไม่ใช่ว่านิ่งๆ มันก็ขยับตลอด แกว่งในระดับนึง แต่ถ้าชีวิตเราใช้แต่เงินบาท ข้างนอกจะขึ้นจะลงก็ไม่เดือดร้อนมาก สินค้านำเข้า retail ก็ตั้งราคามี buffer อยู่แล้วส่วนนึง
คนที่ย้ายไปทำงานต่างประเทศส่งเงินกลับบ้านช่วงที่ผ่านมาบาทแข็งก็ได้ยินบ่นโอดโอยอยู่ แต่เค้าก็จะเหมือนมี native สองกระเป๋า ใช้จ่ายที่นู่นเป็น USD เลยก็ไม่เดือดร้อน แฮปปี้กับของถูกที่นั่น
สมมติผมรับจ็อบเล็กๆจากต่างประเทศครั้งเดียว แล้วรับ USD ผ่าน PayPal ผมคงทยอยสั่งของออนไลน์เข้ามาทีละชิ้นเพื่อให้ native ที่สุด แต่ถ้าเป็นรายได้หลักเยอะๆ ต้องโอนกลับมา แบบนี้ผมก็เจ็บเหมือนกัน ทั้งอัตราแลกเปลี่ยนและค่าธรรมเนียม
เราจะไม่เดือดร้อนถ้ารับเงินเป็น BTC แล้วจ่ายกับข้าวแถวบ้านเป็น BTC ได้เลย แต่ BTC มันยังไม่ใช่สกุล native ของประเทศไหนหรือร้านไหนเลย เพราะฉะนั้นถ้าผมทำคล้ายข้างบนคือรับจ็อบเป็น BTC ผมแทบจะไม่มีทางเลือกใช้จ่ายอย่าง native เลย ต้อง convert อย่างเดียว
การแลกเปลี่ยนทุกอย่างมีการเทียบมูลค่าเสมอครับ
ลองลืมๆ USD ไปซะ กลับไปแบบ back to basic เลยก็ได้ ยื่นหมูยื่นแมว
เอา BTC ไปแลกของโดยตรง มันก็ต้องมีวันที่คนขายบอกว่าวันนี้ข้าว 1 จาน 20 ซาโตชินะ มาวันพรุ่งนี้ ข้าว 1 จาน 30 ซาโตชินะ
ตราบใดที่มันยังไม่ stable มันก็ไม่มีทางเป็น currency ที่ใช้งานได้จริง
ซึ่งทองเองก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน เพราะทองมันก็ผันผวนเกินจะเป็น currency
มันเป็นแบบนั้นเพราาะคุณยังสลัดUSD THB ไม่หลุดไงครับ ถ้าสุดท้าย ต้นทุนทุกอย่างเป้น BTC หมด ค่าข้าว ค่าแรง ค่าขนส่ง มันก็นิ่ง
ถ้ามันนิ่งแบบนั้น USD, THB มันก็นิ่งไปด้วยครับ ถ้า BTC มันนิ่งกับค่าข้าว ค่าแรง ค่าขนส่ง แต่ของพวกนั้นมันนิ่งกับ USD THB อยู่แล้ว ถ้า BTC มันนิ่งกับของพวกนั้นด้วยมันก็นิ่งกับ USD, THB ไปด้วยนั่นแหละครับเลี่ยงไม่ได้หรอก
เว้นแต่คุณจะทำให้ค่าข้าว ค่าแรง ค่าขนส่งมันนิ่งกับ BTC ได้แต่ผันผวนรุนแรงกับ USD, THB
สำหรับผมไม่คิดหรอกว่ามันจะไปจบตรงไหน รู้แค่ว่า ตอนนี้มันทำกำไรได้ เท่านั้นจริงๆ
มุมมองของคนที่ไม่เคยศึกษาเลยอย่างผม ผมว่ามันเหมือนหุ้น มากกว่าจะเป็น "ค่าเงิน" แบบ THB หรือ USD
คนขี้ลืม | คนบ้าเกม | คนเหงาๆ
มันเพิ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง หลังจากที่พิสูจน์ตัวเองอยู่นาน คือตอนนี้มันแค่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเองครับ นึกถึงอนาคตวันที่คนส่วนใหญ่เทรดคริปโตกันเป็นเรื่องปกติ ผมคงขี้เกียจถือเงินสด คงอยากจะถือเงินบาทดิจิตอลดีกว่า เวลาซื้อๆขายๆจะได้คล่องตัว แล้วถ้าผมมีบาทดิจิตอล แล้วมีร้านค้าที่รับบาทดิจิตอล เมื่อนั้นคนมันก็จะใช้แทนเงิน fiat เหมือนตอนนี้ร้านไหนในตลาดไม่รับไทยชนะ คนละครึ่ง แทบไม่มีลูกค้าซื้อของเลย อนาคตถ้าเงินมันไปอยู่บนคริปโตหมด ก็คงจะคล้ายๆกัน
*ตอนนี้คนใช้แอพโอนเงินกันปกติ โดยที่ไม่ได้เห็นเงินเลยซักบาท ขนาดรับเงินเดือนเรายังให้โอนเข้าธนาคารเป็นตัวเลขเลย ไม่เห็นมีใครอยากรับเงินสด ผมว่าอนาคตก็คงไม่ต่างกัน
เรามีแอพธนาคาร เงินก็ฝากไว้ในนั้น มันก็เหมือนเป็นบาทดิจิตอลอยู่แล้ว มันเป็น network เดียวกับเงิน physical
มันเปลี่ยนวิธีการใช้เฉยๆ แต่เงินมันก็คือเงินเดียวกัน ไม่ต้องแปลง มันเลยเกิด transition ได้ ไม่ยากที่จะเปลี่ยนมาใช้ เพราะผลประโยชน์ไม่ต่างกัน
ทุกวันนี้ก็ใช้งานสะดวกอยู่แล้ว แค่มันไม่ได้ใช้เทคโนโลยี blockchain ไม่ใช่ distributed system
ซึ่งมันต่างกับ crypto ที่อยู่นอก physical network
ถ้าในเมื่อเราใช้เงินบาทอย่าง native ได้อยู่แล้ว ด้วย ecosystem ที่มีอยู่แล้ว มีเงินเก็บอยู่แล้ว
แล้วอะไรคือเหตุผลที่เราจะย้ายไปใช้เงินบาทดิจิตอลอื่นๆอีก (เช่น THT ที่เพิ่งเป็นข่าว ถึงอ้างอิงราคา แต่มันก็ไม่ใช่เงินบาทอยู่ดี ยังต้องพึ่งกลไก stabilizer อีก)
จะเอาเงินบาทไปใส่ใน TrueMoneyWallet AirPay Dolfin LinePay ยังไม่อยากใส่เลย
คือใช้งานง่าย แต่ไม่มีใครไปฝากชีวิตไว้ เติมเงินเท่าที่ใช้ เอาเงินเข้าออกแล้วมีเงื่อนไขเสียค่าธรรมเนียม ถ้าไม่มีโปรโมชั่นมาล่อ ไม่มีการบังคับก็จะไม่ใช้เลย
อนาคตถ้าเงินมันไปอยู่บน crypto network กันหมด ตอนนั้นทุกคนก็คงไปใช้อย่างไม่มีอะไรกังขาแล้วครับ มันก็จะเป็นเหมือนคนละครึ่ง ร้านไม่มีแอพเป๋าตังก็จะขายไม่ได้
แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น มันจะเกิดยังงั้นได้ มันต้องผ่านช่วง transition ไปก่อน มันจะผ่านไปถึงจุดนั้นได้ยังไงนี่สิ
มันอาจจะเป็นอย่างที่คุณว่าครับ มันแค่เพิ่งเริ่มต้น มันอาจจะยังต้องรอเวลาแล้วเดี๋ยวคนก็เปลี่ยนมาใช้ไปเอง
แต่มันก็อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้
ผมเห็นว่าแค่รอเวลาอย่างเดียวไม่พอจะพา nash equilibrium ไปถึงจุดที่คนส่วนใหญ่เห็นว่า มาใช้ crypto กันได้แล้ว
มันเป็นปัญหาไก่กับไข่ ต้องมีคนใช้เยอะก่อนจนเป็นเรื่องธรรมดา ความผันผวนมันถึงจะหมดไป
แต่ถ้ายังผันผวนอยู่แบบนี้ ร้านก็ยังไม่กล้ารับเงินคริปโตแล้วทิ้งไว้แบบนั้น เพราะร้านไม่ได้ต้องการเก็งกำไร เค้าแค่ต้องการพักเงิน
ถ้าตั้งราคาเป็นคริปโตก็ต้องรวมความเสี่ยง แข่งขันกับร้านอื่นไม่ได้ เป็นสกุลเงินพลเมืองชั้นสองอีก
ร้านส่วนใหญ่ยังผลักภาระให้ผู้บริโภคแปลงเป็น USD แล้วค่อยเอามาซื้อของ แล้วเงินคริปโตนั่นเมื่อไหร่จะมีที่ยืนในฐานะสกุลเงิน
นี่คือเฉพาะกลไลด้านผลประโยชน์ ยังไม่นับว่าผู้ใช้งานต้องรู้จักแนวคิด private/public address ยังไม่นับอำนาจรัฐที่พยายามควบคุมด้วยนะ
คนหาเช้ากินค่ำ ใช้เงินหมดอย่างรวดเร็วแทบไม่เหลือเงินเก็บ อยู่ในพื้นที่ห่างไกลเข้าไม่ถึง infrastructure ของธนาคาร
อาจจะเป็นกลุ่มคนที่ย้ายมาอยู่บน crypto network ได้ง่ายที่สุด เพราะไม่มีเงินเก็บก็เหมือนพร้อมเริ่มต้นใหม่บน platform ใหม่ทุกเดือนอยู่แล้ว
การทำ online transaction ด้วยเงิน fiat ก็มีค่าใช้จ่ายแฝงอื่นๆ เช่นค่าเดินทางไปเซเว่นเพื่อฝากเงิน
จะเปลี่ยนมาลองใช้เงินผ่าน crypto network สำหรับคนกลุ่มนี้อาจจะไม่ได้เสียผลประโยชน์อะไรไปมากกว่าเดิม
แต่ด้วย demographic คนกลุ่มนี้ก็เป็นกลุ่มคนที่ย้ายมาอยู่บน crypto ได้ยากที่สุดเหมือนกัน ตราบใดที่ยังมีรายได้เป็นเงินสด ไม่ได้รับโอนเป็น coin
คนที่มีเงินเก็บอยู่ในรูปแบบเงิน fiat ยังต้องรักษาผลประโยชน์ตัวเอง อะไรที่เป็น hard earn money ก็ยังไม่อยากเอาไปเสี่ยงกับความผันผวน
จะมีแค่ส่วนที่ตั้งใจกันไว้รับความเสี่ยง หรือพวก easy money อย่างกองทุน ที่ไม่ใช่เงินตัวเอง ถึงจะไหลเข้ามา แต่มันก็จะเป็นลักษณะเหมือนการลงทุนในทอง ในหุ้น ไม่ได้ส่งเสริม ecosystem ให้เป็นเงินตรา
หุ้นเกมสต๊อปเป็นยังไง บิทคอยก็เป็นแบบนั้นแหละครับ
กรณีของ GameStop (GME) มันมีสาเหตุชัดเจนอยู่ว่าทำไมมันถึงขึ้น สรุปได้ประมาณว่ากองทุนต้องการทำกำไรจาก short sell GME แบบหนักๆ แล้วดันมีแก็ง r/WallStreetBets ที่ลงทุนแบบเอามันส์เหมือนเล่นพนัน แถมมีพฤตกรรมการซื้อหุ้นแบบเม่าพากันซื้อ กว้านซื้อหุ้น GME (นำโดย u/DeepFuckingValue ที่เหมือนจับได้กว่ากองทุนหวังทำกำไรหนักๆ จาก short sell) เพื่อ "ปั่น" ราคาให้สูงกว่าเดินจากการที่กองทุนไม่สามารถซื้อหุ้นมาคืนผู้ถือหุ้นจากการพยายามทำกำไรจาก short sell ได้ และได้ผลด้วย แต่แทนที่กองทุนจะหยุดแค่นั้น กลับดันทำ short sell ซ้ำอีกเพื้อหวังทุบราคา แต่แก็งก็จับได้ว่ากองทุนทำ short sell อีก เลยแก้เกมด้วยการพากันไม่ขายหุ้น GME เพื่อ "ปั่น" อีกรอบ แต่รอบนี้ดันมีกลุ่มอื่นที่ต้องการทำกำไรจากราคา GME ที่พุ่งขึ้น และกลุ่มที่เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการที่กองทุน short sell จน บ. ล้มละลาย ครอบครัวแตกแยก (กลุ่มนี้ซื้อหุ้นและกะถือไว้ ไม่ขายด้วยความแค้นเป็นหลัก บางคนถือด้วยด้วยความแค้นล้วนๆ หวังพังกองทุนด้วยซ้ำ) เข้ามาผสมจนทำให้ราคาพุ่งสูงมากๆ จนทำให้ GME ถูกหยุดการซื้อขายหลายรอบ และตอนนี้กองทุนที่ short sell GME กำลังเดือดร้อนเพราะต้องหาหุ้นไปคืนให้ได้จนถูกบีบให้ขายหุ้นตัวอื่นเพื่อซื้อ GME เอาไปคืน แถมราคาก็ยังขึ้นเพราะคนที่มีก็ถือไว้ไม่ขาย (ทำให้กองทุนต้องยอมซื้อในราคาที่สูงขึ้นเพื่อเอาไปคืน และทำให้คนที่ถือไว้เห็นว่าราคายังขึ้นได้อีก จนเกิดวัฏจักรที่ทำให้หุ้นขึ้น) บวกกับมีการขาย options หุ้นเกินกว่าที่มีจริงไปเยอะมากๆ ครับ
ปล. จริงๆ มี AMC อีกตัวที่โดนเหมือนกันกับที่ GME โดน แต่ราคาไม่พุ่งเหมือน GME ครับ
ที่มันขึ้นเรื่อยๆ เพราะ US อัดฉีดเงิน แล้วคิดว่ามูลค่ามาหาศาลนี้จะไหลไปไหนกัน สกุล, หุ้น, ทอง, พันธบัตรรัฐบาล, crypto(ของเล่นใหม่ที่ไว้หากำไรหรือไว้เป็นตัวกระจายความเสี่ยงในตอนนี้) วนอยู่แค่ไนกลุ่มนี้ ดูง่ายๆว่าไหลไหนก็เปลี่ยบทียบมูลค่ากับปีที่แล้วนั่นล่ะ นั่นคือ crypto นั้น all time High อยู่อย่างเดียว และประวิติศาสตร์เคยเห็นสินทรัพย์ไหน เป็นแบบนี้แล้วอยู่ยั่งยืนถาวรบ้าง ไม่มีนะ ช่วงนี้โดนปั่นเหมือนทองปีที่แล้วนั่นล่ะ
ช่วงโดนเท มันอาจไม่ไหลไปทอง ถ้าเศรษฐกิจสัญญานฟื้นจริงแล้วเฟดขึ้นอัดตราดอกเบี้ยเมื่อไหร่เงินจะโดนดึงกลับ ตัวไหนเงินไหลไปหามากสุดก็ตัวนั่นนั่นหล่ะจะลงแรงสุด เพราะ USD จะกลับมาอยู่ดี ถ้าไม่ขาดความชื่อมั่นในค่าเงิน USD ไปซะก่อนนะ
ความเชื่อล้วน
มันก็เหมือนกับคนไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเชื่อว่าแบงค์พันจ่ายเงินกินข้าวได้
bitcoin ก็เหมือนกัน ก็เพราะว่ามีคนเชื่อว่ามันมีค่า
เพราะยังเป็นตัวเดียวที่ยังเป็นขาขึ้นแบบเห็นๆ อยู่ครับ สินทรัยพ์อื่นคนไม่แน่ใจว่าจะโดนเทเมื่อไหร่ ยึกยักกันหมด
สกุลเงินก็ขึ้นๆ ลงๆ
ทองไหลลง
หุ้นนี่เรื่มตันๆแล้ว
พันธบัตรก็โดนแล้ว
เหลือแค่ บิตคอย คนมีเงินเยอะแล้วกระจายความเสี่ยงด้านการเงินเข้าเกนฑ์แล้วส่วนที่เหลือก็มาที่นี่แหล่ะช่วงหาผลตอบแทนสูงๆ
คนกลัวก็ยังต่อต้าน และกลัวต่อไป กลัวมาเป็นสิบปี
คนที่เข้ามาก็รวยเอาๆ
ผมซื้อแต่ไม่ได้มองว่ามันจะเป็นอนาคต มันจะเปลี่ยนแปลงโลกแบบที่ขายฝัน แต่เพราะเก็งกำไรแค่นั้นจริงๆ
และช่วงที่มันขึ้นมาพรวดๆ นี่ไม่ได้เข้าอีกเลย นอกจากดึงทุนออกไปก่อนหน้าแล้ว ตอนนี้ก็มาเปลี่ยน stop loss ไปเรื่อยแทน แต่คิดว่ายังไงช่วงปลายปีก็มี flash dump แบบปี 2017 แหงๆ
ผมว่าช่วงนี้มันพัฒนาแบบก้าวกระโดดเลยนะครับ ในอนาคตคิดว่าตัวคริปโตที่มีอยู่ ณ ตอนนี้อาจจะเหลืออยู่แค่ไม่กี่ตัว แต่เทคโนโลยีที่สร้างขึ้นมาจะพาเราเปลี่ยนวิธีในการจับจ่ายไปอย่างแน่นอน
แต่ตัวที่พัฒนามันไม่ใช่ Bitcoin นี่ครับ - -"
เห็นในข่าวพูดไปถึง NFT ด้วยเลยคิดว่าพูดถึงตลาดโดยรวมก็ไม่น่าจะ off topic น่ะครับ
ไม่ off topic ครับ แค่ผมยังสงสัยว่าทำไมต้อง Bitcoin พุ่งตาม chain อื่นๆ ตลอดเวลา - -"
โลกต้องการ digital currency หรือ crypto currency ?
That is the way things are.
ผมว่าต้องการทั้งสองอย่างนะครับ
แต่ไม่อยากเชียร์ตราบที่มันใช้ PoW เนี่ย เปลืองไฟ
เปลืองไฟมากครับและไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากครับ
1 transaction ของ btc ใช้ไฟฟ้าเทียบเท่าบ้านหลังหนึ่งใช้ไฟฟ้า 24 วัน ปล่อย carbon footprint เทียบเท่า VISA 700k transactions
That is the way things are.
ผมลองไปหาอ่านมาละ ในบทความเหมือนไม่มีตัวเลขว่ามาจากไหน คล้ายกับว่าเอาจำนวนพลังงานที่ใช้ในการขุดบิทคอยทั้งหมดมาหารจำนวน Transection แล้วคิดเป็นพลังงานออกมา เทียบกับการรูดบัตรครั้งเดียว มันดูจะ Bias ไปหน่อย กลับกันถ้าเอาไปเทียบกับ Visa บ้างคิดแบบรวมพลังงานทั้งหมดที่ Visa ใช้ในการดำเนินการ ไฟสำนักงาน พนักงาน การใช้ไฟฟ้าทั้งหมดที่ Visa ใช้ (เสียบเครื่องรูดทั้งวัน กี่เครื่อง คูณเข้าไป) มาหารจำนวน Transection แล้วเทียบการใช้พลังงานในการคำนวน Transection กับบิทคอยน์ แบบ Low priority บิทคอยน์ยังใช้พลังงานน้อยกว่าครับ
ผมจะสื่อว่า บทความมันพลิกกันได้ครับ อยู่ที่เค้าเอาส่วนไหนของสถิติมาใช้
มันต้องเทียบพลังงานที่ใช้ต่อ 1 transaction สิครับ ไม่ใช่เอาไฟที่ใช้ทุกสาขามาคำนวณ
ของ bitcoin เองก็นับพลังที่ใช้เพื่อขุด 1 transaction ไม่ใช่เอาพลังงานของเครื่องที่ขุดบิทคอยน์ทั้งหมดในโลกในขณะนั้นมาคำนวณแม้ไม่ได้เกี่ยวกัน
ถ้าเข้าใจไม่ผิด (ซึ่งอาจจะจำสับสน) cryptocurrency ส่วนมากยิ่งขุด จะยิ่งทำให้ challenge ยากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
ถูกครับ แต่ในบทความที่เค้ากล่าวมา เค้าคำนวนพลังงานที่ใช้ขุดบิทคอยน์มาหารจำนวน Transection แล้วคิดเป็นพลังงานต่อ 1 Transection ของบิทคอยน์
แต่พอเค้าเทียบกับ Visa เค้าเอาพลังงานที่ใช้รูดบัตรมาเทียบ แล้วบอกว่า บิทคอยน์ใช้พลังงานมากกว่า 7 แสน Visa Transection ซึ่ง ผิดมั้ย ไม่ผิดครับ
แต่ผมให้คำนวนกลับกันใช้ตรรกกะเดียวกับบทความ แต่อวยบิทคอยน์ ถ้าเอาพลังงานเดี๋ยว ๆ ที่ใช้คำนวน Transection เดียวของบิทคอยน์ (ไม่ใช่เอาทั้งหมดมาหาร) เทียบกับเอาพลังงานทั้งหมดที่ visa ใช้ แล้วหารจำนวน Transection ที่ Visa มี แล้วมาเทียบกับบิทคอยน์ การคำนวนผมก็ไม่ผิดนะครับ แต่ถามว่า มันตรงไปตรงมามั้ยก็ไม่ใช่ ซึ่งมันเป็นสิ่งเดียวกับที่บทความเค้าทำออกมาครับ
ย้ำอีกครั้ง ที่ผมจะสื่อคือ บทความมันหยิบบางอย่างทางสถิติมาทำให้ดูโอเว่อเกินจริงเพื่อให้มีคนสนใจ (ในที่นี้จ่ายเงินเข้าไปดูรายละเอียด) แต่ไม่ได้เทียบกันอย่างตรงไปตรงมาครับ มันคือภาพลวงทางสถิติครับ ตอนอ่านต้องดูดี ๆ
ปล ผมไม่ได้เถียงว่าบทความผิดด้วยนะครับ เค้าคำนวนถูกต้องทุกอย่าง และผมไม่ดีเบทเรื่องอื่นนอกจากเรื่องการหยิบบางส่วนของสถิติมาใช้อย่างไม่ถูกต้องนะครับ เรื่องใช้ไฟ เรื่องอะไร มันอยู่ที่เอาส่วนไหนมาคิดครับ เถียงกันไม่รู้จบแน่นอน
ปล2 ขอขยายความให้นิดนึง ยิ่งขุดยิ่งได้น้อยลงเรื่อย ๆ ครับลดลงประมานครึ่งนึง ทุก 4 ปี ถ้าถึงจุดที่คค่าไฟมากกว่ามูลค่าบิทคอยน์ที่ขุดได้ เมื่อนั้นแหละครับ เค้าก็เลิกขุดกันไปเอง เหมือนปรากฏการณ์เหมืองแตกปี 17
ผมว่ามันต้องวัดการค่าใช้จ่ายจากการคิดแบบนี้นะ
ถ้าเครื่องขุดบิทคอย์มีเครื่องเดียว vs ถ้าระบบ visa มีแค่ client / server อย่างละเครื่อง
คิดพลังงานที่ใช้เพื่อสร้าง 1 transaction
ครับ เอาตามที่คุณว่าเลยครับ ผมแค่ชี้ให้เห็นถึงการเอาสถิติมาใช้ในการบิดเบือนความจริงเฉยๆ ไม่ดีเบทเรื่องอื่นครับ
bitcoin ก็ต้องมี node มี server มีค่าไฟตึก server เหมือนกันนะครับ และยิ่งเพิ่ม node ก็ไม่ได้เพิ่ม scalability ด้วย
That is the way things are.
ถ้าเอาให้ถูกน่าจะเป็น efficiency มันแย่มากละมั้งครับทั้งที่มันควรจะดีกว่านี้ได้ เพราะงานส่วนมากที่ทำลงไปมันเป็นการทำเพื่อบอกแค่ว่า "ฉันทำงานหนัก" แต่ส่วนที่ทำหนักลงไปไม่ได้มีประโยชน์อื่นนอกจากยืนยันว่า "ทำงานหนัก"
อย่างถ้าเปลี่ยน consensus เป็นตัวที่ไม่ใช่ PoW แต่เป็นตัวอื่นๆ นี่คืออาจจะเหลือใช้พลังงานพอกับระบบบัตรเครดิตเลยก็ได้
เรื่อง currency สำหรับผมแค่ tx confirmation time นี่ BTC ก็สอบตกแล้วครับ
ร้านค้าไหนจะกล้ารับโอน BTC เป็นหลัก ถ้ากว่าจะ confirm tx ได้ต้องรอเป็นชั่วโมง แถมเสี่ยงที่ tx จะโดนลืมเพราะมี tx อื่นที่ให้ fee สูงกว่ามาเบียดไปตลอดเวลาอีก
(ทุกวันนี้ร้านที่บอกว่ารับ BTC ก็ยังรับแค่เป็นกิมมิค ไม่ได้รับ BTC เป็นหลัก)
ผมมองว่าต่อไปที่มันเป็นได้คือ Digital Asset นั่นแหละ
ซึ่งคนในตลาดก็ drive มันมาทางนี้แล้วด้วย คือเทรดเก็งกำไรกันไปเหมือนทอง แต่ไม่สามารถเอามาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้จริงแบบ practical
Part ถัดไป : สำหรับนักเทรด
ถ้าคุณเพิ่งเข้ามาในตลาดในปี 2020 ขอให้ระวัง downtrend ไว้ด้วยครับ
ตลาดมันไม่ได้เป็นทุงลาเวนเดอร์สวยงามเสมอไป มีขึ้นและมีลง ไม่มีทางที่ BTC จะวิ่งขึ้นได้ตลอด 5-10 ปี
และ downtrend ของคริปโตมันโหดร้ายกว่าหุ้นและ forex มากครับ
ถ้าคุณคิดว่าปัจจัยตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้วเพราะสถาบันการเงินเข้ามาหนุนเยอะ (อาจจะรวมอีลอนให้ด้วยเลยก็ได้)
ก็อยากจะบอกว่ามันคือ Money Game ครับ
สถาบันการเงินคือเจ้ารายใหญ่ที่ take profit โหดกว่านักลงทุนรายย่อยเยอะครับ
เพราะเป้าหมายของสถาบันการเงินคือทำกำไรให้ลูกค้าที่ลงทุนกับเขา และสถาบันการเงินไม่ได้ศรัทธาเทคโนโลยีอะไรของ Bitcoin/Cryptocurrency หรอก เขาสนใจเพราะมันทำกำไรได้ครับ
ถึงจุดหนึ่งสถาบันการเงินก็ต้อง take profit และสลับไปทำกำไรกับ stock/asset อื่น วนเป็นรอบๆไป
พอผมเล่ามาถึงจุดนี้ ก็อยากให้ลองคิดต่อนะครับว่า BTC จำนวนหลายหมื่น-แสน (ตามที่ข่าวเริ่มออกมาว่าสถาบันการเงิน A, B, C, ... ถือไว้เท่านั้นเท่านี้ BTC) เมื่อมันถูกสถาบันเทขายทำกำไร มันจะฉุดตลาดลงหนักหน่วงได้ขนาดไหน
ทุกวันนี้จังหวะที่เทกันแล้วหน้าชาไประยะสั้นๆแต่ละครั้งเนี่ย Volume คือประมาณ 8,000 BTC/ชั่วโมง
ผมไม่ได้บอกว่า BTC จะร่วงวันนี้หรือพรุ่งนี้นะ
ผมแค่อยากบอกว่ามันต้องมีเวลาที่เป็น downtrend และอยากให้เตรียมแผนรับมือกันไว้ ไม่ใช่ช้อนทุกครั้งที่ -3% เพราะคิดว่าอีกไม่นานมันจะขึ้น
ใน down trend ถ้าทำแบบนั้นก็ช้อน 10 ไม้ได้ดอย 10 ไม้เต็มๆนั่นแหละ
อันนี้จริง ใช้จ่ายจริงลำบากสุด ๆ
สมัยที่ 1 BTC = 60k บาท
ผมได้ไปซื้อบิตคอยน์แลกเป็นเงินสด ตีเป็นเงินไทย 1 หมื่นบาท
เพื่อจ่ายค่า Host เพื่อทำเว็บใต้ดิน ประมาณ 8000 บาท
เจอค่าธรรมเนียมไป เกือบพันบาท คือแพงมาก
แล้วจะเป็นเหมือนกับปัจจุบันคือ
ถ้าบิตคอยน์ขึ้นราคา เวลามีการเทขาย
เว็บกระเป๋าจะชอบล่มทุกครั้งไป ฮาฮา ด้วยความบังเอิญ
ถ้าให้เก็ง ก็คงลงเมื่อเมกาฟื้นตัวจากcovid เมื่อนั้นเงินก็จะไหลกลับไปตลาดหุ้น พันธบัตรและการลงทุนทางกายภาพอื่นๆแทน
อวยคริปโต โดยเทียบกับว่า เงินUSDไม่ได้มีทองbackup นี่ก็เหมือนไม่เข้าใจระบบเศรษฐกิจเลย เงินUSD ใช้ขนาดเศรษฐกิจของเมกา เป็นตัวรับรองตะหาก รวมไปถึงสิทธิบัตรองค์ความรู้และเทคโนโลยีต่างๆ (บางคนบอกว่าอาวุธ จริงๆอาวุธเป็นแค่เครื่องค้ำประกันเศรษฐกิจ ไม่งั้นเกาหลีเหนือหรือรัสเซีย ก็คงค่าเงินแข็งมากไปนานแล้ว)
หรือบางคนเทียบกับทองคำว่ามีมูลค่าเพราะคนตั้งมูลค่า คือทองคำมันใส่โชว์ได้ครับ คริปโต ยังเอามาอวดใครได้ยากหน่อยถ้าไม่ใช่geek
คริปโตในปัจจุบันมันปลอดภัย เลยสร้างมูลค่าจากความปลอดภัยของมันเอง ที่เหลือก็คือการเก็งกำไร ซึ่งถ้าเลิกเก็งกันเมื่อไรก็....
คริปโตมีอนาคต แต่คิดว่าBTC คงไม่ใช่ในฐานะเงิน เพราะหลายคนยังแลกเป็นเหรียญอื่นที่fee ต่อtx ต่ำๆเพื่อใช้โอนเงินข้ามexchangeกันอยู่เลย
ป.ล. หวานอมขมกลืน เพราะซื้อการ์ดจอ RX6800xt ไม่ทันนี่แหละ ลังเลตอนปีใหม่ไป สุดท้ายต้องทนใช้ RX5700XT ไปพลางๆ...
ถ้าเทียบกับใส่โชว์แบบทอง ตอนนี้ NFT ก็เริ่มทำให้ออกมาใกล้เคียงกับการใส่ทองโชว์แล้วนะครับ
ต้องรอมันแพร่หลายกว่านี้ครับ ณ ตอนนี้ยังให้ความรู้สึกเหมือนคนประมูลitemในเกมมากกว่า แต่ยอมรับว่า NFT เป็นรูปแบบใหม่ในการใช้ประโยชน์จากblockchain จริงๆ
บางทีก็อยากรู้เหมือนกันนะว่าคนที่อวยๆกันนี่ ถ้าตอนนี้ได้รับค่าจ้างเป็นBTCจะรับกันมั้ย หรือจะไล่ให้นายจ้างไปเปลี่ยนเป็นเงินธรรมดา