ในซีรีส์ Power On เล่าประวัติเครื่องเกม Xbox ของไมโครซอฟท์ มีประเด็นที่น่าสนใจคือผู้บริหารทีม Xbox หลายคนยอมรับว่าการปิดสตูดิโอ Lionhead ที่สร้างเกม Black & White และ Fable เมื่อปี 2016 เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของบริษัท
Lionhead Studios เป็นสตูดิโอเกมที่ก่อตั้งเมื่อปี 1997 โดย Peter Molyneux เกมดีไซเนอร์ชื่อดังที่มีผลงานมากมาย ทั้ง Populous, Theme Park, Dungeon Keeper ผลงานของ Lionhead ในยุคแรกๆ คือ Black & White (2001) และ Fable (2004)
จุดเปลี่ยนของ Lionhead คือไมโครซอฟท์ซื้อกิจการในปี 2006 ซึ่งหลังจากนั้น Lionhead ยังมีผลงานเกมต่อเนื่อง ได้แก่ Fable II (2008), Fable III (2010)
อย่างไรก็ตาม ช่วงนั้นไมโครซอฟท์หันมาดัน Kinect สุดตัว (โดยเฉพาะ หลังเปิดตัว Xbox One ในปี 2013) และโยกสตูดิโอเกมของตัวเองไปทำเกมให้ Kinect ด้วย (อีกสตูดิโอที่โดนเหมือนกันคือ Rare) ปัญหาคือเกม Fable: The Journey ที่ใช้ Kinect ควบคุมกลับไม่เวิร์คอย่างที่คิด
แกนนำของ Lionhead รวมถึง Molyneux ทยอยลาออกกันในปี 2012 และโครงการเกมสุดท้ายคือ Fable Legends ก็ยังไม่ทันเสร็จเป็นรูปเป็นร่าง ไมโครซอฟท์ตัดสินใจปิดสตูดิโอเมื่อปี 2016 (Fable ภาคใหม่กำลังจะกลับมาอีกครั้ง โดยสตูดิโออีกแห่งคือ Playground Games)
Shannon Loftis อดีตหัวหน้าฝ่ายจัดจำหน่ายเกมของไมโครซอฟท์ในตอนนั้น ยอมรับในสารคดี Power On ว่าการจัดการ Lionhead ตอนนั้นเป็นสิ่งที่ทำพลาดไป ผลงานเกม Fable ในช่วงแรกออกมาดี ทำให้ไมโครซอฟท์ตัดสินใจซื้อ Lionhead แต่พอมาถึง Fable: The Journey เกมเปลี่ยนแปลงไปจากซีรีส์ Fable ภาคหลักอย่างมาก
ส่วน Sarah Bond ซึ่งปัจจุบันยังเป็นผู้บริหารด้านเกมของ Xbox ก็บอกว่าเคยมานั่งคุยกันถึงปัญหาของ Lionhead และเรียนรู้ที่จะไม่ทำผิดพลาดอีก ในขณะที่ Phil Spencer หัวหน้าทีม Xbox ในปัจจุบัน เล่าบทเรียนว่าการซื้อสตูดิโอมา ต้องช่วยให้พวกเขาทำในสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดีขึ้น ไม่ใช่ให้พวกเขามาทำในสิ่งที่พวกเราต้องการ
ที่มา - IGN
Comments
Phil Spencer พูดถูกเลย
+1024
บันทัดสุดท้ายคือ คำสรุปของทั้งหมดจริงๆ