ประเด็นการขึ้นราคาแว่น Meta Quest 2 ครั้งเดียวถึง 100 ดอลลาร์ แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย สร้างความประหลาดใจให้ใครหลายคน ในประกาศของ Meta อ้างเรื่องต้นทุนการผลิตที่แพงขึ้น แต่แพงอย่างไรก็ไม่น่าเพิ่มทีเดียวถึง 100 ดอลลาร์
คำตอบของเรื่องนี้อาจอยู่ในงานแถลงผลประกอบการไตรมาสล่าสุดของ Meta ที่แยกตัวเลขฝั่ง Reality Labs ออกมาให้เห็นชัดๆ (นับรวมแว่น Oculus, หน้าจออัจฉริยะ Portal) ว่ามีรายได้ 452 ล้านดอลลาร์ต่อไตรมาส เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่ในอีกด้านก็ขาดทุนถึง 2,806 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.02 แสนล้านบาท
ตัวเลข 2,806 ล้านดอลลาร์ไม่ใช่การขาดทุนหนักที่สุดของ Reality Labs เพราะสถิติเดิมทำไว้ 3,304 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4/2021 และในไตรมาสก่อนหน้านี้คือไตรมาส 1/2022 ก็ขาดทุนในระดับเดียวกัน 2,906 ล้านดอลลาร์
หากนับรวมตัวเลขขาดทุนของ Reality Labs ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ขาดทุนสะสม 18,059 ล้านดอลลาร์ ตีเป็นเงินไทยด้วยเรตดอลลาร์ปัจจุบันคือราว 6.6 แสนล้านบาท
ตัวเลขการขาดทุนอย่างหนักของ Reality Labs ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการขายแว่น Quest ในราคาขาดทุน เพื่อขยายฐานผู้ใช้ VR ให้กว้างมากพอ ซึ่งในระยะยาวแล้วก็ไม่สามารถทนขาดทุนได้ตลอดไป เมื่อตัวบริษัท Meta เองมีรายได้รวมลดลงเป็นครั้งแรก จึงเป็นสัญญาณว่าต้องลดการขาดทุนค่าแว่นลง ด้วยการขึ้นราคา 100 ดอลลาร์นั่นเอง
ที่มา - Meta (PDF), TechCrunch
Comments
เดี่ยวบริษัทตกต่ำก็ไล่เจ้าออกไป แล้วบริษัทล่มจม ก็เจ้าของก็กลับมามาทวงคืนนำบริษัทกลับมามีกำไรอีกครั้ง
พูดถึง Palmer Luckey (ผู้ก่อตั้ง Occulus ที่ภายหลังโดนเปลี่ยนซื้อไปเป็น Reality Lab) สินะครับ
ต้องไปตั้งบริษัทใหม่ก่อนด้วยครับ :D
คนนี้ ถ้าโดนไล่ อาจจะอยู่บ้านเลี้ยงลูกก็ได้นะคับ
อาจเป็นเพราะทุกอย่าง under FB เลยไม่มีใครอยากซื้อ
Metaverse นี่ไม่น่ารอด อีก2-3ปี คงพับโปรเจค
คิดยังไงว่า meta มันคืออนาคต ดูตัวอย่างจอทีวี 3D หรือเกม VR ก็เห็นอยู่ว่าคนไม่ค่อยนิยมที่ต้องใส่อะไรที่ลูกกะตาเวลาใช้งาน
ส่วนตัวมองว่าเป็นอีโก้เล็กๆ ของ Mark นะ ถ้าทำ Holding แบบ Google แล้วแตก BU ออกให้บริหารอิสระต่อกันอาจมีโอกาสรอด แต่ตอนนี้เหมือนเด็กยักษ์กำลังดึงขาห่านทองคำเลย บางธุรกิจไม่ไหวก็ต้องตัดไม่ใช่เอาเงินบริษัททำกำไรไปอุดหนุนเกินความจำเป็น ็
ผมเองก็เคยโดนมาก่อนดึงเงินไปมาสุดท้ายบริษัทที่คิดว่าจะรอดก็ล่มกันไปด้วย ทำผมนอยด์มาจนทุกวันนี้ ทำแทบตายเอาเงินไปละลายกับธุรกิจที่กำลังเจ๊งเฮ้อ
Occulus มี app ใช้ฟรีน้อยไป ไม่เหมือนด๋อย
จริงๆแล้วมันเติบโตยากมาก ทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้ว และกำลังพัฒนา แถมเป็นสิ่งที่เด็กๆและวัยรุ่นเข้าถึงค่อนข้างยาก tools ในการพัฒนาจำพวกโมเดลก็ต้องใช้ทรัพยากรและทุนทรัพย์พอสมควรพอสมควร หน่วยงานราชการก็แทบไม่มีการผลักดัน (แค่เรื่อง AR ก็ค่อนข้างน้อยเลย)
อนาคตก็ยังหวัง VR ที่ดี คือไร้สาย แบตทน น้ำหนักเบา ความละเอียดสูง ราคาจับต้องได้ อาจจะใส่ซิมได้ในตัว จริงๆการถึงตอนนั้นเราอาจจะเห็นคนนั่งร้านกาแฟใส่ vr คุยงานกัน ผู้ป่วยติดเตียงหรือ wfh ก็เข้าถึงโซเชียลง่ายขึ้น
ผมว่าการพูดคุยใน VR มันผ่อนคลายกว่าการนั่งคุยใน zoom หรือ Teams อีกนะ