กูเกิลยอมถอย หลังโดนคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าของอินเดีย (CCI) สั่งปรับเงินรวม 10.4 พันล้านบาทในเดือนตุลาคม 2022 ในข้อหา Android มีพฤติกรรมผูกขาด กีดกันการแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟน
สิ่งที่กูเกิลจะปรับตามคำสั่งของ CCI มีดังนี้
มาตรการบางอย่างของกูเกิลเป็นสิ่งที่ทำมาก่อนแล้วในประเทศอื่นๆ เช่น การเลือก default search engine ตามคำสั่ง EU ในปี 2019 และ alternative billing ที่ทำตามคำสั่งของรัฐบาลเกาหลีใต้ในปี 2021
ที่มา - Google
Comments
ประเทศคนเยอะหน่อยก็ต่อรองได้ง่ายขึ้น
ประเทศทุกประเทศ รัฐบาล รวมถึงคนในชาติ ผมว่าควรมีความคิดในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติถึงแม้จะความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับประชาชน ไม่ควรใช้อารมณ์อยู่เหนือผลประโยชน์ของชาติ
แล้วมันเกี่ยวยังไงกับที่อินเดียมีประชากรเยอะเลยต่อรองง่ายครับ?
ผมแค่ไม่อยากให้รู้สึกว่ามีประชากรน้อยกว่าต่อรองยากแล้วก็ต้องยอมๆ ไม่ต่อรอง แต่ไม่ได้บอกว่าเจ้าของคอมเม้นท์ผิด แต่ช่วยเสริม
ไอ้ที่คุณเสริมก็ไม่เกี่ยวอยู่ดีครับจะมีเรื่องหรือไม่มีเรื่อง รัฐบาลไปเจรจาก็ใช้แค่เงื่อนไขส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทนั้นๆในประเทศเท่านั้น
และในที่นี่นี้คือเรื่องอำนาจต่อรองเงื่อนไขการให้บริษัทต่างชาติยอมทำตามเงื่อนไขของทางเราซึ่งเขาก็ดูเรื่องส่วนแบ่งการตลาดกับจำนวนผู้ใช้งานในการตัดสินใจ ไม่เกี่ยวกับความสามัคคีในประเทศ ผมก็ไม่คิดว่าอินเดียเงียบสงบหรอก พอๆกับเรานี่ล่ะแค่ว่าขาวเราก็ไม่ได้มาถึงเราทุกข่าว แบบข่าวเราภายในก็ไม่ได้ไปแสดงที่ประเทศเขาทุกข่าวถ้าไม่ใหญ่จริง ฮึมๆรอโอกาสการภายในเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วมีเรื่องกันบ้างประปราย ไม่เหมือนอเมริกาที่ข่าวประท้วงเกือบทุกอย่างเราจะรู้หมดเพราะเขาเป็นประเทศใหญ่ทำอะไรที่มีผลทั้งโลกเลยมีการติดตามสถานการการเมืองภายในของประเทศอื่นๆด้วย
คือเวลาที่คนในประเทศน้อยเนี่ย แล้วเรื่องเยอะ สิ่งที่บริษัทจะทำคือ เลิกขายครับ เพราะทำไปไม่คุ้ม แล้วพอเลิกขายเนี่ย คนที่เดือดร้อนก็คือเรา ๆ ท่าน ๆ เนี่ยแหละครับ เพราะงั้น เวลาเราจะไปต่อรองอะไรเนี่ย ต้องนึกถึงด้วยครับว่าเรามีอำนาจต่อรองมั้ย ไม่ใช่อำนาจไม่มีแล้วไปเรื่องเยอะใส่เค้า พอเค้าไม่ขายคนใช้ก็บ่นอีก
ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่นเรื่องปลั๊กไฟมอก. ปัจจุบัน เวลามาตรฐานเรามันเรื่องเยอะมาก ๆ เข้า ยี่ห้อดี ๆ บางยี่ห้อเค้าก็เลิกขายครับ เพราะมันไม่คุ้ม เช่น Belkin ก็เลิกขายปลั๊กไฟในบ้านเราเพราะเราใช้อยู่เจ้าเดียวมันผลิตให้เราคนเดียวมันไม่พอครับ ปัจจุบันนี้ก็มีแต่ยี่ห้อจีน ๆ เข้ามาขาย ผมไม่ได้บอกว่าของเค้าไม่ดีนะครับ แต่เท่าที่ใช้ปลั๊กไฟมาหลายยี่ห้อ ส่วนตัว Belkin ผมยังไม่มีตัวไหนพังยังใช้ได้ครบทุกรู Toshino นี่ ใช้ได้ไม่ถึงครึ่ง มี 5 รู บางทีเหลือใช้ได้แค่ 2 รู แบรนด์จีนต่าง ๆ ที่ขายกันเยอะ ๆ ผ่านมาตรฐาน มอก. มันต้องมีบางรูที่ใช้ไม่ได้ถายใน 1 ปี น่ะครับ
ขอถามในความไม่รู้และไม่เข้าใจครับ ถ้าเทียบระหว่าง Android กับ iOS ในกรณีเดียวกันนี้จะแตกต่างกันตรงไหนบ้างหรือเป็นเพราะ iOS เป็นระบบปิดครับ
จุดแตกต่างหลักๆ มี 2 จุดใหญ่ๆครับ คือ...
- Google ขาย Mobile Services เป็นหลัก (มีผู้ผลิตมือถือเป็นลูกค้าด้วย) ส่วน Apple ขาย Mobile Device เป็นหลัก
- Google มีส่วนแบ่งเยอะกว่า Apple เพราะงั้นก็เลยโดนเล่นก่อน
ตามบทความ มี 5 ข้อที่ Google ต้องปรับ ซึ่งถ้าให้แบ่งก็จะได้ตามนี้
- ข้อ 1 2 5 => Google เป็นเจ้าตลาด Mobile Service และใช้ความได้เปรียบตรงนี้พยายามจะขายพ่วง Service ต่างๆด้วย (รวมถึงกีดกันคู่แข่งในข้อ 5 ด้วย) ก็เลยโดนสั่งให้ปรับเพื่อให้ขายพ่วงกันได้ยากขึ้น ส่วน Apple ไม่ได้ขาย Mobile Service ก็เลยรอด
- ข้อ 3 => Google เป็นเจ้าตลาด Mobile Service และตั้งเงื่อนไขกีดกันคู่แข่ง โดยการห้ามไม่ให้ผู้ผลิตมือถือไปใช้ Mobile Service อื่นๆด้วย ก็เลยโดนสั่งให้ปรับไม่ให้กีดกัน ส่วน Apple ไม่ได้ขาย Mobile Service ก็เลยรอด
- ข้อ 4 => Google เป็นเจ้าตลาด App Store (โดยขายพ่วงมากับ Mobile Service ตามข้อ 1) และใช้ความได้เปรียบตรงนี้พยายามจะขายพ่วง Payment Service ด้วยการบังคับ ก็เลยโดยปรับไม่ให้พ่วงกัน ส่วนข้อนี้เอาจริงๆ Apple ก็เข้าข่ายเหมือนกัน เพราะขาย Payment Service และพ่วงมากับ Mobile Device อยู่เหมือนกัน แต่ด้วยความที่ไม่ใช่เจ้าตลาดก็เลยยังไม่โดน แต่หลังจากนี้จะโดนไหมก็ต้องรอดูต่อไป... (เกาหลีใต้โดนแล้วส่วนยุโรปเข้าใจว่ากำลังโดน)
ปล. ผมก็ไม่ใช่ผู้รู้นะครับ แค่ลองวิเคราะห์ดูจากหลายๆข่าว ถ้าผิดถูกอย่างไรก็มาร่วมวิเคราะห์กันได้
ปล2. ดักไว้ก่อนนะครับว่าผมไม่ได้เข้าข้าง Apple ใจจริงผมก็อยากให้โดนฟ้องไปด้วยแหละ 55+
ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ เสริมข้อสงสัยนิดนึงหากในอนาคต Google จะผันตัวมาผลิตเองแบบ Apple ทั้งหมดน่าจะดีกว่าสินะแค่หาจ้างโรงงานผลิตแทน
ถ้าจะให้ผันตัวเป็นแบบ Apple ก็ต้องไม่ใช่แค่หันมาผลิตเอง แต่ต้องเลิกขายอย่างอื่นด้วยครับ
ไม่ใช่แค่คดีนี้ แต่คดีผูกขาดส่วนใหญ่ที่โดนกันในยุคนี้ มักจะเกิดจากบริษัทใหญ่ทำธุรกิจย่อยในเครือหลายอย่าง และทำให้มันเอื้อในเครือเดียวกัน จนคู่แข่งสู้ไม่ได้นี่แหละ เพราะงั้นตราบที่ยังขายอย่างอื่นอยู่ก็ยังโดนอยู่ดีนั่นแหละครับ
อย่างไรก็ตาม ต่อให้ทำธุรกิจแบบ Apple ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีทางโดน เพราะเดิมทีกฎหมายป้องกันการผูกขาดก็ทำขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทใดบริษัทหนึ่งมีอำนาจมากเกินไปอยู่แล้ว เพราะงั้นถ้าบริษัทมีอำนาจมากเกินไปจนเสี่ยงจะส่งผลเสียกับเศรษฐกิจเดี๋ยวเขาก็ปรับกฎมาเพื่อควบคุมอยู่ดี ซึ่งผมมองว่าต่อให้ทำธุรกิจแบบ Apple แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้จนใหญ่มากๆมันก็เสี่ยงเหมือนกัน (เป็นเหตุผลที่ผมบอกว่าผมไม่เข้าข้าง Apple และอยากให้ Apple โดนฟ้องเช่นกัน)