Mark Gurman แห่ง Bloomberg รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้อง ว่าแอปเปิลได้ตัดสินใจยกเลิกโครงการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าอัตโนมัติ ซึ่งมีการดำเนินงานภายในมามากกว่า 10 ปี ภายใต้ชื่อ Project Titan หลังจากพิจารณาความเป็นไปได้หลายอย่าง
เขายังอ้างข้อมูลว่า Jeff Williams ซีโอโอ ได้แจ้งพนักงานในส่วนโครงการ Titan นี้ ที่มีประมาณ 2,000 คน ว่าจะยกเลิกโครงการพัฒนาดังกล่าว ซึ่งบรรยากาศนั้นเป็นไปด้วยความประหลาดใจ ทั้งนี้แอปเปิลวางแผนย้ายพนักงานส่วนใหญ่ในโครงการ ไปอยู่ใต้แผนกพัฒนา AI ของ John Giannandrea ต่อ ส่วนพนักงานที่รับผิดชอบด้านฮาร์ดแวร์ของรถยนต์ และการออกแบบรถ อาจพิจารณาโอนย้ายไปแผนกอื่น หรืออาจปลดออก
ข่าวโครงการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าของแอปเปิลนั้นมีออกมาอยู่เรื่อย ๆ แต่เป็นข่าวเกี่ยวกับปัญหาภายใน และมีผู้บริหารระดับสูงลาออก รวมถึงโครงการก็มีการปรับสเกลอยู่หลายครั้ง จากที่ทำรถยนต์ทั้งคัน มาเป็นซอฟต์แวร์ แล้วก็กลับไปมา
ที่มา: Bloomberg
Comments
อ้าว เห็นต่างประเทศแซวว่า ยกเลิกทำรถ เพราะต้องใช้ Window (หน้าต่าง) นึกว่าแซวเล่น ๆ กลายเป็นว่าเริ่มมีมูลความจริงเหรอนี่
อยากให้ทำจอ Apple Carplay อย่างเป็นทางการก็พอ
เพราะตอนนี้ปวดหัวกับแต่ละยี่ห้อที่ทำออกมามาก รุ่นราคาต่ำก็อืด รุ่นราคาสูงก็ไม่เสถียร
อยากได้แบบที่ลื่นๆและเสถียรๆ
เข้าใจฟีลเลย อารมณ์ผมซื้อ android tv ช้ามาก กว่าจะบูทเสร็จ กว่าจะเข้าได้แต่ละแอพ กับ web os บูทเร็วมากแต่แอพช้ามาก การใช้งานไม่คล่องมือเพราะทุกแอพเหมือนเป็นแอพเดียวกันคือหน้าเว็บ มัลติทาสก์ไม่ได้ ต้องซื้อ Apple TV มาใช้จบ แต่ก็ขาดแอพ mono กับ BiliBili
น่าจะสู้ตลาดเดิมไม่ไหว เพราะมีการแข่งขันด้านราคา (เมื่อก่อนราคายังไม่ดุเดือดเท่่นี้)
อารมณ์ประมาณเหมือนแว่น VR อ่ะ ทำออกมาดีมากๆ(เอาเป็นว่าสมมุติว่าดีละกันเยอะ) แต่แล้วยังไงต่อนะ
ถ้าทำรถออกมาราคาไม่ธรรมดาแน่ๆ จะขายได้เยอะจนได้กำไรมหาศาลก็คงยาก ในขณะที่ R&D ก็ต้องทำงานไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ขายแล้วจบ
Apple Car ไปก่อนนะ เอาให้มันดี
ตลาดรถตอนนี้คือลดราคารัวๆ อนาคตไม่แน่
มือใหม่!! ใหม่จริงๆนะ
ตอนแรกนึกว่าคงเอาไปรวมกับ project self driving car แต่เมื่อกี้มีรายงานว่า project self driving car ก็ถูกยกเลิกด้วย
ต้องย้ายสรรพกำลังมาทำ ai ก่อนแหละ
ไม่งั้นโดนแซงทิ้งขาด
WE ARE THE 99%
ถ้า Apple ทำตามแนวทางตัวเอง
แบบว่าออกแบบใหม่หมดจด ไม่ใช้ Part ร่วมกับคนอื่น เป็นระบบปิด ก็คงไม่ต่างจาก Lucid ตอนนี้มากนัก ทำรถยนต์นี่เรื่องใหญ่เลย HW, SW, โรงงาน, Supply Chain ต้องแน่น
ส่วนตัวคิดว่ามันส่อแววตั้งแต่ฟอร์ดชะลอการผลิต F150 Lightning แล้ว
ถ้าขนาดฟอร์ดยังชะลอ แสดงว่าเค้ากำลังเห็นอะไรบางอย่างที่เราไม่ได้สังเกตุ
Mercedes-Benz เองก็เช่นกัน ข่าวก่อนหน้านี้คือ ปรับสัดส่วนยอดขายรถEV จาก 100% เหลือแค่ 50% คิดเหมือนกันว่าเขาคงเห็นอะไรสักอย่าง ที่น่าจะเป็นผลเสียแน่ๆ
ผมว่าเก่งมากน่ะที่ยังอ่านเกมออกไม่งั้น Apple จะตายที่ไม่มีผลิตภัณฑ์ AI ใช้เลย เพราะคู่แข่งเขาเปลี่ยนเกมคุณแล้วตอนนี้โดนทิ้งขาดไปทุกวัน ฮ่าๆ
คงจริงแหละเนอะ ยิ่งพอถ้าเชื่อมโยงกับข่าวของโปรเจค Apple Arcade ก็ชัดเจนว่า น่าจะต้องรีบตัดค่าใช้จ่ายที่เป็นภาระผูกพันไปอีกหลายๆปีออกไป
แอบคิดเล่นๆว่า หรือภาวะสงครามกำลังจะขยายตัว เพื่อทำให้จบสงครามรอบนี้ภายใน 3-4 ปีข้างหน้า บริษัทยักษ์ใหญ่เลยต้องรีบปรับแผนการเงิน การลงทุนในระยะ 10 ปีนี้ไปก่อน
..: เรื่อยไป
ผมว่าด้วยการทุ่มตลาดจากจีน+ต้นทุนแบตและเทคโนโลยีที่ยังตัน (solid state? หรือแบตเกลือก็หนักมาก)ทำให้ถ้าเปิดตลาดรถไฟฟ้าตอนนี้ ไม่น่าจะทำกำไรได้อย่างที่หวัง
หลายค่ายก็เปลี่ยนนโยบายกันโดยเฉพาะค่ายยุโรปจากประกาศตัวจะไปไฟฟ้า 100% หรือเป็นส่วนใหญ่แล้วก็เปลี่ยนลดสัดส่วนลงมา แสดงว่าเบื้องหลังมันมีความผันผวนอะไรอยู่
อย่างรถขับเคลื่อนอัตโนมัติ ถ้ามันแพงมากคนก็อาจจะยังไม่ยอมจ่าย สู้จ่ายถูกกว่าแล้วไม่ต้องมีระบบพวกนี้ยังดีกว่า แบบ BEV จีนหลายรุ่นราคาหลักล้านที่เราเห็นระบบ lane keeping ที่ใช้งานไม่ได้จริง มีแต่คนถามหาวิธีปิด แต่พอได้ความแรงสุดๆแรงกว่ารถน้ำมันคัน3-4ล้าน ก็ลืมข้อเสียอื่นๆหมด ช่วงล่างแย่ไม่เป็นไร software ห่วยไม่เป็นไร บริการหลังการขายไม่สนซื้อรถไม่ได้เอาไว้ขาย ฯลฯ
ผมว่าช่วงห้าปีนี้จะเป็นช่วงผันผวน ทั้งราคา และเทคโนโลยี เพราะเลยห้าปีไปแล้วปัญหาเรื่องการบำรุงรักษาจะโผล่มาแบบเห็นได้ชัด ถ้าคนส่วนใหญ่ในบ้านเรายังใช้รถ 10ปี++ ไม่ใช่เปลี่ยนรถใหม่ทุก3-5ปี ก็คงได้เห็นผลตอบรับกันจริงๆจังๆอีกที
ป.ล.ยังไม่นับว่าถ้าจู่ๆราคาน้ำมันตลาดโลกกลับมาปกติ ที่ราวๆ50USDหรือน้ำมันปลีกบ้านเรา20กลางๆ แล้วส่วนต่างค่าเชื้อเพลิงที่ฝันไว้ในอนาคตว่าจะเอาส่วนต่างมาผ่อนรถใหม่ ก็จะหายไปเกือบหมดเลย
คิดว่าคงเจอปัญหาคำถามแบบง่ายๆ ที่ต้องตอบตัวเองและผู้ถือหุ้นว่า ตลาดนี้มันมีอะไรกันแน่ที่จะสามารถลงมาเล่นได้ รถยนต์จุดประสงค์หลักก็คือการขนส่งคนหรือสิ่งของจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง ไม่ว่าเบื้องหลังเทคโนโลยีจะเป็นน้ำมันหรือไฟฟ้า มีข้อจำกัดก็คือยังไงมันก็ต้องวิ่งบนถนนมีล้อ และการแข่งขันของสินค้าประเภทนี้ในระยะยาวคือราคา ปกติ culture ของแอปเปิ้ลคือการทำสิ่งใหม่ๆ ความคาดหวังคือยานพาหนะแบบที่แตกต่าง ไม่ใช่รถยนต์ พอเจอโปรเจคนี้มันเหมือนขัดกับปรัชญาตัวเอง หรือจะทำรถยนต์ที่มีอะไรแปลกกว่า traditional ก็ต้องผ่านมาตรฐานหรือข้อกำหนดอีกเป็นล้านข้อ มันไม่เหมือนการทำอุปกรณ์ไอทีหรือ software ที่มันมีพื้นที่หรือสเปซให้ทำแบบไม่มีข้อจำกัด
น่าเสียดายจัง อยากเห็นว่า เอเปิล จะพัฒนารถไฟฟ้า ออกยังไง จะยอดเยี่ยมกว่าค่ายๆ แบบ อุปกรณ์ยัไง
ได้ยินข่าว apple car มานานเกิน 10 ปีแล้วนะ
ยกเลิกไปก็คงจะดีกับบริษัท คิดว่ารถเป็นเทคโนโลยีที่คนละประเภทกับที่ apple กำลังทำอยู่เลย
หลังจากนี้คงมา AI เพราะกระแสแรงเหลือเกิน