จากข่าวแอปเปิลประกาศเป็นการภายในว่าบริษัทตัดสินใจยกเลิกโครงการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า หรือโค้ดเนม Project Titan เพื่อย้ายพนักงานไปโฟกัสการพัฒนาด้าน AI แทน The New York Times มีข้อมูลเพิ่มเติมจากการสอบถามพนักงานแอปเปิลหลายคนที่เกี่ยวข้อง ทำให้พบข้อมูลน่าสนใจหลายอย่าง
โครงการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งเป็นข้อสรุปหลังจากแอปเปิลมองหา "สินค้าใหม่" หลังสตีฟ จ็อบส์ ผู้ก่อตั้งแอปเปิลเสียชีวิต ซึ่งตอนนั้นแอปเปิลได้พัฒนา Apple Watch และเปิดตัวสินค้าไปแล้ว โครงการรถยนต์ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้บริหารระดับสูง และแอปเปิลต้องการเดินหน้าโครงการนี้ เพื่อป้องกันปัญหาวิศวกรจำนวนมากลาออกไปทำงาน Tesla ซึ่งในตอนนั้นแอปเปิลก็มีไอเดียซื้อกิจการ Tesla ด้วย
อย่างไรก็ตาม โครงการรถยนต์ของแอปเปิลดำเนินงานอย่างติดขัดมาโดยตลอด ด้วยคำถามสำคัญคือ "รถยนต์ของแอปเปิลมันต้องเป็นอย่างไร" Steve Zadesky ที่เคยดูแลการพัฒนา iPhone เป็นวิศวกรคนแรกที่เข้ามาดูแลโครงการนี้ เขามองว่ารถยนต์นี้ต้องแข่งขันกับ Tesla ได้ แต่ Jony Ive หัวหน้าฝ่ายออกแบบแอปเปิล ต้องการขายรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติมากกว่า ทีมซอฟต์แวร์ก็มองว่ามีความเป็นไปได้ในการพัฒนา
เนื่องจากรถยนต์เป็นโครงการใหม่และมีความซับซ้อนสูง ทำให้ในมุมมองพนักงานแอปเปิล นี่เป็นโครงการที่ดึงตัวคนนอกเข้ามาร่วมพัฒนาจำนวนมาก แตกต่างจากโครงการอื่นของแอปเปิล มีทั้งอดีตวิศวกร NASA ไปจนถึงคนออกแบบรถยนต์ที่ Porsche
โปรโตไทป์แรกของรถยนต์ที่ Ive นำเสนอกับซีอีโอ Tim Cook เป็นดีไซน์รถแวนขนาดเล็กคล้าย Fiat Multipla 600 ไม่มีพวงมาลัยควบคุมรถ ทุกอย่างทำโดยสั่งการผ่าน Siri ซึ่งตอนเดโม่ก็ใช้วิธีให้คนมาทำเสียงเป็น Siri โต้ตอบขณะใช้งาน
Fiat Multipla 600 ภาพจาก YouTube: Online Car Museum
ปี 2016 Zadesky ลาออกจากแอปเปิล Bob Mansfield หัวหน้าทีมวิศวกรรมของ Mac เข้ามารับหน้าที่ต่อ และตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางมาโฟกัสเฉพาะการพัฒนาซอฟต์แวร์รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติแทน แอปเปิลยังขอใบอนุญาตเพื่อทดสอบรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติกับรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยใช้รถ Lexus ในการทดสอบบนถนน นอกจากนี้ยังเริ่มพูดคุยกับผู้ผลิตรถยนต์หลายราย เช่น BMW, Nissan และ Mercedes-Benz ก่อนปิดดีลกับ Volkswagen เพื่อพัฒนารถยนต์วิ่งรับส่งภายในแอปเปิลในการทดลอง
โครงการรถยนต์ยังเดินหน้าแบบยากลำบากต่อไป Doug Field หัวหน้าทีมคนใหม่เข้ามารับหน้าที่ โดยเขายังเลือกโฟกัสการพัฒนาซอฟต์แวร์อย่างเดียว และลาออกในเวลาต่อมา ส่วนคนสุดท้ายที่ดูแลโครงการนี้ก่อนแอปเปิลตัดสินใจยุติโครงการคือ Kevin Lynch ที่ดูแลโครงการ Apple Watch ซึ่งเขากลับมาพัฒนารถยนต์ในแนวทางเดิมคือทำรถยนต์ไฟฟ้าทั้งคันเอง
Kevin Lynch หัวหน้าโครงการ Project Titan คนสุดท้าย
ตัวเลขที่ไม่เป็นทางการระบุว่า แอปเปิลหมดเงินกับโครงการ Project Titan ตลอด 10 ปี เป็นเงินมากกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์
รายงานบอกว่าในวันที่แอปเปิลประกาศยกเลิกโครงการนี้ พนักงานแอปเปิลส่วนใหญ่รู้สึกยินดีที่แอปเปิลเลือกถอยเสียที โดยเฉพาะเมื่อบริษัทบอกว่าจะนำทรัพยากรไปโฟกัสการพัฒนา AI แทน ซึ่งในระหว่างการพัฒนารถยนต์นั้น แอปเปิลก็ได้งานวิจัยด้าน AI หลายอย่าง ที่สามารถนำไปปรับใช้กับผลิตภัณฑ์หลักได้ เช่น AirPods แบบติดกล้อง, หุ่นยนต์ผู้ช่วย และเทคโนโลยี AR ในแบบต่าง ๆ เช่น กระจกหน้ารถยนต์ที่แสดงข้อมูลแนะนำการเดินทาง เป็นต้น
ที่มา: The New York Times
Comments
ขนาด เอเปิล ยังไม่ไหว กับ ตลาด นี้ อีกเหรอ เนี่ย
ผมว่าต่อให้ Apple ทำรถ EV ของตัวเองออกมาขายได้ แต่เจอรถ EV จีนตีตลาดกระจายในราคาที่ถูกกว่าเจ้าอื่นๆ แล้วตอนนี้ค่ายรถหลายค่ายก็มีรถ EV มาขายเยอะไปหมด ก็ไม่น่าจะอยู่รอดในวงการรถ EV ได้นานนัก
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
ผมแอบงงว่าสำหรับ iPhone มันก็มีมือถือที่ราคาถูกกว่า iPhone มากมาย แต่เค้าก็ยังเป็นเจ้าตลาดอยู่
เลยคิดว่าถ้าออกมาราคาสูงกว่าเจ้าอื่นๆ คนจะไม่ซื้อผลิตภัณฑ์ของเขาจริงๆ หรอ?
ถ้าดีจริงคนก็ซื้อแหละ แต่ถ้าล้มเลิกไปแบบนี้เดาว่าคงประเมินแล้วว่าสู้เจ้าอื่นไม่ได้หรือ หรืออาจไม่คุ้มค่าต่อการวิจัยและพัฒนาต่อ
มนุษย์เราตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้วถูกหล่อเลี้ยงด้วยลัทธิ ความเชื่อ ศรัทธา และสิ่งศักดิ์สิทธิ ถ้าคุณเข้าถึงแนวคิดเหล่านี้ได้ และสร้างกลุ่มที่ศรัทธาในตัวคุณได้ คุณก็สามารถขายกระดาษ 1 แผ่นในราคาเท่ากับขายรถยุโรป 1 คันได้ เชื่อผมหรือเปล่าล่ะ
ไม่เชื่อ
ไม่เชื่อ
ขายน่ะขายได้แน่ๆ แต่ผมก็คิดว่าถ้าไม่คุ้มจริงคนคงไม่ซื้อ(เยอะ)นะ
iPhone ที่ว่าแพง มือถือรุ่นท๊อปค่ายอื่นทั้งตลาดก็ใช่ว่าจะถูกมันเลยเหมือนราคาใกล้เคียงกัน อีกอย่างราคามือถือคือหลักหมื่น อาจะแสนในวันข้างหน้า คนจำนวนมากยังซื้อได้โดยไม่กังวลมาก ก็คือซื้อตามกระแสได้
แต่รถน่ะหลักล้านสองล้านแน่ๆ แถมคู่แข่งเต็มกระดาน ขึ้นอยู่กับ apple แล้วล่ะว่าจะวางตำแหน่งรถตัวเองแบบไหน
ถ้าเอาแมสก็คงยากเพราะราคาแพงกว่าที่มีในตลาดแน่ๆ
ถ้าเอาตลาดราคาสูงกว่าสองล้าน มันก็คงขายได้แบบคนมีตังจิงๆมาซื้อ ส่วนยอดขายจะเยอะหรือเปล่า คุ้มค่ามั๊ยก็ไม่รู้
สู้ทำของราคาแพงราวๆหลักแสนออกมาขายอาจจะได้กำไรมากกว่าและความเสี่ยงไม่สูง
ส่วนตัวเชื่อว่า apple ทำออกมายังไงก็ขขายได้ เพราะตลาดมันก็มีหลายระดับอยู่แล้ว แต่ที่ยกเลิกคิดว่าน่าจะเพราะตัวรถที่ออกแบบยังไม่ตอบโจทย์ apple หรือยังไม่ล้ำพอ เพราะปกติสินค้า apple ต้องดีหรือล้ำที่สุด
รอกลับมาปัดฝุ่น
เอาจริงๆ ก็มีแค่ 2014-2016 ที่เหมือนจะพยายามทำ "รถยนต์"
หลัง 2016 ก็ปรับมาพัฒนาซอฟท์แวร์ อย่างเดียวจนถึง Lynch
ไอ้ Know-How ที่ได้ ดูจะเป็น Self-driving ซะทั้งงั้น
ไม่ได้ความรู้ด้านการทำรถยนต์หรอก 2 ปีน่ะ
เขาต้องการทำรถยนต์อัตโนมัติ มันคงยากกว่าที่คิด เลยออกมาไม่ได้ เขาคงไม่สามารถออกรถที่มาชนหรือเกิดอุบัติเหตุได้ เพราะแบรนด์ราคาสูงมาก พลาดนิดเดียวจะโดนรุมถล่มแบบแอปเปิ้ลแมป ดังนั้นถ้าไม่สมบูรณ์แบบก็ออกไม่ได้ สรุปว่าไม่สำเร็จเกิดรีเซสชั่นก่อน