Facebook รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ซึ่งเป็นการรายงานครั้งแรกตั้งแต่บริษัทเข้าตลาดหุ้น มีรายได้ 1.184 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 32% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน โดยขาดทุนสุทธิ 157 ล้านดอลลาร์ แต่มาจากการบันทึกค่าใช้จ่ายหุ้นสวัสดิการสำหรับพนักงานแบบครั้งเดียว ซึ่งถ้าหักรายการนี้ไปก็ยังมีกำไรอยู่ เมื่อจำแนกโครงสร้างรายได้แล้ว คิดเป็นรายได้จากโฆษณา 992 ล้านดอลลาร์ (84%) ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากค่าธรรมเนียมการจ่ายเงินในระบบ Facebook
ซีอีโอ Mark Zuckerberg กล่าวว่าเป้าหมายของ Facebook คือช่วยให้ทุกคนติดต่อถึงกันได้ และผลิตภัณฑ์ทุกตัวที่ใช้ต้องให้ประสบการณ์บนเครือข่ายสังคมที่ดี โดยการลงทุนจากนี้จะเน้นไปที่อุปกรณ์พกพา, แพลตฟอร์ม และโฆษณา
อีกตัวเลขที่น่าสนใจคือการเติบโตของผู้ใช้ โดยผู้ใช้เป็นประจำทุกเดือน (MAU) เพิ่ม 29% เป็น 995 ล้านคน โดยเป็นผู้ใช้งานผ่านอุปกรณ์พกพาเป็นประจำทุกเดือน ที่ 543 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง 67% ส่วนตัวเลขผู้ใช้งานเป็นประจำทุกวัน (DAU) อยู่ที่ 552 ล้านคน เพิ่มขึ้น 32%
เนื้อหาส่วนของการชี้แจงและถามตอบกับนักวิเคราะห์ โดยมีซีอีโอ Mark Zuckerberg, ซีโอโอ Sheryl Sandberg และซีเอฟโอ David Ebersman เข้าร่วมมีดังนี้ครับ
- Sandberg กล่าวว่า Facebook ยังเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างการตลาดแบบปากต่อปาก และการโฆษณาบน Facebook ก็ได้ผลดีไม่ว่าคุณจะเป็นองค์กรขนาดใหญ่ หรือร้านค้าขนาดเล็ก
- การแสดงผลบน Newsfeed บนมือถือใช้หลักการเดียวกับบนเดสก์ทอป
- Ebersman บอกว่าระบบ Sponsored Stories สร้างรายได้วันละ 1 ล้านดอลลาร์ โดยครึ่งหนึ่งมาจากการแสดงผลบนมือถือ
- ระบบ Sponsored Stories ช่วยให้ Facebook มีรายได้ต่อโฆษณาสูงขึ้น
- มีธุรกิจขนาดเล็กหลายแสนรายที่โฆษณาบน Facebook
- ตลาดเอเชียมีการเติบโตในการลงโฆษณาสูงที่สุด
- Sandberg บอกองค์กรใหญ่ตอนนี้ใช้มีงบโฆษณาบน Facebook ต่ำมากเมื่อเทียบกับงบประมาณรวม ทั้งที่ Facebook ให้ผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ดีกว่ามาก ซึ่ง Facebook ต้องทำให้ตลาดเข้าใจถึงความคุ้มค่านี้ให้ได้
- เกมบนมือถือมีการเติบโตสูงมาก แต่ Facebook ยังไม่มีระบบจ่ายเงินในส่วนนี้
- Facebook ได้ปรับปรุงระบบในการตรวจสอบความเป็นบุคคลมีตัวตนจริงให้มากขึ้น
- บริษัทมีเงินสด 1.02 หมื่นล้านดอลลาร์
- Zuckerberg บอกว่าอุปกรณ์พกพาเป็นโอกาสที่ใหญ่มากของ Facebook โดยคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีคนใช้สมาร์ทโฟน 4-5 พันล้านเครื่อง ซึ่งมากกว่าที่คนมีคอมพิวเตอร์ใช้ตอนนี้เสียอีก
- Sandberg บอกดีลยาฮูช่วยให้ Facebook ได้ถือครองสิทธิบัตรร่วม และเพิ่มหลอมรวมการโฆษณาเหตุการณ์สำคัญเช่นโอลิมปิกที่กำลังมาถึง
- ปัจจุบันมีพนักงาน 3,976 คน
- Zuckerberg บอกการจ้างพนักงานใหม่ยังเน้นไปที่วิศวกรที่มีความสามารถ และรักษาอัตราส่วนจำนวนพนักงานต่อฐานผู้ใช้งานให้ต่ำ ซึ่งตอนนี้ Facebook ถือว่ามีพนักงานน้อยมากหากเทียบกับจำนวนผู้ใช้งานในระบบ
- ดีล Instagram ยังไม่สิ้นสุด จึงยังไม่มีการหลอมรวมเข้ามาใน Facebook ตอนนี้
- Zuckerberg บอกนอกเหนือจาก Instagram การเข้าซื้อกิจการก็ยังเน้นไปที่การซื้อบริษัทเพื่อเอาตัวบุคลากรที่มีความสามารถมากกว่า
- Zuckerberg บอกว่า Facebook เป็นแอพยอดนิยมในทุกแพลตฟอร์มมือถือ เราจึงเน้นการเชื่อมต่อระดับลึกลงในทุกแพลตฟอร์มที่มีเหมือนที่ทำให้ iOS 6 การที่เราจะไปทำโทรศัพท์เป็นของตนเองเลยจึงไม่สมเหตุสมผลนัก (แต่ก็มีข่าว)
ตัวเลขที่ออกมานั้นสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดกันไว้เล็กน้อย แต่ในสายตานักลงทุนแล้วอนาคตของ Facebook ยังคงเป็นปริศนาในประเด็นว่า รายได้จากโฆษณาจะยั่งยืนแค่ไหน, การย้ายไปบนมือถือจะยังสร้างรายได้หรือไม่ และอัตราการเติบโตผู้ใช้งานจะยังดีอยู่แค่ไหน ผลก็คือราคาหุ้น Facebook หลังรายงานผลประกอบการได้ทำราคาต่ำที่สุดนับตั้งแต่เข้าตลาดหุ้นที่ 24.63 ดอลลาร์
ที่มา: Facebook, The Verge, TechCrunch, Barron's, Business Insider ภาพจาก YCharts
Comments
อยากได้ซัก หมื่นหุ้น
ไม่มีลายเซ็น
Zuck ??!!
นั่นสิ
เป็นบริษัทที่ใช้คนน้อยจริงๆ ครับ แต่ทำงานสำเร็จได้มากมาย :)
น้อยตรงไหนครับเนี่ย
Instagram นี่สิถึงจะน้อยของจริง!!!
Dream high, work hard.
ลองเทียบจำนวนผู้ใช้/จำนวนวิศวกรครับ
onedd.net
ผมยังไม่คิดว่าน้อยนะครับ เพราะ Facebook มันขาย service แค่ช่องทางเดียว
จริงๆ แล้วเทียบกับกูเกิลยิ่งไม่สมควรนะ ... กูเกิลมีบริการหลากหลาย และมีสำนักงานในหลายประเทศมากๆ
เฟซบุคนี่ต่อให้ user เยอะยังไง วิศวกรก็ดูแลแค่ service ตัวเดียว (ที่แบ่งออกเป็นหลายๆ ส่วนย่อยๆ) ในส่วนพัฒนา implements ทีเดียวก็มีผลกับ service ทั้งหมดแล้ว (จำได้ว่า แยกทำเป็นส่วนๆ ค่อยๆ implements ที่ละกลุ่ม server)
คือผมยังงงๆ ว่าทำไมถึงเปรียบเทียบเป็นอัตราส่วนระหว่างจำนวนวิศวกรต่อจำนวนผู้ใช้ เพราะควรจะดูที่ขนาดองค์กรมากกว่า
เทียบตามขนาดองค์กรครับ
ก็ไม่น้อยนี่ครับ? ผมว่าปกติดีนะ อย่าง Yahoo กับ Zynga ก็มีขนาดองค์กรที่ใหญ่เกินไปมาก ซึ่งผลตามมาก็ขาดทุนอย่างที่เห็นกันครับ
น่าสนใจตัวเลข Market Cap กับ Revenue มากกว่า
ปล. Google บริหารขนาดขององค์กรดีมากเลยนะเนี่ย > <"
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
Market cap ต่อ พนักงานมันคือขนาดองค์กรเหรอครับ?
อันนี้ขอถามเป็นความรู้ครับ ... เพราะผมไม่รู้ว่าขนาดองค์กรคิดจากอะไร
ไม่ทำเองก็เสี่ยงไม่มั่นคงในระยะยาว ทำเองก็เสี่ยงไม่มีคนซื้อแถมต้นทุนค่าสิทธิบัตรก็แพงโขอยู่