บริษัทด้านวิเคราะห์เครือข่ายสังคม The Sociable ออกมาประเมินแนวโน้มของจำนวนแอพใน Google Play โดยอิงจากอัตราการเติบโตในอดีต คาดว่าเราจะได้เห็นแอพใน Google Play แตะหลัก 1 ล้านแอพในเดือนมิถุนายน 2013
ตัวเลขอย่างเป็นทางการที่กูเกิลประกาศล่าสุดคือ 700,000 แอพในเดือนตุลาคม 2012 ซึ่งทาง The Sociable คาดว่าตอนนี้แอพทะลุหลัก 800,000 ไปเรียบร้อยแล้ว (แต่กูเกิลยังไม่ประกาศ) และน่าจะแตะหลัก 900,000 แอพได้ก่อนเดือนเมษายน 2013
The Sociable ยังระบุว่าด้วยอัตราการเติบโตของ Google Play น่าจะขึ้นหลักล้านได้ก่อน App Store ของแอปเปิล เพราะปัจจุบันจำนวนแอพของทั้งสองค่ายอยู่ในระดับใกล้เคียงกันมาก
ที่มา - The Sociable via VentureBeat
Comments
ขอนอกเรื่องนิดหน่อยครับ ทำไมไอค่อน ของข่าวไม่ขึ้นเลย ผมเห็นมาหลายข่าวแล้วครับ (อันนี้ผมอยากรู้จริงๆ)
http://www.facebook.com/blognone/posts/10151285300001716
อ๋อครับ
รอประกาศอีกทีในงาน Google IO สินะ ...
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
มันเยอะจริง แต่แอพคุณภาพยังสู้ App store ไม่ได้นี่สิ น่ากังวล แอพขยะเยอะมาก
ตอน mac vs windows แรกๆ application ของ mac ก็ดีกว่า windows แบบนั้นแหละครับ
แล้วในที่สุดมันจะเป็นไปตามส่วนแบ่งของตลาด
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
ส่วนแบบตลาดมันเกี่ยวอะไรเหรอครับ ทุกวันนี้แอนดรอยด์ มันก็มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า iOS มาเป็นชาติแล้ว
แต่แอพใน App store ทำเงินให้นักพัฒนามากกว่า Google Play ตรงนี้มากกว่าที่ทำให้แอพในฝั่งของ iOS มันมีคุณภาพมากกว่า และการให้ความสำคัญของนักพัฒนาแอพ ก็ให้น้ำหนักไปที่ App Store มากกว่า หมายถึงพวกพัฒนาแอพที่ต้องการขายอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่อยากลองเขียนแอพเล่น ๆ แล้วอัพขึ้น Store แบบที่มีอยู่ใน Google Play
ส่วนแบ่งการตลาดจะไปดึง ecosystem ให้ล่มไปด้วยครับ apple ก็รู้และกลัว จนเกิดเป็น iphone เสปคเก่า ipad mini รวมถึง บริการเพลงแบบใหม่คล้าย Pandora เพื่อดึงลูกค้าให้อยู่กับตัว
อีกอย่างคือ android มี market share นำ ios ประมาณปีครึ่งเท่านั้น (momentum ก็ยังไม่เปลี่ยน)
ตามความเห็นผม ถึงแม้จำณวน app เกิดใหม่บน Android เริ่มจะมีมากเท่า ios แล้ว แต่คงต้องให้เวลาอีก 2-3 ปีเพื่อให้ app เยอะกว่า user และ dev ย้ายค่าย ถ้าจะให้ ios ถึงกับตกยุคเหมือน bb และ plam น่าจะต้องรออย่างต่ำ 6-7 ปี
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
ผมว่าปัญหาสำคัญและเป็นปัญหาใหญ่มากของแอนดรอยด์สำหรับนักพัฒนาเลยคือ Fragmentation ครับ นักพัฒนาอย่างผมถือว่ามันทำให้เสียเวลามากในการทำแอพให้ใช้ได้กับทุกอุปกรณ์ ในขณะที่ฝั่ง iOS ยังไม่เป็นปัญหาหรือเป็นก็น้อยมากเช่นกรณีไอโฟน 5 จอดำบน-ล่าง แต่ในอนาคตหากแอปเปิลซอยไอโฟนราคาถูกมา ต้องมาดูว่าหน้าจอจะเป็นอย่างไร
ด้วยปัจจัยดังกล่าว ทำให้นักพัฒนามุ่งไปที่ App Store ก่อนอันดับแรก อย่างน้อยมันก็น่าจะสร้างรายได้ง่ายกว่า ถ้าแอพติดตลาดแล้วค่อยหันไปทำบนแอนดรอยด์
Fragmentation หรือหน้าจอหลายขนาด เสปคหลายแบบ ไม่มีผลกับ Windows มาแล้ว เมื่อ developer คุ้นมือ หัวข้อนี้ก็ไม่ควรจะมีผลกับ Android เช่นกัน
แต่ตอนนี้นักพัฒนาคุ้นกับ App Store ทำให้ยังมี app ใหม่เยอะอยู่ ทั้งที่ส่วนแบ่งการตลาดของ ios ตอนนี้ส่วนแบ่ง ios เหลือ 14 - 15% เทียบกับ Android 73 - 74% (ตัวเลขโดยประมาณ ข้อมูล Gartner/IDC เดือน 11 ปีที่แล้วก่อน iphone 5 วางขาย)
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
น่าจะแลกเบอร์แล้วโทรคุยกันเลยนะครับ
สองท่านนี้
กลัวว่าจะกลายเป็นด่ากันมากกว่า เวลาคุยด้วยเสียง มัน review ก่อน post ไม่ใด้แล้วจะยิ่งขัดใจกันง่ายขึ้น - -"
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
ไม่เป็นไรครับ ยอมรับความเห็นต่าง แต่ไม่ใช่ไปดูถูกคนอื่นเหมือนคนข้างล่าง พอคนอื่นเขาเห็นต่างกับตัวเองไป พาลไปดูถูกว่าเขาว่า มันยากไปนิดสำหรับคุณบ้างหล่ะ เด็กน้อยบ้างหล่ะ สุดท้ายกล่าวหาคนอื่นเลวซะงั้น แต่ไม่สำรวจตัวเองเลย แถมยังมาไล่ชาวบ้านเขาอีก
แม้ความจริงผมยังไม่ค่อยเห็นด้วยกับที่คุณอ้างว่าปัญหา Fragmentation ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับนักพัฒนา โดยอ้างว่า Windows Phone ก็มีปัญหานี้และนักพัฒนาก็แก้ไขปัญหาได้ไม่ยาก แต่ผมว่าแอนดรอยด์ปัญหามันหนักหนาสาหัสมากกว่า Windows Phone มาก ยังไม่นับเรื่องแอพเถือน รวมถึงทำแล้วขายไม่ได้เพราะกูเกิลไม่ยอมเปิดให้ขายในหลาย ๆ ประเทศ สุดท้ายก็กลายเป็นทำแอพฟรี กลายเป็นสนามประลองฝีมือของคนอยากเขียนแอพเล่น ๆ คุณภาพมันเลยด้อยตามมาด้วย
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
ผมว่ากรณีของ Windows on PC มันน่าจะคนละคอนเซปต์กันหรือเปล่าครับ เพราะวินโดว์มันย่อขยายได้ตั้งแต่แรกเกิด จนเป็นไมโครซอฟท์เอามาตั้งเป็นชื่อโอเอส Windows แต่กรณีโอเอสบนอุปกรณ์โมบายมันเป็นลักษณะ Full Screen โดยสถาปัตยกรรมอยู่แล้ว มันไม่มีหน้าจอลักษณะ WinForm มาให้เล่น ด้วยเหตุนี้เวลาพัฒนาแอพบนโมบายโอเอส จึงมีการเน้นเกี่ยวกับ Layout กันซะยืดยาว ถ้าไม่เ้ข้าใจเรื่อง Layout นี่ตกม้าตายกันทีเดียว ผมเคยนึกแปลกใจเหมือนกันนะ กรณีว่าทำไม Windows ไ่ม่เห็นมีปัญหาเรื่องหน้าจอเลย จะหน้าจอใหญ่เล็กก็สามารถสเกลได้ แต่พอมองไปที่สถาัปัตยกรรมมันแล้วพอจะเข้าใจว่า ทำไมมันไม่มีปัญหานี้
เรื่องแอพเถื่อนบน iOS ผมว่าปัญหาไม่หนักหนาเหมือนกรณีของแอนดรอยด์ ความนิยมต่างกัน อีกอย่างด้วยลักษณะการอัพเฟิร์มแวร์ของแอปเปิลแล้ว ทำให้ปัญหานี้ดูไม่ใหญ่จนเกินไป อัพทีก็ปิดที มือเจาะก็มาเหนื่อยหาช่องทางเจลเบรกต่อไปเรื่อย ๆ กว่าจะเจาะได้ก็หลายวันหรือหลายสัปดาห์ อย่างไรแอพแท้ก็ให้ประสบการณ์การใช้งานที่เรียบง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ความจริงแอพแบบเฟค ๆ ใน iOS ก็เยอะ ซื้อมาแล้วกลายเป็นแอพหลอก ๆ ใช้งานไม่เวิร์คก็มี
ผมได้แต่หวังให้ทางกูเกิลเปิดให้ขายแอพได้เร็ว ๆ ผมไ่ม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไม่เปิดให้ขายได้ บ้านเราไม่พร้อมเรื่องอะไร นักพัฒนาจะได้ทำแอพคุณภาพออกมา รวมถึงคนใช้จะได้ไม่ต้องไปหาแอพเถื่อนเสี่ยงกับปัญหาเรื่องความปลอดภัย
Android สามารถตั้งขนาดเป็น px, dp และ sp ถ้าเข้าใจ concept นี้ความแตกต่างของขนาดหน้าจอ จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
ผมอ่านเกี่ยวกับ best practice เรื่องนี้มาพอสมควร รู้ว่าเมื่อไหร่จะใช้ layout แบบไหน และรวมถึงการกำหนดขนาดฟอร์แมทเป็น px, dp และ sp ว่ามีข้อแตกต่างอย่างไร รวมถึงรวบรวมว่าในปัจจุบันนี้มีขนาดหน้าจอที่เป็นมาตรฐานกี่ขนาด ซึ่งก็พยายามทำรองรับทุกขนาดหน้าจอที่เป็นที่นิยม แต่ปัญหาคือการหาอุปกรณ์มาทดสอบก็ไม่ใช่เรื่องง่าย มันต้องลงทุนซื้ออีก แล้วไม่รู้ว่าจะคุ้มหรือเปล่า แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ารองรับหมด ยังมีหน้าจอขนาดต่าง ๆ อีกมากมายที่เราต้องตัดไปเพราะวิเคราะห์แล้วยังไม่มีอุปกรณ์เยอะ นักพัฒนามืออาชีพคงไม่ทดสอบกับ Simulator ของแอนดรอยด์อย่างเดียวแน่นอน อันนั้นมันด๋อยมาก ทุกวันนี้ผมต้องตั้งคนมารับผิดชอบการดีไซน์หน้าจออย่างเดียว ให้เขามุ่งศึกษาเรื่อง Design เป็นหลักเลย
Tools ปัจจุบัณมี Emulator หน้าจอทุกขนาดให้อยู่แล้ว มือถือดังๆ ก็จะมี rom ให้ลอง emulator ใด้ด้วย
อีกอย่าง เฉพาะเรื่องหน้าจอ ในช่วงสองปีมานี้ Android เริ่มมีการเลือกไช้ขนาดหน้าจอเท่ากัน เช่น 720p 1080p ซึ่งทำให้งาน test ง่าย ... ปัญหาของ Android คือการกำจัดค่านิยมผิดๆเสียมากกว่า
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
ปัญหาคือ แอพที่จะถูกนำมาใช้จริง ควรถูกทดสอบกับเครื่องจริงให้มากที่สุดนี่สิครับ ส่วนตัวผมยังคิดว่าลำพังแค่ทดสอบกับ Emulator อย่างเดียวมันไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ หลาย ๆ ฟีเจอร์มันไม่สะดวกเท่าทดสอบกับอุปกรณ์จริง นี่ยังไม่นับความช้าของ Emulator นะครับ ส่วนตัวผมขนาดทำแอพทางด้าน Business ไม่ได้เล่นพวก Censor อะไรมากนัก หากทำแอพเกมนี่ลำบากเลยนะครับ ถ้าไม่มีเครื่องทดสอบจริง
ปัญหาอีกอย่างของแอนดรอยด์คือ Hardware สเปกหลากหลายมาก เครื่องระดับบนอาจจะรันแอพลื่นไหลดี แต่พอเครื่องสเปกต่ำ ก็หน่วงอีก โดน User ก็บ่น
ส่วนเรื่องค่านิยม เกี่ยวกับโหลดแอพเถื่อนหรือ Ad remove คงต้องค่อย ๆ แก้ไป
นี้แหละครับค่านิยมผิดๆ
ข้อดีของ Android ในมุมของ user คือ ระดับองค์กรณ์เมื่อเขียนโปรแกรมเสร็จแล้วไม่ต้องรอ apple approve บ. สามารถ side-load โปรแกรมของตัวเองใด้ และอุปกรณ์ก็ถูกกว่ากันเยอะ
ข้อดีของ Android ในมุมของ programer คือ in-app purchase (ทำระบบเอง)ไม่ต้องจ่ายส่วย user base เยอะกว่า เขียนโปรแกรมบนเครื่องที่มีใด้ไม่ต้องไช้ mac เพียงอย่างเดียว
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
เห็นข้อดีแล้ว อยากทราบข้อเสียบ้างครับ
เรื่อง Emulator เร็วขึ้นผมทราบครับ แต่การทดสอบแอพแบบจริงจัง ยังควรต้องทดสอบกับเครื่องลูกข่ายจริง ๆ และหลาย ๆ แบบครับ ไม่นับกรณีทำแอพกันสนุก ๆ นะ
เรื่อง Hardware คุณเข้าใจคนละประเด็น ผมหมายถึงอุปกรณ์แอนดรอยด์มีชิปประมวลหลากหลาย รุ่นต่ำ ๆ อาจจะใช้ชิป คอร์เดียวหรือสองคอร์ รุ่นสูง ๆ อาจจะใช้สี่คอร์ เป็นต้น ดังนั้นความเร็วต่างกันครับ แอนดรอยด์มีเครื่องหลากหลายราคาสมมติตั้งแต่ 3,000-4,000 บาทถึง 20,000 กว่าบาท ราคาแปรผันตามสเปก คุณคิดว่าแอพของคุณที่เขียนเสร็จมันจะทำงานได้ดีกับเครื่องแบบไหน แน่นอนก็ควรจะเป็นเครื่องสเปกสูง
เรื่องความอิสะในการอัพผลงานขึ้นสโตร์ อันนี้มันมีทั้งดีและเสีย ที่คิดออกตอนนี้ แบบ App Store คุมเยอะข้อดีคือ กรองแอพหลอกลวงได้ดี (อาจจะ) เป็นผลให้คุณภาพโดยรวมดี ข้อเสียคือ ช้า ส่วนปล่อยอิสระแบบ Google Play ข้อดีคือ รวดเร็วถูกใจนักพัฒนา ข้อเสียคือมีสแปมเยอะ แอพหลอกลวงเพียบ (อาจจะ) คุณภาพโดยรวมสู้แบบคุมไม่ได้
เรื่อง in-app purchase ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด มันมีทุก Applications store นะครับ และมีการแบ่งส่วนรายได้เหมือนกันแล้วแต่กฎเกณฑ์ของแต่ละ store
สุดท้ายการจะใช้คอมแบบใดในการพัฒนา อันนี้ตามสะดวกของแต่ละคน หากไปถามคนใช้แมค เขาก็จะแย้งว่าเขาใช้แมค เขาสามารถเขียนแอพได้ทั้ง iOS และ Android
เขียนในสภาพแวดล้อมของ MS ที่อุดมไปด้วย XAML นี่ก็ดีนะครับ แต่ปัญหาโลกแตกคือการพอร์ตไป platform อื่นนี่สิครับ ปวดหัวแทบอ๊วก แบบว่าเขียนใหม่เลย
เยอะจริงครับ แต่คุณภาพ App นี่คนละเรื่องเลย
พวกธีมเสริมเยอะมากใน Playstore ทั้งธีมหลักพวก luncher ทั้งธีมใน app
App คุณภาพดียังสู้ฝั่งนั้นไม่ได้เท่าไหร่
instaplace instaweather ยังหา app มาทดแทนไม่ได้เลย
ไม่รวมพวกเกมส์ต่างๆ
ผมย้ายจาก iPhone มา Note2 ได้ 2 เดือนกว่าๆทุกอย่างดีกว่าหมด เหลือแต่ app นี่แหละที่ยังทำให้อยากกลับไป...
แอพเยอะก็จริง แต่กว่า 50% ไม่เคยถูกดาวน์โหลดเลยสักครั้ง จะเยอะไปเพื่อ.......
ไม่ต้องห่วง จำนวน กับคุณภาพ App ขึ้นกับ Market Share ของกลุ่มผู้ใช้โทรศัพท์ที่มีกำลังซื้อ App (ถ้ากลุ่มผู้ใช้โทรศัพท์ที่มีกำลังซื้อ App ทางฝั่ง Android มากกว่า เมื่อนั้น App บน Android ก็จะดีกว่า คุณภาพมากกว่า และออกเร็วกว่า เอง ตามกลไกตลาด)
ตอนนี้ยังไม่เห็นว่าผู้ใช้ Android ที่มีจำนวนมากกว่าคนใช้ iOS หลายเท่าตัว จะซื้อเนื้อหา หรือแอพมากกว่า iOS เลยครับ คงจะต้องใช้เวลาอีกหลายปี
ไม่ค่อยมี App ขายกันเท่าไหร่ด้วย เพราะว่าหลาย ๆ ประเทศยังขายกันไม่ได้ (บ้านเราก็ขายไม่ได้) ส่วนใหญ่ต้องติดโฆษณากัน
ก็อาจจะหมายความว่า Market Share คนซื้อ app ฝั่ง android ยังสู้ ios ไม่ได้ครับ ถ้าจะให้เปรียบเทียบอย่างจริงจัง ต้องใช้ Market Share ในช่วงระดับราคาเท่ากัน เช่น ราคา ios อยู่ในระดับราคา 15000+ ก็ต้องหาจำนวนเครื่องของ android ในระดับราคา 15000+ (ซึ่งสมมุติฐานเบื่องต้นคือ คนที่ซื้อเครื่องแพง จะซื้อ app นั่นหมายความว่า Market Share ของเครื่อง smartphone ระดับ 15000+ android ยังสู้ ios ไม่ได้ แต่ไม่มีค่ายไหนทำตัวเลขออกมายืนยันชัดเจน) มันเลยสะท้อนไปที่ว่า App บน android ด้อยกว่า และคนทำ app ลง ios ก่อน เยอะกว่า (ซึ่งคาดว่าอีกไม่นาน ตัวเลขนี้น่าจะเปลี่ยนไป แต่ต้องรอหน่อยเท่านั้นเอง)
เปรียบแบบงง ๆ ดูแล้วยังหาเหตุผลเชื่อมโยงแบบมีนัยสำคัญไม่ได้
ผมว่าอธิบายชัดเจนนะ แต่มันอาจจะยากเกินไปนิด สำหรับคุณ
ผมว่าคุณ จับแพะชนแกะแและผูกโยงมั่วมากกว่า
ขอโทษ สำหรับคุณคงต้องอธิบายแบบนี้ สมมุติ android มี market share 50% ios มี 30% แต่ปรากฏว่า ios มีคนซื้อ app เยอะกว่า คุณเลยสรุปว่า market share ไม่มีผลต่อการซื้อ app แต่จริง ๆ แล้วเทียบอย่างนั้นไม่ได้ เพราะ android ทั้ง 50% ไม่ได้ซื้อ app ทั้งหมด (สมมุติฐานคือ ราคาโทรศัพท์ที่ซื้อ มีผลต่อ ปริมาณ app ที่ซื้อ) ใน 50% ของ android ติ้งต่างว่ามี android 15000- อยู่ 30% และมี 15000+ 20% (ซึ่งความจริงไม่มีข้อมูลตรงนี้ว่าเป็นเท่าไรแน่) แต่ ios ทั้ง 30% เป็น 15000+ (ทีนี้ถ้าเราเทียบเฉพาะ Market Share 15000+ จะเห็นว่า android 20% และ ios 30% ซึ่ง android น้อยกว่า ios มันก็เลยสะท้อนออกมาที่ความจริงว่า คนซื้อ app android น้อยกว่า ios และ ด้วยข้อเท็จจริงนี้ app บน ios จึงมีคุณภาพดีกว่า) หวังว่ายกตัวอย่างขนาดนี้ คงจะเข้าใจซะทีนะครับเด็กน้อย
คุณก็ยังยกเมฆมาอธิบายได้เป็นคุ้งเป็นแควนะ จินตนาการล้วน ๆ
ส่วนผมจะเด็กน้อยหรือผู้ใหญ่กว่าคุณ มันก็ไม่สำคัญหรอกนะ เพราะผมไม่เคยเอาอายุมาเป็นเกณฑ์ดูถูกคนอื่น
ผมเข้าใจว่าคุณไม่เคยเอาอายุมาดูถูกคนอื่น แต่คุณดูถูกคนอื่นตรง ๆ เลย เช่น จับแพะชนแกะ และมั่ว การว่าคุณเป็นเด็กน้อย เป็นการตอบโต้ที่สุภาพที่สุดแล้ว ยังไม่วายไม่รู้ตัว มาทำพฤติกรรมเลว ๆ ต่อจากนั้นอีก ด้วยการใช้คำพูดยกเมฆ ผมคงไม่ตอบกระทู้คุณอีก (กรุณาไประบายอารมณ์ที่อื่น นี่มันบอร์ดความรู้)
ผมกำัลังชี้ให้ดูไงว่า สิ่งที่คุณยกมา มันไม่มีเหตุผลประกอบหรือกล่าวอีกแง่คือ มันเป็นสมมติฐานของคุณยกขึ้นมาเอง และผมแย้งว่ามันดูเหมือนผูกโยงแบบไม่น่ามีนัยสำคัญ การอ้างแบบนี้มันไม่มีที่ไปที่มาชัดเจน เช่น คุณยกสมมติฐานว่าคนซื้อเครืองแพง จะนิยมซื้อแอพ ผมฟังดูแล้วมันยังไม่มีนัยสำคัญพอที่ตั้งสมมติฐานแบบนั้น เอาแบบข้อเท็จจริงเลย คนซื้อไอโฟนซึ่งยอมรับว่าราคาแพงในบ้านเราหรือหลาย ๆ ประเทศในโลกนี้ แต่ก็ยังไม่โหลดแอพเอง ยังมีธุรกิจรับลงแอพเต็มศูนย์การค้า
อันนี้ผมว่าคุณเริ่มก่อนนะครับ การที่ไปเหน็บด้วยคำว่า สำหรับคุณ ทั้งๆที่เค้าอ่านแล้วไม่เข้าใจหาจุดเชื่อมโยงไม่เจอเลยโพสมา (ผมเองยังต้องอ่านสามสี่รอบกว่าจะเข้าใจ)
ชื่อ : Not Available at this Moment (N/A)
เอาหล่ะ คุณจะเข้ามาตอบหรือไ่ม่ตอบก็เป็นสิทธิของคุณ แต่ผมต้องชี้แจง อย่างน้อยสมาชิกในเว็บแห่งนี้จะได้ทราบ ขอเป็นประ้เด็น ๆ เลยแล้วกัน
ประเด็นแรก อยากให้คุณหยิบโทรศัพท์มือถือคุณแล้วเปิดกล้องหน้าส่องสำรวจตัวเองก่อนนะ แล้วทบทวนใหม่ คนที่ก่อหวอดก่อนเลยคือ "คุณ" เพราะคุณไปดูถูกคนอื่นก่อนด้วยสำนวนเหน็บแนมว่า "ยากไปนิด สำหรับคุณ" จนเลยเถิดมาถึงคำว่า "เด็กน้อย" และ "พฤติกรรมเลว ๆ "
ประเด็นที่สอง สิ่งที่ผมแสดงความเห็นคือ ยังไม่เห็นด้วยกับเหตุผลของคุณเพราะยังคลุมเครือ การเชื่อมโยงของคุณยังไม่ค่อยมีนัยสำคัญในความคิดของผม มันดูมั่ว ๆ เหมือนจับแพะชนแกะ มันก็ไม่ใช่การดูถูกคุณ หรือคุณคิดว่าการที่คนอื่นไม่เห็นด้วยกับคุณคือการดูถูกคุณ เพราะเหตุผลคุณยังคลุมเครือ ผมถึงบอกว่ามันผูกโยงมั่วไปหน่อย เป็นจินตนาการหรือสมมติฐานของคุณเอง
ประเด็นสุดท้าย เว็บนี้เปิดกว้างเสรีให้ใคร ๆ ก็ได้สมัครสมาชิกเ้ข้ามาแสดงความคิดเห็นจากประเด็นเนื้อหาข่าว คุณควรระงับสติอารมณ์มากกว่านี้หน่อยในความคิดเห็นแย้งกับคุณ และคุณไม่มีสิทธิไล่คนอื่น คนที่มีสิทธิไล่หรือระงับสมาชิก ทุกท่านในนี้ก็คงรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร แต่ไม่ใช่คุณแน่นอน ความจริงแล้วผมเป็นสมาชิกมานานกว่าคุณด้วยซ้ำ ผมทราบวัฒนธรรมการแสดงความคิดเห็นโต้แย้งในเว็บนี้ดี
สุดท้ายนี้ ย้ำอีกนิด ผมไม่เอาอายุมากกว่าหรือน้อยกว่า มาเป็นเกณฑ์วัดความคิดหรือทัศนคติของคน เพราะความรู้เรียนทันกันได้ ไม่แน่นะ อายุคุณอาจจะรุ่นลูกผมด้วยซ้ำ แต่ผมไม่เอาอายุมาวัดระดับสติปัญญาของคนหรอกนะ ยิ่งในวงการไอทีแล้ว มันเอาประสบการณ์ทำงานนานกว่ามาวัดยาก เพราะความรู้และเทคโนโลยีมันไปเร็ว นอนหลับตื่นขึ้นมาสิ่งที่คุณรู้ เข้าใจและใช้มันทำมาหากิน มันอาจจะเปลี่ยนไปแล้ว ใช้ไม่ได้แล้ว ที่กล่าวมาเพราะผมก็ผ่านประสบการณ์บริหารทีมงานไอทีมานานหลายปี
เรียนตามตรง ผมอ่านเข้าใจตั้งแต่โพสแรกของเขา แต่อาจจะต้องค่อยๆอ่านหน่อย เพราะวิธีเขียนยาก ซึ่งนั้นเป็นความคิดเห็นและสมมติฐานของเขา ที่ผมอ่านดูแล้วก็มีเหตุผลอยู่ การที่คุณไปดิสเครดิตเขาว่าไม่มีนัยสำคัญโดยไม่ชี้แจ้ง มันก็เป็นการหมิ่นหรือดูถูกเขาก่อนกลายๆนั้นแหละครับ
พูดง่ายๆคือ จริงๆคุณควรจะอ่านให้เข้าใจก่อนแล้วจึงค่อยคอมเม้นด้วยเหตุผล
ผมจะลองสรุปคร่าวๆ สมมติฐานของคุณคนนั้นนะครับ
ง่ายๆคือเขาเชื่อในความเชื่อมโยงของ market share ที่มีผลต่อจำนวนคนซื้อ app
เพียงแต่ในกรณีนี้ มันยังมีอีกปัจจัยที่สำคัญกว่านั้นคือเรื่องของตำแหน่งของ market share ที่จะมีผลต่อคนซื้อแอป
ว่าง่ายๆยิ่งตำแหน่งสูง ซื้อมือถือมาในราคาสูงเท่าไร คนยิ่งมีแนวโน้มจะซื้อแอปมากขึ้นเท่านั้น โดยใช้สมมติฐานว่าคนผู้นั้นมีกำลังซื้อ (ซึ่งเป็นการมองในภาพกว้าง ความเป็นจริงอาจจะไม่100%)
และในกรณีของแอปเปิ้ลซึ่งขายมือถือในราคาสูงก็ย่อมต้องเป็นไปตามนี้
แต่ในกรณีของแอนดรอยซึ่งขายมือถือในราคาต่ำได้มากกว่าจึงยังไม่เป็นไปตามนี้
แต่แนวโน้มในอนาคตอาจจะเปลี่ยนเพราะมือถือราคาสูงของแอนดรอยขายได้มากขึ้น คนซื้อได้มากขึ้น ก็เป็นแรงจูงใจให้คนทำแอปดีๆมาขายมากขึ้น เพราะได้กำไรมากขึ่น แค่นี้ครับ...
ขอสรุปรวบโดย reply คุณ Little big jay แล้วกันนะครับเพราะน่าจะเป็นกรณีตัวอย่างที่ตรงที่สุด
คุณ newstar เขาอ่าน post ของคุณ leonoinoi เข้าใจตั้งแต่แรกแล้วครับไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถวิเคราะห์และตอบกลับได้ว่า "ไม่สามารถหาเหตุผลเชื่อมโยงแบบมีนัยสำคัญได้"
ปัญหามันเกิดจากการที่คนอื่นอ่าน comment ของคุณ newstar ไม่แตกและตีความไปว่าเขา "ไม่เข้าใจ" สมมติฐานที่คุณ leonoinoi ตั้งเอาไว้จนลามไปถึงการเหน็บแนมว่า "คงจะยากเกินไปสำหรับคุณ" ซึ่งในกรณีนี้ผมบอกได้เลยว่าคุณ leonoinoi เป็นฝ่ายเริ่มก่อนแน่นอน
พูดตรง ๆ ผมอ่านที่เถียงกันแล้วก็ค่อนข้างแปลกใจนะ ทำไมคนอื่นอ่านแล้วไม่เข้าใจกัน (ว่าคุณ newstar เขาเข้าใจสมมติฐานตั้งแต่แรกแล้ว)
ส่วนประเด็นเรื่องสมมติฐานว่าคนซื้อมือถือราคาแพงมีแนวโน้มที่จะซื้อ app แท้นั้น ผมว่ามันอาจจะจริงหรืออาจจะไม่จริงก็ได้ เรียกง่าย ๆ ว่ายังไม่สามารถสรุปได้นั่นเอง ดังนั้นการที่คุณ newstar จะไม่เห็นด้วยผมก็ไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหนเพราะคุณ newstar ก็ได้ยกตัวอย่างที่สวนทางกันมาหักล้างแล้ว ซึ่งมันก็เป็นเหตุการณ์จริงเช่นกันที่ว่าคนใช้ iPhone จำนวนหนึ่งในเมืองไทยไม่ซื้อ app สมมติฐานข้างต้นของคุณ leonoinoi จึงไม่มีน้ำหนักมากพอเพราะคุณ leonoinoi ก็ไม่มีข้อมูลใดบ่งชี้ว่าผู้ใช้ iPhone ที่ซื้อ app ก็ไปให้ร้านลง app ให้นั้นประเภทไหนมีสัดส่วนมากกว่ากัน (และยังต้องมองไปต่อว่ามากกว่ากันแค่ไหน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น)
อันที่จริงไม่ใช่แค่เฉพาะผู้ใช้ iPhone ในไทยเท่านั้นที่ไม่นิยมซื้อ app แท้ ต่างประเทศอีกหลาย ๆ ประเทศก็คงมีคนประเภทนี้เหมือนกันและคงมีไม่น้อยทีเดียว มิเช่นนั้นคงไม่มีคนเขียน i*st*ll*us ขึ้นมาให้ load ใน cydia อย่างเช่นทุกวันนี้ (ผมหมายถึงก่อนที่ทีมงานจะประกาศเลิกเขียน i*st*ll*us นะ) สมมติฐานของผมก็ง่าย ๆ เพียงแค่คิดว่าหากประเทศอื่นไม่มีคนที่ซื้อ app เถื่อนแล้วจะมีคน jailbreak แล้ว download i*st*ll*us ไปได้อย่างไร ?
ทั้งนี้ทั้งนั้นความถูกต้องของสมมติฐานที่ตั้งขึ้นมามันไม่ใช่ประเด็น การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคมันไม่ใช่อะไรที่ง่ายดายขนาดนั้น ในมหาวิทยาลัยมีการเรียนการสอนเรื่องนี้โดยเฉพาะ ความคิดของคนเรามันมีความซับซ้อน สภาพแวดล้อมที่แตกต่างก็สามารถกำหนดพฤติกรรมที่แตกต่างได้ จะเอาแค่ความคิดคาดเดาชั่วแล่นไม่มีตัวเลขเอกสารข้อมูลจริงประกอบการวิเคราะห์มากำหนดมันก็คงจะมีโอกาสถูกต้องได้ยาก
That is the way things are.
เมื่อมี่คนใหม่มาร่วมวง ก็ขอโพสต่อ สิ่งที่คุณโพสมาทั้งหมด ก็ไม่มีข้อมูลไหนเลย ที่แย้งว่า สมมุติฐานผมไม่เป็นจริง มันก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น และผมก็ไม่เชื่อว่าคุณ newstar จะเข้าใจว่า ที่ผมโพสเป็นเพียงสมมุติฐานที่รอการพิสูจน์ แต่แรก (เพราะถ้าเข้าใจ จะไม่โพส "ไม่สามารถหาเหตุผลเชื่อมโยงแบบมีนัยสำคัญได้" เพราะสิ่งที่ผมโพส มีเหตุผล เพียงแต่ยังไม่สามารถหาข้อมูลทางสถิติ มายืนยันได้) ข้อมูลที่ต้องการคือ Market Share ของ Android 15000+ เมื่อนำมาหาความสัมพันธ์กับ ปริมาณการซื้อ app และ Market Share ของ ios เราก็จะรู้ทันทีว่า มันขึ้นต่อกันอย่างมีนัยยะสำคัญหรือไม่ (ถ้ามันขึ้นต่อกัน สมมุติฐานผมก็ถูก แต่ถ้าไม่ขึ้นต่อกัน สมมุติฐานผมก็ผิด เท่านั้นเอง) การที่บอกว่ายากเกินไปสำหรับคุณ เพราะนี่มันคือ วิชา สถิติ Reseach ซึ่ง คนที่ไม่รู้ จะไม่เข้าใจว่า ทำไมเราต้องตั้งสมมุติฐานเพื่อหาคำตอบอะไรบางอย่าง และสมมุติฐาน ไม่จำเป็นต้องเป็นจริง และต้องรอการพิสุจน์ จากข้อมูลทางสถิติ (ไม่ใช่ความคิดเห็นของพวกคุณ)
คุณยังเข้ามาโพสต์ดูถูกคนอื่นไม่เลิกนะ
พูดอย่างกับว่าคุณเรียนวิชาสถิติคนเดียวอย่างนั้น มันยากขนาดนั้นเหรอสำหรับสถิติ Research ที่คุณอวดภูมิชาวบ้านอยู่นี่ ผมจบ "สถิติศาสตรบัณฑิต" ครับ ผมคงไม่ต้องมาให้คุณสอนวิชา Statistics ผมอีก ผมไม่ขี้โม้โอ้อวดให้มากความหรอก เรื่องภูมิความรู้ด้านสถิติ ผมแย้งว่าสมมติฐานของคุณยังไม่มีเหตุผลพอที่จะยกมาเป็นสมมติฐาน ผมถึงบอกว่ายังหาเหตุผลเชื่อมโยงที่จะมาตั้งสมมติฐานไม่ได้ หลักการตั้งสมมติฐานมันก็ต้องตั้งอย่างมีเหตุผลไม่ใช่ นึกอยากจะตั้งอะไรก็ตั้ง ส่วนทำไมถึงคิดว่ายังไม่สมเหตุสมผลที่จะตั้ง ก็ไปอ่านคอมเม้นท์อื่นของผมประกอบกัน ผมเรียนสถิติตลอด 4 ปีจนได้วุฒิ สต.บ. มา ผมคงไม่ต้องให้คุณมาสอนสถิติผมใหม่
อย่าว่าผมสอนเลยนะ จงอย่ารีบตัดสินคนอื่นโดยที่ยังไม่รู้จักเขา และขอให้ปรับปรุงอุปนิสัยสันดารดูแคลนคนอื่นซะบ้าง สำนวนที่ว่า "มันยากเกินไปสำหรับคุณ" หรือ ไม่ีใช่ความคิดของ "พวกคุณ" มันไม่ได้ทำให้คุณดูดีในสายตาคนอื่นเลยนะ
โพสของคุณ มันกำลังด่าตัวคุณเองอยู่นั่นแหละครับ (ถ้าคุณไม่เห็นเหตุผลที่ผมตั้งสมมุติฐานแบบนั้น ผมคงช่วยอะไรคุณไม่ได้แล้ว)
คุณก็ยังแถไปได้เรื่อย ๆ นะ ด่าคนอื่นได้ แต่พอเขาย้อนกลับก็อ้างสารพัด ตักน้ำชะโงกดูเงาตัวเองบ้างนะ
หลักการตั้งสมมติฐาน เขาเรียนมาตั้งแต่ประถม-มัธยมแล้ว ไม่ใช่นึิกอยากจะตั้งก็ตั้งไปเรื่อย เหตุผลที่บอกว่าสมมติฐานที่อ้างมายังไม่สมควรตั้งแบบนั้น ผมได้ให้เหตุผลแย้งประกอบไปหมดแล้ว หากอ่านเข้าใจ
จริง ๆ แล้วพอจะคาดเดาได้ว่าคุณกำลังอวดภูมิความรู้สถิติวิจัยที่เรียนใน MBA มาข่มคนอื่น แต่หลักสูตร MBA 2 ปี เรียนสถิติไปกี่วิชากันเชียว ที่อ้างมาไม่ได้หมายความว่าดูถูกคุณหรือใคร ๆ ที่เรียน MBA นะ เพียงแต่โต้แย้งโพสต์ของคุณคนเดียวที่โพสต์ดูแคลนคนอื่น ดูแคลนอย่างไร ลองพิจารณาที่คุณโพสต์มาเกี่ยวกับสถิติวิจัยดูนะ
เรื่องของเรื่องคือ คุณไ่ม่ควรไปดูถูกคนอื่นในสิ่งที่ไม่เห็นด้วยกับความเห็นคุณ การที่มีคนไม่เห็นด้วยกับคุณ คุณถึงกลับบอกว่า มันยากเกินไปสำหรับสติปัญญาของเขาเลยรึ พาลเหมาว่าคนอื่น ไม่ได้เรียนมาอย่ามาเถียง อะไรประมาณนั้นอีก ร้อนวิชาว่างั้น..
เขาไม่ได้เขียนให้เข้าใจยากหรอก อ่านครั้งแรกผมก็เข้าใจที่เขาสื่อ แต่ผมไม่เห็นด้วยในสิ่งที่เขาพยายามเชื่อมโยง ผมก็ใช้สิทธิเห็นต่างจากเขา ยกตัวอย่าง สมมติฐานที่เขาอ้างว่าคนที่ซื้อเครื่องแพง มักจะนิยมซื้อแอพ อันนี้ผมก็มองว่ามันไม่น่าจะมีนัยสำคัญ มีข้อเท็จจริงที่รับรู้กัน โดยไม่ต้องตั้งสมมติฐานให้เสียเวลาได้เลยว่า คนซื้อมือถือแพงไม่ได้หมายความว่าเขาจะซื้อแอพ ไม่งั้นคงไม่มีร้านรับลงแอพทั้ง Android & iOS เต็มไปหมด คนที่ลงแอพทุกวันนี้มีถึงครึ่งหรือเปล่าที่ลงหรือซื้อแอพเอง ส่วนมากก็ใช้บริการร้านค้า หรือดีหน่อยก็คนรู้จักลงให้ ยังมีคนอีกมากมายที่เขาไม่ทำสิ่งเหล่านี้หรืออยากทำแต่ทำไม่เป็น แต่เขามีความสามารถซื้ออุปกรณ์ราคาแพง
การที่ผมเห็นต่างว่า สมมติฐานเขายังไม่มีนัยสำคัญมันคือ การดูหมิ่น ดูถูก หรือ discredit เขารึ การที่เขามีมุมมองแปลก ๆ มันก็เป็นเรื่องดีสำหรับเขา ผมเห็นด้วย แต่ก็ไม่จำเป็นที่คนอื่นจะเห็นตามเขา ก็เท่านั้นครับ
สุดท้าย เขาก็ไม่ควรมาดูถูกสติปัญญารวมถึงว่าคนอื่นเลว โดยที่ไม่รู้จักตัวตนของคนอื่นว่าเป็นอย่างไร
ขอแย้งนิดนึงนะครับ ผมพอเข้าใจว่าของทางฝ่ายโน้นไม่มีข้อมูลเชิงสถิติที่ชัดเจนแต่ก็เป็นสมมติฐานที่มีความเป็นไปได้ แต่ถ้ายกกรณีที่คุณ"เห็น"คนซื้อไอโฟน(ในบ้านเรา)ลงแอปเถื่อนแล้วสรุปว่าคนมีเงินในไทยยังซื้อแอปเถื่อน = คนที่ใช้มือถือราคาแพงไม่เกี่ยวกับการซื้อแอป มาเป้นสมมติฐานนี่ไม่น่าใช่แล้ว
อย่างแรกคือตลาดไทยไม่ใช่ตลาดหลักของนักเขียนแอป อย่างที่สองคือพฤติกรรมคนไทยไม่ได้สะท้อนพฤติกรรมของคนทั่วโลก การที่คุณเอาพฤติกรรมของตลาดเล็กเป็นตัวแทนของตลาดใหญ่นี่ก็ค่อนข้างเหมารวมเกินไปครับ
เมื่อวานผมคิดอยู่แ้ล้วว่าจะมีคนมาแย้งผมเกี่ยวกับตลาดไทยไม่สะท้อนตลาดโลก ผมจะมา edit เพิ่มเติม แต่พอดีว่า comment quota ประจำวันของผมหมดก่อน แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องอธิบายแล้ว เผอิญว่าคุณ Zerocool ได้อธิบายแทนผมไปแล้ว และก็ชัดเจนดีด้วย อีกนิดนะครับ Cydia ไม่ใช่ของคนไทย ดังนั้นประเทศไทยไม่ใช่ศูนย์กลางแน่นอน ดังนั้นที่คุณบอกว่าไทยไม่สะท้อนตลาดโลก ก็ไม่ผิดครับ แต่ผมคิดว่า Cydia มันก็ดำรงอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยคนไทยช่วยโหลด ทั้งนี้ยังไม่รวมร้านรับลงแอพที่บอกว่าโหลดแอพแท้ มาขายต่อให้ลูกค้าอีกทอด
ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์มันไม่ใช่เป็นปัญหาเฉพาะไทย ทั่วโลกก็ประสบปัญหา เอาเฉพาะจีนประเทศเดียวคนเป็นพันล้าน ตัวเลขการใช้ซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธ์น่าจะ 70-80% ด้วยซ้ำ ตอนนี้โอโฟนมีขายกับ 2 โอเปอเรเตอร์คือ China Unicom และ China Telecom ซึ่งเป็นเบอร์สองและสามในตลาดจีน ทั้งสองค่ายมี subscriber ที่ใช้ไอโฟนประมาณ 24 ล้านเครื่อง จากยอด subscriber ทั้งสองค่ายรวมกันประมาณ 400 ล้านเบอร์ (ผมขอเรียกเป็นจำนวนเบอร์โทรศัพท์ก็แล้วกัน เพราะอาจจะมีเครื่องสองซิมด้วย) ตอนนี้แอปเปิลกำลังเจรจากับเบอร์หนึ่ง China Mobile ที่มี subscriber ประมาณ 700 ล้านเบอร์ เพื่อเอาไอโฟนไปขายในเครือข่าย คิดดูหากเจรจาสำเร็จ ยอดขายไอโฟนจะพุ่งขึ้นอีกเท่าไหร่ ในขณะที่ทัศนคติการใช้แอพละเมิดยังเหมือนเดิม อ้างอิงhttp://allthingsd.com/20130103/china-mobile-starting-to-need-an-iphone-deal/
ทั้งหมดทั้งปวง ผมยังมองสถานการณ์ปัจจุบันว่า ยังไม่มีอะไรมาวัดได้อย่างมีนัยสำคัญว่า คนซื้อเครื่องแพง จะไม่ใช้แอพละเมิด ด้วยปัจจัยหลายอย่าง เช่น โหลดไม่เป็น พอจะทำเป็นแต่ขี้เกียจ จ้างลงง่ายกว่า ไม่มีบัญชีบัตรเครดิต/เดบิตซื้อแอพ (จริง ๆ แล้วทำ่ง่าย แต่หลายคนไ่ม่มีความรู้และไม่ไว้วางใจ)
ขยะกองโตขึ้น ของดีมีเกือบเท่าเดิม
ชื่อ : Not Available at this Moment (N/A)
เห็นด้วยใช้อยู่แต่appเดิมๆ app ใหม่ๆนี้ไม่ผ่านเลย
ผู้ใช้ธรรมดาๆ อย่างผมรู้สึกว่าแค่นี้ก็พอใช้ แอปฟรีติดโฆษณาทั้งหลายก็ใช้ได้ดีไม่เลว เกมทั้งหลายก็ไม่ค่อยได้เล่น(ไม่ว่างเล่น)
แต่บางอย่างก็ดีกว่านะ อย่าง Pixlr กับ Pixlr Express ของฝั่งด๋อย ใช้ฟรีทุกฟีเจอร์ แต่ฝั่ง iOS ต้องจ่ายเพิ่ม
อีกอย่าง ฝั่งด๋อย รูทแล้วลง AD Remover ได้ด้วย 555.
ผมว่าเพราะพฤติกรรมอย่างในบรรทัดสุดท้ายนี่แหละครับ ที่เป็นส่วนหนึ่งว่าทำไมคนทำแอพถึงตั้งใจเลือกทำลง iOS ก่อน Android
+1M Dev ตั้งใจทำแอพขายก็ถูกเอาไปแจก สุดท้ายเลยต้องแจกฟรีไปหาเงินจาก In-App purchase เอาดาบหน้า ครั้นจะทำแอพฟรีมีโฆษณา ก็ยังจะถูกเอาโฆษณาออก ฮ่าๆ คงจะมีเงินไปหาซื้อเครื่องมาทดสอบได้หรอก
Ad remover นวัตกรรม ของผู้ใช้ นรกของ Dev
เราเขียน apps บน iSO อยู่ เครื่องไม้เครื่องมือเค้าใส่ใจทำเพื่อ Dev มากเลย สะดวกมาก ทั้ง iOS Simulator ก็ลื่นเหมือนใช้เครื่องจริง
ว่าแต่ Ad remover Android มันหน้ากลัวจริงๆเลย =,= พึ่งรู้นะเนีย
จะเถียงกันไปใย Play store มีแอพคุณภาพเหนือชั้นกว่า Windows phone store เยอะ รายหลังใช้เองแล้วจะหนาว หุๆๆ
ที่แน่ๆ app store ของเค้าดีจริง ยอมรับเลย
กลัวว่าจะเป็นเหมือนสมัย mac vs windows มากกว่า ที่สุดท้าย marketshare เมื่อถึงจุดนึง มันก็จะดึง ecosystem ไปได้จริงๆ
ระบบติดโฆษณาส่วนตัวไม่เห็นด้วย จ่ายเงินซื้อไปเลยสบายใจกว่าเป็นไหน ๆ ถ้าสโตร์ยังไม่สามารถจ่ายเงินได้ก็ซื้อของค่ายอื่นไปก่อนอิอิ นี่ผมก็กดบัตรเครดิตไปหลายแล้วแอพสโตร์เขาดีจริง ๆ