Rich Miner ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Android กับ Andy Rubin (ปัจจุบันเขาทำงานอยู่กับ Google Ventures) ไปพูดที่งานสัมมนาของ Massachusetts Technology Leadership Council และให้ความเห็นต่อปัญหา fragmentation ของ Android ว่ามันอาจไม่ร้ายแรงอย่างที่คิด
มุมมองของ Miner คือ fragmentation เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากในสภาพการณ์ที่มี Android จำนวน 900 ล้านเครื่องในตลาด และผู้ใช้โดยส่วนใหญ่ (ที่ไม่ใช่ geek) ก็ไม่ได้แคร์อะไรมากนักกับการใช้ระบบปฏิบัติการเวอร์ชันเก่าถ้าหากว่ามันยังทำงานได้ดี
Miner ยังบอกว่ากูเกิลกับผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ OEM ก็ปรับตัวและแก้ปัญหาเรื่องการอัพเดตเวอร์ชันได้ดีกว่าในอดีต โดยยกกรณีของการออกแพตช์แก้ช่องโหว่อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เขามองว่าความล่าช้าในการอัพเดตของ OEM และโอเปอเรเตอร์เกิดจากมุมมองแบบอนุรักษ์นิยม ที่ต้องการทดสอบซอฟต์แวร์อย่างละเอียดก่อนปล่อยให้ผู้ใช้
ที่มา - Xconomy
Comments
คนพูดไม่ได้รับผลกรรมซินะ...
สิ่งที่เรียกว่า fragmentation คือสิ่งที่เป็นโอกาสให้ผู้ใช้ได้เลือก ได้ใช้สมอง
ไม่ใช่มีสิทธิ์ใช้แต่สิ่งที่ผู้ผลิตคิดว่าดีอย่างบาง OS
ผมว่าไม่เรียกว่าผลกรรมหรอก
อีกอย่าง ผู้ใช้จำนวนมาก เค้าก็ไม่ได้สนใจที่จะ update ขนาดว่ามี OTA เตือนบนหน้าจอ เค้าก็ไม่สน
อย่าไปคิดแทนเค้าเลยเค้าครับ ว่าเค้าเดือดร้อน
หลาย ๆ คน หลาย ๆ os ซื้อโทรศัพท์มา ไม่เคย update เลยก็มี
ใช้มันแบบที่ซื้อมานั่นละ
fragment มันมีทั้งแบบที่ส่งผลและไม่ส่งผลนะครับ โดยทั่วไป ระบบ PC desktop ตั้งโต๊ะและ laptop ตั้งตัก เอ้ย วางตักมี fragment ที่รุนแรงกว่า Android มากแต่กลับแทบไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้งานโดยทั่วไป ขณะที่ fragmentation ที่เกิดกับ Android หลาย ๆ ส่วนมันกลับมีผลค่อนข้างมากในการใช้งาน แต่ตรงนี้ผมหมายถึงเรื่องฮาร์ดแวร์เสียเป็นส่วนมากนะครับ โดยเฉพาะขนาดหน้าจอ ไม่ค่อยเกี่ยวกับข่าวเท่าไหร่
ถ้านับส่วนของซอฟท์แวร์อย่างรุ่นของระบบปฏิบัติการจริง ๆ ผมว่าก็ควรอยู่ระดับที่ไม่น่าตระหนกจริง ๆ นั่นแหละครับ อันนี้เจ้าไหนก็มี iOS เองก็มีฮาร์ดแวร์รุ่นที่ผู้ใช้อัพรุ่นใหม่ไม่ได้แล้ว Windows Phone เองก็มีผู้ใช้ Windows Phone 7 ที่ถูกทอดทิ้ง แม้แต่ระบบปฏิบัติการอย่าง Windows เองก็ยังมีผู้ใช้ต่างรุ่นที่ใช้ซอฟท์แวร์ร่วมกันไม่ได้ในสัดส่วนที่สูงมาก (โดยเฉพาะตระกูล XP ปะทะ Vista/7/8 ซึ่งสามตัวหลังที่ใช้ร่วมกันได้เกือบหมดก็ยังมีปัญหาในบางโปรแกรม)
ถึงจะบอกว่า Windows มันอัพรุ่นใหม่ได้ง่ายกว่า แต่ก็คงไม่ต่างจากการแถมแพให้เรียบร้อยของ Android หรอกครับ ถ้าผู้ใช้ทั่วไปนี่อัพเองไม่เป็นด้วยซ้ำ ตัวอัพสะดวกอย่าง Android ที่ยังไม่ได้แพก็ไม่มี แม้แต่การอัพแบบที่ซื้อเครื่องช่วงรอยต่อก่อนออก Windows ใหม่เองยังอัพยากเลย ถ้าอยู่ระดับลง Windows เองได้ก็คงอัพ Android custom ROM เองได้เช่นกัน หรือถ้าปกติอัพ Windows โดยการส่งร้านก็เอามือถือไปส่งร้านก็ได้
ประเมินสถานการณ์แบบคนอยู่นอกวง Android ครับ
Windows แต่ละรุ่นเองก็จะปัญหาประเภทอัพเกรดไม่ได้อยู่บ้างเหมือนกันครับ อย่างคนที่ใช้ Windows 2000 เมื่อก่อน พอจะอัพเกรดขึ้น Vista/7 จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ติดปัญหาอัพไม่ได้ ก็เป็นปัญหาประเภทไม่มีไดรเวอร์ ซึ่งผมก็มองว่าไม่ต่างกับกรณี Android เพราะเป็นปัญาหาที่เกิดจากผู้พัฒนา HW (OEM) ไม่ออก ROM ให้ เพียงแต่คราวนี้คนที่โดนด่าเป็น Google เพราะว่าเขาจะมองว่า Google ไม่ทำ OS ให้เครื่องเขานั่นเอง
ส่วนเรื่อง Fragmentation ในส่วนอื่นนอกจากเวอร์ชั่นของ OS (ที่เอาเข้าจริง ๆ มีผลกับผู้ใช้น้อยกว่าส่วนอื่น ๆ) เนี่ยก็จะเป็นความต่างของ HW คนส่วนใหญ่มองว่ามันเป็นผลเสีย แต่ผมคิดว่ามันเป็นผลดีต่อผู้บริโภค เพราะความต้องการแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอายุเยอะแล้วต้องการมือถือจอใหญ่ ๆ ความละเอียดไม่ต้องมากเพราะสายตาไม่ดี บางคนอยากได้เครื่องเล็ก ๆ ไว้ใส่กระเป๋ากางเกง บางคนอยากได้รุ่นที่มีปากกาจะได้จดอะไรได้สะดวก ๆ บางคนอยากได้รุ่นที่มี HDMI ในตัวจะได้ต่อออกทำพรีเซนท์ได้ บางคนงบน้อยอยากได้เครื่องราคา 3 พันบาท ผมคิดว่า Android เป็น OS ที่ตอบสนองต่อความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคลได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับ Mobile OS ตัวอื่น ๆ ในปัจจุบัน (iOS รันเฉพาะอุปกรณ์ของ Apple, WP8 ก็มีข้อจำกัดเยอะ) ผู้ผลิต HW เองก็สามารถที่จะเลือกใช้ชิ้นส่วนจากผู้ผลิตหลายๆ เจ้า ทำให้มีอำนาจการต่อรองซึ่งจะผลต่อราคาของสินค้าด้วย
ส่วนพวกเราที่เป็น 3rd party software dev ก็อาจจะลำบากสักหน่อยเพราะต้องรองรับอุปกรณ์มหาศาล แต่จากเท่าที่ศึกษามา และเท่าที่เคยทำมา ผมพบกว่า guideline ของ Google นั้นเขียนมาดีและเมื่อปฎิบัติตามจริง ๆ งานก็ออกมาราบรื่นมาก (แน่นอนว่าไม่ได้ง่ายเหมือน iOS แน่ ๆ ล่ะ) มันมีภาระที่ต้องทำเยอะหน่อย แต่ไม่ได้ลำบากมากจนเกินไปครับ (คนที่คุ้นเคยกับพวก Responsive Web Design ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรกับ Android ครับ)
ถ้าเราลองมองโลกให้แง่ดีอีกนิดนึงเราจะพบว่า Fragmentation นั้นแท้จริงแล้วมันเป็น Diversification ครับ
ยืนยันว่า guideline เขียนดี และดีมากถ้าเราปฎิบัติตาม...
ผมว่าคุณเข้าใจวัตถุประสงค์ที่พี่เค้าบอกว่า ผลกกรรม ผิดครับ
ในมุมนักพัฒนา fragmentation เป็นปัญหาที่แก้ยาก(เยอะ) นักพัฒนาต้องพัฒนา App ยังไง ให้ใช้กับ Device 900 ล้านตัว หลายพัน/หมื่นรุ่น ยกตัวอย่าง fragmentation นะ รุ่นนึงมี OS หลาย Version อีก , หน้าจอ Resolution แปลกประหลาด , มือถือบางตัวมีปุ่มชัตเตอร์ , OS มีการ Render แตกต่างกัน , Chip set แรงไม่เท่ากันบ้าง เป็นต้น
เอาจริงๆ แค่ 1 แสนคน คุณคิดว่า 1 แสนคนเนี่ย มือถือที่ใช้กี่รุ่นครับ ?
fragmentation น่าจะเป็นกรรมในมุมนักพัฒนาครับ ผู้ใช้จะใช้ OS Version ใดเวลามีบัคนักพัฒนาก็ต้องตามไปแก้อยู่ดี(มั้ง? ฮ่าๆ)
ผมก็เข้าใจว่าอย่างนั้นแหละครับ คนที่ใช้งานเค้าไม่แคร์หรอกครับ เค้าจะตั้งคำถามแค่ว่าทำไมเครื่องเค้าใช้งานไม่ได้ล่ะเครื่องอืื่นยังใช้งานได้เลย แต่หารู้ไม่ว่าปัญหาบางอย่างที่มองว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆ นั้นมันคือมรดกบาปที่มาจาก OS หรือในกรณีที่ผมเคยเจอคือบั๊กที่มาจาก IE
ผมพูดในฝั่งทั้ง dev และ user ครับ
dev - ปวดหัวมากกับการทำให้รองรับมือถือร้อยพ่อพันแม่ แถม dev tools ก็กากไม่ช่วยอะไรต้องลงมือเองเยอะ
user - ซวยแบบไม่รู้ตัว แทนที่จะได้ app คุณภาพดี กลับได้ app คุณภาพแย่เพราะนักพัฒนาเอาเวลามานั่งทำในเรื่องบ้าๆ บอๆ ที่บางครั้งไม่เกี่ยวกับสิ่งหลักๆ ใน app เลย อย่างทำให้ขนาดหน้าจอรองรับได้หลากหลาย ทำงานกับ HW แปลกๆ ไม่ได้ รวมไปถึง app เดียวกัน แต่ทำงานต่างยี่ห้อมือถือ ประสบการณ์ในการใช้งานต่างกัน บาง app ใช้งานกับ CPU ช้าๆ ไม่ได้ แต่บางคนก็ไปดันทุรังทำลงไปได้แต่ก็ใช้งานกระตุกและประสบการณ์ในการใช้งานย่ำแย่ เพราะ user บอกว่า ก็มัน android เหมือนกันนิ
อันนี้ผมพูดรวมๆ ในเชิง technical ทั้งหมด เพราะผมหมายถึง technical ส่วนผู้ใช้เค้าเข้าใจไหมนั้นอีกเรื่อง
ผมจะเล่าเรื่องแม่ผมใช้ andoird ให้ฟังสักหน่อย
ท่านไม่เคยใช้มือถือ smartphone มาก่อน พอได้ LG optimus 4x HD มา ก็เลยให้ท่านใช้ คู่มือมีสอนไม่คลอบคลุม แถมหนังสือต่างๆ ที่วางขายก็ไม่มีรุ่นนี้รองรับ แน่นอนว่าผมใช้ไม่ยากหรอก เพราะมีประสบการณ์ ดำน้ำไปสีกพักก็ใช้เป็น แต่กับแม่ผม ผมสอนท่านเรื่องอ่านคู่มือการใช้งานให้เป็นหลัก ไม่ว่าอุปกรณ์อะไรผมเน้นแบบนี้เสมอ แต่กับมือถือ android โดยทั่วไป หาคู่มือและหนังสือที่สอนหรือแนะนำ app แบบไม่อ้างอิงยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งได้น้อยมากๆ มันไม่เหมือน iOS, blackberry หรือ windows phone ที่ UI นั่นไม่หลากหลายเท่า สองเบื้องต้น ต่อยอดได้ในอนาคต แต่คนใช้ android เปลี่ยนยี่ห้อหรือรุ่นก็ต้องเปลี่ยนและศึกษาใหม่แล้ว ซึ่งผมว่ามันแย่กับคนใช้งานมากๆ ครับ เพราะเวลามีปัญหาแม่ผมโทรเข้ามาถาม ผมอ้างอิง UI ในหัวผมไม่ได้เลย เพราะ android ที่ผมมีใช้ก็มี UI และปุ่มกดที่ไม่เหมือนเครื่องที่แม่ผมใช้งาน (ผมใช้ oppo find 3 แถมแพ)
หวังว่าจะเข้าใจการสื่อที่ผมสื่อนะครับ คนใช้ไม่สนใจ แต่คน support คนใช้งานรับกรรมครับ
+1 เวลาใครมาถามว่า แก้ปัญหาใน Android อันนี้ยังไง หลายครั้งผมตอบไม่ถูกเลยครับ ถามลงละเอียดว่า เขาใช้ ROM รุ่นไหน เขาก็ไม่รู้ จนปัญญาช่วยจริง ๆ
Jusci - Google Plus - Twitter
เห็นด้วยนะครับ และแทนที่มันจะเป็นปัญหา กลับกลายเป็นจุดแข็ง เมื่อเปรียบเทียบกับ ios ที่ติดปัญหาไม่กล้าเปลี่ยนขนาดจอทั้ง ๆ ที่ของคู่แข่งตอนนี้ไปที่ 5 นิ้วกันหมดแล้ว
fragmentation ไม่ใช่ปัญหาแค่หน้าจอครับความต่างของ Hw ทั้งกราฟฟิคชิฟและ cpu ก็ด้วย
แล้วมันเป็นปัญหาเหรอ ผมเห็น windows มีหน้าจอมากมาย cpu gpu ram ก็หลายแบบ มันก็ยังทำงานด้วยกันใด้
ความจริงผมอยากให้เรียกว่า differentiation มากกว่า การมีตัวเลือก รุ่นจอใหญ่ - เล็ก มี sd card มี ir blaster หน้าตาที่หลากหลาย หรือ รุ่นล่างที่ราคาถูกมากๆ มันทำให้ Android ดีกว่า ios
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
มันมีปัญหาตรงที่เวลาออกแพตมาแก้ปัญหายิ่งเยอะ hw ก็ยิ่งออกได้ช้าขึ้นไปอีก ซึ่งความเสียหายที่เกิดกับ pc เทียบกับมือถือแล้ว มือถือมีการเปิดให้เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวได้ง่ายกว่ามากครับ
เอาจริงๆ คุณเทียบกับ Windows ก็ไม่ถูกนะ ปัญหา fragmentation ของมือถือ มันอยู่ในระดับที่อาจจะใช้โปรแกรมไม่ได้เลยก็เป็นได้ (อย่างที่แอพหลายๆตัวต้องจำกัดให้ใช้ได้เฉพาะบางรุ่น) ในขณะที่ Windows มันยังทำงานได้อยู่ (ผมเพิ่งจะมาเจอการใช้ไม่ได้แบบแปลกๆ อย่างจอ 1024*768 แล้วแสนปจอไม่ได้ก็ตอน Windows 8 นีแหละ)
วินโดวส์ PC เมื่อเกิด fragment จนรันโปรแกรมไม่ได้ (สมมุติว่าแรมน้อยไป) คุณก็ยังพอจะแก้ไขได้ (ซื้อแรมมาใส่เพิ่ม) แต่อย่างบนแอนดรอยด์นี่คุณทำแบบนี้ไม่ได้ครับ ที่ทำได้ก็คือรอจนกว่าคนทำแอพจะ optimize แอพให้ใช้กับเครื่องคุณได้
fragmentation ของแอนดรอยด์ก่อปัญหามากกว่าบนวินโดวส์เดสก์ท็อปเยอะครับ
windows ก็เหมือนกันละครับ ถึงแม้จะบอกว่า upgrade ได้ แต่สุดท้ายก็จบด้วยการซื้อเครืองใหม่ บ่อย ๆ (ทางฝั่ง pc ใช้ fragment ในการเพิ่มยอดขายครับ เขาพยายามจะออก flagment ด้วยซ้ำเพื่อบังคับให้ผู้บริโภคเปลี่ยนเครื่องคอมหรือ upgrade) intel นี่ก็ใช่ย่อย เปลี่ยน socket ตลอดครับ เพียงแต่เรื่องพวกนี้มันเป็นธรรมชาติไม่เป็นปัญหา จนมาถึงวันนึง apple มาชูจุดแข็งทางการตลาดเรื่อง flagment คนถึงเรื่มคิดว่ามันเป็นปัญหาครับ (มันก็มองว่าเป็นปัญหาได้จริง ๆ)
.exe ใน windows รันได้ตั้งแต่ windows 95 (1995) ยัน 8 (2013) ครับ
แบบเลวร้ายสุดคือใช้ .net framework หรือ api ใหม่ๆหน่อย ก็ขยับมารันได้ตั้งแต่ xp (2000) ถึง 8 (2013) ครับ
ทุกอย่างเมื่อมีด้านบวกก็จะมีด้านลบเกิดขึ้นตามมา หากคุณจะมองแค่มุมมองด้านเดียวแล้วฟันธงว่าอันนั้นดีกว่าอันนี้ ก็คงห้ามความคิดคุณไม่ได้เพราะนั่นอาจจะเป็นปัจจัยที่สำคัญสำหรับคุณจนทำให้มองไม่เห็นปัญหาอื่นๆ ที่มันอาจจะเป็นประเด็นสำคัญสำหรับคนอื่นมากกว่าคุณ
สรุปคือยืนอยู่คนละฝั่ง ผมเองยังไม่กล้าฟันธงเลยว่าระบบไหนดีกว่า
ทั่นประธานครับ ผมขอเถียงเรื่องหน้าตาหลากหลายครับ
ตอนนี้ผู้ใช้แอนดรอยไทยครึ่งตลาดใช้ galaxy ที่หน้าตาเหมือน S3 ครัฟประธาน
555 อันนี้ฮาจริง อะไร จริง..
ข้างบนเค้าจริงจังกันมาตลอด มาถึงอันนี้ เงิบ จริง ^ ^
กด Like
มันคืองานออกแบบเพื่อมวลมนุษย์ และคงจะสืบสานงานออกแบบที่สรรค์สร้างนี้ไปตราบนานเท่านาน
ผมว่าไม่น่าจะเทียบว่าอันไหนดีกว่าแย่กว่าโดยสิ้นเชิงนะครับ แต่ละตัวก็มีข้อดีข้อเสียของตัวเอง ซึ่งมันก็เหมาะกับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนไป
ประเด็นที่ว่าดรอยมีให้เลือกหลากหลายเป็นสิ่งที่ดีต่อคนซื้อ อันนี้จริงเห็นด้วยครับ
แต่ประเด็น Fragmentation ผมว่าเรื่องนี้บนมือถือมีผลกระทบต่อผู้ใช้มากกว่าบน PC อยู่แล้วครับ ลองคิดดูสิครับปัจจุบันมือถือติดตัวแทบทั้งวัน มือถือเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมต่างๆในชีวิตปัจจุบันหลากหลายกว่าPC
ดังนั้นปัญหาfragmentationที่เกิดขึ้น ย่อมมีผลกระทบต่อผู้ใช้ในมิติที่หลากหลายกว่า
สำหรับในมุมนักพัฒนาผมเห็นว่าปัญหาfragmentation ทำให้เวลาและงบประมาณที่ใช้ในการพัฒนาแอพสักตัวบนแอนดรอยมากกว่า iOS ครับ
เรื่องจอไม่ใช่ประเด็นของ os เลยนะครับ
เพราะ os ตัวเดียวกันก็ใช้รัน tablet ด้วย
เรื่องขนาดจอ ไม่ใช่ปัญหาของ os อื่นแน่ครับ แต่เป็นปัญหาของ ios ตัวเดียว คุณจะไม่ได้เห็นขนาดจอแบบอื่นไปอีกนานครับ (และนี่ดูเหมือนจะเป็นจุดตายอีก จุด ต้องรอดูว่า apple จะแก้ปัญหายังไง) ปัญหามันเกิดจาก ios ตัดเสื้อพอดีตัวเกินไป พยายามขจัดปัญหา fragment ด้วยการควบคุม hw ครับ ตัว ios ก็เลยไม่ยืดหยุ่นเพียงพอที่จะจัดการกับปัญหาขนาดหน้าจอ
คุณรู้ใช่มั้ยครับเนี่ยว่า iOS นี่ปัจจุบันมีใช้กับหน้าจอสี่ขนาด
fragment ไม่ใช่แค่เรื่องจอนะครับ แอปเปิ้ลไม่ออกจอขนาดอื่นมันเป็นเรื่องการตัดสินใจของแอปเปิ้ลว่าขนาดนั้นดีแล้ว พวกไอแพดก็มีจอขนาดอื่นได้ไม่เห็นมีปัญหา ผมว่าสุดท้ายแอปเปิ้ลก็ต้องออกไอโฟนจอใหญ่จนได้เพราะตลาดจะโตขึ้นเรื่อยๆจนทนเสียงเรียกร้องจากขนาดตลาดไม่ไหว
คนพวกนี้ใช้แต่รุ่นเรือธง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่ต้องใช้ 2.3.6ในขณะที่ เครื่องรุ่นใหม่ 4.2แล้วนั้นเขารู้สึกกันยังไง
Opensource - Hackintosh - Graphic Design - Scriptkiddie - Xenlism Project
เขามองว่าความล่าช้าในการอัพเดตของ OEM และโอเปอเรเตอร์เกิดจากมุมมองแบบอนุรักษ์นิยม ที่ต้องการทดสอบซอฟต์แวร์อย่างละเอียดก่อนปล่อยให้ผู้ใช้ < พูดมาได้ไงคำนี้ ถ้า software ออกมาแล้วเน่าใครจะอยากซื้อใช้
ปัญหาจริง ๆ มันอาจจะไม่ใช่เรื่องของมุมมอง แต่เป็นความล้าในการทดสอบที่ใช้เวลานานมาก
ผมดูบางเทสเคสก็เป็นเรื่องที่แบบ ... จะทดสอบทำไม ??
คุณไม่ตื่น ผมตื่นนะ :(
เท่าที่ผมเจอ คนใช้ Android รอบๆตัว
คนที่ไม่ได้ใช้ flagship > ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองใช้เวอร์ชั่นอะไร และดูเหมือนจะไม่สน
คนที่ใช้ flagship > พวกนี้ก็มีความรู้อยู่แล้ว อัพช้า เค้าก็เข้า xda หารอมลงเอง (CM)
แต่รอบตัวผม ใช้ flagship และ ยังอยู่ Gingerbread / ICS ทั้งๆที่ Manufacturer ออก Update ให้ถึง JB 555+
รอบตัวผมนี่ ตามฐานะครับ
ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเลย แต่รวย > ใช้ flagship
รู้เยอะ แต่งบไม่ถึง > ไม่ใช้ flagship
ความรู้ไม่เกี่ยว
+1
Opensource - Hackintosh - Graphic Design - Scriptkiddie - Xenlism Project
+1 หลายคนเป็นแบบนั้นจริงๆ
+1
มือถือกากๆ ของผม ลง app หลายๆ ที่อยากใช้ไม่ได้
มือถือกากๆของพี่ พอใช้ได้ของลูกผู้ช่วยของพ่อแม่ยัง 2.3.6 อยู่เลย
คนที่ไม่ได้สนใจ และเข้าใจเรื่อง fragmentation มีมากมายเหลือคณานับ เมื่อเทียบเป็นเปอร์เซนต์กับ Geek ซึ่งเหลือจึ๋งเดียว เรื่องนี้จีงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
เคยได้อ่านมาว่า ปัญหา fragmentation เป็นที่มาของการออกแบบแอพช้า
Dev ต้องคอยเทสรันแอพต่างๆผ่านอุปกรณ์แอนดรอยจำนวนมาก ในขณะที่ Dev ฝั่ง iOS ทำการเทสบนอุปกรณ์ที่มีจำนวนน้อยกว่า
เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไทแอพบนแอนดรอย์จึงทำออกมาช้ากว่า (แม้แต่แอพของ Google เอง)
+1
แต่ Windows Phone นี่แอพออกช้ากว่า Android อีกนะครับ
ไม่ใช่ต้องเทสเยอะ แต่ไม่รู้จะเทสไปทำไม ปล่อยมาแล้วยอดคนใช้ไม่ดึงดูด :p
เจ็บจี๊ดดดด
+65535
ขนาด instagram ยังไม่มาใน wp เลยครับ
แม้จะแตกต่าง แต่มันก็ทำงานทำงานได้ได้นะ
มันไม่ใช่ปัญหาของ user เท่าไหร่ครับ คือมีบ้างแต่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงขนาดนั้น
ที่บ่นๆกันนี่จะเป็น dev มากกว่า โดยเฉพาะแอพที่ชอบเอารูปมาทำ UI ทำให้ต้องมาตัดรูปหลายๆขนาดอีก
chaos
เห็นด้วยกับเขามันไม่ได้เป็นปัญหาของ User มันเป็นปัญหาของ Dev ต่างหาก
ผู้ใช้ android อาจไม่แคร์ว่าโอเอสใหม่รึเปล่า จนเหมือนไม่ใช่ประเด็น แต่ผู้ใช้ iOS แคร์ครับ และส่วนใหญ่จะกดอัพเดทไปรุ่นล่าสุด (ถึงไม่รู้เรื่อง บางทีก็กดพลาดใน settings เครื่องก็กลายเป็นรุ่นล่าสุด 555) มันทำให้นักพัฒนาสามารถเขียนแอพบน api ของ iOS รุ่นล่าสุดโดยไม่ต้องแคร์รุ่นเก่ามากนัก (ตอนนี้แอพหลายตัวใช้กับ iOS 5 ไม่ได้ด้วยซ้ำ)
ก็นะ วัฒนธรรมการใช้มันหล่อหลอมมาคนละแบบ ฝั่ง iOS คนใช้ก็ชินกับแอพดีๆ และหวังจะได้ใช้ฟีเจอร์ใหม่ๆ ใน iOS รุ่นใหม่ iOS รุ่นใหม่ออกที พูดถึงกันทั้งอินเทอร์เน็ต ทั้งเว็บกีก ไม่กีกว่ารุ่นใหม่จะทำอะไรได้ มีความสามารถเปลี่ยนไปยังไง ส่วนฝั่งดรอย android 4 คืออะไรอ่ะ แล้ว jelly bean คืออันใด galaxy s4 ออก เอาเฮทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้ แต่ android รุ่นใหม่ออก มีแต่เว็บกีกพูดถึง คนส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วยว่ามันดีกับตัวเองยังไง
วัฒนธรรมมันต่างกันจริงๆ
Flagmentation ไม่ใช่ปัญหาเรื่องอัพเกรดอย่างเดียวหรอกครับ หลายคนไม่รู้ไม่สนด้วย แต่ที่กระทบผู้ใช้งานโดยตรงคือ ทำไม app เดียวกันลงเครื่องนึงเล่นได้ อีกเครื่องดันลงไม่ได้ หรือลงได้แต่เล่นไม่ได้ (ไม่นับ hardware เก่าไปนะ อันนี้ปัญหาปกติทุก os รวมถึง Windows) เช่น app ติ๊กเกอร์ตอนแรกที่ออกมา S3 มีปัญหา หรืออย่าง molome ตอนแรกก็มีปัญหากับขนาดหน้าจอมากมาย ตอนนี้ไม่รู้เป็นไงบ้างไม่ได้ใช้อีกเลย และปัญหาเดียวกันแต่เป็นของฝั่ง dev คือเขียน app ทีนึงต้องทดสอบกับมือถือกี่ยี่ห้อ กี่รุ่น กี่เวอร์ชั่น เพื่อจะให้มือถือส่วนใหญ่รันได้ และมันกระทบไปถึงคะแนนรีวิวแอพด้วย อาจจะเป็นแอพที่ดีแต่มีบั๊กกับบางรุ่น คะแนนรีวิวในสโตร์จะน้อยซึ่งหลายคนก็ดู
เรื่องอัพเกรดมันมีผลแต่ไม่โดยตรงคือพวกอแพต้องรองรับเวอร์ชั่นเก่าทำให้ใช้ความสามารถ หรือ api ใหม่ๆ ไม่ได้ ซึ่งคนใช้งานอาจจะไม่ได้รับรู้โดยตรง แต่ก็ได้รับทางอ้อม กะเรื่องพวก security patch
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ที่ด๋อยมีปัญหา fragment เพราะต้องรันแบบเต็มจอแล้วมีจอหลายขนาดด้วยซิ ถ้ารันแบบ windows ได้ ปัญหาก็หมดไป เหมือน windows ที่มีจอหลายแบบ แต่ก็รันได้ทุกแบบ ด้วยโหมด windows ครับ
+1 คล้ายๆ กับเว็บไซต์แหละครับ เดี๋ยวนี้เรามีหน้าจอใหญ่กว่าเดิมเยอะทำไมเวลาเล่นเฟซบุ๊คหรือ blognone แล้วมันถึงต้องมีพื้นที่เหลือไว้เตะฟุลบอลด้านซ้ายขวา ทำไมไม่ทำให้ใช้งานได้เต็มพื้นที่ เหตุผลหลักก็มาจาก Fragmentation ถ้าจะทำให้รองรับหน้าจอทุกขนาดโดยที่ยังคงได้รับประสบการณ์การใช้งานที่เหมือนๆ กันคงจะเรียกได้ว่ารากเลือดครับ มันก็เลยยังคงต้องพบกันครึ่งทางโดยการฟิกซ์ขนาดหรือไดนามิคขึ้นมาอีกนิดโดยการออกแบบแนว responsive website
ขอบดำ ios ตอนที่ยืดจอให้สูงขึ้นก็มีนิครับ
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
ใช่แล้วครับ แต่เป็น fullscreen แบบ pillarbox เหมือนเอาภาพ 4:3 ไปใส่ลงในใน vdo 16:9 ณ ปัจจุบันนี้ apple ไม่รับ app แบบภาพ 3:2 native แล้ว ให้ใช้วิธีทำแบบ 16:9 แล้ว crop เหลือ 3:2 เพื่อ iphone รุ่นเก่าแทนครับ
นั่นแหละครับข้อเสียของ Fragmentation ที่ผมว่า ในมุมมองของ Developer ยิ่งน้อยมันก็ยิ่งดียิ่งพัฒนาแอพออกมาได้เร็วและมีคุณภาพ ไม่ต้องมาเสียเวลากับปัญหายิบย่อยให้ต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลัง
แต่ผมกลับคิดว่า Android ตั้งใจจะอยู่กับหน้าจอหลากหลายเลย เสนอการออกแบบแนว responsive มากกว่า
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
ครับก็อาจจะเป็นไปได้ แต่กลับไปพูดถึงแอพแบบ native ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าแอพแนว responsive มันจะเป็นยังไง คือด้วยความที่มันต้องรองรับหน้าจอหลากหลายมันก็เลยเหมือนไม่สุดสักทาง ความรู้สึกของผมคือเหมือนคนขึ้ไม่สุดครับ
โหมด Window มันก็ปรับขนาดหน้าต่างได้นี่ครับ
เอาเข้าจริง ๆ พอเกิดปัญหาแบบนี้ผู้บริโภคเลยเลือกรุ่นยอดฮิตกันเกลื่อนเมือง เพราะถ้าเลือกรุ่นแปลก ๆ ยี่ห้อแปลก ๆ ก็อาจเกิดปัญหาเดฟไม่ตามไปสนับสนุน ทำให้มีปัญหาในการใช้แอพได้ สรุปก็คือความหลากหลายที่อยากได้ก็ต้องเสี่ยงเองว่าจะใช้แอพที่ต้องการได้หรือเปล่า
มากกว่านั้นครับ ผู้ผลิตหลายๆยี่ห้อที่ออกมือถือหลายๆรุ่น โดยไม่คำนึงถึงศักยภาพด้านการสนับสนุนทางซอฟต์แวร์อย่าง Samsung มักจะ"ลืม"หรือ"เพิกเฉย"ทำให้มือถือเล่านั้นได้รับแพทันทีที่จะออกขายเลยล่ะครับ
ใช่แล้วครับ ขนาด s1 ยังทิ้งได้ลงคอเลยครับ
ส่วน apple ก็มักจะจงใจปิดฟังชั้นใหม่ไม่ให้มือถิอเก่าไช้ อย่าง facetime 3g บน 3gs, siri หรือแม้แต่การใส่ filter ในกล้องถ่ายรูปบน ios7
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
แต่อย่างน้อย apple ก็ไม่แถมแพ แต่ลุงแซมผลิตแพบ่อย พวกฟังก์ชันปิดต่างๆ ใน apple นั้น ก็ hack ได้ด้วย cydia ครับ
แล้วซัมซุงแฮคไม่ได้?
apple ก็แถมแพครับ คุณเข้าใจผิด แต่แพ แจกช้ากว่าเจ้าอื่น 555+
ไม่แน่นะครับ อาจจะเพราะนานจนขึ้นอืดดีแล้ว ลอยเองได้แล้วเลยไม่ให้แพ โยนลงน้ำไปเลย :p
Apple เขาหัวหมอครับ ใช้ทุกวิธีเพื่อให้คนซื้อซื้อเครื่องใหม่ ในขณะที่ยังคงปิดปากไม่ให้คนบ่นเรื่องลอยแพ (แม้ว่าถึงอัพมาได้ก็ถูกจำกัดฟีเจอร์หลายอย่างจนแถบเหมือนกับเป็นการอัพพอเป็นพิธีไม่ให้คนบ่นได้เท่านั้น) เรียกได้ว่าได้ทั้งขึ้นทั้งล่องสำหรับแอปเปิ้ล ส่วนสาวกก็มีเรื่องให้ข่มค่ายอื่นได้
เป็นคำตอบที่ถูกต้องนะคร้าบบบบ
ถ้านั่นคือเหตุผลหลักจริงๆ ผมว่ามันก็ไม่ได้ผลกับทุกคนหรือเป็นเหตุผลที่คนจะเปลี่ยนเครื่องหรอกครับมันแล้วแต่บุคคลมากกว่า เพื่อนผมก็ยังคงใช้ 3GS อย่างน้อยก็ 3 คน ผมเองยังใช้ 4 กับคนอื่นๆ ที่ไม่ได้จะตามซื้อไปซะทุกครั้งที่รุ่นใหม่ออก
การออกมาปีละเครื่องเรียกว่าหัวหมอผมว่าเทียบกับฝั่ง Android ที่ขยันออกลูกออกหลานมามากมายแล้วยังรีบแจกแพไม่เรียกว่าหัวโรงพยาบาลเลยเหรอครับ
ปิดฟังก์ชั่นบางส่วน แต่ทำให้ใช้แอพรุ่นใหม่ได้นะครัฟ iPhone 3Gs ที่อัพ iOS6 ได้ ถึงแม้จะแชร์เน็ตไม่ได้ ใช้ Panorama ไม่ได้ ไม่มีฟิลเตอร์ภาพ ใช้ facetime ไม่ได้
แต่ 3Gs อายุเท่า Galaxy S ก็ยังใช้แอพรุ่นล่าสุดที่ iPhone 5 ใช้ได้นะครัฟ (ไม่นับเกมบ้าพลังที่ใช้พลังเครื่องสูงๆ)
ส่วนดรอย เอาแค่แอพที่ต้องการ Android 4 ขึ้นไป คนใช้แอพได้ก็หายไปเกือบครึ่งตลาดแล้วครัฟ นักพัฒนาก็ต้องเลือกว่าจะใช้ API เขียนแอพย้อนยุค 2-3 ปีที่แล้ว หรือจะให้แค่เครื่อง Hi-End ใช้ครัฟ แล้วถ้าเขียนมาเครื่องไหนใช้ไม่ได้ก็...
ทำไมใช้กับ Android 2 ไม่ได้ เอาไปดาวเดียวจ้าาา
rating หวบๆ ระทมกันไปนะครัฟเดฟ
ใช้กับ Android 2 ไม่ได้แล้วเขาใช้เครื่องคนอื่นมาเขียนรีวิวเหรอครับ ?
ไม่รู้อ่ะครับ แต่เคยอ่านคอมเมนต์แอพแล้วเจอที่เขียนว่า
ถ้ามันเมนต์ไม่ได้ สงสัยคนใช้ 4 คงหวังดีรึเปล่า
App บน Play Store ถ้าไม่ได้โหลดมาใช้ก่อน จะไม่สามารถเขียนรีวิวได้ครับ ซึ่งหากเป็น App ที่ใช้ได้แต่ 4.x ขึ้นไป ใครที่ใช้ 2.x อยู่ก็จะโหลดมาใช้ไม่ได้ตั้งแต่แรกและเขียนรีวิวไม่ได้อยู่แล้วครับ
อาจจะเป็นเพราะมีหลายเครื่องมากกว่าครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
น่าจะเป็นที่โหลดได้ ลงได้ แต่เปิดแอพแล้วใช้ไม่ได้ ก็เป็นไปได้ครับ
ถ้าอย่างนั้นก็สมควรถูกว่านะ รู้ทั้งรู้ว่าใช้ไม่ได้แต่ดันเปิด Manifest ให้โหลดได้
มันมีอยู่บางกรณีด้วยครับ ที่เครื่องคล้ายๆกัน แต่เครื่องนึงใช้ได้ อีกเครื่องใช้ไม่ได้ หรืออย่างที่เคยเจอมากับตัวตอนใช้ HTC Magic ก็คือแอพ Path ที่ลงแล้วเปิดขึ้นมาได้ แต่ UI เพี้ยนเกินกว่าจะเรียกว่าใช้งานได้ครับ user บางคนก็เลยตีว่ามันใช้ไม่ได้ไปเลย
Andriod dev อยากได้ตังแอพมีคนใช้เยอะต้องขยันเพราะมีคนใช้งานเยอะแต่ก็มีกลายรุ่น
ผมว่ามันก็สมเหตุสมผลระดับนึงนะ
อยากให้ไปดูการอัพเดตของโอเปอเรเตอร์อย่าง Samsung... ขนาดตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วนะ ช้าไม่ว่า.. เครื่องใช้แล้วค้าง แฮงค์ ต้อง reset กันไปกี่รอบแล้วครับ แหม่..
เรื่องคุณภาพของ App เนี่ยแหละครับที่ทำให้ผมละ Android มา T^T