นิตยสาร Businessweek จับสามผู้บริหารแอปเปิลอันได้แก่ ซีอีโอ Tim Cook, หัวหน้าฝ่ายออกแบบ Jonathan Ive และหัวหน้าฝ่ายซอฟต์แวร์ Craig Federighi มาให้สัมภาษณ์ถึงยุทธศาสตร์การแข่งขันในอนาคตของแอปเปิล (บทความเดียวกับข่าวนี้ แต่มีประเด็นอื่นๆ อีกเยอะ)
ประเด็นสำคัญคงเป็นยุทธศาสตร์ของแอปเปิลว่าจะทำอย่างไรในสมรภูมิมือถือที่แข่งกันรุนแรง และราคาสินค้าก็ลดลงเรื่อยๆ ซึ่ง Cook ตอบประเด็นนี้อย่างใจเย็นว่าเขาผ่านสถานการณ์ลักษณะเดียวกันนี้มามาก สินค้าทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นพีซี แท็บเล็ต เครื่องเล่นวิดีโอ-ดีวีดี ต่างก็มีลักษณะเดียวกันนี้คือเจอสินค้าราคาถูกมาตีตลาด
Cook บอกว่าในตลาดใดๆ จะมีส่วนที่เป็น "ขยะ" ก้อนใหญ่อยู่เสมอ (There’s always a large junk part of the market) และแอปเปิลไม่เคยสนใจธุรกิจส่วนนี้
สิ่งที่แอปเปิลสนใจคือตลาดระดับบน คนที่ต้องการสินค้าที่ทำงานช่วยพวกเขาได้มาก และแอปเปิลจะต่อสู้อย่างเต็มที่เพื่อชิงตลาดนี้มาให้ได้ ในขณะที่เขาไม่เคยกังวลถึงตลาดระดับอื่นๆ เลย เพราะไม่ใช่แนวทางของแอปเปิลนั่นเอง
Cook ยังให้ความเห็นว่าทั้งตลาดบนและตลาดล่างมีขนาดใหญ่มากทั้งคู่ ทำให้แอปเปิลสามารถสร้างฐานลูกค้าขนาดใหญ่จากกลุ่มคนที่สนใจและให้ความสำคัญกับประสบการณ์การใช้งานเป็นหลัก เขายืนยันว่าแอปเปิลไม่เคยมีเป้าหมายในการขายมือถือราคาถูก แต่เป้าหมายของบริษัทคือขายมือถือที่ยอดเยี่ยม ให้ประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม และพยายามหาวิธีผลิตมันในราคาต่ำลง
เขาบอกว่าโลกเราตอนนี้มีระบบปฏิบัติการสองขั้วชัดเจน แต่ความพึงพอใจของลูกค้าต่อ iOS ยังเหนือกว่า และเขาก็ยกสถิติว่า iOS มีส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มคนท่องเว็บเหนือกว่า และรายได้จาก App Store ก็สูงกว่า ส่วน Android มีปัญหาเรื่องการอัพเดตเวอร์ชัน (Cook บอกว่าเหมือนตอนนี้เขายังใช้ iOS 3 อยู่ ซึ่งเขาจินตนาการไม่ออกแล้วว่ามันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร)
Cook ปฏิเสธว่าสถานการณ์ระหว่าง Android vs iPhone นั้นต่างจาก Windows vs Mac ในอดีต เพราะอย่างน้อยไมโครซอฟท์ก็ทำให้ Windows เหมือนกันเสมอ ไม่มีปัญหาเรื่อง fork และระดับของ fragmentation ก็ไม่เยอะเท่า Android ในปัจจุบันด้วย
ในบทสัมภาษณ์ยังพูดถึงการทำงานร่วมกันของ Ive กับ Federighi รวมถึงภาพหล่อๆ ของผู้บริหารสูงสุดของแอปเปิลทั้งสามคน
Ive และ Federighi ทำงานร่วมกันมานานแล้ว และโต๊ะทำงานของทั้งสองก็อยู่ใกล้ๆ กัน ช่วยให้การประสานงานเกิดขึ้นได้ง่าย แถมทั้งสองคนก็พูดจาภาษาเดียวกันคือเน้น usability และ simplicity เป็นสำคัญ
Ive ให้สัมภาษณ์ว่าออกแบบเครื่องสแกนนิ้วของ iPhone 5s โดยมองที่ไอเดียใหญ่ (big idea) แล้วค่อยๆ แก้ปัญหาหลายอย่างที่ทำให้ไอเดียนั้นไม่สามารถเกิดได้จริง เขาเทียบวิธีการทำงาน (กับคู่แข่งที่ไม่เอ่ยนาม) ว่าแอปเปิลไม่ได้เริ่มจากการคิดเทคโนโลยี 10 อย่างที่ควรจะเพิ่มเข้ามาเป็นจุดขายของผลิตภัณฑ์ให้ดูยาวๆ หรอกนะ ส่วน Federighi ก็เสริมว่า การคิดของใหม่น่ะไม่ยาก อันที่ยากคือของที่เหมาะสม (New is easy. Right is hard.)
ผู้สัมภาษณ์บทความนี้แสดงความเห็นว่าการทำงานร่วมกันอย่างกลมเกลียวของทั้งสองจำเป็นต่อแอปเปิลมากๆ ในยามที่ตลาดแข่งขันรุนแรง และถ้าปล่อยให้มีการเมืองในบริษัท (หมายถึง Scott Forstall) ก็คงจะทำให้แอปเปิลมีปัญหามากยิ่งขึ้น
ที่มา - Businessweek
Comments
ชอบภาพมากครับ 5555555555
ป.ล.
เอ่อ... อย่างอื่นมองเป็น others หมดเลยสินะ
Dream high, work hard.
ชอบภาพเหมือนกันครับ
Apple and Not
แต่คำว่าตลาดขยะนี่ พูดเป็นการภายในหรือพูดกับคู่แข่งนี่ผมพอเข้าใจนะ แต่ให้สัมภาษณ์ออกสู่สาธารณะชน สื่อสารกับผู้ใช้ทั่วไปแบบนี้ผมรู้สึกไม่ดี แล้วรู้สึกเหมือนว่าคนพูดนี่ "ปากดี" ยังไงไม่รู้ -*-
นั้นสิผมว่าแรงไปหน่อย ระดับคำว่า Junk ของแต่ล่ะคนก็ไม่เท่ากันด้วย
อย่างมือถือ Nokia รุ่น 101 ถึงราคาไม่ถึงพัน ผมก็ไม่คิดว่าเป็นขยะนะ อย่างน้อยมันผ่านกระบวนการคิด จนตอนไปอ่านที่ไปที่มาของมือถือรุ่นนี้เสร็จ ผมวิ่งออกมาซื้อมาเก็บไว้เป็นเครื่องฉุกเฉินทันที (จริงๆ ใช้บ่อยมากเวลาเข้าป่า)
แต่มือถือบางตัวราคาระดับสองสามหมื่น แต่อุดมไปด้วยปัญหา สุดท้ายก็แบรนนั้นเตะทิ้งจากการอัพเดท อันนี้แหละผมว่ามันน่าจะเป็นขยะ
ไม่หรอกครับ
ผมเข้าใจว่า junk market แปลว่า ตลาดที่ไม่สามารถทำกำไรใด้ มากกว่า อย่างผู้ไช้ android / windows phone ที่ไม่มอง iphone เลย apple ขายมือถือของเค้าไม่ใด้ มีก็เหมือนไม่มีสำหรับ apple
หรือ ผู้ไช้ iphone ที่ไม่มอง android / windows phone เลย ก็เป็น junk market สำหรับผู้ผลิต android / windows phone เช่นกัน
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
ครับ ผมก็เข้าใจแบบนั้นแหละ แต่ผมว่าสัมภาษณ์เป็นทางการออกสู่สาธารณะชนมันไม่น่าใช้คำนี้
ส่วนสำคัญคือเค้ากำลังถามเรื่อง market share ซึ่ง apple ตอนนี้หดเหลือเพียงประมาณ 20% เท่านั้น
... เป็นการหนีคำตอบยากๆ ที่ฉลาดเลยทีเดียว
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
Junk Food ,Junk Yard ,Junk Market, etc.
ก็ภาษาปกติไม่ได้หยาบคายอะไร แต่ปากดีแน่เพราะเก่งระดับโลก
มันอยู่ที่ใครเป็นคนพูดครับ สำหรับคนที่กิน junk food หรือคนที่ไปเดินหาอะไหล่ใน junkyard คุยกันครับ ไม่เป็นคำหยาบครับ แต่ถ้าคนที่ไม่ได้กินไม่ได้ทำ แถมให้ความเห็นประมาณดูถูกว่าเราไม่สนใจของพวกนั้น ผมว่ามันทำให้คำนี้กลายเป็นคำหยาบคายน่ะครับ
ชอบภาพเหมือนกันครับ นานๆ จะได้เห็น Ive ใส่เสื้อสีอื่น
3 หนุ่ม 3 มุม อย่างเท่เลย
ตายเลย มือถือผมกลายเป็นขยะในสายตาศาสดาคนใหม่หรือนี่ เพิ่งถอยแกรนสองซิมมาใช้ดีและมีสองซิมใหญ่เต็มตามันก็เป็นสิ่งที่มือถือถองท่านศาสดาทำไม่ได่นี่นา เสียใจจัง ไม่รู้เหล่าสาวกจะมองอย่างงี้ด้วยหรือปล่าว ถ้าเจอคนคนถือiphone คงต้องรีบเก็บแล้วสิเดี๋ยวโดนรังเจียจ
คิดแบบนี้ก็สมควรโดนรังเกียจล่ะครับ >> "ถ้าเจอคนคนถือiphone คงต้องรีบเก็บแล้วสิเดี๋ยวโดนรังเจียจ"
มาแล้ว1คน
ทำไม พูดจา โหดร้ายแบบนี้ละครับ
WP: เฮ๊ยยย... แล้วกรูล่ะ
apple: เจ้ายังมีตัวตนอยู่รึ
WP : มีสิ บางประเทศคนใช้เยอะกว่าเจ้าอีก!
I am Cortana.
Nice to meet you.
apple : แสดงว่าเจ้าคงอยู่ในกองขยะของข้า 5555 (เอาฮานะ)
WP: งั้นเจ้าจงระวัง...เพราะกองขยะกำลังจะล้นโลก (เกี่ยวมั๊ยเนี่ย)
apple : มาเส้!!!!
สงสัยต้องไป Quote เคนชิโร่มา :3
ตรง Android vs iPHone ครับ
ต้มรอแล้วครับ :3
ปล. แต่เขาก็พูดได้ดีนะ ในแง่ของเป้าหมายบริษัท ซึ่งก็ทำได้จริง ไม่ได้มีเพียงแค่สโลแกน..
รูปนี้ทำร้ายผมมาก เปิดมาเห็นดึกๆ ด้วย ( ꒪﹃ ꒪)
Dream high, work hard.
แต่ผมจะอ้วกนะ หลังเห็นคลิปหนอนโออิชิ
iPHone > iPhone
I am Cortana.
Nice to meet you.
เรียกได้ว่า apple กำลังทะนงตน ในความสำเร็จที่ผ่านมาอยู่หรือป่าว?
เรียกได้ว่าเขามีแนวทางให้พนักงานเดินต่อไปอย่างชัดเจนน่าจะเหมาะสมกว่าครับ
ใจความที่สำคัญที่สุดอีกจุดหนึ่ง คือตรงนี้ครับ
" แอปเปิลไม่เคยมีเป้าหมายในการขายมือถือราคาถูก
แต่เป้าหมายของบริษัทคือขายมือถือที่ยอดเยี่ยม ให้ประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม
และพยายามหาวิธีผลิตมันในราคาต่ำลง "
กราบ 3 ศาสดา และรอดูดราม่าต่อไป
ว่าแต่ทำไมหลายคนถึงออกตัวคิดว่ามือถือในมือตัวเองคือขยะตามคำพูดของเขานะ
อ่านบทความนี้ก็คงจินตนาการ ประมาณ นอกเหนือจาก ตลาดที่ ip สู้ด้วย ssg4 /ssgn /sony ex z/ etc อะไรที่ต่ำกว่านี้เค้าคงมองเป็น ขยะหมดมั้งนะครับ
HTC ONE อีกตัวครับ ( แต่ถ้า นับ SSGS4 i5S XZ1 HTC one งานนี้ผมให้ xperia Z1 ชนะใสครับ )
เขาน่าจะหมายถึงพวกสินค้าราคาถูก ขายเพื่อตัดราคา
ก้อ ..... มัน ..ะ จริงนี่ครับ ผมพยายามทำใจให้ชอบมา 3 ครั้งแล้ว ซื้อ Galaxy 2 กะ HTC One หวังว่าตัวเองจะชอบเจ้าหุ่นกระป๋อง แต่แล้ว ก็ต้องขายทิ้งไปในเวลาอันรวดเร็ว เพราะหลาย ๆ อย่าง ไม่ลงตัว แล้วก็พยายามกับ Lumia 710 ที่ตอนนี้กลายเป็นที่ทับกระดาษไปเรียบร้อย มันไม่ลงตัวในเรื่องของการใช้งาน แล้วก็คุณภาพของสิ่งที่เราคาดหวังจากสิ่งที่เจ้าของผลิตภัณฑ์ว่า สุดยอด แต่มันก็ไม่ได้สุดยอดตามที่โฆษณาเลย เสียดายเงินจริง ๆ เลยตั้งใจว่าจากนี้ คงต้องเป็นสาวกหนูเปิ้ลไปจนกว่าผลิตภัณฑ์อี่น ๆ จะทำมาได้ดีกว่า
อย่างถ้าจะถามว่า HTC One ไม่ดียังไง ก็คาดหวังว่า ลำโพงสเตริโอ ที่มีอยู่ยี่ห้อเดียว เสียงเพลงก็ไม่ได้อลังการอะไร เทียบกับลำโพงโมโนของ iPhone 4s แล้ว iPhone ก็ยังกินขาด ... HTC Sense 5 ก็มาติดว่า ตัว หน้าแรกก็น่ารำคาญ อยากจะเอาบางอย่างออกก็ทำไม่ได้ เวลาจะรับสาย ก็ต้องไปกดปุ่ม Sleep/Wake ไม่มีปุ่ม Home ใกล้ ๆ ซึ่งในการใช้งานจริงน่ารำคาญมาก
Galaxy 2 คงไม่ต้องพูดถึงเพราะมันเป็นหุ่นกระป๋องยุคกลาง ๆ ก็ยังไม่เนียนเท่า iOS สมัยนั้น
Lumia นี่ คิดไม่ออกว่า ถ้ามี App ติดตั้งไปซัก 50 ตัวแล้วมันจะเป็นยังไง เพราะแบบ Metro ในหน้านึงมันใส่ icon ได้นิดเดียว Scroll กันเมื่อย การ Enable/Disable ก็เสียเวลามาก หลายขั้นตอน ไม่สะดวก เพราะในการใช้งานจริง มันก็ต้องเปิดปิด Wifi บ่อยเพื่อประหยัดแบต กว่าจะเปิดจะปิด มันเยิ่นเย้อ .... ที่ร้ายกว่านั้น ไมโครซอฟท์ยังไม่ยืดชีวิตให้กับ Hardware จะอัพเป็น WP8 ก็ไม่ได้ อายุมันสั้นนัก เลยคิดว่า พอกันทีดีกว่า
งงครับ
+ เวลารับสาย ก็กดรับที่หน้าจอก็ได้นี่ครับ ต่อให้มีปุ่มโฮมมันก็ไม่ได้ไกลกันเท่าไหร่ แล้วปุ่มเปิดปิดมันใช้ตัดสายไม่ใช่เหรอครับ
+ Sense 5 มันก็เรียบๆไม่มีอะไรอยู่แล้วยกเว้น blinkfeed ซึ่งถ้าไม่เลื่อนไปมันก็ไม่ออกมา (เหมือน search iphone อยู่หน้าซ้ายสุด) ถ้าไม่พอใจ Sense 5 อยากเอาอะไรออก ใส่อะไรเข้าก็ใช้ Launcher อื่นได้ครับ ผมเองก็รำคาญ ios ก่อนหน้า7เหมือนกัน ต้องกดหลายคลิกกว่าจะเปิดปิด 3g data, tethering ได้ ใส่ widget กับ toggle ให้กดได้ภายใน1-2คลิกไม่ได้
+ สรุปคือผิดความคาดหวัง ลำโพงอย่างเดียว ซึ่ง ผมเห็นว่าหลายๆคนรวมทั้งตัวเอง เห็นตรงกันข้าม
+ ผมแทบไม่ได้แตะipad ที่บ้านเลย ถ้าเทียบกับ Note10.1 ไม่ว่าจะจับท่าไหนสามารถ control ได้ด้วยนิ้วโป้ง ลากนิดเดียวเป็น pie control เปิด Gesture Search ลากเอาหาappอะไรก็ได้ หรือใช้ Switchapp เปลี่ยน app ไปมาได้โดยไม่ต้องยกมือขึ้นมาทำ gesture หรือกดปุ่ม Home และคลิกน้อยกว่า Asistive touch
ขอบคุณที่มาบอก ช่วงนี้ผมไม่ได้ตามเทคโนโลยีเลย เพราะมันไปเร็วมาก และมีอย่างอื่นต้องทำ เวลาคนอื่นเจอปัญหา แล้วมีคนมาช่วยแก้ให้ บอกวิธีทำงานที่ง่ายกว่า ช่วยได้อีกหลายคนเลยครับ
ปัญหามาจาก สมองและการเรียนรู้ของคุณนั่นแหละ และอย่าคิดว่าคนอื่นเค้าจะ เต่าคลานการเรียนรู้แบบคุณเลยครับ ยิ่งเป็นเว็บ geek อย่างblognone แล้วด้วย โชว์ฉลาด แบบนี้อนาถจัง
การดูถูกคนอื่น ผมว่าแย่กว่าเยอะเลยครับ
Dream high, work hard.
โดนแบนเรียบร้อยครับ
i ❤ blognone
ช่วงนี้ถี่มาก ทำหน้าเก็บสถิติแยกไว้ด้วยได้ไหมครับ เผื่อเอาไว้เป็นกรณีตัวอย่างให้ศึกษาว่าทำแบบไหนเสี่ยงโดนแบนได้บ้าง
ฝากอันนี้ด้วยครับ
อืม ถ้าไม่ใช่แนวทางการตลาดที่แอบเปิ้ล ไม่แข่งด้วยถือว่าเป็นขยะหมดสินะ อืมมมมมมมมม โทรศัพท์ผมก็คงเป็น หนึ่งในขยะนั้นด้วยสินะ
รูปน่ารักดีค่ะ แต่ว่า พูดแบบนี้จะดีเร้อ
ใช่คำว่า "ขยะ" เลยหรอ
เป็นคำพูดเปรียบเปรยปกติของฝรั่งหรือป่าวครับ หรือไปทางเชิงไม่สุภาพครับ?
+1
ออกแนว junk foodครับ
จริงๆน่าจะมีคำที่เหมาะและไม่ดูดราม่ามากกว่าคำว่าขยะ
ผมว่าคนเขียนข่าวอาจจะต้องการปั่นกระแสนิด ๆ นะครับเลยเลือกใช้คำนี้ มันเลยดูแรงไปนิดแต่ความหมายที่แท้จริงแล้วก็คือตลาดระดับล่าง ๆ นั่นแหละครับ
Popcorn, Popcorn everywhere!
ขยะ หมายถึง สิ่งที่มีคุณค่าน้อยก็ได้เหมือนกันนะครับ
ไม่ได้แค่หมายถึงสิ่งที่ไร้ค่าเพียงอย่างเดียว
จุดยืน Apple คือไม่เล่นตลาดที่กำไรน้อย นั่นแหละ
noun
[mass noun]
1 informal old or discarded articles that are considered useless or of little value
จาก oxforddictionaries
นึกว่าถ่อยแล้วเท่สินะ nokia x2-02 ในมือกำลังสั่น
มีคนโทรเข้าเหรอครับ (มุขเดิม :P)
ถ่อยขนาดไลนัสยังชูนิ้วกลางเลย
ก็คงเป็นคำที่ใช้ถูกแล้วแหละครับในแง่ นักการตลาด
แต่อาจจะเป็นคำที่แรงไปหน่อย - ,- หรือไม่หน่อยล่ะ แล้วแต่มุมมองแต่ล่ะคนที่ได้รับฟัง
คำว่า "ขยะ" ในการตลาด คือหมายถึงมันเกลื่อนกลาด เหมือนกันหมด มองไปทางไหนก็มีแต่ของเหมือนกัน
และเหมือนเป็นของที่เกือบไร้ค่าไร้ราคา หรือมีราคาแต่ไม่มีคุณค่าพอ
อ่านไปหลายๆ รอบก็เริ่มเข้าใจแบบนี้เหมือนกันครับ ดูดีขึ้น แต่อธิบายยากแฮะ
แรงงะ > , <
ผมว่าขยะนี่แรงไปนะเจ้
Coder | Designer | Thinker | Blogger
แปลผิดอีกรึป่าวครับ ไม่กล้าออกตัวแรง เดี๋ยวเงิบเหมือนมู้ก่อน 55555
ให้ต้นฉบับไว้แล้วนี่ครับ ถ้ามีคำแปลที่ดีกว่าก็เสนอมาได้ครับ
ขยะ!!!
ฟังคำนี้อย่างกะโดนใครบ้องหู -__-"
ผมมันคง junk customer ซินะ ต้องเจียมตัวหน่อย...
Happiness only real when shared.
ฮาเร็มเจ๊ cook ชัดๆ
ระรึกชาติได้ว่า ไม่ทำมือถือจอใหญ่ เพราะต้องการให้ตอบโจทย์เวลาใช้มือเดียว แต่ในรูปท่านก็ยังใช้ 2 มือจิ้มอยู่เลย
ข่าวล่ามาเร็ว IFIX
http://www.ifixit.com/Teardown/iPhone+5s+Teardown/17383/1?singlePage#s52339
แสดงให้เห็นถึงความล้ำของ Apple
M7 invincible ship.Innovation From Apple.
นั่นดิ ดูหน้าทั้ง3คนแล้วเหมือนอยากได้จอใหญ่เลย อารมณ์ประมาณสายตายาวแล้วนะเพ่งลำบาก ใช้มือเดียวลำบาก
Update: the M7 has been found!
เป็น CEO ที่มีวิสัยทัศน์แคบมากๆ คือถ้าไปเทียบกับ แลร์รี่เพจ, เซอเกย์ บริน จากอีกฝั่งแล้วนี่คนละเรื่องเลย
รอให้ Cook ได้ลองใช้จอ 5 นิ้ว Full HD ก่อนแล้วอาจจะเข้าใจว่าอะไรคือขยะ
ผมว่าไม่แคบหรอก เป็นจริงเสียด้วยซ้ำ มีคนรู้จักของผมหลายๆคนเคยเปลี่ยนใจไปใช้หน้าจอ5นิ้วนะ ผลสุดท้ายกลับไปตายรังเป็นจอ3.5เพราะมันใหญ่ไป
เจอเคสนี้เข้าไปผมก็เงิบละ ต้องรอดูยาวๆว่าหวยจะออกมาที่มือถือขนาดไหนอีก แต่คงไม่ใหญ่จน6นิ้วแน่ๆเพราะจะกลายเป็นเกือบทับlineของipad miniและที่สำคัญมันใหญ่เกินไป
ปล.โดยส่วนตัวนะ ผมว่า4.7หรือ4.8เนี่ยแหละกำลังดีขนาดเดียวกับZ10 แต่ขอระบบปฏิบัติการดีๆ+แอฟดีๆแบบปัจจุบันผมว่ายาวๆละ
ผมชอบจากของ Xperia SP 4.55" มาก มันกำลัง เหมาะมือดีคครับ เป็นขนาดที่มือผู้ชายจับมือเดียวแล้วไม่กลัวเครื่องตก ถ้า Z มันจะหิ้วๆๆกลัวเครื่องหลุดมืออย่าไงไม่รู้
เห็นด้วยเลย มือถือใหญ่แค่ใหนประสพการณ์
"เล่นเน็ต" ก็ยังห่วยกว่า iPAd mini แบบเทียบไม่ติด
ทำ product ที่ไม่ใช่ proDuck
ผมก็ไม่ชอบมือถือจอใหญ่ พกพาไม่สะดวกครับ ใส่ในกระเป๋ากางเกงเวลาเดินมันเบาๆ เหมือนไม่มีอะไรดี อย่างได้ที่มันป้องปันรอยขีดขวยดีๆ ใช้ไม่ค่อยรักษาของเท่าไหร่ ส่วนจะเล่นเนต หรือเกม ผมเลือกไปเล่นในใน mac หรือเล่นเกม PS4 น่าจะดีกว่าสำหรับผม มือถือถ่ายรูป จด note อัดเสียง อัด VDO ได้สำหรับพอแล้วครับ ibooks iphone อีก app ที่ผมชอบมาก แต่เอาไว้อ่านชั่วคราว แต่ถ้าจะอ่านจริงจังคงเป็น ipad
เขาก็พูดมีเหตุผลนะ fragmentation ฝั่ง droid มันเยอะจริงๆ ถ้าออก H/W ให้มันเหมือนๆ กันน่าจะเป็นผลดีกับระบบโดยรวมมากกว่า นี่แค่ขนาดจอภาพของ SS เจ้าเดียวก็จำไม่หมดละ
ในข่าว Cook ไม่ได้พูดถึงจอ 5" นะครับ garbage น่าจะหมายถึงมือถือราคาถูกที่ทำออกมา spec ต่ำ จอหยาบๆ อย่างพวกตระกูล Galaxy Mini นั่นแหละมั้ง
ชอบครับ เริ่มแรงแบบ จ๊อบ ละ // อ่ะ กินมาม่ากัน
แปลข่าวนี้ได้ดีแล้วครับ ข่าว apple ต้องแปลตรงๆ แบบนี้ ได้อารมณ์ดี แต่เราอย่าไปคิดมากว่า ของที่เราใช้เป็นขยะสิครับ เพราะตอนซื้อ เราก็เลือกกันดี ให้เหมาะกับความต้องการของเราอยู่แล้ว แต่ถ้าว่าตามจริง ในแต่ระลอกของ smartphone มันก็มีตัวที่ไม่ได้เรื่อง ที่ขายไม่ออกเยอะพอสมควรนะครับ เพราะพากันแข่งออกรุ่นใหม่ๆ มาตลอด บางทีก็แค่ออกมาตามชาวบ้านกลัวตกเทรนด์ก็มี
ก้มมองดูขยะในมือ ก็โทรได้เหมือนกันนะ อิอิ
ไอ้พวก มือถือขยะ เฮ้ย ว่าตัวเองทำไม -*-
ผมว่าเค้าคงมองในแง่ที่ว่า ไม่อยากจะลงไปเกลือกกลิ้งหรือเสียเวลาในตลาดที่ตัวเองไม่ถนัดหาทองในกองขยะอันใหญ่เท่าภูเขาเลากา สู้ทุ่มทรัพยากรที่มีไปในสิ่งที่ต้องการโฟกัสจริงๆ จะดีกว่า น่าจะแนวๆ นี้นะ
ผมไม่เชื่อว่าเขาคิดอย่างที่พูดแล้วจะมาบอกคนอื่นว่าเป็นขยะได้นะครับ ทัศนคติแบบนี้(ว่าโทรศัพท์ราคาถูก)คือการดูถูกคนที่มีรายได้น้อยทางอ้อมด้วยนะ ยังกะแบ่งชนชั้นแนะ ผมว่ายังไม่เคยเห็นพี่จ๊อบมาว่าคนอื่นเป็นขยะนะ เขาแค่บอกว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นอย่างไร Apple Evi มากๆกับผู้บริหารคนนี้ครับ MS โฆษณาจิกกัดยังไงก็ไม่เท่าว่าคนอื่นเป็นแค่ขยะ
There’s always a large junk part of the market ในบริบทนี้พูดถึง market ครับไม่ได้พูดว่ามือถือราคาถูกคือขยะ ตามที่ผมตีความนะครับ คือการทำมือถือราคาถูกที่กำไรต่อหน่วยมีน้อยนั่นก็น่าจะเรียกได้ว่าตลาดขยะ
+9999 ในที่สุดก็มีคนชี้ถูกจุดซะที แต่ตอนนี้ใครจะสนใจ อารมณ์มันพาไปหมดแล้ว
+1 รออ่านความเห็นแบบนี้อยู่ครับ
+1 ครับ คิดเหมือนกันแต่ขี้เกียจพิมพ์ ขี้เกียจให้พ่อแม่ถูกด่าด้วย 5555
นานาจิตตัง ใครทำแล้วได้ตัง เราก็เสียตังกันไป ชอบค่ายไหนก็ซื้อกันไป
ตรงประเด็น ไหนๆ ก็ผลิตไม่ทันอยู่ สู้ผลิตแต่ของทำกำไรเยอะน่าจะดีกว่า เป็นข้อดีของการเลือกตลาดนี้เหมือนกันนะครับ
ขยายรูม่านตาแล้วอ่านให้ชัดเจนดีกว่าไหมครับ
พุดดีครับ :D +1
ยุคนี้ขยะเป็นเงินเป็นทองนะครับ
ผมคิดว่า ทิม คุก พูดไปเพื่อหวังผลทางการตลาดมากกว่านะ คือพี่แกก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่า พูดไปฝั่งตรงข้ามดราม่าแน่ๆ แต่ก็เลือกที่จะพูดเพื่อให้สาวกรู้สึกดี ให้รู้สึกว่ามือถือไอโฟนที่ตัวเองใช้อยู่ เทพสุดในสามโลกแล้ว ไม่หนีไปไหน อยู่ด้วยกันกับแอปเปิ้ลนานๆ และคนที่อยากจะใช้ไอโฟน เหตุกำลังทรัพย์ไม่พอ ให้หันมาซื้อไอโฟนใช้เร็วๆ อย่าคิดมาก 555
อ่านสนุกมากกครับบ
positivity
อ่านเจอคำว่า "ขยะ" แล้วสะดุดเลย
พูดทำร้ายความรู้สึกคนฟังแบบนี้ คงคิดว่าคนที่ซื้อมือถือระดับล่าง จะไม่มีปัญหาไต่ขึ้นไปใช้ไอโฟนเลยเหรอ หรือว่าการพูดแบบนี้ของฝรั่งเป็นเรื่องปกติ
A smooth sea never made a skillful sailor.
+1 ให้กับ Tim Cook
เอาจริง ๆ มันก็เป็นแนวทางเดิม ๆ ที่ทำมาตั้งแต่สมัย Mac รุ่นหลัง ๆ แล้วล่ะมั้งครับ
แก้ปัญหาหลายอย่างที่ช่วยให้ไอเดียนั้นไม่เกิดจริง << ไม่เกิดจริง อ่านแล้วงงๆครับ?
แก้ให้เข้าใจง่ายขึ้นแล้วนะครับ
"แล้วค่อยๆ แก้ปัญหาหลายอย่างที่ช่วยให้ไอเดียนั้นไม่สามารถทำได้จริง"
ผมว่าอ่านแล้วความหมายตรงข้ามเลยอะครับ
ในความคิดผม ถ้าเปลี่ยน "ช่วย" เป็น "ทำให้" จะชัดเจนกว่าครับ
อีกนิดครับ แก้ปัญหาหลายอย่างที่ช่วยให้ไอเดียนั้นไม่สามารถทำได้จริง ตรงช่วยน่าจะเปลี่ยนเป็น "ทำ" ดีกว่าไหมครับ ผมมองว่า "ช่วย" คือช่วยให้ดีขึ้น แต่ปัญหา "ทำ" ให้แย่ลง
แก้ปัญหาหลายอย่างที่ทำให้ไอเดียนั้นไม่สามารถทำได้จริง อ่านลื่นกว่าน่ะครับ
Pitawat's Blog :: บล็อกผมเองครับ
"There’s always a large junk part of the market"
มันก็แค่คำพูดที่สวยหรูว่าในตลาดมีส่วนที่เป็นขยะ, ไม่สร้างกำไร, ไม่น่าสนใจ สำหรับแอปเปิล เพราะเค้าเจาะตลาดบน
แต่จะกล้าพูดตรงๆมั้ยว่า ส่วนที่เป็นขยะเนี่ยมันมีอะไรบ้าง.
ทิ้งให้คนไปคิดกันเอาเองน่าจะก่อดราม่าได้ง่ายกว่านะครับ
ภาษาอาจทำให้คนผิดใจกันได้นะเนี่ยอิอิ
ลงชื่อใช้ของขยะ
เริ่มอวตารร่างจ๊อบแล้วว
Apple ก็แบบนี้แหละ
ถ้าดีไม่ได้ก็ห่วย ขยะ ไม่มีกลางๆเทาๆ มีแค่ ดี ห่วย พวกหัวกล่อง ลอจิกจริงเท็จ
มันคือสิ่งที่หลงเหลืออยู่ของคนที่จากไปแล้ว
ก็ไม่ได้ดูแรงอะไรเท่าไร junk market ทุกวันนี้กิน junk food ทุกวันยังไม่รู้สึกอะไร
แนวทางของแอปเปิ้ลดี เน้นคุมตลาดไฮเอนด์ แค่มีบ้างที่เราอยากได้สินค่านอกการควบคุมของแอปเปิ้ล
ควักเงินมาเลยครับ แล้วไปเจลเบรค // เผ่น
อาจเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายไปหน่อย แต่การพูดแบบนี้ของ Apple ก็เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเหล่าสาวกว่าเรายังเหนือกว่าอยู่ หลังจากเสียรังวัดไปพอควรกับ 5c ที่แม้จะไม่ถูกแต่หลุดจากแนวทางศาสดาจ๊อบไปพอควร
คงทำไม่ได้มากกว่า เลยพูดให้ดูหรูไปงั้น
"แอปเปิลไม่เคยมีเป้าหมายในการขายมือถือราคาถูก"
แต่เป้าหมายของบริษัทคือขายมือถือที่ยอดเยี่ยม ให้ประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม
"และพยายามหาวิธีผลิตมันในราคาต่ำลง"
แหม่~
แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะขายในราคาที่ต่ำลงหรือกำไรต่อหน่วยลดลงอ่ะนะ
apple : เค้าจะขายราคาเดิมต่อไป ไม่ว่าต้นทุนจะต่ำแค่ไหนมีปัญหาหรือไง
ผู้ใช้ : ถ้าอยากใช้ ios ยังกับจะมีทางเลือกให้แหนะ T-T
ผู้ถือหุ้น : ดีๆกำไรต่อหน่วยจะได้เยอะๆ ว่าแต่เมื่อไหร่เมื่อไหร่เจ๊จะปันผลให้ผมล่ะ
สาวกแก้ตัวแทนจ้าละหวั่น
ในหนัง Jobs ก็เคยพูดว่าจะไม่ทำอะไรขยะๆที่ไม่อยากใช้แบบนั้น
จะต้มม่ามาใช่ไหมนี่ -_-" แรงส์
มือถือที่ลงแอพแบบ sideload เองไม่ได้, มือถือที่จิ้มคอมแล้วเป็น Mass storage ไม่ได้ = มือถือขยะ สำหรับผมครับ จบข่าว ^^
ชิชะ อย่ามาว่า 3310 ผมนะ
เกลียดอิตุ๊ด Tim Cook อิตุ๊ดๆๆๆๆ
Discriminate เพศ หรือไม่ครับ สำหรับคอมเม้นต์นี้
แน่นอนครับ ถ้าเป็นพันทิป คงจะสมัครบัตรผ่านเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
การแสดงออกเหยียดเพศในเชิงรังเดียจถือว่าไม่เหมาะสมนะครับ
Blog | Twitter
บัญชีโดนแบนเรียบร้อยนะครับ เพิ่งสมัครเข้ามาเพียง 3 วันคงเป็นหน้าใหม่หรือตั้งใจเกรียนครับ
2700 Classic อันสุดยอดทนแบบตกน้ำยังไม่พัง = ขยะนะครับ แหม่
Usability and simplicity ชอบมากครับ อยากให้ยึดแนวทางนี้ไว้ตลอด
ใช้ขยะอยู่ครับ ขยะของอเมริกานะ ไม่ใช่ขยะเกาหลี ญี่ปุ่นหรือจีน
อยากปากดีอะไรก็แล้วแต่เถอะ แต่ผมไม่เคยเห็นว่า iPhone/iPad วิเศษวิโสอะไรขนาดนั้น ความลื่น ความเสถียร กล้อง ที่เป็นจุดแข็ง ตอนนี้ผมเห็นว่ามือถือฝั่ง Android หรือแม้แต่ Windows Phone ไม่ได้เป็นรองเลย ที่ยังตามหลังอยู่ก็เป็นเรื่องของ app เท่านั้น ความหลากหลายของ Android ผมก็มองว่าเป็นเรื่องดี เพราะมันสามารถตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันได้ ตั้งแต่คนรายได้น้อยที่แค่อยากมี smartphone บ้านๆ ไปจนถึงคนรายได้สูงที่อยากได้มือถือหรูๆ หรือแม้แต่คนที่อยากลองเล่นโน่นเล่นนี่กับมือถือมากกว่าจะแค่ใช้มันไปอย่างเดียว
จริงๆ ถ้าแค่พูดว่าเราไม่สนใจจะต่อสู้ในตลาดอื่นๆ ก็คงจะฟังเข้าท่ากว่าการพูดดูถูกแบบนี้
Junk นี่ถ้าผมแปลในบริบทนี้ คงตรงกับคำว่า สวะ
ขยะนี่คือ ปกติหมายถึง ของใช้ไม่ได้แล้ว เศษเหลือ
แต่สวะ มันหมายถึงว่าของห่วย ๆ ที่ ดาดดื่น
ผมว่าเขาก็พูดตามที่เขาเชื่อนะครับ
ตามประวัติศาสตร์ แอปเปิ้ลก็ยึดแนวคิดแบบเดียวกันนี้มาตลอด ตั้งแต่สมัย สงคราม pc
ครั้งนั้นคล้ายครั้งนี้ตรงที่ยุคเปลี่ยนผ่าน apple นำไปก่อน
แต่ครั้งนี้อาจไม่เหมือนเดิมต้องติดตามต่อไป
ถ้าแปลตามนี้นี่ตอนนี้คงดราม่ากันแรงกว่านี้อีกครับ :p
แค่ "ขยะ" ก็ร้อย คห. แล้วครับ ถ้าใช้ "สวะ" เดี๋ยว bn คงล่ม ฮา
หลักการไม่ผิด แต่คำพูดที่ใช้ออกมามันผิดนะ รอตอนล้มเถอะมีคนจะกระทืบอีกเยอะ
ยาวมาก - -
คนไทยอ่านหนังสือภาษาไทยเข้าใจน้อยกันอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอ wording ก่อดราม่ายิ่งคิดไม่เป็นกันไปใหญ่
โดนชักนำนิดหน่อยก็คิดไม่เป็นกันเสียแล้ว
That is the way things are.
+1 ข่าวแบบนี้ คอมเมนท์แบบนี้ โมเมนตัมแบบนี้ มันยังทำให้ผมยังรู้สึกว่าที่นี้คือ บล็อคนัน
ถึงผมจะไม่ค่อยชอบก็เหอ - -'
+1 ทำไมต้องไปทึกทักกันเองว่า ของที่ตัวเองใช้เป็น junk phone ด้วย ผมล่ะไม่เข้าใจ
ก็คนเขาบริโภค เทคโนโลยีไว้แปะภาพลักษณ์ไง
และบังเอิญว่า มือถือ ก็เป็นเทคโนโลยีที่ไม่จำกัด IQ คนใช้ซะด้วย
+1
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
+1 ประทับใจความเห็นนี้อีกความเห็นครับ ^^
เกือบจะ +1 ครับ แต่บังเอิญติดอยู่นิดสสสสนึง
ข้อแรกผมเห็นด้วยกับคุณว่าตลาดขยะไม่เท่ากับมือถือขยะ เพียงแต่หมายถึงตลาดที่ทางแอปเปิลไม่สนใจจะไปสู้รบปรบมือหรือแยแส และมองไม่เห็นคุณค่าในส่วนแบ่งตลาดนั้น เลยเรียกขยะ (ขยะ คืออะไรที่ไร้ค่าในมุมมองผู้ที่เรียกมัน)
จริงๆ ผมเองซึ่งทำธุรกิจด้านไอทีก็คุ้นอยู่แล้ว อย่างถ้ามีบริษัทฯ คู่แข่งเปิดใหม่แต่เน้นอุปกรณ์ถูกๆ ทำราคาหวือหวาแต่ไม่ค่อยมีคุณภาพหรือบริการหลังการขายว่าเป็น "ขยะ" หมายกัน ความหมายคือ ไม่จำเป็นต้องไปสนใจ
แต่ข้อสองงวดนี้คุณใช้ตรรกวิบัติและผิดแนวทางที่คุณยึดถือ (และพร่ำบอก) มาตลอด
คุณเองก็อินไปมากเหมือนกันครับ ไม่งั้นก็คงไม่หลุดอะไรที่วิบัติ มโนไปเอง และเหมารวมแบบนี้
อันนี้พูดตามจริงเลยนะครับจะเชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่ ตอนที่พิมพ์ผมก็คิดอยู่แล้วว่าคำพูดมันไม่ได้แยกกลุ่มชัดเจน ในความคิดของผมคือคนที่ดีดดิ้นกับคำว่า junk เนี่ยมันจะต้องมีส่วนหนึ่งซึ่งผมคิดว่าเป็นส่วนใหญ่ด้วยต้องเคยกิน junk food หรือกิน junk food เป็นปกติ เช่น ปีละครั้ง เดือนละครั้ง เป็นต้น ซึ่งผมคิดว่านั่นก็เพียงพอแล้วที่จะจัดหมวดหมู่คนกลุ่มนี้แต่ที่ไม่สามารถพิมพ์ยาว ๆ เรียบเรียงใหม่ให้ชัดเจนได้เพราะตอนนั้นผมพิมพ์ด้วย iPad 2 บน iOS 7 ซึ่งมีปัญหากับภาษาไทยอย่างมาก กว่าจะพิมพ์ได้ครบแค่นั้นนี่ก็ใช้เวลาหลายสิบนาทีอยู่เหมือนกัน เลยคิดเอาว่าพิมพ์ได้แค่ประมาณนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
ผมไม่ได้โดนชักนำกับคำว่า "ขยะ" ของข่าวเลยแม้แต่น้อยเพราะอ่านภาษาอังกฤษต้นฉบับแล้วเข้าใจว่าต้องการจะสื่ออะไร ไม่อย่างนั้นคงไม่แยก scope ของคำว่า junk อย่างชัดเจนในข้อ 1 เพียงแต่ที่อินคือความไม่ประสีประสาของคนอ่านที่อ่านภาษาไทย (ที่แปลมาจากภาษาอังกฤษ) อย่างไม่เข้าใจแล้วนำมาพูดเป็นอีกเรื่องหนึ่งเป็นสิบ ๆ ความคิดเห็นได้ (จาก junk part of the market ไปสู่ junk phone, junk device) มันช่างน่าอัศจรรย์ใจอย่างมาก ถ้าจะบอกว่าผมอินกับความจริงเรื่องนี้ผมไม่เถียง
ไม่จำเป็นที่ว่าคนประเภทที่ผมบอกจะต้อง "ชอบ" หรือ "เกลียด" junk food แต่ขอเพียงแค่รู้สึกไม่ได้สนใจอะไรกับ junk food ไม่รู้สึกอะไรกับการที่คนอื่น ๆ เรียกอาหารประเภทนี้ว่า junk food ก็เพียงพอแล้ว เพราะการที่คนเหล่านี้อ่อนไหวกับคำว่า "junk" ในข่าวนี้แต่เลือกที่จะไม่อ่อนไหวกับคำว่า "junk" ในบริบทอื่นที่ทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์ที่ให้ความหมายเหมือนกัน มันแสดงให้เห็นถึงความเป็น 2 มาตรฐานของคนกลุ่มนี้ แน่นอนครับว่าไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแบบนี้ ผมเองก็ไม่ได้เขียนคำว่า "ทุกคน" ลงไปแต่ก็ไม่ได้เขียนคำว่า "บางคน" ลงไปด้วยเช่นกัน หากจะเข้าใจผิดก็คงไม่แปลกขึ้นอยู่กับการอ่านและตีความของแต่ละบุคคล
อันนี้มันคนละเรื่องกันเลยอย่างแท้จริงแม้จะเป็นการคาดเดาเหมือนกันก็ตาม การที่คุณจะรู้ว่าคนอื่นเป็นสาวกหรือไม่เป็นสาวกนี่มันต้องเข้าข่ายอ่านใจอีกฝ่ายได้เลยครับ ก่อนอื่นคูณต้องมาตีความก่อนด้วยว่าคำว่า "สาวก" มีความหมายว่าอย่างไร มีพฤติกรรมแบบไหน แล้วค่อยมาดูต่อว่าคนกลุ่มไหนที่มีพฤติกรรมแบบนั้นเป็นสาวกจริงหรือไม่ ทั้งหมดนี้ต้องไม่ลืมว่าพฤติกรรมที่ "ตัวเอง" กำหนดไว้ในใจมันไม่ได้เป็นมาตรฐานสากลที่อ้างอิงกับหลักเหตุผลแห่งความจริงอะไร มันคือการตีค่าผู้อื่นตามใจตัวเองเท่านั้น
หากเทียบกับการที่คนหนึ่งเคยหรือไม่เคยบริโภค junk food ผมว่าอย่างหลังมันไม่ใช่การอ่านใจแต่เป็นการคาดเดาทางสถิติ เอาจริง ๆ ผมเดาว่าคงมีคนไทยจำนวนน้อยมาก ๆ ที่ตั้งแต่เกิดจนโตมาขนาดที่มาอ่านข่าวมา comment ใน Blognone แล้วไม่เคยกิน junk food แม้แต่ครั้งเดียว เพราะจากประสบการณ์ส่วนตัวของผมคนรอบข้างที่มีอายุเกิน 15 ปีทั้งหมดล้วนเคยกิน junk food มาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ผมจึงได้อนุมานไปแบบนั้นจากกลุ่มตัวอย่างที่ผมสุ่มขึ้นมาเอง ไม่ใช่การมโนภาพยัดเยียดความรู้สึกให้กับคนอื่นเพียงเพราะอ่านสิ่งที่เขาเหล่านั้นพิมพ์บน website เพียงอย่างเดียวเหมือนหลาย ๆ คนที่ตราหน้าคนอื่นว่าเป็น "สาวก" พวกนั้น คนพวกนี้พอโดนยันให้ไปหาคนที่เขาเรียกว่าเป็นสาวกจริง ๆ มาแสดงตนพร้อมหลักฐานก็ไม่เห็นมีใครกล้าทำสักคน แต่สำหรับผมกล้าท้าพิสูจน์ให้คุณมาคุยกับคนในละแวกบ้านผมได้เรียงตัวเลย
ส่วนเรื่องการตีความว่ามันเลิศหรูกว่าข้าวแกง ผมว่าประเด็นนี้ผมเขียนชัดเจนว่า "บางคน" นะครับ ตามหลักตรรกศาสตร์ขอเพียงมีแค่ 1 คนในข่าวนี้ value junk food พวก MxDonalds, KCF เหนือกว่าข้าวแกงข้างถนนก็ถือว่าสิ่งที่ผมพูดไปเป็นความจริงแล้ว ที่ผมพูดอย่างนั้นก็อ้างอิงมาจากประสบการณ์สมัยทำงานที่ออฟฟิศย่านสีลมอีกเช่นกัน เพราะเท่าที่ผมจำได้ผมไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนที่กำลังจีบผู้หญิงพาผู้หญิงไปกินข้าวแกง 2 ต่อ 2 ตอนเย็นหลังเลิกงานเลยแม้แต่คนเดียว แต่ผมเห็นคนชวนไปกิน Fuji (อันนี้ไม่ junk), MxDonalds, KCF อยู่บ้าง มันคือค่านิยมของสังคมที่โดนหล่อหลอมมา ไม่ใช่การกำหนดค่าไปเองตามปัจเจกบุคคลแบบคำว่า "สาวก" ที่คุณหยิบยกมาเปรียบเทียบ
ถ้าถามว่าผมรู้ได้อย่างไร ผมไม่รู้ 100% หรอกครับแต่ผมคาดเดาเอาจากสถิติ แต่ได้โปรดอย่าเอาผมไปเปรียบเทียบกับพวกอ่านใจคนอื่นได้อย่างพวกที่ชอบตราหน้าคนอื่นว่าเป็น "สาวก" เลย กระบวนการในการคาดเดาของผมกับคนเหล่านี้มันต่างกับมาก
พอพูดมาถึงตอนนี้แล้วก็อยากรู้เหมือนกันนะครับว่าจะมีสักกี่คนที่รู้สึกไม่ดีกับคำว่า junk ในข่าวนี้แล้วตัวเองตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยกิน junk food เลย ผมว่ามันน่าจะน้อยมาก ๆ เลยนะ แฮมเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟราย ฮอตดอก ไก่ทอด
คุณคิดว่ามีสักกี่คนครับ ??
ปล. ถ้าผมพิมพ์บน computer ก็จะสามารถพิมพ์ได้ยาว ๆ แบบนี้แหละครับ หวังว่าอ่านแล้วคงกระจ่าง หากตกหล่นประเด็นไหนไปสอบถามเพิ่มเติมได้ครับ
That is the way things are.
ส่วนที่พลาดที่สุดของคุณ คือคนไทยเรียกอาหารประเภทนี้ว่า fast food ครับ เพราะงั้นตรรกะที่คุณใช้มันก็เลยขัดนิดหน่อยในบริบทที่คุณจะหมายถึงคนไทย
แต่ผมเห็นด้วยกับความเห็นของคุณนะ
ใครในข่าวนี้เป็นแบบนี้บ้างครับ คืออ่อนไหวกับ junk แรก แต่ไม่แยแสกับ junk food (หรือ fast food) คุณเห็นใครที่เป็นแบบนั้นบ้าง เห็นแบบจะคาหนังคาเขาเลยว่าเขาพูด หรือเขียน หรือว่าคุณมโนไปเอง?
ไม่ว่ากี่คนหรือทุกคนจะเคยกินหรือไม่กินอาหารพวกนี้มาก่อนกี่เปอร์เซ็นต์ (ซึ่งมันไม่ใช่ประเด็นหลัก) และไม่ว่าอัลกอรึทึมคาดเดาของคุณจะล้ำลึกเพียงใด มันก็ไม่ได้ต่างไปจากการคาดเดาแบบถึกๆ (แบบด่าคนอื่นว่าเป็นสาวก) เพราะมันไม่ได้ประโยคของคุณในคห. แรกมันถูกต้องขึ้นมาครับ มันยังวิบัติเหมือนเดิม เป็นเหตุผลวิบัติที่พยายามทำลายความน่าเชื่อถือของผู้อื่นด้วยการกล่าวหาว่าเขามีสองมาตรฐาน ทั้งๆ ที่มันยังไม่ได้เกิดขึ้นในข่าวนี้จริง เห็นมีแต่ที่คุณพยายามอธิบายโน้มน้าวเท่านั้น
จริงๆ ผมก็ไม่ใช่พวกไม่วิบัติอะไรหรอกนะ แต่ก็อีกนั่นแหละ ผมยังเชื่อว่าเราเหมือนกัน จริงๆ นะ ผมยังเชื่อแบบนี้มาเสมอ :D
เรามาถามคนที่อ่อนไหวกับคำว่า junk ในข่าวนี้แบบเรียงคนเลยดีไหมครับว่าเคยกินพวก junk food หรือไม่ ?? ถ้าเคยกินแล้วตอนนั้นไม่ได้รู้สึกอะไร ไม่ได้รู้สึกอ่อนไหวเป็นพิเศษ หากมีคนประเภทนี้เราจะเรียกว่า 2 มาตรฐานสำหรับเรื่องนี้ได้หรือไม่ ?? และหากผลทีได้ตรงมากับที่ผมได้กล่าวไปตั้งแต่ต้นคุณจะยอมรับหรือไม่ว่าการอนุมานจากกลุ่มตัวอย่างรอบตัวของผมเป็นกระบวนการที่ใช้ได้จริง ??
การคาดเดาจากสถิติกับการมโนไปเองสำหรับผมมันต่างกันครับแต่ถ้าสำหรับคุณมันไม่ต่างผมก็ช่วยไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ผมพูดได้เลยว่าทุกคนใน web นี้ต้องเคยกินข้าวแม้ว่าผมจะไม่ได้เห็นกับตาในขณะที่เขากำลังกินข้าวก็ตาม ซึ่งผมว่าคงไม่มีใครมาเถียงให้ผมพิสูจน์ว่าต้องไปเห็นด้วยตาก่อนจึงจะพูดได้สำหรับประเด็นนี้ เรื่องบางเรื่องมันอยู่ในใจการที่จะไปทายถูกได้ก็ต้องอ่านใจได้เท่านั้น แต่เรื่องบางเรื่องมันคือการกระทำที่แสดงออกอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ต้องไปนึกมโนจินตนาการอ่านใจก็สามารถคาดเดาได้
อีกตัวอย่างหนึ่งเช่น คนที่ทำงานออฟฟิศแทบทุกคนต้องเคยไม่เห็นด้วยกับหัวหน้าหรือนโยบายของบริษัท ผมไม่ต้องไปอยู่บริษัทเดียวกันผมก็สามารถอนุมานอย่างนี้ได้ เพราะมนูษย์ที่ยังไม่บรรลุทุกคนล้วนมีอัตตา เวลาทำงานบางอย่างย่อมมีโอกาสที่ความคิดเห็นไม่ตรงกับคำสั่งที่ได้รับมอบหมายมาไม่มากก็น้อย มันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่ไม่ต้องไปพิสูจน์ให้ประจักษ์แต่อย่างใด
ฉันใดก็ฉันนั้นกรณีนี้ก็เช่นกัน หากคุณยังแยกความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ต้องพิสูจน์ให้ประจักษ์เท่านั้นกับสิ่งที่สามารถอนุมานได้จากวิธีการอื่น ๆ ไม่ได้ ผมว่าความคิดเห็นเราคงต่างกันมาก ย้ำเหมือนเดิมว่าผมไม่ได้อ่านใจใครแต่อ้างอิงจากสถิติหลายสิบปีที่ผ่านมาซึ่งผมคิดว่ามันมีความน่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง หากเทียบกับคนที่ถูกถามว่า "สาวก" ที่ตัวเองพร่ำบอกเรียกกล่าวหาคนอื่นอยู่ตลอดเวลาว่ามีความหมายอย่างไร มีพฤติกรรมแบบไหน ยกตัวอย่างเป็นบุคคลจริงเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นมาให้ดูได้หรือไม่ ไม่เคยตอบในประเด็นเหล่านี้ได้เลยแต่ก็ยังจะเรียกคนอื่นว่า "สาวก" ต่อไป ผมว่าคน 2 กลุ่มนี้ต่างกันมาก
มันเหมือนคนหนึ่งเขียนบทความใน wiki แบบมี reference แต่อีกคนหนึ่งเขียนตามใจไม่มี reference เรื่องความถูกต้องของบทความยังไม่ต้องพูดถึง เอาแค่กระบวนการคิดของ 2 คนนี้ก็ไม่เหมือนกันแล้ว
คุณจะเชื่อว่าผมเหมือนคุณก็เรื่องส่วนตัวของคุณครับ ผมคงไปบังคับความเชื่อของคุณไม่ได้ แต่ผมยังไม่เห็นว่าสำหรับเรื่องพวกนี้ผมเป็นคนประเภทเดียวกับคุณเลยนะ ผมก็ได้พยายามอธิบายไปหมดแล้ว คุณอาจจะอ่านแล้วพบว่ามันไม่น่าเชื่อถือแต่ได้ลองถามคนอื่นรอบตัวดูบ้างไหมครับว่าเขาคิดเห็นอย่างไร ? ถ้าเขาคิดเห็นไม่เหมือนกับคุณแล้วคุณจะเลือกที่จะคิดว่าใครคิดถูกหรือใครคิดผิดครับ ? ลองทำดูแล้วคุณอาจจะแปลกใจอย่างคาดไม่ถึงก็ได้นะครับ
แนะนำให้เริ่มต้นจากภรรยาของคุณก่อนเลยครับ
That is the way things are.
ถ้าคุณไล่ถามจริง และมีคนเป็นแบบที่คุณว่าจริง ก็ต้องยอมรับครับ มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว มันไม่ใ่ช่ปัญหาอะไรถ้ามันเป็นความจริง (ถ้าพูดถึงเรื่องที่ผมว่าคุณมโนไปเอง)
แต่...
คุณยกตัวอย่างว่าคุณสามารถพูดได้เลยว่าทุกคน "ต้องเคยกินข้าว" เอิ่มโทษครับ เปรียบเทียบได้แย่มาก ไม่แต่อะไรกับคนในเวบนี้เคยเยี่ยวเลย มันเป็นเหตุการณ์ในชีิวิตประจำวันอยู่แล้ว ไม่ต้องยกขึ้นมาก็ได้
แต่ทุกคนที่ "เคยกินข้าว" อาจจะไม่เคยกิน "junk food" (เพราะเป็นอาหารทางเลือก) และ คนที่เคยกิน junk food ก็อาจจะไม่ได้ชอบที่จะกินมัน (อาจกินทั้งที่ไม่ชอบ เช่น เป็นกับเพื่อน กับแฟน) และการที่เขากิน เกลียดหรือไม่เกลียด ก็ไม่ได้ทำให้ความชอบธรรมที่เขาจะ "ดิ้น" ในข่าวนี้มันลดลงหรือมากขึ้น งงมั้ยครับ มันไม่ได้เป็นเรื่องเดียวกัน มันเป็นตรรกะวิบัติที่คุณพยายามจะไปลดความน่าเชื่อถือของคนอื่น ซึ่งต่อให้มีคนยอมรับว่าเขาชอบ junk food แต่ดิ้นในข่าวนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องสองมาตรฐาน เพราะถ้าจะสองมาตรฐานคือ เขาต้องไปด่ามือถือยี่ห้ออื่นว่าขยะ แต่พอมือถือตัวเองถูกเรียกว่าเป็นขยะแล้วถึงจะดิ้น
a large junk part of the market ไม่เท่ากับ junk phone ฉันใด มันก็ไม่เท่ากับ junk food ฉันนั้น
เพราะ junk food ไม่ใช่อาหารราคาถูกเสมอไป (บางอย่างแพงและมียี่ห้อ) แต่ junk food คืออาหารที่ทานแล้วไม่ก่อประโยชน์มาก แต่ a large junk part of the market นั่น Cook พูดถึงตลาด low cost
ซึ่งนั่นก็คือถ้าคุณว่าคนอื่นๆ ผิดประเด็น (ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับคุณ) แต่คุณก็ผิดประเด็นซะเองเมื่อไปเปรียบเทียบกับ junk food
นั่นคือคุณเพี้ยนเองแต่แรก ซึ่งผมก็บอกว่าตรรกวิบัติไปแล้ว ซึ่งมันจบตั้งแต่นี้แล้ว ไม่ต้องนำสืบขยายความทักษะการเดา อนุมาน หรือสถิติอะไรนั่น
ส่วนเรื่องไปถามคนอื่นอะไรนั่น ผมไม่สนใจจะทำครับ เพราะเรื่องถูกผิดผมก็มีวิจารณาญาณของตัวเอง หรือต่อทุกคนบอกว่าผมผิด ผมก็ไม่แปลกใจอะไรครับ อย่างที่คุณบอกไง เราคงไปบังคับความเชื่อของใครไม่ได้ อะฮิ
คุณเข้าใจอะไรผิดแล้วครับ สำหรับคนที่เข้าใจความต่างของ junk part of the market กับ junk phone คนเหล่านั้นก็คงเข้าใจว่ามันต่างกับ junk food แต่แรกแล้วครับ
ข้อ 2 ที่ผมเขียนไว้หมายถึงคนที่ดิ้นกับคำว่า junk จนไปเรียกโทรศัพท์ตัวเองว่า junk phone ต่างหาก ผมบอกว่าพวกเขาไม่ควรดิ้นหากพวกเขายังคิดว่าการกิน junk food หรือการที่คนอื่นเรียกอาหารประเภทนี้ว่า junk food เป็นเรื่องปกติ
ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าใครตรรกะวิบัติกันแน่ แต่ผมรู้อย่างหนึ่งครับว่าคนที่ไม่กล้าพิสูจน์ความคิดเห็นของตัวเองก็ไม่ควรมีหน้าไปวิจารณ์คนอื่นอย่างเสียหายโดยอ้างอิงกับเฉพาะความคิดเห็นของตัวเองนะครับ
มันไม่มีนำ้หนักและผิดมารยาท
That is the way things are.
คุณมีปัญหาด้านการจับใจความอีกแล้ว ไม่ได้บอกซะหน่อยว่าไม่ให้ใครวิจารณ์ ผมบอกว่าใครจะวิจารณ์ก็แล้วแต่เขาไง ถ้าวิจารณ์แล้วต้องเชื่อแล้วทำไมผมวิจารณ์คุณแล้วคุณไม่เชื่อผม ก็เพราะคุณมีวิจารณญาณของคุณไง
อ้อ ผมก็ต้องอิงกับความเห็นผมสิครับ มันเป็นความเห็นของผม อยู่ในความรับผิดชอบของผม จะให้ผมไปอ้างอิงกับความเห็นคนอื่นๆ ได้ไง
ส่วนประโยคสุดท้ายมันไม่เร้าอารมณ์ผมเท่าไหร่ครับ เพราะผมมักจะเจอคนพูดแบบนี้เวลาที่สุดท้ายจริงๆ สู้ด้วยเรื่องที่โต้แย้งไม่ได้ก็เบี่ยงไปเอาเรื่องคุณธรรมสูงส่งของตัวเองมาถล่มคนอื่น เป็นตรรกะวิบัติอีกแบบหนึ่ง
กำลังรู้สึกว่า iPad mini iOS7 บนมือกำลังเป็นขยะ เพราะกระตุก หน่วง เหมือนอุปกรณ์ขยะที่ศาสดากล่าวถึงเลยฮัพ
+1
โดยความเห็นส่วนตัวของผม ก็รู้สึกว่าเขาพูดอะไรที่ไม่ควรพูดนะ
แต่คนที่เค้ามีความสามารถทำให้ตัวเองได้มีตำแหน่งสำคัญในบริษัทใหญ่ ๆ มีชื่อเสียงระดับโลกได้
การที่เค้าพูดอะไรออกมา คงจะมีการคิดมาแล้วว่าพูดแล้วมันจะมีดีผลเสียอะไรบ้าง
ถ้าเป็นคนทำอะไรตามอารมณ์ ไม่คิดก่อนให้สัมภาษณ์ไม่น่าจะมาถึงจุดนี้ได้
ในบทความนี้ ผมชอบประโยคนี้ของ Federighi มากเลย
New? New is easy. Right is hard.
มันจริงมาก ๆ
แอปเปิลไม่เคยขายของถูก
แฟนพันธุ์แท้สตีฟจ็อบส์ | MacThai.com
ขยะในที่นี้คงหมายถึง สินค้าที่ไม่สามารถทำงานได้เต็มความสามารถที่ Apple มีได้นะครับ
อย่างเช่น ถ้าทำมือราคาถูกแล้วมันใช้งาน Siri หรือ FaceTime ได้ แต่ใช้ได้ไม่ดี Apple จะไม่ทำ
และ Apple จะหาวิธีผลิตมือถือราคาต่ำลงมา เพื่อให้ลูกค้าได้ประสบการณ์สูงสุดที่ Apple จะมอบให้ครับ
เค้าไม่ได้บอกว่าสินค้านั้นเป็นขยะ แต่บอกว่าตลาดกลุ่มนั้นเป็นขยะ (เป็นตลาดที่ไม่มีมูลค่าที่น่าสนใจ) เขียนเป็นไทยแบบในข่าวทำให้คนเข้าใจว่าซื้อขายขยะ ดูดราม่าขึ้นมาเยอะเลย แต่เค้าก็อุตส่าห์ใส่ภาษาอังกฤษไว้ให้ด้วยแล้ว
ปล. จริงๆ ซื้อขายขยะน่าสนใจนะและไม่ใช่ตลาดขยะด้วย ดูอย่างวงศ์พาณิชย์สิ เสกขยะเป็นทอง
ปล2 iOS 7 กับภาษาไทยนี่ช้าไม่ไหวแล้ว พิมพ์ตอบทีเสียเวลามากค้างถี่ๆ
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
หัวข่าวก็เขียนไว้ชัดเจนแต่แรกนะครับ
สมมติฐานที่ว่า คนไทยส่วนใหญ่กลัวเสียหน้าและไม่ชอบถูกด่าว่าโง่นี่ สงสัยจะจริง
ไม่งั้นบางคนไม่เดือดร้อนกับคำว่า ขยะ จนต้องแซะกลับหรอก
ส่วนตัวคิดว่า ขยะ =/ junk นะ
ไม่คุ้มที่จะลงทุน ไม่คุ้มที่จะแข่ง
เห็นรูปสามเทพนี้แล้วมั่นใจว่า รุ่นต่อไปหน้าจอใหญ่ขึ้นแน่นอน
ไม่แปลกใจที่สาวกแอปเปิ้ลปากจัดชอบถากถางเสียดสี ก็ในเมื่อศาสดายังคงจารีตปากจัดตีนถีบเหมือนเดิมเช่นนี้ แม้ว่าจะถึงยุคเปลี่ยนผ่านศาสดาไปแล้วก็ตาม... แต่วิธีนี้คนที่มีสิทธิพูดได้คือ สติฟ จ็อบส์ เท่านั้น คนอื่นมันแค่ของปลอมเลียนแบบ แม้จะพูดด้วยคำ วิธีเดิมๆ แต่อารมณ์เหมือนของก็อปตามสำเพ็ง ไม่สำเหนียกดูฝีมือตัวเองและลูกทีมในปัจจุบัน ซึ่งได้ดีเพราะเอาแต่กินบุญเก่า
iOS 7 กินแบตกว่า 6 ครับ อันนี้เรียกว่าเพิ่มมาเป็นขยะไหม
เอาเข้าจริงๆ ระบบกับการออกแบบตามระบบขยะซะเยอะนะครับ Apple -"-
ผมมีทั้งสามระบบนะ ไม่ชอบการดูถูกเท่าไร :-(
จริงครับ ตามตั้งแต่ notification ลากลงที่มีใน ขยะมาชาตินึง
control center ก็มีใน os ขยะๆ มาชาตินึงละ
kill app multitask แบบปัดทิ้ง ก็มีใน os ขยะมาชาติเศษเช่นกัน
เห็นสาวกหลายคนบอกว่า 3.5 นิ้วดี 4นิ้วเหมาะ ใช้ใหญ่กว่านี้ยังต้องกลับมา 3.5 บราๆๆๆ
แล้ววันนึงอย่าทำ 4.7 - 5นิ้วนะครับ จะคอยดู อีกไม่นานนี้ มีดริฟอีกแน่ สาวกทั้งหลาย
เจ๊แก็ไปดูถูกสินค้าคนอื่น คนที่เค้ามีงบจำกัด มองเห็นข้อเสีย...etc.. ไม่ซื้อของๆแก แปลว่า เค้าใช้ขยะเหรอครับ เป็นคำพูดขยะๆ จากคนที่อยู่ในตำแหน่ง CEO เช่นคุณเหมือนกัน ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตอบโต้ เหมือนคนกำลังใกล้แพ้เช่นนี้ สงครามยังอีกยาวไกลนะเจ๊
ปล. กล้าเอาหัวเป็นประกันเลย สักวัน ipad ต้องมีปากกาแรงกดเหมือน ss note
และวันนึง iphone จอจะใหญ่ขึ้นกว่า 4นิ้ว (ประสพการณ์ยอดเยี่ยม ถุ้ย)
เม้นข้างบนเค้าอธิบายแล้วนี่ครับ ตลาดขยะไม่ได้หมายถึง มือถือรุ่นไหนเป็นขยะ มันหมายถึงตลาดไม่มีมูลค่า ทำกำไรได้น้อย...
เวลาอ่านข่าวที่นี่ต้องอ่านเม้นที่ตามมาด้วยครับ บางทีผู้เขียนข่าวก็ใช้ wording ชวนดราม่าเหลือเกิน
คนพูดคือคุณ Cook ไม่ใช่หรือครับ?
คนแปลและ คนไทย วัฒนธรรมทางภาษาต่างกันครับ
แต่คนแปลไม่ใช่คุ๊กนะครับ
อย่างนี้ amazon ขาย tablet จะได้เรียกว่าตลาดขยะหรือเปล่า เพราะขาย content แต่ราคาเครื่องถูก
ผมคิดว่าในอนาคต ต่อไปมันต้องมีเรื่องการขยายหน้าจออยู่แล้วครับ (แต่คิดว่าคงไม่เกิน 5 นิ้วแน่นอน)
ส่วนนึงนอกจากที่หน้าจอใหญ่ขึ้นแล้ว มันเกี่ยวโยงกับ hardware และ
แบตที่ต้องการพื้นที่ในการ ประกอบที่มากขึ้นด้วย
อีกอย่างนึงตามที่เค้าให้สัมภาษณ์ เค้าไม่ได้บอกนะครับ ของที่ไม่ใช่ของเค้าคือเป็นขยะ
ความหมายของขยะ คือ ของที่มีคุณค่าน้อย ถ้าเทียบกับมือถือก็คือเป็นมือถือที่ให้ประสบการณ์การใช้งานที่ไม่ดีให้กับผู้ใช้งาน เล่นแล้วหงุดหงิด ใช้งานยากเป็นต้น มือถือของคุณเป็นอย่างนั้นไหม? ถ้าใช่ก็เป็นขยะ ถ้าไม่ใช่ก็ไม่เป็นขยะครับ ไม่ได้เกี่ยวกับ Brand หรือเรื่องถูกแพง เลยครับ ของสองสามหมื่น แต่ไม่มีคุณค่าก็เป็นขยะได้เหมือนกันครับ ที่เค้าพูดอย่างนี้
เพราะว่าเค้ายังตอบโจทย์ในการลงไปผลิตแบบตุ้นทุนต่ำ แต่ยังคงให้ประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมกับลูกค้าเหมือนเดิมไม่ได้มากกว่าครับ
+1
"สาวก" หลายคนที่บอกว่าใช้ใหญ่กว่านี้แล้วต้องกลับมา 3.5 นิ้วนี่มีใครบ้างหรือครับ ??
ช่วย quote ชื่อพร้อม comment ของเขามาให้ผมดูหน่อย อยากรู้คำว่าหลายของคุณนี่มันกี่คนกันแน่เมื่อเทียบกับจำนวนคนที่มา comment ในข่าวนี้ทั้งหมด
คงไม่ใช่เห็นคนพูดแค่คนเดียวแต่มาขยายเสริมเติมแต่งเองว่ามีหลายคนนะครับ ?
That is the way things are.
สตีฟจ๊อบสงสัยจะลืมถ่ายทอดวิชา Reality distortion field มานะครับเนี่ย
onedd.net
"มองที่ไอเดียใหญ่ (big idea) แล้วค่อยๆ แก้ปัญหาหลายอย่างที่ทำให้ไอเดียนั้นไม่สามารถเกิดได้จริง" เนี่ยแหละแนวทางที่แท้จริงของ Apple แต่ที่น่าสนใจกว่า คือแนวคิดการขยายฐานปีรามิดของผู้ใช้จากส่วนแหลมให้ขยายออกโดยที่ฐานผู้ใช้เป็นของบริษัทอื่นเนี่ยถ้าทำได้ถือว่าพลิกตำรากันเลยทีเดียว เพราะถ้าเป็นรถยนต์มันต้องสร้างรุ่นเล็ก ไล่มารุ่นใหญ่เพื่อสร้างฐานลูกค้า ซึ่งบริษัททั่วไปจะทำอย่างนั้น แต่นี่จะเล่นตลาด Premium อย่างเดียวโดยใช้บริษัทอื่นเป็นฐานมันต้องสร้างสิ่งที่เรียกว่าจดจำกันในใจเลยว่า "มีเงินฉันต้องซื้อให้ได้" ดังนั้นวลีที่ว่า "ใช่สิ ของ Apple ไม่ได้แพง แต่ฉันมีเงินไม่พอเอง" ก็ยังใช้ได้เสมอ
+1 ชอบครับ หลายเคสเป็นกรณีศึกษาที่เกิดจริง สั่งสอนเราได้ดี New -> Right นึกถึงจากปริมาณสู่คุณภาพ
บริษัทรถยนต์ที่ผลิตแต่รถสำหรับตลาดบนก็เยอะนะครับ
บริษัทรถยนต์ที่ทำให้คนคิดว่า "มีเงินฉันต้องซื้อให้ได้" นี่มีหลายบริษัทเลย
เห็นหัวข่าวแล้วตกใจ ยิ่งเห็นจำนวน comment ยิ่งตกใจ
พอกดเข้ามาอ่าน เนื้อหาข่าวก็ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น
หรือว่านี่เป็นเวอร์ชั่นที่แก้ไขแล้ว?
ถึงจะเข้าใจคำว่าตลาดขยะ แต่ผมก็ยังไม่ชอบคำๆนี้อยู่ดี
เหมือนมีตลาดนัดติดแอร์ขายผักไฮโดร กับตลาดสดขายผักธรรมดา เจ้าของตลาดนัดออกมาบอกว่าไม่สนใจตลาดขยะ ไม่เปิดแข่งหรอก เข้าใจสิ่งที่จะสื่อนะ แต่ผมว่ามันกระทบความรู้สึกของคนเดินตลาด
พาดหัวข่าวเรียกแขกจริงๆ
ผมใช้มือถือในตลาดขยะอยู่สินะ Tim Cook
นี่มันดาราฮอลีวูด ชัด
Writer no.59 เพื่อสังคมแห่งการแบ่งปันความรู้
80/20 ส่วนตัวเกลียดแอปเปิ้ลสุดๆ เนื่องจากสาวกกับผู้บริหารล้วนๆ อิอิ
ย้อนแย้งดีฮะ ตัวเองเป็นคนสร้างตลาดมือถือเน้น ecosystem แต่คิดว่าตลาดส่วนใหญ่เป็นขยะ งั้นพี่ก็อยู่กับส่วนแบ่งขนาดจิ๋วเหมือนสมัย pc ไปละกันนะ
ปล.ทิมคุกกับนักการเมืองแถวนี้บางคนนี่เหมือนกันจริงๆ หรือพวกเสียงส่วนน้อยเป็นแบบนี้กันหมดหว่า
"With the first link, the chain is forged. The first speech censured, the first thought forbidden, the first freedom denied, chains us all irrevocably."
เป็นความสามารถพิเศษของผู้พูดกับผู้แปล ฉลาดอย่างเดียวไม่พอ ยัง entertain สาวกเก่งด้วย
คิดเหมือนกัน แต่อยากให้ไอโฟนกันน้ำมั่งจัง
คนไทยอ่านภาษาไทยไม่แตกฉาน หรือ อ่านภาษาอังกฤษไม่เป็น กันแน่ ?
คำว่า Junk ในบริบทของการสัมภาษณ์ฉบับเต็ม คือ ตลาดของมือถือราคาถูกที่ไม่มีคุณภาพ .. ซึ่ง Apple ไม่สนใจ เพราะ มันไม่ใช่แนวทางของ Apple
Apple เชื่อว่า มีตลาดที่ลูกค้าต้องการใช้ของมีคุณภาพอย่างแท้จริง ซึ่ง Apple ต้องการทำสินค้าเพื่อคนกลุ่มนี้เท่านั้น เพราะ มันคือแนวทางของ Apple
ผมว่าประเด็นคือ คนใช้มือถือราคาถูกเขาไม่ได้มองว่ามันไม่มีคุณภาพนี่ครับ