Wall Street Journal มีบทสัมภาษณ์เบื้องหลังการตัดสินใจลงจากตำแหน่งซีอีโอของสตีฟ บัลเมอร์ ที่เกิดจากความตั้งใจเปลี่ยนแปลงไมโครซอฟท์ของเขาเอง แต่การเปลี่ยนแปลงกลับเกิดขึ้นได้ช้ากว่าที่เขาคาด จนเขารู้สึกว่าปัญหาส่วนหนึ่งก็เกิดจากตัวเขาเองด้วยและตัดสินใจออกจากตำแหน่งเพื่อเร่งให้การเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น
เหตุการณ์เริ่มขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ที่บัลเมอร์เริ่มคิดถึงการยกเครื่องไมโครซอฟท์ครั้งใหญ่ (ต้นฉบับใช้คำว่า reboot) เขาปรึกษากับ Allan Mulally ซีอีโอของ Ford ในช่วงคริสต์มาสเป็นเวลา 4 ชั่วโมง โดยบัลเมอร์นำสินค้าของไมโครซอฟท์และคู่แข่งไปขอความเห็นจาก Mulally และ Mulally ก็เล่าให้บัลเมอร์ฟังว่าเขาพลิกฟื้นกิจการของ Ford ด้วยการทำงานเป็นทีมและการทำให้แบรนด์ของ Ford เรียบง่ายขึ้น
การคุยกับ Mulally ทำให้บัลเมอร์ตระหนักว่าโครงสร้างและวัฒนธรรมองค์กรของไมโครซอฟท์ที่เคยใช้งานได้มาตลอดนั้นไม่เหมาะสมกับยุคปัจจุบัน และเขาต้อง "คิดใหม่ทำใหม่" ทั้งหมด
ในเดือนมกราคม 2013 บัลเมอร์นำเสนอแผนการปรับปรุงบริษัทกับบอร์ดบริหาร บอร์ดอนุมัติแผนการนี้แต่ก็เร่งให้บัลเมอร์ดำเนินงานตามแผนให้เร็วกว่าเดิม (บอร์ดบอกว่าไม่มีเจตนาให้บัลเมอร์ออกจากตำแหน่งในช่วงนั้น)
บัลเมอร์ยอมรับว่าคิดเรื่องการปรับปรุงบริษัทมานาน แต่ยังไม่กล้าทำอะไรมากก่อนการวางขาย Windows 8 ในเดือนตุลาคม 2012 ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของบริษัท ส่งผลให้เขาขยับตัวช้ากว่าที่บอร์ดและนักลงทุนต้องการ
บัลเมอร์เริ่มร่างแผนโครงสร้างองค์กรใหม่ในเดือนมีนาคม 2013 และเริ่มปรับวิธีการทำงานทันที แต่เดิมเขาใช้วิธีประชุมกับผู้บริหารแต่ละฝ่ายของไมโครซอฟท์เป็นรายคน และสั่งงานตามที่เขาต้องการ ซึ่งเขาก็เปลี่ยนเป็นการนัดผู้บริหารหลายๆ ฝ่ายมาประชุมร่วมกันเพื่อสร้างบรรยากาศของการทำงานร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวของผู้บริหารก็ไม่เกิดขึ้นง่าย เพราะคุ้นเคยกับระบบการทำงานแบบเก่าที่บัลเมอร์ใช้มา 30 ปี ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Qi Lu ผู้บริหารฝ่ายออนไลน์ (คุม Bing) ส่งรายงานความยาว 56 หน้ามาให้บัลเมอร์ บัลเมอร์ส่งกลับและบอกให้สรุปมาเหลือ 3 หน้า ซึ่ง Qi Lu ก็แย้งกลับว่าบัลเมอร์ (ในอดีต) ชอบให้มีรายละเอียดและข้อมูลมากๆ ไม่ใช่เหรอ
เมื่อเจอกับอุปสรรคเหล่านี้ บัลเมอร์ก็เริ่มเข้าใจว่าเขาฝึกผู้บริหารของไมโครซอฟท์ให้ทำงานแบบแยกส่วน ดูเฉพาะงานของตัวเองและไม่เห็นภาพรวมของทั้งบริษัท ทำให้ทีมผู้บริหารไม่เข้าใจถึงความพยายามเปลี่ยนแปลงของเขาเท่าที่ควร
ในเดือนพฤษภาคม 2013 บัลเมอร์เริ่มคิดได้ว่าไมโครซอฟท์ต้องฉีกตัวจากรูปแบบเดิมๆ ที่ปฏิบัติมาโดยตลอด และตัวเขาเองก็ต้องยอมรับว่าเขาเป็นถือเป็นหนึ่งในแบบแผนแบบเดิมๆ ด้วยเหมือนกัน
หลังจากนั้นบัลเมอร์เริ่มร่างจดหมายประกาศการเกษียณอายุ ซึ่งเขาร่างขึ้นกว่า 40 ฉบับที่มีแนวทางการเล่าเรื่องต่างกันไป ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม เขาเริ่มแจ้งบอร์ดบริหารว่าเขาคิดจะเกษียณแล้ว ซึ่งบอร์ดที่มาประชุมกันในเดือนมิถุนายนก็เห็นด้วยว่าต้องการ "คนที่มีแนวคิดใหม่ๆ เข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับบริษัท"
บิล เกตส์ ซึ่งเป็นประธานบอร์ดนั้นสนับสนุนการเกษียณอายุของบัลเมอร์ ถ้าหากมันช่วยการันตีว่าไมโครซอฟท์จะประสบความสำเร็จในอนาคต และเขาระบุว่าเข้าใจบัลเมอร์เป็นอย่างดีว่าการออกจากไมโครซอฟท์ที่ทำงานมาตลอดชีวิตนั้นเป็นเรื่องยากมาก
เดือนสิงหาคม ที่ประชุมบอร์ดรับแผนการเกษียณอายุของบัลเมอร์อย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นบัลเมอร์ยังทำงานอยู่ตามปกติ ตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ทั้งการซื้อกิจการมือถือของโนเกีย และการวางขายสินค้าใหม่ทั้ง Surface 2 และ Xbox One
บัลเมอร์ระบุว่าเขาจะไม่เป็นซีอีโอของบริษัทขนาดใหญ่อีก ส่วนอนาคตจะทำอะไรขอพักก่อน 6 เดือน และอาจไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยหรือเป็นโค้ชทีมบาสเก็ตบอลของโรงเรียนลูกชายแทน เขายังมีหุ้นของไมโครซอฟท์ก้อนใหญ่ที่ยังไม่คิดจะขายออกไป
เขาบอกกับผู้สื่อข่าวของ Wall Street Journal ว่าบางทีเขาอาจเป็นสัญลักษณ์ของไมโครซอฟท์ยุคเก่า และถึงเวลาที่เขาต้องไปสักที (Maybe I'm an emblem of an old era, and I have to move on)
ที่มา - Wall Street Journal
Comments
ทำทุกอย่างเพื่อ MS แม้กระทั่งการลงจากตำแหน่ง T T
นับถือลุงเลยครับ ลุงเป็นสัญลักษณ์ของการเสียสละให้องค์กร
อย่างกับหนวดขาว
หล่อจัง
น้ำตาจะไหล :'(
อ่านไปครึ่งนึงน้ำตาจะไหล ฮือ ลุงงงงง
"With the first link, the chain is forged. The first speech censured, the first thought forbidden, the first freedom denied, chains us all irrevocably."
อ่านไปแล้วน้ำตาจะไหล T_T
น้ำตาจะไหล T_T
Coder | Designer | Thinker | Blogger
หล่อมากกกกก. T T
หล่อฝุดๆ
อยากจะเห็น MS ยุคทำงานร่วมกันจริงๆ ดูตามแนวสินค้าแล้ว MS น่าจะไปได้ไกลกว่านี้มาก เสียอย่างเดียวสินค้าทำงานร่วมกันไม่ค่อยเวิร์ค (เมื่อเทียบกับ Google)
ลักษณะการทำงานร่วมกัน สมัยก่อนมันทำได้ยากนะ ผมว่าเพราะอเมริกามีกฏหมายป้องกันการผูกขาดอยู่ ที่ทำให้เวลาบริษัทๆหนึ่งใช้ความได้เปรียบในวงการหนึ่ง มาสร้างจุดเด่นในอีกวงการหนึ่ง จะมีสิทธิผิดกฏหมายได้
แต่นั่นมันสมัยเก่าแล้ว เพราะถ้ามองแบบนั้น ทั้งกูเกิ้ล ทั้งแอปเปิ้ลก็โดนกันถ้วนหน้า สมัยนี้การกระทำแบบนั้นนอกจากจะทำได้แล้ว ยังต้องทำให้ไวอีกด้วย
แนวบริหารบริษัทแบบSilo มันใช้ไม่ได้ผลในสมัยService+Deviceแบบนี้แล้ว
ทำทุกอย่างเพื่อให้องค์กรที่ตัวเองรักสามารถไปต่อได้ในอนาคต แม้กระทั้งสละตำแหน่งตัวเอง เป็นคนที่น่านับถือมากๆ
ผู้นำที่แท้จริง T_T ยอมเสียสละส่วนตัวเพื่อส่วนรวม
เยี่ยม เป็นระบบมากๆ เห็นภาพชัดเลย และเพิ่งเคยอ่านเรื่องเกษียนของ ceo แบบเป็นขั้นตอน เคยห็นแต่ปลดกันปุ๊บบั๊บ :)
คนๆนี้หายเใจเข้าออกเป็นไมโครซอฟเลยครับ ความรักต่อบริษัทนี่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ
+1 เห็นว่าถึงเวลาตัวเองต้องออกก็ออกแม้ไม่เคยสัญญาอะไรไว้ พอหันไปมอง CEO HTC
CEO ไมโครซอฟท์แต่ละคนที่เกษียณออกไปนี่สุดยอดจริงๆ แฮะ (ถ้าเรื่องราวที่ทำให้ออกไปเป็นจริงนะ)
อ่านแล้วรักลุงจุงเบย ไม่ยึดติดกับตำแหน่ง และทุ่มเทให้กับองค์กรณ์ผย่างแท้จริง
แต่พออ่านบทความนี้ทำให้เห็นวิสัยทัศน์ของว่าที่ CEO สองคน
คนนึงถ้าได้เป็นจะขาย Bing และ Xbox ส่วนอีกคนจะโฟกัสไปที่ทีมเวิร์ก ผมชอบวิสัยทัศน์แบบหลังนะ
บริษัทยิ่งมีปัญหายิ่งต้องร่วมมือกัน และช่วยกันฝ่าวิกฤต
แม้ว่าคนหลังจะไม่ถูกถามตรงๆ อย่างคนแรก
แต่วิสัยทัศน์แบบนี้ ลูกน้องรักตายเลย ถ้าได้เป็น CEO จริงๆคงดีไม่น้อย
หวังว่าคนต่อไปที่เข้ามาจะมี Passion แบบเดียวกันครับ
ปล. ส่วนที่ผมชอบสุดคือ Mouse & Keyboard ครับ เป็นส่วนที่ Microsoft ทำได้ดีมากเลยครับ Sidewinder ด้วยครับ เป็นแฟนคลับ Mouse ยี่ห้อนี้ที่สุดครับ
ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
ผมอยากให้ Microsoft มาช่วยออกแบบ Magic Mouse ให้ Apple ใหม่มากเลยครับ คือสวย ใช้ดี แต่จับโคตรจะไม่ถนัดเลย
บางทีก็ชอบ Mighty Mouse มากกว่า
เห็นด้วยอย่างแรกค่ะ จับไปนานๆ ปวดมือมาก ชอบเจ้าหนูมีหางมากกว่า
อ่านเม้นแล้วรู้เลย bn เป็นแฟนบอยค่ายไหน :-D
ข้อเสียของ MS ใน BN คือแฟนบอยกระจัดกระจายมากเลย
MS สาย XBOX
MS สาย WP
MS สาย Windows 8 (8.1) + Office
กับเรื่องประหลาดคือ ถ้าไม่ป้อมอวย ก็เป็นฝ่ายถล่ม MS เสียเอง (ข้อหา "ไม่ได้ดังใจ")
คนขี้ลืม | คนบ้าเกม | คนเหงาๆ
+1 แต่ลืมสาย Windows RT ไปอีกสายนึงนะครับ 555
ส่วน Bing นี่คาดว่าคงไม่มี :p
งั้นผมอยู่ฝั่งนี้ละกัน =..=
"ถ้าไม่ป้อมอวย ก็เป็นฝ่ายถล่ม MS เสียเอง (ข้อหา "ไม่ได้ดังใจ").."
ยังมีสาย Server, Dev tools อีกนะครับ แถมใช้ไปด่าไปด้วย :P
ผมเป็นสาวกไมโครซอฟท์ ประเภทครอบจักรวาลครับ :3
ปล. แต่เล่น Ingress ฮา
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
"ตรรกะวิบัติแบบเหมารวม" (Fallacy of relative to absolute) เป็นการใช้หรือนำมุมมองที่มีต่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งแล้วไปสรุปว่าภาพรวม กลุ่ม บุคคลหรือเหตุการณ์อื่นใดมีลักษณะคล้ายๆ กัน และมักจะนำมาซึ่ง "ตรรกะวิบัติแบบโจมตีที่ตัวบุคคล" (Argumentum ad Hominem) ต่อมาในภายหลัง ในเชิงวิชาการแล้ว ถือว่าข้อความดังกล่าวเป็น "มายาคติ" (Myth)
+1
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
ผมเป็นสาวก open source ครับ เกลียด MS ยิ่งกว่าไส้เดือนกิ้งกือ
Opensource - Hackintosh - Graphic Design - Scriptkiddie - Xenlism Project
เป็นผู้บริหารที่น่านับถือมาก
Opensource - Hackintosh - Graphic Design - Scriptkiddie - Xenlism Project
หนวดขาว ชัดๆ
งั้นต่อไปคงเป็นยุคของ หนวดดำ ... ชักจะน่ากลัว
ถ้าบังยีรับ "ผมเป็นสัญลักษณ์ของยุคเก่า และถึงเวลาต้องไป" ฉลองทั่วประเทศ
ไม่น้ำตาไหลหรือครับ
ดีใจจนน้ำตาไหล?
A smooth sea never made a skillful sailor.
ผมว่าต้องมัแฟนบอลออกมาฉลองจริงๆนั้นแหละ
อ่านพาดหัวแล้วนึกถึงผมบนหัวคุณลุงตามภาพ...อ่านเนื้อหาแล้วซึ้ง!
ชื่อ : Not Available at this Moment (N/A)
สุดยอดครับ
ผู้นำไม่ยึดติด
หวังว่า 6 เดือนที่พักผ่อน คงมาเที่ยวไทย และได้บรรยายในมหาลัยบ้างนะ
ถึงแม้ มือถือผมจะไม่ใช่ของ MS แต่ ขนาดmac ผมยังลงwin8 และ ผมก็เป็น dev .NET ตลอดไป
"Qi Lu ผู้บริหารฝ่ายออนไลน์ (คุม Bing) ส่งรายงานความยาว 56 หน้ามาให้บัลเมอร์"
"ซึ่งเขาร่างขึ้นกว่า 40 ฉบับที่มีแนวทางการเล่าเรื่องต่างกันไป"
...พวกยุดเดิมนี่สงสัยออกมาเขียนหนังสือขายยังชีพได้เลยสินะ...มั้ง
ก็คงไม่ได้ทำคนเดียวละมั้งครับ
หล่อมากจริงๆ สุดยอดเลยครับ
นึกถึงหนัง The Waste Land ของญี่ปุ่นเลย (สร้างจากเรื่องจริง)
-
เป็นสาวก Microsoft สาย Mouse .. ใช้ Mouse Microsoft ตลอดๆ ;)
นับถือจริงๆ ผู้นำที่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ชอบใจตรงที่ส่งรายงานมา 60 หน้า ผมขอ 3 หน้า อันนี้ผมว่ามันก็บอกถึงธรรมเนียมปฏิบัติแบบเดิมของ Microsoft ได้ดี ถ้าตัวเองเอาไม่อยู่ก็ยอมรับและหลีกทาง เพื่อให้องค์กรได้ไปต่อ นับถือครับคนแบบนี้
น่าเสียดายนะครับที่ออกไป แต่ MS ต้องพัฒนาระบบให้ใหม่ ไม่งั้นตาม Google ไม่ทัน ข้อนี้เห็นด้วยครับ
ขอให้การตัดสินใจถูกต้องนะฮะ :)
เสียดายที่ คนรุ่นใหม่ใน microsoft หลายๆ คนที่น่าจะสร้าง MS ยุคใหม่ได้ ก็ลาออกไปแล้ว
เสียดายสุดๆ ก็ J. Allard เนี่ยแหละ ไม่น่าหลวมตัวไปทำ kin เลยพับผ่า
เลยเป็นข้ออ้างบีบให้ออกเลย