เว็บไซต์ Fortune เผยเบื้องหลัง Facebook ซื้อกิจการ Oculus VR ว่า Mark Zuckerberg ใช้เวลาเพียง 1 สัปดาห์ในกระบวนการซื้อกิจการทั้งหมดของ Oculus
เรื่องเริ่มจากช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว Zuckerberg โทรไปคุยกับ Brendan Iribe ซีอีโอของ Oculus เพื่อสนทนาถึงอนาคตของวงการ VR และ Iribe ก็อาสาจะบินไปหา Zuckerberg เพื่อโชว์ต้นแบบของ Oculus Rift ให้กับผู้บริหารของ Facebook ได้ทดลองใช้
เดือนถัดมา Iribe เชิญ Zuckerberg ไปเยี่ยมสำนักงานของ Oculus เพื่อโชว์ต้นแบบแว่นตัวใหม่ ซึ่ง Zuckerberg ประทับใจมาก (เขาใช้คำว่า "one of the coolest things I've ever seen in my life") พร้อมถามทีม Oculus ว่าเขาจะช่วยอะไรได้บ้าง
ทีมงาน Oculus บอกว่าอุปสรรคที่สำคัญคือการสร้าง ecosystem และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อมารองรับ ซึ่ง Zuckerberg ก็บอกว่า Facebook มีประสบการณ์เรื่องการสร้างแพลตฟอร์มและผู้ใช้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ Oculus ยังต้องการระดมทุนอีก 500-1,000 ล้านดอลลาร์เพื่อนำไปสร้างฮาร์ดแวร์ (ฮาร์ดแวร์ปัจจุบันสร้างจากชิ้นส่วนของโทรศัพท์ ซึ่งไม่เวิร์คในบางประเด็น) และ Zuckerberg ก็บอกว่า Facebook สามารถช่วยเรื่องนี้ได้
ตอนแรก Oculus ไม่สนใจขายกิจการมากนัก อยากอยู่เป็นอิสระมากกว่า และ Facebook ก็ไม่เคยยื่นข้อเสนอซื้ออย่างเป็นทางการมาเลย แต่หลังจากมีข่าว Facebook ซื้อ WhatsApp ออกมา ทีมงาน Oculus ก็เริ่มตระหนักว่า Zuckerberg เอาจริง
เดือนมีนาคม 2014 หลังข่าวซื้อ WhatsApp ไม่นาน Zuckerberg เชิญทีม Oculus มารับประทานอาหารเย็น เขานำเสนอวิสัยทัศน์ของ Facebook ว่าจะใช้ Oculus เป็นแพลตฟอร์มยุคหน้าที่มาแทนหน้าจอ 2 มิติแบบเดิม หลังจากคุยกันประมาณ 2-3 วัน Zuckerberg ก็ยื่นข้อเสนอซื้ออย่างเป็นทางการ จากนั้นทีมกฎหมายของทั้งสองบริษัทก็ทำงานเรื่องสัญญาและข้อตกลงต่างๆ โดยกระบวนการซื้อกิจการทั้งหมด (นับตั้งแต่ Zuckerberg โทรไปชวน) ใช้เวลาทั้งหมด 1 สัปดาห์พอดี
ที่มา - Fortune
Comments
คือเดินไปบอกว่าให้ราคาพันล้านก็มือสั่นกันหมดแล้วมั้งครับ
เรื่องธรรมดาของนักวิจัยนะ ผมว่า
ผลงานกำลังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและพัฒนา ซึ่งขั้นตอนนี้มันไม่ทำให้เกิดกำไร
ตัวเงินก็ยังไม่เห็น ตลาดก็ยังไม่รู้
เพราะงั้นถึงต้องดิ้นรนระดมทุนเอย หาสปอนเซอร์เอย กันจ้าละหวั่น
การที่มีสปอนเซอร์ หรือมีคนมาซื้อโปรเจค อย่างน้อยก็การันตีเรื่องค่าใช้จ่ายได้
เอาเวลาไปลงให้กับการวิจัย ค้นคว้า สร้างสิ่งประดิษฐ์ได้เต็มๆ
แล้วผู้บริโภคก็มั่นใจได้ว่า ไม่มีการล้มหายตายจากไปกลางทางแน่นอน
ใช่ครับ ที่ผมจะสื่อคือยอดเงินมันช่วยให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้นด้วย ได้ราคาพันล้านนี่มีทุนทำต่อกันสบายๆ เลย
และอีกอย่างคือเรื่องของชื่อเสียงด้วยครับ ยิ่งโดนซื้อจากบริษัทใหญ่ ๆ ด้วยแล้ว เพิ่มภาษีในนักวิจัยด้วย :)
เงินมาผ้าหลุด :D
ไม่รู้ดราม่าใน Kickstarter จบไปยัง
อีกหน่อยคงคุยกับเพื่อนในเฟสบุคผ่านระบบ VR เลิศอะ