วันนี้มีข่าวว่ากรมการขนส่งทางบกอาจจะใช้คำสั่งตามมาตรา 44 เพื่อปิดบริการ Uber หากมีการใช้งานจริงก็น่าจะเป็น "ยาแรง" ที่สุดเท่าที่เคยมีมา หลังจากก่อนหน้านี้ไต้หวันเพิ่มค่าปรับการใช้รถรับผู้โดยสารโดยไม่ได้รับอนุญาตจน Uber ยอมถอยออกจากไต้หวันไป
แต่มุมมองของ ลี เซียน ลุง นั้นต่างออกไป เขาพูดถึงมุมมองต่อเรื่องนี้ในงาน National Day Rally เมื่อเดือนสิงหาคม 2016 ที่ผ่านมา
เขายอมรับว่าบริการเรียกรถผ่านแอปอย่าง Uber และ Grab นั้นไม่เสมอภาคกับผู้ัขับรถแท็กซี่เดิมนัก เพราะรถแท็กซี่เดิมมีข้อบังคับ เช่น ระยะทางให้บริการต่อวัน และกฎเกณฑ์อื่นๆ ทำให้ต้นทุนการให้บริการแพงกว่าคนขับที่เรียกผ่านแอปเช่นนี้ แต่เขาก็เตือนคนขับแท็กซี่ว่ายังมีความได้เปรียบเพราะสามารถรับคนจากข้างทางได้ ขณะที่รถที่รอผู้โดยสารผ่านแอปทำไม่ได้
และแม้ว่าในตอนนั้นยังไม่เท่าเทียมกัน แต่รัฐบาลก็จะปรับกฎให้เท่าเทียมกันมากขึ้น โดยมุ่งปกป้องผู้โดยสาร เช่น รถที่ขับต้องมีประกันอย่างถูกต้อง คนขับต้องได้ถูกสอบประวัติล่วงหน้า
กฎหมายควบคุมการเรียกรถผ่านแอปของสิงคโปร์กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภา โดยกำหนดให้คนขับต้องผ่านการตรวจประวัติ และตรวจสุขภาพ ขณะที่ตัวรถต้องมีประกันและมีการติดสัญลักษณ์ให้ชัดเจน
ในแง่ของนวัตกรรม ลี เซียน ลุง ระบุว่าสิงคโปร์ต้องสนับสนุนให้มีการ disrupt อุตสาหกรรมเดิมๆ ต่อไปพร้อมกับช่วยเหลือผู้ที่ปรับตัวไม่ทันให้ปรับตัวตามได้ เขาระบุว่าแอปเรียกรถโดยสารเหล่านี้ให้บริการดีกว่า, และตอบสนองได้รวดเร็วกว่า เพราะแอปเหล่านี้สามารถวิเคราะห์รูปแบบการเดินทาง และปรับค่าโดยสารได้ตรงกับความต้องการของรถและปริมาณรถโดยสาร
เขายังระบุว่าแม้ว่าแอปอย่าง Uber และ Grab จะมา disrupt อุตสาหกรรมรถโดยสารเดิม แต่ในรอบต่อไปแอปเหล่านี้เองก็อาจจะถูก disrupt โดยรถไร้คนขับเช่นกัน
บทความโดย Terence Lee ในเว็บไซต์ Tech In Asia วิเคราะห์ไว้ว่าสำหรับสิงคโปร์แล้ว Uber ไม่ได้ส่งผลต่อคนขับแท็กซี่โดยทั่วไปซึ่งเป็นฐานเสียงเลือกตั้งนัก แต่คนที่เสียประโยชน์จริงๆ คือบริษัทแท็กซี่ที่คิดค่าเช่ารถกับคนขับในราคาแพง การตัดสินใจเปิดทางให้แอปเรียกรถเหล่านี้จึงสมเหตุสมผลกับรัฐบาลสิงคโปร์
ที่มา - Strait Times
Comments
วันนี้มีข่าวว่ากรมการขนส่งทางบกอาจจะใช้คำสั่งตามมาตรา 44 เพื่อ"เปิด"บริการ Uber -> น่าจะพิมพ์ผิดนะครับ เนื้อข่าวในลิงค์ เป็นปิด น่าจะเป็น ปิด
ฮ่าๆๆ เศรษฐีที่ไหนจะมาขับรถให้คนนั่งครับ ยกเว้นจะไปเช่าจากบริษัทแท็กซี่มาอีกที
คนจะมีรถส่วนตัวได้ในสิงคโปร์น่ะ ระดับ Lead developer ยังไม่มีเคยครับ ไม่รวยจริงไม่มีรถส่วนตัวขับหรอกครับ แต่ถ้ามาอยู่ไทย เค้าคงซื้อรถได้หลายคันอยู่
เอ อัตรารถยนต์ต่อประชากรเขาก็ไม่ได้ต่างจากเราขนาดนั้นนะครับ ของเรา 206 คันต่อ 1000 คน ของเขา 149 คันต่อประชากร 1000 คน
lewcpe.com, @wasonliw
ผมว่าเขาหมายถึงการมีรถคนรวยมั้งครับ ถ้าเทียบชั้นของรายได้ของผู้ครอบครองรถ ผมว่าตัวเลขอาจห่างกันเป็นกิโลเลย บ้านเราคนรายได้ไม่มากก็มีรถ ส่วนคนรายได้ดีมีรถทุกคน สิงคโปร์คนรายได้มากอาจยังไม่ค่อยมีรถ
ยังไงครับ
หมายถึงคนรวยบ้านเขามีรถเฉลี่ยต่อคนมากกว่าบ้านเราหรือครับ รถเลยไปกองอยู่กับคนรวยหมด???
lewcpe.com, @wasonliw
เค้าน่าจะหมายถึงค่าใช้จ่ายในการมีรถหนึ่งคันมันมากกว่าบ้านเราเยอะน่ะครับ ไม่เหมือนบ้านเราที่รถมือสองรถเก่ายังไงก็วิ่งได้ปกติไม่ต้องจ่ายภาษีต่าง ๆ เหมือนสิงคโปร์ มีการคำนวนออกมาสำหรับค่าใช้จ่ายต่อรถ 1 คัน สำหรับ 10 ปี (ไม่รวมค่าซ่อม ค่าน้ำมัน) ตกอยู่ที่ เกือบ ๆ 3.5 ล้านบาทไทย สำหรับ Toyota Altis 1 คัน ที่ต้อง 10 ปีเพราะต้องมีใบอณุญาติครองครองรถด้วยใบอณุญาติมีกำหนด 10 ปี และต้อง Bid กันด้วยเพราะออกให้เดือนนึงไม่เยอะ
https://www.gobear.com/sg/blog/detail/How-Much-Does-A-Car-Really-Cost-In-Singapore-
ถ้าเทียบกับบ้านเรา ซื้อรถมาแล้วก็จบ ค่าภาษีป้ายทะเบียน ค่าประกัน 10ปี รวมราคารถแล้วไม่ถึงล้าน
เพราะงั้นรถคันนึงก็จะมีรายจ่ายอย่างน้อย ๆ ก็ 3.5แสนบาทต่อปี ก็ต้องรวยในระดับนึงไหนจะค่าจอดรถอีก
และระบบขนส่งมวลชนเค้าก็ค่อนข้างดี คนธรรมดาเลยไม่ได้อยากซื้อรถเท่าไร
แต่ไอเรื่องที่คนรวยคงไม่อยากจะมาขับรถให้คนทั่วไปนั่งนี่ผมไม่ออกความเห็นนะ ผมออกความเห็นแค่ คนมีรถที่สิงคโปร์ได้นี่ต้องรวยแน่ ๆ (อย่างน้อยก็ในสายตาผม)
บ้านเราเอาจริง ๆมีเงินซื้อรถมือสอง แสนนึงก็ได้รถมาขับละ เงินเดือนหมื่นนึงก็ผ่อนรถได้ละ ประกันชั้น 3 ไม่กี่พันต่อปี ค่าใช้จ่ายในการมีรถต่อปีไม่เกิน 5 หมื่น ต่างกันเยอะอ่ะครับ
คิดว่าตัวเลขน่าจะคลาดเคลื่อนนะครับ ของสิงคโปร์ ปี 2016 มีประชากร 5.6 ล้านคน รถยนต์ 5.5 แสนคัน (ที่มาจากdept of stat, singapore)
ก็ตกประมาณ 100 คันต่อ 1000 คน น้อยกว่าของไทยประมาณครึ่งนึง
ปล Lead Dev ที่สิงคโปร์ เงินเดือนน่าจะไม่ต่ำกว่า 7,000 นะ น่าจะซื้อรถไหวอยู่
ผมไม่ได้ละเอียดขนาดนั้นหรอกครับ ขออภัยที่ไม่ได้อธิบายให้ชัดเจน ผมก็แค่ทำงานที่สิงคโปร์ แล้วผมก็นั่งคุยกับ Lead Developer แล้วก็ถามเค้าว่าทำไมตึกที่เราทำงานตั้งใหญ่มีรถจอดอยู่แค่ 5 คัน แค่นั้นแหละ เค้าก็ร่ายยาวๆมาเลย ว่าจะมีรถได้เนี่ย ต้องมีรายละเอียดอ่ะไรยังไงบ้าง ต้องรวยขนาดไหน ต้องมีภาษีอ่ะไรต่อมิอะไรบลา บลา บลา แล้วก็ถามเค้าว่าเค้ามีรถมั้ย เค้าบอกว่าเค้าไม่มีหรอก เนื่องจากเหตุผล บลา บลา บลาที่เค้ากล่าวมานั่นแหละ แถมเกาะก็แค่นี้ รถไฟใต้ดินก็ไปได้ทุกที่ เค้าอยู่แบบนั้นก็ได้ อยากประหยัดตังวันหยุดก็แค่ข้ามไปมาเลเซีย
ผมเป็นพวกที่ไม่ค่อยชอบหาข้อมูลอ่ะไรมาก ยกตัวอย่างเช่นสิงคโปร์เนี่ย ผมรู้เพราะผมไปทำงาน แล้วก็นั่งคุยกับเพื่อนร่วมงานที่เค้าอยู่ที่นั่น คนเค้าค่อนข้างดูน่ากลัวเคร่งขรึมแต่ใจดีมาก ลองทักดูนี่คุยยาวเลย ได้ข้อมูลกับประเทศเค้าทั้งเกาะอ่ะ เล่าตั้งแต่การเดินทาง แม้กระทั่งพาไปซื้อบัตร EZ-link สาธิตให้ดูเลยว่าใช้ยังไง ผมทำแบบนั้นซะส่วนใหญ่ ไม่เคยมาหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศนั้นเลย กับเมืองอื่นๆอย่างซานฟรานซิสโก หรือนิวยอร์ค หรือเยอรมนีก็เหมือนกัน แต่ดีหน่อยที่ครอบครัวผมอยู่ฟรางเฟิร์ต ก็เลยรอดตายไป
มันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่หรอกที่ไม่หัดเตรียมตัว หัดหาข้อมูลให้รอบคอบ อันนั้นผมรู้ดี แต่คนเราก็ต่างกันถูกมั้ยล่ะ
โอ้ ผมก็เห็นคอมเมนต์แล้วไปหามาถามนี่ล่ะครับ ไม่ได้ค้นอะไรมามากมาย
เท่าที่เห็นคนที่นั่นก็ไม่เห็นใครซื้อรถจริงๆ ล่ะครับ (ต่างจากเมกา) แต่ตัวเลขคนมีรถมันไม่ได้น้อยนักก็แสดงว่ารวมๆ อาจจะไม่น้อยอย่างที่รู้สึกกัน
lewcpe.com, @wasonliw
เมกาเค้าจะค่อนข้างต่างจากสิงคโปร์แบบตรงข้ามเลยครับ ถ้าไปทำงานหรืออยู่ระยะสั้น ส่วนใหญ่จะเลือกเช่ารถใช้เอา ห่างจากสนามบินซานฟรานซิสโกหนึ่งสถานีจะมีออฟฟีสของบริษัทเช่ารถเตรียมไว้เลย แต่ถ้าเป็นคนอเมริกัน อันนี้ซื้อรถแทบทุกบ้านครับ ราคาก็ไม่ได้สูงมากด้วย ตกราวๆ 20k - 30k ผมว่ามันถูกมากๆเมื่อเทียบกับค่าครองชีพของที่นั่น จากที่ดูเหมือนเค้าจะไม่ได้เน้นไปทางขนส่งสาธารณะซักเท่าไหร่ แต่เค้าจะมีรถรางประจำเมืองที่ครอบคลุมทั้งเมือง แต่ระหว่างเมืองก็จะเน้นขับรถเอา เหมือนเค้าไปลงทุนทำถนนดีๆแล้วให้ซื้อรถใช้เอา เพราะในเมืองเค้าก็จะมีถนนที่เผื่อเลนจอดรถไว้เลย เวลาจะจอดก็เสียบบัตรจ่ายตังได้เลย
ส่วนตัวผมอยู่แค่ซานโฮเซ่กับซานฟรานซิสโกครับ ปักหลักอยู่แค่นี้แหละ เส้นซิลิคอน วัลเล่ ที่เจอก็ประมาณนี้หล่ะ เมืองอื่นๆผมว่าอาจจะต่างกันไป ถ้ามีโอกาสก็คงอยากไปทุกเมืองแหละ
เชื่อไหมครับว่า UBER ไม่สนใจจะปรับตัวเองเข้ากับกฏหมายหรอก
อย่างตามบทความ รถต้องติดสัญลักษณ์ UBER น่าจะไม่ยอมทำตาม
ผมไปเมกาขึ้นทุกคันติดป้ายทุกคันเลยครับ
lewcpe.com, @wasonliw
ถ้าไทยถา้ติดตอนนี้คงโดนจับง่ายๆ หรือโดน Taxi เดิมทำร้ายเอาหละครับ หรือถึงจะกลับมาถูกกฎหมายแต่ไม่ถูกใจกฎหมู่ก็น่าจะโดนเหมือนกัน
ลุลีมาเป็นนายกที่ไทยมั้ยครับ
ไปขอเป็นประชากรของเขาน่าจะง่ายกว่านะครับ แต่เขาจะเอาหรือเปล่าอีกเรื่องนึง
ส่วนที่ลุงแกพูดก็ว่าไป แต่ uber จะเอาด้วยไหม นี่ก็อีกเรื่องนึงเหมือนกัน
ทำไมวิสัยทัศน์มันต่างกันขนาดนี้เนี่ย ประเทศห่างกันแค่นิดเดียวเอง -_-
uber มันจะยอมทำตามมั้ยล่ะน่ะ ถึงจะเห็นดีด้วยกับบริการแบบนี้แต่หันมันดูที่ตัวคนให้บริการอีกทีมันก็หน้ามีนเหมือนกันนี่หว่า
เดี๋ยวจะโดน Disrupt โดย ม.44
ถามคำเดียวตอนนี้ Uber เสียภาษีเข้ารัฐไหม แต่ในความคิดผม ผมว่าไม่
ไม่เสียครับ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลอยากได้มากๆ
lewcpe.com, @wasonliw
ผมคิดว่ารัฐอยากได้ภาษีจากธุรกิจถูกกฎหมายที่ยังไม่สามารถจัดเก็บได้เป็นปกตินะครับ
That is the way things are.
ตอนนี้เสียหรือเปล่าไม่รู้เหมือนกันครับ แต่รูปแบบภาษีแตกต่างกันแน่นอน ปกติภาษีของกิจการขนส่งจะอยู่ที่ 3% ของรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายครับ
ส่วนภาษีที่ Uber เป็นอยู่คือบริษัทวิจัย IT นั้นเสียจากกำไรสุทธิครับ และกิจกรรมที่เข้าข่ายกิจกรรมวิจัย(ซึ่งไม่รู้ว่ากิจกรรมใดบ้าง) จะสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ถึง 200% ครับ
ดังนั้นหาก Uber ดำเนินการทุ่มตลาดจนขาดทุน(หรือหักนู่นหักนี่แล้วไม่ต้องจ่ายเช่นวิจัย)แล้ว แทนที่ Uber จะเสีย 3% จากรายได้ ก็กลายเป็นไม่ต้องเสียครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
เรามีทุกอย่างที่จะ disrupt เทคโนโลยีใหม่ๆ ให้มาเข้ากับวัฒนธรรมการทำงานแบบเดิมๆ ครับ