Apache Spark กลายเป็นซอฟต์แวร์มาตรฐานในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่แบบเรียลไทม์ แต่ภาษาโปรแกรมที่เชื่อมต่อกับ Spark ได้ยังจำกัดอยู่แค่ภาษา Java, Python, Scala, R, SQL เท่านั้น
ไมโครซอฟท์จึงเอาใจชาว .NET ด้วยการเปิดตัว .NET for Apache Spark เพื่อให้สามารถใช้ภาษาตระกูล .NET (C#, F#) เชื่อมต่อกับ Spark ได้ด้วย
.NET for Apache Spark เป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส เปิดโค้ดบน GitHub ทำงานข้ามแพลตฟอร์มได้ทั้งบนวินโดวส์ ลินุกซ์ แมค โดยตอนนี้ยังอยู่ในสถานะพรีวิว ต้องใช้ร่วมกับ .NET Core 2.1 ขึ้นไป
ไมโครซอฟท์อธิบายยุทธศาสตร์การพัฒนาภาษาโปรแกรม .NET ทั้งสามตัว ได้แก่ C#, Visual Basic และ F#
ที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ใช้นโยบายให้ความสำคัญกับ C# และ Visual Basic เท่ากัน มีฟีเจอร์ใหม่ทัดเทียมกัน แต่รอบนี้ ไมโครซอฟท์บอกว่า C# ถือเป็นภาษาโปรแกรมกระแสหลัก จับตลาดกว้างกว่า ในขณะที่ Visual Basic เน้นการใช้งานสำหรับภาคธุรกิจ การสร้างแอพพลิเคชันบนวินโดวส์ และเป็นภาษาฝึกหัดสำหรับคนเริ่มเขียนโปรแกรม ส่งผลให้ต่อจากนี้ไป C# จะถูกให้ความสำคัญมากเป็นอันดับหนึ่ง ในขณะที่ VB 15 จะได้ฟีเจอร์ใหม่บางอย่าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมดเท่ากับ C# 7.0 ได้
ส่วน F# เป็นภาษาใหม่ที่ยังมีความสามารถหรือประสบการณ์ใช้งานไม่ทัดเทียม C# กับ VB แต่ก็มีจุดเด่นที่ชุมชนเข้มแข็ง ใช้งานได้หลากหลาย เป้าหมายของไมโครซอฟท์ใน F# 4.1 จะพัฒนาเครื่องมือสำหรับ F# ให้ดีขึ้น ทำงานร่วมกับ Visual Studio และ .NET Core/Standard ได้ดีขึ้น
ทิศทางการพัฒนา .NET ของไมโครซอฟท์ในรอบปีที่ผ่านมาคือ โอเพนซอร์ส .NET บางส่วน แล้วพัฒนาให้ทำงานแบบข้ามแพลตฟอร์มได้ ภายใต้ชื่อว่า .NET Core (หรือพูดง่ายๆ คือมองว่า .NET Core ยังมีสถานะเป็นซับเซ็ตของ .NET Framework)
.NET Core 1.0 (เดิมทีจะเรียก 5.0) ยังมีความสามารถไม่สมบูรณ์เท่ากับ .NET Framework 4.6 ในปัจจุบัน ซึ่งไมโครซอฟท์ก็เผยแผนการพัฒนา .NET Core ในอนาคตไว้ดังนี้
F# เป็นภาษาโปรแกรมมิ่งตัวหนึ่งของ .NET ที่ไมโครซอฟท์เพิ่งรวมเข้ามาใน Visual Studio 2010 เมื่อไม่นานมานี้
ล่าสุดไมโครซอฟท์ประกาศเปิดซอร์สของคอมไพเลอร์และไลบรารีของ F# ด้วยสัญญาอนุญาตแบบ Apache 2.0 (สามารถดาวน์โหลดได้จาก CodePlex)
อย่างไรก็ตามการเปิดซอร์สครั้งนี้ต่างไปจากโครงการโอเพนซอร์สแบบปกติอยู่บ้าง โดยไมโครซอฟท์จะไม่เปิด source tree ของ F# ที่กำลังพัฒนาอยู่ แต่จะปล่อยโค้ดทุกครั้งเมื่อ F# ออกเวอร์ชันใหม่ (ไมโครซอฟท์เรียกวิธีนี้ว่า code drop)
หลังจากอยู่ในศูนย์วิจัยของไมโครซอฟท์มานาน ในที่สุดภาษา F# ก็จะได้รับการผลักดันให้ทำงานร่วมกับ Visual Studio ได้แล้ว
ภาษา F# นั้นเป็นภาษาสคริปต์ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยศูนย์วิจัยของไมโครซอฟท์สำหรับสร้างภาษาแบบ Functional Programming ด้วย .NET ตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งแต่ก่อนทำงานได้กับ .NET SDK เท่านั้น ทำงานร่วมกับ Visual Studio ได้ไม่ดีนัก (ผมเคยลองแล้วครับ ยากมากๆ เลย)
การผลักดันให้มาเป็นหนึ่งในภาษาหลักสำหรับ Visual Studio ทำให้นักพัฒนา .NET มีทางเลือกสำหรับภาษา Functional มากขึ้น
ที่มา - TheServerSide.NET