บริษัท Nasdaq OMX Group ประกาศการลดน้ำหนักของหุ้นแอปเปิล (APPL) ในดัชนี Nasdaq-100 ลงเนื่องจากราคาหุ้นของแอปเปิลไม่สอดคล้องกับสภาพตลาดรวมอีกต่อไป โดยทุกวันนี้หุ้น APPL มีสัดส่วนใน Nasdaq-100 ถึง 20% เมื่อปรับการถ่วงน้ำหนักใหม่แล้วจะเหลือ 12%
การปรับค่าการถ่วงน้ำหนักนี้จะอาศัยราคาหุ้นในวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีอื่นๆ ได้รับค่าถ่วงน้ำหนักเพิ่มขึ้นเช่น อินเทล, ซิสโก้, ออราเคิล, และเดลล์ ส่วนบริษัทอื่นๆ ที่ถูกลดน้ำหนักเช่น Starbucks และ Intuit
หุ้นของแอปเปิลนั้นทะยานขึ้นไปกว่า 50 เท่าตัวในช่วงเวลา 9 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2002 ราคาหุ้นยังอยู่ในช่วง 7 ดอลลาร์ต่อหุ้น แต่ในเดือนกุมพาพันธ์ที่ผ่านมาก็ทำสถิติสูงสุดเกิน 360 ดอลลาร์ต่อหุ้นไปได้ หากดูที่ปี 2010 เพียงปีเดียวหุ้นแอปเปิลราคาเริ่มต้นที่ 200 ดอลลาร์ต่อหุ้นและจบปีด้วยราคากว่า 320 ดอลลาร์ต่อหุ้น หรือผลตอบแทน 60% ต่อปี
ที่มา - PhysOrg
Comments
พาดหัวคำมันแปลกๆรึเปล่าครับ?
อย่างไรก็ตาม ข่าวนี้เป็นข่าวบวก/ลบต่อบริษัทพอควร เพราะแสดงว่านักลงทุนกลุ่มเลียนแบบดัชนีจะลงทุนใน Apple น้อยลง แต่อีกนัยก็เป็นการบ่งบอกประสิทธิภาพราคาหุ้น Apple ที่ผ่านมาได้เช่นกัน :)
ผมไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่าศัพท์คนเล่นหุ้นบ้านเราเรียกการปรับน้ำหนักแบบนี้ว่าอะไร?
ปล. แก้ใหม่ล่ะครับ
lewcpe.com, @wasonliw
ที่เห็นนิยมใช้กันคือ "ปรับลดน้ำหนัก" แปลตามภาษาอังกฤษเลยครับ
เท่าที่ผมฟังเขาจะพูดว่า ดัชนีตลาดหุ้น xxxx ได้ปรับลดน้ำหนักหุ้น yyyy ลง ...สาเหตุ....
มากกว่าจะบอกว่า หุ้นของ yyyy "ถูกปรับลดน้ำหนักลง" ในดัชนีหุ้น xxxx
ความหมายเหมือนกันแต่ความรู้สึกไม่เหมือนกัน แบบหลังจะมีผลต่อการซื้อขายหุ้น
คงจะขึ้นอยู่กับนักข่าวด้วยละครับ
เอ้ย ต๊กใจ ทำไมบรรทัดหลังมันเป็นตัวดำหนา
นักลงทุนปั่นกันบานเลย
กำไรแค่ปีเดียว 60 เปอเซ็น 555+
This changes everything. Again.
ความหนัก/น้ำหนัก = ="
เอาอันไหนดี
ชื่อ : Not Available at this Moment (N/A)
"Starbuck" ตกตัว s ไปนะครับ ต้องเป็น "Starbucks"
ปั่นหุ้น เดี๋ยวหุ้นร่วงน้ำตาก็ร่วงตาม
ราคาหุ้นขึ้น จาก 7 ดอลล์ มา 320 ดอลล์ ไม่ได้แปลว่าหุ้นปั่นเสมอไป
เวลาวิเคราะห์หุ้นไม่ได้ดูจากราคาอย่างเดียวต้องดูจากมูลค่าทางบัญชี และสัดส่วนของผู้ถือหุ้นด้วย
ในปี 2002 ต้องดูว่า apple มีสินค้าอะไร และขายอะไรได้บ้าง
และในปี 2011 ตอนนี้ apple มีอะไร
9 ปีที่แล้ว apple ยังไม่มีอะไร แต่ว่าเริ่มมาแล้วคือ ipod เพิ่งเปิดตัวได้ 1 ปี
หลังจากนั้นถึงทะลุทะลวงวงการเพลงได้
แล้วจึงมี iphone ipad
หากดูจากมูลค่าทางบัญชี จะถือได้ว่า pe ยังไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับบริษัทอื่น ๆ ในหมวดเดียวกัน
ปล. แต่บริษัทประเภทนี้ buffet ไม่ลงทุน เพราะเข้าใจยากและไม่เชื่อใน technology
+1 คนไทยส่วนใหญ่มักคิดว่า หุ้นขึ้น = เจ้าปั่น ฮา....
เห็นด้วยเลยครับ นักลงทุนตัวจริงจะลงทุนในธุรกิจที่ตนเองเชี่ยวชาญ บัฟเฟทไม่ได้เชี่ยวชาญเทคโนโลยี
Apple ผมว่าไม่ปั่นนะ
รอดูหุ้นพวก social network ทั้งหลายดีกว่า ไล่ราคากันไปซะสูง
อาจจะได้เห็นฟองสบู.com รอบสอง
เห็นด้วยครับ เพราะว่าแอปเปิ้ลมีผลงานเป็นที่ประจักษ์จริง ๆ
ส่วนพวก social network มันจะมีมูลค่าสูงอย่างที่เขาว่า ๆ กันจริงหรือ
ปัจจุบันหุ้น Microsoft ซื้อขายที่ P/E ประมาณ 11 เท่า, HP 10, Dell 10, Nokia 12 ส่วน Apple 19 ถ้าถามว่าแบบนี้เรียกแพงไหม ก็ดูที่อัตราการเติบโตของ Apple ว่าจะสม่ำเสมอหรือไม่อยู่ในระดับเท่าไหร่ Apple นั้นเติบระดับ QoQ ดีขึ้นตลอด ซึ่งถ้ามุมส่วนตัวผมก็ถือว่าราคายังแฟร์ๆอยู่ ไม่ได้แพงเว่อร์หรือปั่น หุ้นไทยที่ว่าดีๆหลายตัว P/E แพงกว่านี้ด้วยซ้ำไป จะเติบโตในอัตราระดับ Apple ได้ไหมก็ไม่รู้
ลองไปดูพวก Facebook หรือ Zynga ที่เทรดกันนอกตลาดพวกนั้น ซัดกันเป็น 100 เท่าแล้วครับ
จริงๆสิ่งที่นักลงทุนระดับสถาบันเขาสงสัยใน Apple มากคือวิธีการรับรู้รายได้ทางบัญชีครับ ที่ว่าโตดีโตวันโตคืนจริงๆแล้วมันหมกเม็ดหรือไม่ (มีการเทียบถึงขนาดว่ารูปแบบการเติบโตของ Apple ไม่ต่างจาก Enron เลย) โชคดีว่าผ่าน 4-5 ปีของการเติบโตแบบติดจรวด Apple ยังโชว์ได้ว่าอันนี้น่ะของจริง!
google cisco ไม่ปันผล
intel ms ibm hp ปันผล
google อาจกำลังเตรียมเงินไว้จ่าย oracle
บริษัทไม่ปันผลนี่เขายังคิดอยู่ว่าจะเอาเงินไปทำอะไรครับ อย่าง Cisco นี่นโยบาย Buy and Conquer ดังนั้นจำเป็นต้องถือเงินสดมากๆ เอาไว้ซื้อหน้าใหม่เรื่อยๆ
บริษัทอย่างอินเทลนี่ ซื้อบริษัทเข้ามาไม่บ่อยนัก แถมซื้อแล้ว ลงทุนในโรงงานใหม่ๆ ก็แล้วเงินยังเหลือ ก็จ่ายปันผลออกไปคงดีกว่า
lewcpe.com, @wasonliw
ไม่แปลกก็ Product ของเขาก็แรงจริง ๆ ในระดับ Mass อีกตะหาก อิอ
บ้านเราต้อง Advanc ครับ ปันผล มโหฬาร แถมปันผลพิเศษอีกต่างหาก
แต่ว่าพอลงทุน ดันออกหุ้นกู้ (ฮา)