พรรคประชาธิปปัตย์จัดแถลงข่าวว่าทางพรรคจะทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงไอซีที ให้จัดการเว็บหมิ่นอย่างจริงจัง โดยต้องกำหนดกรอบเวลา, ประสานความร่วมมือกับเจ้าของเว็บในต่างประเทศ, ประสานผู้นำประเทศต่างๆ เรียกผู้ให้บริการมาเจรจา, และสุดท้ายคือการแบนทั้งเว็บ
พร้อมกันนี้พรรคประชาธิปัตย์ยังได้เปิดหน้า Facebook "Fight Bad Web" และเปิดอีเมล FightBadWeb@gmail.com เพื่อรับเรื่องร้องเรียนการทำความผิดตามพรบ. คอมฯ
คนที่ขึ้นแถลง ณ ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์คือ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกุล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีไอซีทีในรัฐบาลที่แล้ว ผู้อ่าน Blognone อาจจะจำกันได้จากการออกแถลงการของเธอ ที่ระบุว่ารัฐบาลควรให้โอกาสกสท. ทำ 3G, ประชาธิปัตย์บล็อกเว็บถึง 25 เท่าของรัฐบาลพรรคพลังประชาชน, และบรอดแบนด์แห่งชาตินั้นสำเร็จแล้ว
หลังการแถลง น.ส.มัลลิกา ยังทวีตอีกสิบข้อความอธิบายการแถลง และขอให้การสื่อสารทำให้ครบถ้วนทั้งสิบข้อความ ผมได้คัดลอกทั้งสิบข้อความไว้ท้ายข่าวแล้ว
จุดสังเกตุในเรื่องนี้คือการที่พรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องให้ประชาชนที่พบเว็บหมิ่นแล้วแจ้งไปนังรัฐบาลแล้วไม่ได้รับการแก้ปัญหาทันท่วงที ให้แจ้งไปยังพรรคประชาธิปัตย์แทน น่าสนใจว่าการกระทำเช่นนี้จะทำได้หรือไม่ในทางกฏหมาย เพราะการส่งข้อความที่ผิดกฏหมายแม้จะส่งไปยังตัวบุคคลนั้นก็ผิดกฏหมายได้ เช่นคดีของนายอำพลที่หมายเลข IMEI เป็นหมายเลข IMEI ที่ใช้ส่งข้อความหมิ่นไปยังนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขานุการส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กรณีนั้นนายสมเกียรติแจ้งดำเนินคดี แม้จะเป็นการส่งข้อความมายังเลขหมายของเขาโดยตรงจนคดีมีการพิพากษาจำคุก 20 ปีไปแล้ว การส่งอีเมลแจ้งไปยังพรรคประชาธิปัตย์นั้นไม่น่าจะได้รับการยกเว้นใดตามกฏหมาย เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
คำแถลง 10 ข้อของ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกุล
Comments
ผมอยากจะบอกว่า "บางคนมีความคิดแบบนี้จริงๆ และเขาอยากจะทำ เพราะด้วยอำนาจที่เขามี เขาสามารถข้ามกำแพงที่ตั้งขวางคนอื่นๆ ได้"
แต่ขอปูเสื่อ ต้มน้ำร้อนรอละกันครับ
I need healing.
ขอตอบไว้ comment แรก จะได้เห็นข้อมูลเพิ่มเติม
ดูคลิป ให้ครบ แล้วจะเข้าใจที่เค้าพูด
http://www.youtube.com/watch?v=DmHInhCe71I
http://www.youtube.com/watch?v=2odXVSSYt8A&feature=related
http://www.youtube.com/watch?v=QyQMpn8sd6Q&feature=related
http://www.youtube.com/watch?v=QBUM6sowrwo&feature=related
รายละเอียดคดีของนายอำพลแบบละเอียด
http://ilaw.or.th/node/1229
อ้างจาก link ข้างบน
เนื่องจากหมายเลขอีมี่ในคดีนี้ตรงกับหมายเลขอีมี่ของโทรศัพท์ยี่ห้อโมโตโร ล่าที่นายอำพลใช้ และรับว่าใช้อยู่ผู้เดียว จึงยากที่จะมีผู้อื่นนำไปใช้ได้ และพบว่ามีการใช้โทรศัพท์เครื่องนี้กับซิมการ์ดสองเลขหมาย ซึ่งจากหลักฐานชี้ชัดว่า ซิมการ์ดทั้งสองหมายเลขถูกใช้ในเวลาที่ใกล้เคียงกัน แต่ไม่เคยถูกใช้งานในเวลาที่ซ้ำกัน จึงเชื่อได้ว่าผู้กระทำความผิดได้นำซิมการ์ดมาสลับใช้อย่างที่เจ้าหน้าที่ ตำรวจตั้งสมมติฐานไว้ นอกจากนี้ข้อมูลการจราจรยังระบุว่าข้อความถูกส่งโดยเซลไซต์ จากย่านที่จำเลยพักอาศัยอยู่ด้วย
SMS 4 ข้อความ ส่งไปมือถือส่วนตัวของบุคคลอื่น เอาคนเข้าคุกได้ 20 ปี ช่วงระยะเวลาพิจารณาคดีไม่ให้ประกันตัว - ไม่เห็นอะไรผิดปกติบ้างหรือครับ?
ข่าวนี้ไปไกลถึง Gizmodo กับ IntoMobile เชียวนะครับ
pittaya.com
อ่านบางความเห็นแล้วเห็นฝรั่งมันลากไกลไปจนถึงด่าคิงของเราเลย เลยปิดดีกว่า
คุณตอบผิดกระทู้มั้ง
ไปดูได้นะครับว่าคนอื่นเขาหักไว้เละหมดแล้ว
ขอบคุณสำหรับรายละเอียด (http://ilaw.or.th/node/1229) นี้ครับ
ชื่อพรรคเป็นประชาธิปัตย์ แต่อนุรักษ์นิยมของแท้เลย = ='
ปล.แต่ยังสนับสนุนนะครับ ถ้ายังเป็นช่องทางตามกฎหมาย ในเมื่อกฎหมายมันบอกว่าผิดก็คือผิด ส่วนเรื่องว่ากฎหมายห่วยก็ต้องไปแก้กัน
May the Force Close be with you. || @nuttyi
โอ้ว ปิดเพจ มันช้านักแบนไปทั้งเว็บเลยสินะ 0
ผมว่าเริ่มจากบล๊อก Facebook และ Twitter ของคนนี้ก่อนเลยดีกว่า..
รัฐบาลก่อนผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนะ แต่ผมเบื่อเหลือเกินกับแก๊งบล๊อคเว็บของรัฐบาลชุดก่อน โดยมีฐานบัญชาการบล๊อคอยู่ที่ ศอฉ
...เรื่องหมิ่นหน่ะ ผมไม่พูดหรอก แต่ให้ผมมีปากเสียงในการแสดงความเห็นทางการเมืองบ้างเหอะ
เห็นแล้วอนาถใจจริงๆ บ้านนี้เมืองนี้ จะแสดงความเห็นเรื่องใดๆ ต้องมานั่งดูว่าตรงจริตชาวบ้านหรือเปล่า
เป็นผู้ชมที่ดีละกัน...
บล๊อคได้นะครับ สนับสนุนตามช่องกฏหมาย แต่บล๊อคทั้งเวปนี่มัน.....
เหมือนในหมู่บ้านมีฆาตกร แต่แก้ด้วยการเอานิวเคลีร์บอมทั้งอำเภอ ไรเงี้ยะ
เจ๊คนนี่คุ้นๆ นิ เคยอยู่ใน iTV ที่เคยโดนดูดเสียงตอนจะพูดอะไรสักอย่าง คุ้นมากกก
สงสารตัวเองจังเลย
สงสัยเลยลองค้นหาดู เจอเลย สมัยช่วง ITV -> TITV เลยทีเดียว
ส่วนเรื่องแบนนี่ปลงละ ทำใจได้เสมอ :') แต่การทำแบบนี้เราจะเหมือนตัวตลกของโลกเลย (ทำไปไม่มีใครแคร์ เพราะคนที่จะทำ "ผิด" ย่อมหาทางทำผิดที่อื่นต่อ ๆ ไป เพราะต้นเหตุไม่ได้ถูกจัดการ แต่มาจัดการที่ปลายเหตุ)
@TonsTweetings
"ปัญหาต้นตอมีแค่ 2 อย่าง" < ข้อแรกก็ผิดแล้วครับ
ต้นตอที่ว่ามา มันปลายเหตุเสียด้วยซ้ำ
"ห้ามเพลิงไว้อย่าให้ มีควัน
ห้ามสุริยแสงจันทร์ ส่องไซร้
ห้ามอายุให้หัน คืนเล่า
ห้ามดั่งนี้ไว้ได้ จึ่งห้ามนินทา"
จาก - โคลงโลกนิติ
Like กดตรงไหน +1
+100 ครับ อารมณ์ประมาณว่า
ห้ามฉันพูด ฉันก็จะพิมพ์
ห้ามฉันพิมพ์ ฉันก็จะเขียน
ห้ามฉันเขียน ฉันก็จะยังคิด
หากจะห้ามฉันคิด ก็ต้องห้ามลมหายใจฉัน
ยังดีนะครับ ที่ไม่เรียกร้องถึงขนาดว่าให้ปิดกั้นการใช้อินเตอร์เน็ตไปเลย
อ่านยังไงก็เหมือนเป็นการบัฟฝ่ายตรงข้ามทั้งนั้นเลย เรื่องนี้คงต้องดูกันยาวๆ ช่วงนี้เจ๊มัลลิกาแกจับกระแสมันทุกเรื่องจริงๆนะ อันไหนดังได้เค้าแถลงหมด แต่ถ้าเกิดปิดขึ้นมาได้จริงๆนี้ คนตกงานมากเหมือนกันนะ เพราะคนรู้จักของผมทำงานเกี่ยวกับ Social Media ทำงานบนเฟสบุ๊คล้วนๆเลย เยอะมากๆด้วย แล้วนี้ถ้าเกิดปิดไปได้จริงๆ น่าสงสารคนพวกนี้นะจะทำอะไรกิน ปชป.จะช่วยเหลืออะไรพวกเค้ามั้ยนะ ยังไงผมก็มองว่าแก้ที่ปลายเหตุไปหน่อย เพราะช่องทางมันมีมากมายไม่ใช่ว่าแบน Facebook Youtube แล้วจะจบนี้ครับ คนเค้าก็ไปเล่นอย่างอื่นกันได้ Google+ Twitter หรือจะ Youku ส่วนยูทูปถ้าเค้าเอาจริงๆผมว่าเค้าแบนได้อยู่แล้วครับ ดูอย่างวิดีโอ sony ครับ ผมเคยลองตัดต่อเพลงโซนี่ใส่ประกอบภาพสไลด์อัพขึ้นยูทูป ไม่ถึง 24 ชม. โดนลบวิดีโอเฉยเลย มันคงมีอะไรดักอยู่แงมๆ ถ้าเอาจริงๆมันต้องทำได้ แต่เหนืออื่นใดก็พวกเราเนี่ยครับ ต้องช่วยกัน พบเจอก็แจ้งไปทางยูทูปไปเลยครับ ไม่ใช่เห็นแล้วปล่อยผ่าน เป็นล้านๆ view ไม่โดนลบ มันก็สื่ออะไรได้หลายอย่าง
+1 อีกอันนึง คือ เห็นแล้วไม่ใช่เอามาโพสต่อ นั่นแหละคือคุณ เอามาเผยแพร่ต่อ ผิดเหมือนกัน เห็นแล้วแจ้งดีกว่า
ผมว่า ถ้ามันเกิดขึ้นจริง twitter / facebook โดนแบน ผมว่า รัฐบาล นี้ก็ควรจะยอมรับซะบ้างนะครับว่า ว่าไม่มีความสามารถที่จะแก้ปัญหาได้ ก็เลยต้องยอมรับวิธีนี้มาใช้
ถ้าต้องแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้จริงๆ เราก็คงต้องยอมรับกับสังคมโลกด้วยว่าเราจะไม่พยายามเป็นประชาธิปไตยกันแล้ว
pittaya.com
ประชาธิปไตยได้แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย มิเช่นนั้นทุกคนอยากทำอะไรก็ทำได้ ถ้าไม่เคารพกฎหมาย บ้านเมืองก็ไม่ต่างจากบ้านป่าเมืองเถื่อน
ผมว่าคุณหลุดประเด็นล่ะ - -'
ประชาธิปไตยก็มีกฏหมาย เผด็จการก็มีกฏหมาย คอมมิวนิสต์ก็มีกฏหมาย
แต่ลักษณะของกฏหมายก็จะต่างกันไปในแต่ละระบอบการปกครอง
คือทุกคนต้องทำตามกฏหมาย อันนี้ชัวร์อยู่แล้วแหละ แต่ที่เราพูดถึงคือลักษณะของกฏหมายและข้อบังคับไม่ใช่หรือครับ?
กฏหมายต่างหากครับที่ต้องอยู่ใต้ประชาธิปไตย คุณโดนหลอกแล้ว
ไอ้ประชาธิปไตยแต่ต้องอยู่ใต้กฏหมาย มันวาทกรรมหลอกคน ที่ถูกคือประชาธิปไตยต้องมาก่อน และประชาธิปไตยถึงจะสร้างกฏหมายที่เป็นธรรมได้ แล้วประชาธิปไตยถึงจะกำหนดว่า จากนี้ไปต้องยอมรับกติกา
ไอ้กฏหมายเหนือประชาธิปไตย ก็อย่างพม่า จีน หรือเวียตนาม ไง ประชาธิปไตย แต่คนมีอำนาจเขียนกฏหมายวางยาไว้ยังไงก็ได้ ปิดกั้นประชาชนยังไงก็ได้ ให้เข้าทางตัวเอง พอจัดเลือกตั้งก็ชนะเพราะเขียนกฏหมายไว้แล้ว
แต่ประชาธิปไตยบ้านเราก็ไม่เหมือนของคนอื่น
ถ้าจะอ้างประชาธิปไตยต้องเขียนให้เต็มๆน่ะคับ
แต่ผมว่าช่วงนี้เวปแบนี้เยอะแล้วเปิดเผมมากกว่าเมือก่อนแม้ก่อนอยากรู้ต้องหา แต่เดียวนี้ไม่เลยเห็นกันเยอะแยะและเต็มไปหมด
ผมไม่ได้เข้าข้างเขาให้ทำแต่รู้สึกว่ามันเยอะขึ้นมากจริงๆ
ประชาธิปไตยที่แท้จริงไม่ควรจะมีอะไรมาต่อท้ายไม่ใช่เหรอครับ? หรือผมเข้าใจอะไรผิดไป? บ้านเราไม่เหมือนคนอื่นอย่างไรครับ?
pittaya.com
55 อ่านแล้วคิดได้เลย เมืองไทยต้องห้ามเรียกว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยจริงๆ
เรียกให้ถูกต้องต้องเป็น "ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"
"ประชาธิปไตย" != "ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"
ดังนั้นกฎหมายที่มีตอนนี้ก็ถูกต้องทั้งหมดแล้วละ เป็นกฎหมายของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ใช่เลย "ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" ครับ
เราเป็นชาวพุทธ (และเป็นคนไทย) ยิ่งต้องเดินสายกลาง ไม่ซ้ายไปหรือขวาไป
ประชาธิปไตย ทำให้กฎหมายเราเอียงไปทางอิสระเสรีภาพ
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทำให้กฎหมายเราเอียงไปทางเผด็จการ
อย่าไปเอาอย่างประเทศเสรีภาพเต็มตัวเลย (คนไทยยังไม่พร้อมยังด่ากันทุกวี่ทุกวัน)
อย่าไปอย่าไปเอาอย่างเผด็จการเต็มตัวเลย (คนไทยยังไม่พร้อมเพราะขาดเฟสบุ๊กไม่ได้)
เรียกว่า ประชาธิปไตยครึ่งใบ หรือ เผด็จการครึ่งใบ ได้ไหม!
ประเทศเราจะได้เป็นที่รักทั้งอเมริกาและจีน ประเทศเราเล็กน่ารักน่าเอ็นดู จะตายไป อิอิ
ผมไม่ค่อยมีปัญหากับการอะไรมาห้อยท้ายครับ เพราะตามลำดับความสำคัญของภาษาไทย ข้างหน้า ต้องสำคัญกว่าข้างหลัง
การมีห้อยท้าย เป็นคำขยาย เป็นการให้ความสำคัญอันดับรองลงมา
ปัญหาคือมีคนชอบมั่วเอาข้างหลัง มาให้สำคัญกว่าข้างหน้า
แต่รถกระบะ ยังเป็นรถ ฉันใดก็ฉันนั้น
"กฏหมายต่างหากครับที่ต้องอยู่ใต้ประชาธิปไตย"
ถ้าประชาธิปไตยอยู่เหนือกฎหมายตามที่คุณว่า งั้นคงไม่ต้องมีกฎหมายแล้วมั้งครับ
เพราะถ้าเป็นตามนั้น ผมอยากต่อยคุณผมก็ทำได้ ถึงจะผิดกฎหมายก็เถอะ อยากทำไรก็ทำ กฏหมายมีไว้ไม่ต้องสน กฏหมายต้องอยู่ใต้ประชาธิปไตย
กฎหมายหมิ่น มันก็เหมือนกัน ต้องการจะระเมิดกฎหมายเพื่อ???
ปล. ผมเห็นด้วยเรื่องการบังคับใช้กฎหมายเรื่องหมิ่น แต่ไม่เห็นด้วยกับการบล็อคทั้งเว็บ มันไร้สาระ เหมือนที่บาง คห. บอก
กฎหมายถูกแก้ไขได้ ตามกระบวนการประชาธิปไตยครับ
ถ้าคุณไปทำผิดกฎหมาย ณ ขณะนั้นๆ ก็ต้องรับโทษไป แต่กฎหมายไม่ใช่อะไรที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ รู้หรือไม่ครับว่ากฎหมายหมิ่นที่คุณเห็นด้วยกับการบังคับใช้ ในยุคสมบูรณาญาสิทธิ์ มีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 3 ปี และต่อมาถูกแก้ไขในยุคนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ที่มาจากการทำรัฐประหารหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 เพิ่มโทษเป็น 3-15 ปี
pittaya.com
อันนี้เห็นด้วยครับ ว่าถ้ามันไม่เหมาะสมก็ต้องมีการปรับแก้
แต่ตอนนี้ในเมื่อกฎหมายระบุแบบนี้เราก็สมควรปฏิบัติตามไม่ใช่หรอครับ
ส่วนเรื่องที่มาของกฎหมายนี้ผมก็เพิ่งรู้จากคอมเมนท์ในข่าวนี้แหละครับ ขอบคุณครับ
อันที่จริง ประเทศที่เจริญแล้วเขายึดหลักกฎหมายธรรมชาติครับ คือกฎหมายเก่าๆสมัยยุคกลางหลายอัน ก็ยังมีผลถึงปัจจุบัน เขาไปไล่แก้ ไล่ยกเลิกทั้งหมดไม่ไหว เลยใช้หลักว่า กฎหมายใดๆจะบังคับใช้ต้องไม่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน(โดยเฉพาะสิทธิมนุึษยชนของแต่ละคนตามธรรมชาติที่ถือว่ามีตั้งแต่เกิด โดยไม่ต้องตราเป็นกฎหมาย) และไม่ขัดต่อรธน.ด้วย
อย่างที่เคยมีข่าวประเทศทางยุโรปฯก็มีคดีหมิ่นฯ แต่ศาลเขาก็ตัดสินให้ใช้การปรับโดยเปรียบเทียบกับคดีหมิ่นฯบุคคลทั่วไป โดยไม่ต้องแก้กฎหมายครับ
ปัญหาของตอนนี้มันก็คือ ผู้มีอำนาจหน้าที่มันไม่ยอมปฏิบัติหน้่าที่ตามอำนาจ นั่นสิครับ
ไม่งั้นคงไม่เอาคนที่เคยโดนหมายจับคดีหมิ่นมาเดินต้อยๆ ตามหลังหรอก :)
เีึคสนั้น ผู้ถูกพาดพิงยังไม่มีแม้แต่ข้อกล่าวหานะครับ มีแต่ึคุณมัลลิกาอ้างลอยๆ ว่าเคยโดนจับกุมลงบันทึกประจำวัน(แต่ไม่มีการแจ้งความ ทั้งๆที่เป็นคดีร้ายแรง?) เป็นการดิสเครดิตทางการเมืองแท้ๆเลย
รับทราบครับ แต่ผมขอแย้งประโยคหลัง "เป็นการดิสเครดิตทางการเมืองแท้ๆเลย" ^^
ไม่จริงครับ
ประชาธิปไตยคือแนวคิดในการปกครองแล้วจากนั้นจึงต้องออกกฎหมายมาให้สอดคล้องกับหลักแนวคิดนี้
ส่วนคุณจะอยากต่อยใครไม่เกี่ยวว่าอะไรจะมาก่อนครับ ขึ้นอยู่กับสามัญสำนึกอยู่แล้วว่าเราไม่ควรทำร้ายและใช้กำลังกับคนอื่นในสังคม คุณเข้าใจคำว่าประชาธิปไตยผิดไป ประชาธิปไตยไม่ใช่ทำอะไรก็ได้ครับแต่หมายถึงทุกคนมีสิทธิพื้นฐานทางสังคมเท่ากันต่างหาก
Blognone = 138.1 news/w เยอะมากๆ
คุณสับสนแล้ว กับคำว่ากฏหมายอยู่ใต้ประชาธิปไตย กับไม่ต้องมีกฏหมาย
ประเทศเราปกครองด้วยระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เรามีกษัตริย์อยู่ใต้กฏหมาย อยู่ใต้ประชาธิปไตย ไม่ได้แปลว่าเราไม่มีกษัตริย์ หรือคุณจะบอกว่ากษัตริย์ประเทศเราอยู่เหนือกฏหมาย?
ไปคิดไตร่ตรองดีๆก่อนเถอะ
และ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การละเมิดกฏหมายหมิ่นเบื้องสูง ปัญหาอยู่ที่กฏหมายหมิ่นเบื้องสูงเองนั่นแหละเป็นประชาธิปไตยรึเปล่า กระบวนการเขียนมันมีความชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตยรึเปล่า การบังคับใช้มีความยุติธรรมตามระบอบประชาธิปไตยรึเปล่า การคงมันไว้มันมีความเป็นประชาธิปไตยแค่ไหน
ซึ่งมันไม่มี ผมบอกได้เลย
ขอบิณฑบาตร คำว่า "คุณสับสนแล้ว", "คุณโดนหลอกแล้ว" เถอะครับ ต่อให้ไม่มีคำเหล่านี้รูปประโยคของคุณก็ไม่ได้ขาดใจความสำคัญอะไรเลย
ผมเคยได้ยินว่า ปกติแล้วการตำหนิเค้าไม่ให้พูดเจาะจงใครนะครับ เค้าให้เน้นไปที่ตัวเหตุนั้น(ไม่ใช่คน)แล้วกล่าวออกมากลางๆให้เจ้าตัวเค้าพิจารณาเองครับ
การเติมคำเหล่านี้มันอาจจะทำให้อีกฝ่ายโต้ตอบด้วยอารมณ์(มากกว่าเพราะเหตุผล)กลับมาแทนนะครับ
ขยันใช้คำพูดดูหมิ่นดูแคลนคนอื่นซะจริง ตัวเองถูกต้องดีทุกอย่างจริงๆ คุณนี่
ผมเข้าใจนะครับ ว่าที่พวกคุณเรียกร้องเพราะมองว่ากฎหมายนี้มันไม่เป็นธรรม ต้องการให้เปลี่ยนก็ว่ากันไป
แต่ในเมื่อขณะนี้กฎหมายกำหนดไว้แบบนี้ ก็ควรปฏิบัติตามไม่ใช่หรอครับ
เหมือนผมไม่ชอบใส่หมวกกันน็อคขี่มอไซต์ แล้วผมเรียกร้องให้ยกเลิกมันซะ โดนผมไม่ยอมใส่หมวก เจอตำรวจ ผมก็ต้องโดนปรับ ก็ต้องยอมรับไป
กฏหมาย ต้อง อยู่ภายใต้ แนวคิดประชาธิปไตย
ถ้ากฏหมายอยู่เหนือ ประชาธิปไตย
อาจมีกฏหมาย ต้องไหว้รูปผู้นำ ทุกครั้ง ก่อน ออกจากบ้าน ละเมิดปรับ 500
และ ประชาธิปไตย มันแปลว่า ใครอยากจะทำอะไรก็ทำ ตั้งแต่เมื่อไร
มันเป็นไปได้ที่ไหน ที่คนส่วนใหญ่ จะเห็นด้วยกับ กฏหมาย ต่อยใคร ก็ได้ ไม่ผิด
กลับกัน ในอีกระบบ สามารถมีกฏหมายให้คนที่คิดต่าง (หรือแค่ต้องสงสัยว่าคิดต่างเพราะไม่ชอบขี้หน้า) อาจถูกต่อย หรือ รุมกระทืบ หรือ ติดคุก ตาย จากเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือ ใครก็ได้
จริงๆ ผมก็ไม่อยากจะออกความเห็นนะ เดี๋ยวต้องมานั่งต่อปากต่อคำ .. แต่พอมานึกว่าบ้านเมืองเรา มีคนออกมาเผาบ้านเผาเมืองบอกว่าใช้สิทธิ์และเรียกร้องประชาธิปไตย กรณีแบบนี้ผมว่ามันเกินไป เลยขอแจมเสียหน่อย
ถ้าพิจารณาให้ดีผมว่า กฎหมายควรอยู่ใต้ความคิดและแนวทางระบบประชาธิปไตย โดยกฎหมายใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยหรือแม้แต่รักษาความเป็นประชาธิปไตย และคนควรอยู่ในกรอบของกฎหมาย(คือข้อห้ามข้อบังคับ - ส่วนข้อไม่ห้ามมันก็ยังมีให้ทำได้นี่ครับ)ครับ ไม่ใช่บอกว่าฉันอยากจะทำอะไรก็ได้แล้วบอกว่าเป็นประชาธิปไตย ระบบประชาธิปไตยมันเป็นแนวทางและเป้าหมายครับ
อยากทราบคนเผาคือใคร? อิอิ
Reply: Invisible Force on 28/11/11 10:31
ใช่ครับ เหมือนที่คุณบอกเลยว่า "ไม่ใช่บอกว่าฉันอยากจะทำอะไรก็ได้แล้วบอกว่าเป็นประชาธิปไตย" เพราะที่ผมเห็นเค้าออกมาชุมนุมก็เพราะมีคนทำแบบนั้นนั่นแหล่ะครับ
"ประชาธิปไตยได้แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย" .. ประโยคนี้อาจจะขาดประธานนะครับ ไม่ใช่ ประชาธิปไตยเป็นประธานของประโยคคือ ประชาธิปไตย.อยู่ภายใต้กฎหมาย
น่าจะหมายถึง: (บุคคลสามารถใช้สิทธิพื้นฐานของ)ประชาธิปไตยได้แต่(บุคคล)ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย (ซึ่งใจความที่ต้องการสื่อคือให้คนเคารพกฎหมาย เหมือนกันครับ)
(อยากให้มองอีกมุมหนึ่ง คือตอนที่ผมฝึกภาษาอังกฤษในช่วงแรกมักจะใช้วิธีแปลความคิดในรูปภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ และสิ่งที่มีปัญหาอย่างหนึ่งคือรูปภาษาไทยของผมมักขาดประธาน ทำให้ภาษาอังกฤษผมมันไม่เข้าใจ)
(T_T)b
เมื่อก่อนเป็นไงไม่ขอวิจารณ์ แต่ 5 ปีมานี้ประเทศไทยเป็นประชา"ปิดถนน"ธิปไตยที่มี
ใครปิดถนนได้เดือดร้อนชาวบ้านมากที่สุดเป็นผู้ชนะ
ริเริมด้วยการอ้างอหิงสาแต่ถูกพัฒนาจนถึงขีดสุดจนกลายเป็นปิดเมืองแล้วเผาทิ้ง (หรือรื้อกระสอบทราบแล้วมาจมด้วยด้วยกัน)
+1
twitter.com/djnoly
โดนใจมากครับ ขอยืมคำนี้ไปใช้ ประชา"ปิดถนน"ธิปไตย
ถ้าคิดจะแบน facebook กับ youtube
ไม่แบน internet ไปด้วยเลยล่ะครับ :P
แก้ปัญหาไม่ตรงเหตุเลย
ทั้งๆ ที่เป็นคนไอที ทั้งๆ ที่แต่ละท่านเสพข่าว ทั้งๆ ที่ทุกๆ คน อ่านเกินคนละ 3 บรรทัด แต่บางคน กลับจับใจความไม่ได้ ว่าที่เค้าสื่อ เค้าจะสื่ออะไร
สิ่งเดียวที่ผมจับใจความได้คือ "เค้าประชด" ครับ
แค่นั้นแหละครับ
แถลง ณ ที่ทำการพรรคการเมือง เรียกนักข่าวทำข่าว ตอกย้ำทางทวิตเตอร์ ขอให้เผยแพร่อย่างครบถ้วน
เค้าประชด??????????
lewcpe.com, @wasonliw
สำหรับผมเค้าประชด แถมหลอกด่าอีก
ถ้า ICT แค่ประสานให้ FB, Youtube ปิดพวกนี้ไม่ได้ ก็ Block FB + Youtube ซะเลย
ทีจับคนแฮกทวิตเตอร์นายก ล่ะเร็วมากๆ
ที่สำคัญ จัดการแค่นี้ไม่ทำ แต่พอใครจะว่านายก ขู่จับขึ้นมาทันที
ประเทศสารขัณฑ์ แห่งประชาธิปไตยกินได้ ที่นี่ที่เดียว
+100 เลยเพราะ ICT รัฐบาลชุดนี้มีผลงานอะไรบ้างที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมยังไม่เห็นสักนิด แต่เรื่องของทวิตเตอร์นายกไวและเห็นผลทันที
ต่างประเทศเค้ามีกฏหมายไม่เหมือนบ้านเรานะครับ???
ไม่ว่าใครก็ประสานไมไ่ด้หรอกครับ เพราะกฎหมายบ้านเขาไม่เหมือนบ้านเรา จะไปฟ้องให้เขาทำตามได้อย่างไร?
เราทำได้แค่มีคำสั่งจากศาลให้ปิดกั้นการเข้าถึง (block) เป็นหน้าๆไป ซึ่งรบ.ที่แล้วคงเคยตัว ใช้คำสั่งศอฉ.ปิดเอาดื้อๆโดยไม่ส่งเรื่องเข้ากระบวนการศาล เลยมาโวยในรบ.นี้ว่าทำไมไม่เลียนแบบ?
ป.ล. เรื่องนายกคือการ hack เข้าถึงบัญชีส่วนตัวนะครับ ไม่ใช่การหมิ่นประมาท จะเปรียบเทียบก็ให้มันอยู่ระดับเดียวกันด้วย
ผมถามจริง ๆ นะ เอาแค่คุณเป็น admin ในบริษัทเล็ก ๆ ซักแห่ง คุณแค่บล็อกเว็บพวกนี้ "ได้หมด" มันทำได้จริงไหม?
ฮาาาา
งั้นคนที่อ่านหนังสือวันละสามแสนบรรทัดอย่างคุณ ลองอธิบายเหตุผลที่ทำให้คุณคิดแบบนั้นมาซักหน่อยสิครับ
เห็นด้วยค่ะ....เขาประชด
ก็ประมาณนั้น เหมือนกัน
ก็อาจจะประชดแฮะ เพราะ Fight Bad Web ก็อยู่บน Facebook ที่ให้แบนทั้งเว็บอ่ะแหละ
ผมก็เห็ด้วยว่าเค้าประชดนะครับ
แต่สำหรับอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้คิดว่าประชดก็ได้ อาจจะคิดว่าเป็นคำแนะนำ แล้วเอาไปใช้จริงๆ -___-)"
เอาอะไรคิด?
รัฐบาลชุดที่แล้ว กระทรวงนี้ ปชป ไม่ได้นั่ง พรรคร่วมดูแล ปชป น้ำท่วมปากทำไรไม่ได้มาก งานเลยไม่คืบมากนัก ... แต่ชุดนี้มันชัดว่าต้องการอะไร ปากอย่างทำอย่างมาตลอด จะไปหวังให้จิงใจคงยาก ก็แก้ตัวไปวันๆ ทำครึ่งๆกลางๆ ... ท่า รบ. จริงจังและจริงใจ ที่จะปกป้องจริงๆ ต้องทำให้ได้ มาอ้างยากแล้วปล่อยไปมันไม่ใช่ ที่เธอแนะนำมาก็ถูก ทำเป็นขั้นเป็นตอน ส่วนเรื่องปิด fb yt คงอีกไกล และเป็นแค่วลีที่ให้คนตื่นตัวมากกว่า
ตรวจสอบข้อมูลก่อนเขียนสักนิดก็ดีนะครับ
จุติ ไกรฤกษ์
ต้องดูน้ำหนักเนื้อหาและเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงหรือเปล่า ถ้าเป็นที่จีน โดนแบนเว็บไปก่อน แล้วค่อยไต่สวน
คิดได้ไง ใหนบอกประเทศประชาธิปไตย แบบนี้มันแก้ปลายเหตุแล้วเจ๊เอ้ย...
1 ในคนที่อ่าน 3 บรรทัด
ก็จริงไหมละแล้วถ้าคิดจะทำแบบนั้นจริงๆ มันใช่เหตุไหม ผมรู้ว่าคุณคิดว่ามันเป็นการประชด แต่มันก็ไม่ควรจะคิดได้แบบนี้ ก็ถึงได้บอกว่ามันเหมือนการแก้ปัญหาปลายเหตุ คิดได้ไงเหมือนมี "โจรในหมู่บ้านแค่หนึ่งคน แต่เล่นเอานิวเครียล์ลงทั้งตำบล"
ไม่รู้เจ๊เค้าคิดอะไรอยู่แหะ ผมยังไม่เคยเห็นผู้นำสองประเทศจะมานั่งเจรจากันเพื่อคุยกันเรื่องบล็อคเว็บเลย มีแต่รัฐบาลสหรัฐจะเรียกร้องให้ยกเลิกการบล็อคเว็บด้วยซ้ำไป ขนาดรัฐบาลจีนเจรจากับ Google รายหลังยังไม่เกรงบารมีเลย
มีพิมพ์ผิดว่า "ประชาธิปปัตย์" อยู่สองสามที่อะครับ
ถ้าจะให้ประชดกันจริงๆ ผมว่าแบนสมองคนไปเลยดีกว่า ตราบใดที่มนุษย์เกิดมามีสมอง ยังไงก็มีคนคิดต่างน่ะ
พออายุได้ 17 ก็ผ่าหัวฝังชิป จบ
ผมว่ารัฐบาลนี้ก็ fail จริง ๆ สำหรับหน้าที่จับคนที่เผยแพร่การหมิ่น ฯ ในที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น facebook หรือ webboard ไหน ๆ แต่แนวทางที่ประชาธิปัตย์เสนอมานี่ก็สุดจนเกินไปไหนต่อไหนอีกเช่นกัน ซึ่งผมตีความแล้วว่าลึก ๆ ทางพรรคเองก็คงไม่ได้ต้องการที่จะ ban facebook หรือ twitter หรอก คงเพียงแค่ต้องการแสดงออกว่ากระบวนการคิดที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหานั้นเป็นอย่างไร อันไหนเป็นขั้นที่ 1, 2, 3 ซึ่งนัยหนึ่งก็แปลได้ว่า "เขากำลังสื่อว่ารัฐบาลนี้ดำเนินการไม่เป็นเอาเสียเลย" มากกว่าและผมว่านี่คือใจความหลักที่เขาต้องการสื่อออกไป
ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมการจัดการกับ web หมิ่น ฯ นั้นมันถึงได้ยากเย็นและใช้เวลานานแบบนี้ทั้ง ๆ ที่บาง page บน facebook เจ้าตัวถึงกับใส่ชื่อนามสกุลและรูปภาพของตัวเองเอาไว้เลยด้วยซ้ำแถมยังบอกอีกว่าเรียนอยู่ที่ไหนพักอยู่จังหวัดอะไร ผมเห็นมานานแต่ก็ไม่เห็นจะมีการดำเนินการใด ๆ กับ page นี้เลยก็คงต้องสรุปว่ารัฐบาลนี้ fail กับเรื่องนี้จริง ๆ
That is the way things are.
ผมว่าข้อมูลพวกนั้นมันก็อาจจะ fake นะครับ ประมาณว่าเอาชื่อใคร,ภาพใคร,ประวัติใครก็ไม่รู้เอามามั่วใส่ กรณีนี้ก็มีเยอะเหมือนกันนะครับ
ผมไม่ได้บอกให้จับเลยโดยไม่ต้องตรวจสอบนะครับ ตำรวจเขาก็ต้องมีขั้นตอนในการพิสูจน์อยู่แล้วว่าจริงหรือไม่จริง ในกรณีนี้ที่มีทั้งรูปและข้อมูลส่วนตัวถ้าปรากฏว่ามันเป็นการนำรูปกับข้อมูลหลอกมาใส่ความ อย่างน้อยก็ยังได้สืบสาวข้อมูลเพิ่มเติมไปอีกว่าคนที่ใส่ความนั้นรู้จักกับเจ้าของรูปตัวจริง เพราะสามารถหารูปเหล่านั้นมาแอบอ้างได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนที่รู้จักแหล่งที่มาของรูปนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็น facebook twitter flikr และอื่น ๆ หรือถ้าสุดท้ายอย่างแย่ที่สุดคือข้อมูลทุกอย่างเป็นการ fake มันก็แค่กลับมาเริ่มสืบสวนใหม่ในแนวทางอื่นไม่ใช่หรือครับ ? มันจะต่างอะไรกับไม่เริ่มลงมือทำอะไรเลย ?
ก็ว่าจะพิมพ์ประเด็นนี้ตั้งแต่รอบแรกแล้วแต่คิดว่ามันคงจะยาวเกินโดยไม่จำเป็น เพราะไม่ว่าอย่างไรก่อนจะจับใครตำรวจเขาต้องพิสูจน์หลักฐานให้ชัดเจนก่อนอยู่แล้วครับ -..-
That is the way things are.
เขาอาจจะกำลังทำอยู่ แต่เราไม่รู้ก็ได้นะ (-_-)
พวกใส่ชื่อ ใส่รูปนั่น ผมเคยเจอว่า แอบอ้างชื่อคนอื่นมาแทนหน่ะครับ ^ ^'
รู้สึกว่ามีน้องคนนึงโดนเอาชื่อ กับรูปมาสร้างเพจหมิ่น เพราะว่าเจ้าตัวเป็นคนแสดงตัว และไปแจ้งความจับเว็บหมิ่นครับ
ผมว่าของพวกนี้ บางทีมันพิสูจน์กันยาก
อีกหน่อยถ้าทำอะไรไม่ได้ก็คงได้ปิดประเทศซินะ - -"
ประเทศไทยแทบจะไม่มีความเป็นประชาธิปไตยแล้วละคับสำหรับผม
แต่จะทำอะไรก็ทำกันไปเถอะ เพราะคนไม่มีอำนาจอย่างผมทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว แค่เอาตัวเองให้รอดกับคนที่ผมรักก็เต็มกลืนละ
ประเทศไทยแทบไม่มีความเป็นประชาธิปไตย? เอาอะไรมาพูดครับ ตอนนี้เพื่อไทยเป็นรัฐบาล โลกได้กลับสู่จุดที่ควรจะเป็นแล้ว ประเทศเราเป็นประชาธิปไตบเต็มขั้น การแสดงออกทำได้เต็มที่
เอาสิ่งที่ผมเห็นมาพิมพ์สิคับ ถามแปลก
เพื่อไทยเป็นรัฐบาล ผมก็หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ คงจะไม่เกิดเหตุเช่นเดิมที่เคยเกิดขึ้นมา เช่น รัฐประหาร ก่อม๊อบ หรืออะไรทำนองนี้ที่เสียงส่วนน้อยชนะเสียงส่วนมาก
การก่อม๊อบ เป็นสิทธิพื้นฐานของประชาธิปไตยครับ ถ้าคุณยังเห็นม๊อบอยู่ก็แปลว่าเรายังเป็น ประชาธิปไตยอยู่ (ควรทำตัวให้ชินกับม๊อบ) ส่วนเสียงส่วนน้อยจะชนะเสียงส่วนมากได้ ก็เพราะปืนกับรถถังครับ (ลำพังแค่ก่อม๊อบ ไม่มีทางชนะได้) ถ้ายังไม่เห็นคนขี่รถถังออกมา ก็พอจะยืนยันได้ว่าเรายังเป็นประชาธิปไตยอยู่ครับ ^^"
การชุมนุมประท้วงจะเป็นสิทธิ์พื้นฐานของประชาธิปไตยก็ต่อเมื่อการชุมนุมนั้นไม่ได้ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของคนอื่นนะครับ ส่วนแบบที่ประท้วงปิดถนนเป็นเดือนนี่ไม่ใช่ประชาธิปไตยแน่นอนครับ
That is the way things are.
เห็นด้วยที่ว่าการชุมนุมต้องไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่นครับ แต่ประเทศไทยยังไปไม่ถึงจุดนั้น (เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะ การชุมนุมส่วนใหญ่จะเกิดจาก การที่ชาวบ้านเดือดร้อนอะไรบางอย่าง เช่น ชุมนุมลื้อกระสอบ หรือเรื่องราคาสินค้าเกษตร ถ้าไม่ทำการปิดถนน ก็จะไม่ตกเป็นข่าว และไม่ได้รับความสนใจจากรัฐบาล)
เราควรจะมีที่ไว้ให้คนก่อมอบประท้วงได้สะดวกใช่มั๊ยครับ คือผมมองว่าก่อม๊อบยังไงก็กระทบกับคนอื่นอยู่แล้วไม่มากก็น้อยยิ่งกลุ่มคนจำนวนมากก็ยิ่งใช้พื้นที่เยอะเป็นธรรมดา แน่นอนคนเดือดร้อนก็ต้องไม่พอใจ การขยับตัวทำอะไรขึ้นมาในสังคมก็จะเกิดผลกระทบเป็นวงกว้างในหลายๆด้านอยู่แล้ว แต่กฎหมายเปิดช่องให้ทำเพราะว่า ประชาชนจะได้มีสิทธิต่อรองกับผู้ปกครองตลอดเวลา หากเค้าไม่เดือดร้อนไม่มีใครอยากออกมากินนอนกลางถนนให้คนด่าแน่ครับไม่ว่าม๊อบไหนๆ ถ้าคุณบอกว่าการปิดสนามบินการยึดรัฐสภานั้นไม่ผิด ผมก็จะบอกว่าคุณใช้เหตุผลแบบสองมาตรฐานเพราะถ้าคิดถึงหลักการแบบที่คุณพูดเหตุการณ์ดังกล่าวก็ละเมิดคนอื่นเหมือนกัน
Blognone = 138.1 news/w เยอะมากๆ
ผมบอกตอนไหนเหรอครับว่าปิดถนนยึดรัฐสภานั้นไม่ผิด เวลาคนเรายกตัวอย่างในประโยคบอกเล่าเราก็คงยกตัวอย่างแค่บางตัวอย่างเพื่อให้เป็นภาพชัดเจนทำความเข้าใจได้ง่ายไม่ใช่หรือครับ ไม่ใช่มีอะไรก็ต้อง list มาให้ครบหมดทุกเหตุการณ์ จะบอกอีกครั้งชัด ๆ เลยก็ได้นะครับปิดสนามบินยึดรัฐสภาก็ผิดครับ
การประท้วงไม่จำเป็นต้องทำให้คนหมู่มากเดือดร้อนเป็นระยะเวลานานแบบนี้เสมอไปครับ ดูการประท้วงจากประเทศเกาหลีญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างก็ได้ บางงานเขาต้องการประท้วงเขาก็รวมตัวกันแจ้งไปทางตำรวจว่าวันนี้จะมีการประท้วง ขอเดินผ่านถนนจากเส้นนี้ไปยังเส้นนี้เพื่อไปถึงที่หมายและจะชุมนุมที่ที่หมายกี่วัน หลังจากนั้นเขาก็แยกย้ายกันกลับครับ แบบนี้แม้คนจะลำบากแต่ก็รับได้ครับ ทำอะไรมีหลักการจริง ๆ ไม่ใช่เรียกร้องหาหลักการประชาธิปไตยแต่ตัวเองละเมิดสิทธิ์คนอื่นเป็นเดือน ทำผิดรัฐธรรมนูญยังไม่รู้ตัวคิดว่าทำผิดแค่พรบ.จราจร
การประท้วงย่อมกระทบคนจำนวนหนึ่งอยู่แล้วครับ มันเป็นไปไม่ได้ที่อยู่ ๆ คนมารวมตัวกันมากผิดปกติอยู่บนถนนแล้วจะไม่กระทบกับใครเลย อย่างน้อยก็กระทบคนที่อยู่แถวนั้นเนื่องจากมลภาวะทางเสียง กระทบคนเก็บขยะเพราะคนชุมนุมคงทิ้งขยะกันมากมาย ดังนั้นข้ามประเด็นเรื่องที่ว่าไม่ต้องกระทบใครสักคนออกไปเลยครับ มันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ควรคิดคือสังคมควรจะปล่อยให้การชุมนุมกระทบกับคนหมู่มากมากน้อยแค่ไหนจึงรับได้ ซึ่งตัวผมเองก็ยังไม่มีกรอบที่ชัดเจนตรงนี้หรอกครับว่ามันเท่าไหนถึงจะพอแต่รู้แน่ ๆ อย่างหนึ่งว่ามันมีวิธีที่ดีกว่าปิดถนนราชประสงค์ใจกลางเมืองเป็นเดือน ๆ แบบนี้แน่นอน สนามหลวง สนามศุภ สวนลุม สวนอัมพร ลานพระบรมรูป มีพื้นที่มีทางเลือกครับ อย่าบอกว่าไม่มี
การที่คนหนึ่งลำบากจนต้องออกมาประท้วงผมเข้าใจครับ แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าการที่คนหนึ่งลำบากจะมีสิทธิ์มาทำให้คนอื่นลำบากไปด้วย ผมเชื่อว่าคนที่มาประท้วงที่คิดว่าลำบากแล้วก็ยังมีคนที่ลำบากกว่าเขาในประเทศไทยอยู่และไม่ได้ออกมาประท้วงครับ ลำบากถึงขนาดที่ว่าไม่มีเวลาออกมาทำอะไรแบบนี้เพราะถ้าไม่ทำงานจะไม่มีข้าวกินไม่มีเงินไปซื้อยามารักษาโรคที่เป็นอยู่ ดังนั้นเหตุผลข้อนี้สำหรับผมฟังไม่ขึ้นแม้แต่น้อยครับ มิเช่นนั้นตรรกะแบบนี้ก็ต้องนำไปใช้กับโจรขโมยวที่ปล้นขโมยเพราะลำบากไม่มีเงินจะกินข้าวเลี้ยงลูกด้วยเหมือนกัน
That is the way things are.
ทำไมเพื่อไทยเป็นรัฐบาลแปลว่า โลกได้กลับสู่จุดที่ควรจะเป็นแล้ว ครับ อธิบายหน่อย
twitter.com/djnoly
จุดที่ควรจะเป็นในโลกนี้คือ คนที่ชนะเลือกตั้งก็ควรเป็นรัฐบาล ไม่ใช่มีอำนาจนอกระบบแทรกแซงโค่นล้มอย่างที่เคยเป็นมา ไงละครับ
ไม่รู้ว่าจะแค่ "ได้เป็น" รัฐบาลรึเปล่าน่ะสิครับ
อนิจจา ประชาธิปไตย
กลับไปสู่ระบบการปกครองแบบกรุงศรีฯอีกครั้งดีกว่า
เสียดาย เพราะระบอบนั้น ผ่านมาแล้ว
และก็พิสูจน์ว่า จะไม่เหมาะกับ ประเทศไทย ในสมัยนี้
จริงๆ ถ้า ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ให้ความรู้ การศึกษากับเรื่องประชาธิปไตย กับ คนไทยที่มีสิทธิ์ออกเสียง
ไม่รีบร้อน อย่างคณะราษฏร์ ทำ ก็คงจะไม่เป็นประชาธิปไตย แบบทุกวันนี้
ประชาธิปไตยแบบทุกวันนี้ คือ "เผด็จการรัฐสภา" เห็นได้ว่า แม้ว่า สส.ทำผิด ก็ไม่สามารถเอาผิดได้ เช่น ประชุม ไม่ไว้วางใจ ก็ ไว้วางใจ ทุกครั้งไป ถึงแม้ จะสวนกระแสความรู้สึกของปรชาชนก็ตาม (ไม่ได้บอกว่า กระแสประชาชน ถูกต้องนะครับ) ถ้านักการเมืองมี จิตสำนึก อย่างประเทศพัฒนาแล้ว ก็ ลาออก หรือ ฆ่าตัวตาย ไปกันหมดแล้ว
+1 สส นี้เหละตัวสำคัญของเรื่องเลย
ผมว่าคุณเข้าใจผิดหลายอย่างนะ เผด็จการรัฐสภา ไม่มีอยู่จริง หลอกให้ชาวบ้านงงเล่น (เพราปกติรัฐบาลต้องมากกว่า ฝ่ายค้านอยู่แล้ว) มันเป็นคำพูดของฝ่ายค้าน ด่ารัฐบาลในกรณีที่ไม่ได้สิ่งที่ต้องการ สส. ทำผิดเอาผิดไม่ได้นี่ก็ไม่จริง เอาผิดได้แต่ต้องอยู่นอกสมัยประชุม (เพราะ สส ถ้าเป็นแบบเขต เป็นตัวแทนของคนประมาณ 1 แสนคน จำเป็นที่ต้องให้สิทธิเข้าประชุมสภาแม้จะติดคดี) ส่วนไม่ไว้วางใจนี่ไม่ใช่ สส แล้วนะ น่าจะเป็นรัฐบาล (ตรงส่วนนี้เห็นด้วย ที่ สส เวลาออกเสียงต้องออกตามมติพรรค แต่ในเรื่องนี้มีความซับซ้อนหลายอย่างที่คุณไม่รู้ เช่น มันแก้ปัญหาซื้อตัว สส รายบุคคลเพื่อให้ออกเสียงให้) ในการไม่ไว้วางใจจึงเน้นให้ประชาชนดู และเป็นผู้ตัดสิน ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป (ซึ่งมันตัดสินได้ว่าประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกยังไง แต่ถ้าความรู้สึกคุณไม่ตรงกับส่วนใหญ่ มันก็ช่วยไม่ได้นะ)
ประเทศประชาธิปไตยที่ใช้รัฐสภาก็เป็นเผด็จการรัฐสภากันหมดแหละครับ ยังไงรัฐบาลก็เสียงมากกว่าฝ่ายค้านอยู่ดี
นักการเมืองที่มีจิตสำนึกแล้วลาออกเองนี่มีตัวอย่างไหมครับ? ที่ผมเห็นก็มีแต่โดนกดดันจากภายในพรรคเองทั้งนั้น
ป.ล. ถ้าจะโทษอดีต ลองดูปี 2490 แทนที่จะเป็น 2475 ดีกว่ามั้ยครับ?
pittaya.com
เผด็จการรัฐสภาไม่มีจริงครับ เพราะถ้าเผด็จการจริงจะต้องออกมาพูดโต้แย้งไม่ได้ แบบตอนลงประชามติ รธน.2550 ที่สั่งห้ามให้ข้อมูลแย้งแก่้ประชาชน ไม่งั้นจะผิดกฎอัยการศึกครับ แต่ถ้ายังออกมาโต้แย้ง มาค้านได้ อันนี้จะเรียกว่าเผด็จการได้อย่างไร?
อ้อแต่รัฐสภาเผด็จการอันนี้มี เพราะอย่างจีนหรือโซเวียตก็มีสภา แต่เป็นสภาที่้ไม่ได้เลือกจากประชาชนครับ ซึ่งระบบนี้ก็เคยมีแม้แต่ในสมัยสมบูรณ์ฯ แต่king มีอำนาจปลดหรือแต่งตั้งได้ตามใจชอบ จึงเป็นเป็นแค่สภาที่ปรึกษาฯเท่านั้นเอง
เผด็จการจริงจะต้องออกมาพูดโต้แย้ง
ไม่ได้ แบบตอนลงประชามติ รธน.2550
ที่สั่งห้ามให้ข้อมูลแย้งแก่้ประชาชน
ไม่งั้นจะผิดกฎ
= ศอฉ
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
งั้น สมาชิกวุฒิสภา เราก็เกือบจะเข้าข่าย
ใช่ครับ สภาที่มาจากการแต่งตั้ง แต่ดันมีอำนาจเท่าๆกับหรือมากกว่าคนที่ได้รับการเลือกตั้ง มันก็บิดเบี้ยวมากแล้วล่ะ
เผด็จการรัฐสภา คือ ประชาธิปไตย ที่แท้จริง
เพราะอำนาจที่เค้าได้ไป เกิดจากประชาชนเป็นผู้ให้ (จึงไม่สามารถ พูดได้ว่า เป็นเผด็จการ)
แต่อำนาจ นั้นเป็นของประชาชน ไม่ได้เป็น ของ สส
หากไม่ได้ทำเพื่อประชาชนแล้ว
เมื่อหมดวาระ ก็อยู่ที่ประชาชน ครับ ว่าจะเอาอย่างไร
อย่างฝรั่งเศส ประธานาธิบดีแม้จะทำผิดแค่ไหนก็ตาม คุณแจ้งความได้ สืบสวนได้ เปิดโปง แฉ หรืออะไรก็ได้ แต่ ไม่มีสิทธ์ ติดคุก หรือ ถูกฟ้องศาล จนกระทั่ง หมดวาระ หรือ ลงจากตำแหน่ง
ซึ่งตอนนี้ ก็เดินเข้าออกศาล กันสนุก
แล้ว"ฝ่ายไหน"ล้มคณะราษฎร?
ลองไปศึกษาดูนะครับ
"With the first link, the chain is forged. The first speech censured, the first thought forbidden, the first freedom denied, chains us all irrevocably."
เรื่องเว็บหมิ่นนี่คงแก้ไม่ได้แล้วล่ะ ในเมื่อฝ่ายนั้นเค้าเป็นเสียงคั่งมาก
ตราบใดที่กฏหมาย ยังมีอยู่ ก็ต้องตามจัดการกันไป ถึงจะเป็นเสียงข้างน้อย (เสียงข้างน้อย ไม่ได้หมายความว่า ผิด หรือ เสียงข้างมาก ไม่ได้หมายความว่า ถูกต้อง)
ครั้นจะบอกว่าเป็นเสียงข้าง (คลั่ง) มาก อันนั้น ก็เป็นกฏหมู่ ไม่ใช่กฏหมาย (เว้นแต่ จะเอากฏหมู่ มาทำเป็นกฏหมายก่อน ถึงจะยอมรับได้)
ไม่อยากให้ถอดใจ อยากให้ช่วยกัน คนละไม้คนละมือ ทำหน้าที่ที่ต้องทำ ของเราต่อไป
วัดยังไงครับ ?
คุณจะ Ban หน้าเพจ คุณต้องมีคำสั่งศาล ครับ รัฐบาลนี้ไม่สามารถ เนียน ด้วยคำสั่ง ศอฉ หรือ คำสั่งกระทรวงได้ครับ เพราะมัน นอกอำนาจ รัฐบาล ซึ่งอาจมีผลให้โดน ยุบพรรค ได้
ตอนที่ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ICT ก็ไม่ได้ทำงานต่างไปจากนี้นี่ครับ
คำถามที่น่าสนใจคือ ทำไมไม่มีข้อเสนอนี้จาก สส. พรรคประชาธิปัตย์ตอนที่ตัวเองเป็นรัฐบาล
แบนไปเลยเลิกใช้ก็เท่านั้นไม่มีเฟซบุ๊ก ยูทูบไม่ตาย
ก็จริงครับ แต่มันเป็นเหมือนการปิดหูปิดตาตัวเอง ในการรับข้อมูลและการติดต่อสื่อสาร ผมว่ามันเสียโอกาสนะครับ ถ้าใช้งานที่ถุกที่ควรเว็บพวกนี้มีประโยชน์มากจริงๆ
ไม่มีรถยนต์ ไม่มีบ้านอยู่ ไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีทีวี ไม่มีโน้ตบุคที่คุณเล่น ไม่มีมือถือ ก็ไม่ตายครับ
ไปอยู่ป่าไหม ผมไปส่งฟรี
ไม่ตายครับ แต่มันจะมีคนที่ล้มละลาย ไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ ไม่มีงานทำ ไม่มีเงินเลี้ยงพ่อแม่ที่แก่เฒ่า ไม่มีเงินส่งลูกเรียน
เอ๋ คุ้น ๆ
Coder | Designer | Thinker | Blogger
บล้อกอีกแล้วว แก้ไข้ที่ปลายเหตุ
แล้วจะให้แก้ที่ต้อนเหตุยังไงครับ ไล่คนโพสออกนอกประเทศ???
โลกหมุนรอบคนไทย
จุดสังเกตุในเรื่องนี้คือการที่พรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องให้ประชาชนที่พบเว็บหมิ่นแล้วแจ้งไปนังรัฐบาลแล้วไม่ได้รับการแก้
นัง -> ยัง
สังเกตุ => สังเกต
พอแบน facebook และ youtube แล้ว แต่ยังแก้ปัญหาไม่ได้
ต่อไปเจ๊มัลลิการ์ คงออกแถลงการณ์ให้แบน internet สินะ
ไชโยประเทศไทย ต่อไปก็กลับไปทำสวน ปลูกผัก เลี้ยงปลา เขียนจดหมายคุยกันแล้วกันนะครับ
ผมก็สงสัยอยู่นะ เพจไหนคลิปไหนผิดจริงก็ใช้เป็นหลักฐานฟ้องศาลก็ได้ไม่ใช่เหรอ(ในเมื่อมันผิด กฏหมาย) ถ้าปิดก็เหมือนเผาหลักฐานทิ้ง
บริษัท เค้าตั้งอยู่ อเมริกา และ มันไม่ผิดกฏหมาย อเมริกา
เราทำได้ แค่ Block การเข้าถึงจาก ประเทศไทย และคนทำส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้อยู่ในประเทศ
และ เป้าหมายของผู้ชม ก็มักไม่ได้อยู่ในประเทศนี้ครับ แทบไม่มีประโยชน์เลย กับการ Block
นอกจากแค่ เราไม่เห็น เราสบายใจ คนอื่นเห็นช่างมัน
วิธีการแก้ปัญหาเดิม ๆ ของพรรคประชาวิบัติ
ผมว่าแลกกันคนละหมัดมั๊ง
ประชาธิปัตย์ ก็มีกองกำลังส่งอีเมลล์ สื่อ online เพื่อ dis credit รัฐบาลและแอบโฆษณาชวนเชื่อบ่อยๆ อันนี้ทุกคนคงจะสังเกตได้
ฝ่ายทางรัฐบาลเอง ก็คงไม่ให้ความสำคัญเรื่องนี้มากนัก เพราะภาพใหญ่ ของพรรคนี้น่าจะพอดูออก
มีตัวอย่างไหมครับ ผมอยากเห็น
เพื่อนผมหลายคนก็พูดว่า ปชป ส่งเมล์โจมตี โกหก บลาๆๆ พอบอกว่าขอดูหน่อยก็เงียบหาย สุดท้ายจับได้ว่าเป็นเด็กเลี้ยงแกะ
เยอะมาก ถ้าไม่แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นจริงๆ
ถ้ายังพอจำได้ชัดๆ ก็เรื่องทักษินตาย ตัดต่อเอารูปเค้าออกจากรูป
แล้วบอกในทางตรงข้ามว่าตัดต่อเอารูปคนมาใส่ คนก็เชื่อกัน
หลังๆเห็นแต่เรื่องเสี้ยมให้แตกแยกกันผ่านสื่อออนไลน์
รูปนั้นไม่ใช้คนในพันติปทำหลอกหลอ ช่วงที่รูปตัดต่อเยอะๆนั้น มันช่วงที่คนในพันทิปตัดต่อลงกันสนุกสนาน แต่มีคนเอาออกไปส่งต่อกัน
ทักษินตายแล้วเกี่ยวอะไรกับการ dis credit รัฐบาลชุดนี้่ครับ?
ไหนๆ ก็พูดมาแล้วว่าเห็นแต่เรื่องเสี้ยมให้แตกแยกขอสัก 1 เว็บได้หรือเปล่าครับ อย่าหนีหายเหมือนเพื่อนผมล่ะ
เพิ่งเห็น นี่แกล้งโง่ใช่รึเปล่านิ
นั่นมันแค่การยกตัวอย่างการใช่สื่อออนไลน์มาดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม ทำทุกวิถีทาง ตอนนั้นก็ทำเพื่อให้ม๊อบอ่อนกำลังลง ลดกระแสทักษิน
คิดว่าน้ำท่วมครั้งนี้เป็นความผิดรัฐจริงๆหรือ เป็นเรื่องธรรมชาติแต่ช่วยกันหาความผิดให้รัฐบาลตลอด ทุกเรื่องไม่เว้น กระทั่งทำหน้าหยี ใส่บูทแพง แต่งหน้า อ้าปากก็โดนว่าแล้ว
ให้ 2 เวปเลย นี่ยังน้อยไป
manager.co.th รู้จักไหม ซ้อ7 ปั้นน้ำมาด่าคนอื่น โดยเฉพาะทักษินโดนมากเป็นพิเศษ
www.astv-tv.com
oknation.net การปั้นข่าวผ่านบล๊อกนี่มันง่ายกว่าออกข่าวจริงๆอีก เพราะไม่มีใครคิดจะมาตรวจสอบ ตอบโต้อะไร
แต่ผมเห็น spam sms ของ ปชป. ช่วงใด้เป็นนายกแบบศาลสั่งจริงๆนะ
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
หาดูได้ที่โกหกทีวีครับ.. ทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศนี้ ต้องตั้งสติให้ดีกับการเสพสื่อครับ
มันพูดออกสื่อยากนะครับ อันนี้คงไม่สะดวก
แต่ถามจริงๆ ไม่เคยเห็นเมลล์ทำนองนี้บ่อยๆเหรอ ผมได้อาทิตย์ละหน สองหน
จะแบน Facebook แล้วไปเปิด Page บน FaceBook?
เออเนอะ แล้วจะแจ้งเข้าไปยังไงล่ะเนี่ย 555
หลังๆ มานี่ อ่านข่าวการเมืองทีไร รู้สึกว่า มันน่าเบื่ิือมาก ฝ่ายหนึ่งทำอย่างกับเด็กอมมือ งอแง จะเอาๆ อีกฝ่ายก็งี่เง่าพอจะเล่นด้วย
คนขี้ลืม | คนบ้าเกม | คนเหงาๆ
นึกถึง 'ต้องรักษาสถาบัน' ส.ศิวรักษ์
=_= อืมมมมมม
แล้วแต่จะทำละกัน เราประชาชนตาดำๆ ก็ทำมาหากินต่อไป
ตั้งแต่คดีจำคุก 20 ปีจาก sms 1 ข้อความ ทำให้ผมมองเห็นอะไรบางอย่าง
กระทำ 4 คร้้ง ต่างกรรมต่างวาระ
รายละเอียดคดีนี้แบบละเอียด
http://ilaw.or.th/node/1229
ไม่ต่างจากที่ผมกำลังเห็นครับ
cell site
`emi
พอจะมัดตัวได้ใหมครับ
ไม่ได้ครับ
เพราะอันนึงเมคได้
อีกอันมีพื้นที่ทั้งซอย
กลายเป็นว่าอันเดียวที่บอกได้คือพื้นที่ทั้งซอย .......
คดีนี้ความสำคัญ ไม่ใช่อยู่ที่ อากง ทำหรือไม่ อันนั้นคงมีแต่ตัวแกที่รู้
ความสำคัญคือ หลักฐานมันอ่อนจริงๆใช่หรือไม่
ถ้าเป็นเช่นนั้น ต่อไปคุณใส่ร้ายใครๆได้อย่างง่ายดาย
บอกว่าแบตหมด แกล้งยืมมือถือ จด imei เก็บไว้
ไปที่ซอยนั้นตอนดึกๆ ที่คงนอนไปแล้ว ส่ง sms ซะ .........บูม เป้นโกโก้ครันช์
แต่ผมมองว่าแปลกๆเหมือนตัดสินให้ประชาชนต่อต้านกฏหมายข้อนั้น เพราะคนที่ปราศัยตอมม๊อบหลุดหมด = =!!
ดูคลิป ให้ครบ แล้วจะเข้าใจที่เค้าพูด
http://www.youtube.com/watch?v=DmHInhCe71I
http://www.youtube.com/watch?v=2odXVSSYt8A&feature=related
http://www.youtube.com/watch?v=QyQMpn8sd6Q&feature=related
http://www.youtube.com/watch?v=QBUM6sowrwo&feature=related
รายละเอียดคดีของนายอำพลแบบละเอียด
http://ilaw.or.th/node/1229
อ้างจาก link ข้างบน
เนื่องจากหมายเลขอีมี่ในคดีนี้ตรงกับหมายเลขอีมี่ของโทรศัพท์ยี่ห้อโมโตโร ล่าที่นายอำพลใช้ และรับว่าใช้อยู่ผู้เดียว จึงยากที่จะมีผู้อื่นนำไปใช้ได้ และพบว่ามีการใช้โทรศัพท์เครื่องนี้กับซิมการ์ดสองเลขหมาย ซึ่งจากหลักฐานชี้ชัดว่า ซิมการ์ดทั้งสองหมายเลขถูกใช้ในเวลาที่ใกล้เคียงกัน แต่ไม่เคยถูกใช้งานในเวลาที่ซ้ำกัน จึงเชื่อได้ว่าผู้กระทำความผิดได้นำซิมการ์ดมาสลับใช้อย่างที่เจ้าหน้าที่ ตำรวจตั้งสมมติฐานไว้ นอกจากนี้ข้อมูลการจราจรยังระบุว่าข้อความถูกส่งโดยเซลไซต์ จากย่านที่จำเลยพักอาศัยอยู่ด้วย
โพสต์สองที่แบบนี้ ผมถือว่าตั้งใจสแปมอย่างชัดเจนนะครับ นี่เป็นคำเตือนครั้งสุดท้าย
เสรีภาพในอินเตอร์เน็ตกำลังจะหมดไปเพราะพวกแอบอ้างชื่อคนอื่นไปทำเพจหมิ่นหนะแหละ
บางเพจเปิดเผยรูปกันจะๆ
เห็นด้วยนโยบายนี้ และเราน่าจะเก็บตังค์ facebook, you-to-be ด้วย มาแย่งเวลาเด็กๆ และช่องทางทำมาหากินคนไทยไปมากมายเท่าไหร่แล้ว
อย่านอนขวางคนอื่นเลยครับ
+1
อ้าวก็ยอมให้คนอื่นผูกขาด เหมือนที่นี้มีแต่ข่าวสินค้ายี้ห้อประเทศอื่นนะซี
อันนี้พูดจริงใช่ไหมครับ
ผม ว่า ควรจะประชดอยู่ นะครับ เพราะมันเยอะซะเหลือเกิน แล้วก็มีมาใหม่เรื่อย ๆ ด้วยซ้ำ
+1 เยอะมาก ไม่ชอบเลย
ยูทรูป
ไม่กล้าคอมเมนต์อะไรเลย กลัวดราม่า...
ถ้าต้นตอมันอยู่ต่างประเทศ ก็คงต้องแบนล่ะครับ แต่ถ้าจะแบนยกเว็บก็คงใช่ที เพราะเนื้อหามันไม่ได้เป็นไปในทางเดียวกันทั้งเว็บเหมือนกับ "นปช usa"
จริงๆเรื่องหมิ่นนี่ ต้องสืบกันที่ต้นตอครับ ถ้าต้นตออยู่ต่างประเทศ ก็ยากหน่อยเพราะอยู่ในความคุ้มครองของประเทศนั้นๆ แต่ถ้าหากอยู่ในประเทศไทย ก็อาจจะหาง่ายหน่อย และสิ่งสำคัญที่ทำให้คดีไปเร็วได้คือคู่กรณีครับ อย่างกรณี sms หรือไม่ก็ทวิตเตอร์นายก ก็มีฝ่ายโจทก์เป็นคู่กรณีนำฟ้อง ดังนั้นขั้นตอนกระบวนการทางด้านยุติธรรมมันเลยไปเร็วไงครับ หลายคนอยากให้มีลากตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ แต่ไม่มีใครแสดงตัวเป็นโจทก์ และขอฟ้องจำเลย ได้เพียงแต่ชีเบาะแสไปวันๆ ดังนั้นขั้นตอนการลากเอาผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมมันเลยไม่มีไงครับ สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็คือการปิดกั้นโดนการบล๊อคเป็นเวปๆไป แต่ถ้าจะให้บล๊อคทั้งโดเมน มันอาจจะขัดต่อหน้าที่ของกระทรวง ICT ที่ต้องมาปิดกั้นข่าวสารแทนที่จะสนับสนุนให้คนไทยได้รับข่าวสารผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งเป็นสิทธิ์พื้นฐานการเรียนรู้ของประชาชนตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน นะครับ
สรุปความได้ดีมากๆเลยครับ +10
งั้นคือถ้ามีการกระทำผิดกฏหมาย เราเจอด่านตำรวจแล้ววิ่งไปบอกตำรวจ ตำรวจจะไม่จัดการก็ได้ใช่เปล่าครับ เพราะถ้าตอนนั้นเราไม่ยืนยันตัวเองว่าเป็นโจทก์
เบื้องต้น ถ้าเป็นเหตุกระทำผิดซึ่งหน้าตำรวจอาจจะเข้าไปรวบตัวผู้กระทำผิดให้ แต่อาจจะถามกลับคนที่วิ่งบอกตำรวจด้วยว่า "จะเอาความไหม?" หรือ "มีผู้เสียหายท่านใดต้องการจะเอาความไหม?" เพื่อจะได้แสดงตัวเป็นโจทก์ และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไปครับ
ครับ ตำรวจ คงไม่จัดการแน่ ถ้าเค้ายืน อยู่ ชายแดน ประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ใช่ ประเทศเรา
ความผิดอาญามี 2 ประเภท
ความผิดต่อส่วนตัว อย่างพวกหมิ่นประมาท ตำรวจเจอไม่แจ้งความ ก็ไม่มีไรเกิดขึ้น
ความผิดต่อแผ่นดิน รัฐเป็นผู้เสียหาย มีผลกระทบกับประชาชนวงกว้าง ไม่ต้องมีประชาชนมาเป็นโจทก์นะครับแถมยอมความไม่ได้ด้วย ถ้ามีคนแจ้งเบาะแสก็ต้องทำไปตามขั้นตอน เว้นแต่จะไม่อยากทำ หรือไม่รู้จะทำยังไง
ไม่น่าใช้ชื่อ ประชาธิปัตย์ นะครับ เปลี่ยนเป็น ประชามิวนิส ดีกว่ามั้ย
เสียชื่อประชาธิปไตยหมด
คุณเข้าใจระบบคอมมิวนิสดีแค่ใหนครับ?
ชอบๆ ประชามิวนิส
อีพักนี้ทหารลากตั้งมาหลายรอบละ เหมาะกับชื่อนี้ดี
คอมมิวนิสต์ != เผด็จการ ครับ
"With the first link, the chain is forged. The first speech censured, the first thought forbidden, the first freedom denied, chains us all irrevocably."
เข้าใจว่าคอมมิวนิสต์ไม่ใช่เผด็จการนะครับ แต่คอมมิวนิสต์มักจะมีการพัฒนากลายไปเป็นเผด็จการในท้ายที่สุด
คอมมิวนิสต์มีหลายแนวคิดครับ ที่คนไทยมักจะมีภาพติดตาจะเป็นสายของสตาลินกับเหมา ซึ่งเป็นสายอำนาจนิยมรวมศูนย์และตอนหลังก็เป็นเผด็จการไปเพราะลุแก่อำนาจ (อาจารย์ที่สอน Marxism เคยพูดเลยว่า 2 คนนี้แค่เอาอุดมการณ์คอมมิวนิสต์มาบังหน้าเพื่อรวบอำนาจไว้กับตัวเอง)
แต่ถ้าเป็นสายดั้งเดิมอย่าง Marx-Lenin หรือ Trotsky และสาย Neo-marxism จะมีกระบวนคิดที่ชัดเจนครับว่าเผด็จการเป็นแค่วิธีหนึ่งในการปรับปรุงแนวคิดของประชาชนให้เกิดความเอื้อเฟื้อกัน อย่างสาย Neo-marxism บางสำนักก็เชื่อว่าอยู่ในระบอบประชาธิปไตยก็ทำได้ แต่จุดมุ่งหมายสุดท้ายของสายดั้งเดิมคือสถานะไร้รัฐครับ คือไม่ต้องมีรัฐก็ได้เพราะทุกคนรวมตัวกันอยู่เป็นสังคมแห่งความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไปแล้ว ซึ่งก็เป็นอุดมคติ
แต่ในความเป็นจริง หลายประเทศในยุโรปก็เป็นสังคมนิยมประชาธิปไตยได้ แต่คนไทยมักจะถูกปลูกฝังให้หวาดกลัวผีคอมมิวนิสต์จนขาดความเข้าใจ
"With the first link, the chain is forged. The first speech censured, the first thought forbidden, the first freedom denied, chains us all irrevocably."
"การเปรียบเทียบเช่นนี้ ถือว่าเป็นการลดเกียรติของพรรคคอมมิวนิสต์อย่างสิ้นเชิง เพราะอย่างน้อย พรรคคอมมิวนิสต์ก็มีจุดยืน และเป็นระบอบการเมืองที่มักต่อต้านการมีอยู่ของ establishment" - ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์
pittaya.com
ทำไมไม่คิดจะทำตอนที่พรรคตัวเองเป็นรัฐบาล?
ทำอยู่นะ แต่เลือกทำแค่นั้นเอง
แยกแยะประัเด็นนะครับ
เวบหมิ่นไม่หมิ่น คุณตัดสินด้วยความคิดคุณเองเองไม่ได้หรอก ต้องให้ศาลตัดสิน
คำถามคือ ที่แจ้งๆแบนกันเนี่ย ได้ให้ศาลเป็นคนสั่งแบนหรือเปล่า หรือลุแก่อำนาจให้ ICT แบนเอาดื้อๆ โดยไม่มีกฎหมายรองรับ(อ้างความมั่นคงฯ นี่มั่วกฎหมายนะครับ)
ถ้าจะอ้างต้องรักษากฎหมาย ก็ต้องทำตามกระบวนกฎหมายตามปกติอย่างมีนิติธรรมด้วย พวกที่ชอบบอกให้แบนให้จัดการโดยไม่ต้องรอคำสั่งศาล นี่ไม่ต่างจากพวกเผด็จการเลยนั่นแหละ
น่าเสียดายที่นักการเมืองระดับอดีตผู้ช่วยรมต. ดันคิดเรื่องง่ายๆแบบนี้ไม่เป็น แต่จับประัเด็นทางการเมืองอย่างเดียว
อยากเห็นคำสั่งศาลให้ปิดกั้นเวบไซต์ระดับโลกเลียนแบบจีนอยู่เหมือนกัน :P
ทางเค้าคงชินน่ะครับ ใช้อำนาจพิเศษจนเคยตัว
ศอ.รส. ออกคำสั่งปิดกั้น 36 เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับ นปช.
ปล.แอบขายข่าวเก่าซะหน่อย :p
"With the first link, the chain is forged. The first speech censured, the first thought forbidden, the first freedom denied, chains us all irrevocably."
ต่อให้แบนไม่ให้ใช้ net เรื่องพวกนี้ก็ยังคงอยู่ไม่หายไปจากไหนหรอกครับ เมื่อแบน net แล้วต่อไปคงต้องแบนกระดาษ A4 หรืออะไรอื่นๆอีกจิปาถะ ด้วยล่ะครับ
พูดไปก็เหมือนจะเชียร์ ปชป. และผมพยายามจะเลี่ยงไม่พูดเรื่องในเชิงการเมือง แต่ครั้งนี้จะขอพูดเพราะเหมือนหลายๆท่านจะจับใจความของสารไม่ครบ
เหมือนคนอ่านส่วนใหญ่จะพุ่งประเด็นไปที่ "ปชป.แถลงเรียกร้องให้บล็อกเว็บ" ทั้งๆที่สารทที่ต้องการจะบอกจริงๆคือ "ควรจริงจังกับมาตราการมากกว่านี้ หากทำไม่ได้ก็บล็อกมันซะเถอะ(ประชด)"
แทนที่จะเริ่มจาก 1 ไป 10 กับ สรุปประเด็นแค่ 1 แล้ว 10 เลย
ซึ่งสื่อบางส่วนก็นำเสนอไปในทิศทางแรก ถามว่าบิดเบือนไม่ ไม่บิดเบือน แต่สารไม่ครบถ้วนทำให้ประเด็นมันเพี้ยน
ผมอยากให้ทุกคนอ่าน แล้ววิเคราะห์ก่อนจะโพสต์ความเห็นอะไร เพราะการพิมพ์มันง่าย แต่เมื่อข้อความมันขึ้นสู่สาธารณะแล้ว คุณก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่คุณพิมพ์ด้วยนะครับ.
ประเด็นมันสำคัญตรงที่ มี 1 - 9 มันคือเรื่องนึงครับ แต่อุตส่าห์ใส่ 10 มาด้วย(แม้จะต้องการประชด) การที่คิด 10 ออกมาได้นั่น แค่คิดก็ผิดแล้ว ว่าถ้าเป็นตัวคุณเอง ทำ 1 - 9 แล้วไม่ได้ คุณก็จะทำ 10
ซึ่ง ตามฐานคิดของคน IT มันคือความคิดที่ผ่านการกรองตรรกะออกมาได้เลยว่าไม่เข้าท่า
ผมพยายามอย่างยิ่งนะครับ ที่จะนำสารมาให้ครบ อย่าง 10 ข้อของทวิตเตอร์นี่ผมก็ตัดสินใจแปะไว้ในข่าวทั้งที่ ที่มาข่าวก็มีไว้
เชียร์ ปชป. ก็ไม่ผิดอะไรนะครับ เว็บนี้ไม่ได้ห้ามแสดงจุดยืนทางการเมือง ถ้ามันไม่ผิดกฏหมาย
ผมมองว่าปัญหาสำคัญของแถลงการนี้คือการโยนความผิดให้กับรัฐบาลโดยบอกอย่างเลื่อนลอยว่าอะไรที่ควรทำแล้วรัฐบาลไม่ได้ทำ เวลาพูดในแถลงการแล้วมันดูดี แต่ในความเป็นจริงมันทำได้หรือไม่ เช่นการประสานงานกับผู้นำประเทศ เราต้องติดต่อโอบมา เพื่อให้เขาบอกให้บริษัทในประเทศบล็อกเว็บตามกฏหมายไทยอย่างนั้นหรือ???
การติดต่อกับบริษัทต่างประเทศโดยตรงนั้น เท่าที่ผมทราบ ราชการประจำก็ทำกันอย่างต่อเนื่องมาตลอดอยู่แล้ว ทั้งรัฐบาลนี้และรัฐบาลที่แล้ว แถลงการนี้จะบอกว่ามีคนห้ามไม่ให้ทำ??? ส่วนการส่งข้อมูลผู้ใช้ หลายบริษัทที่ประเทศตัวเองมีกฏมายคุ้มครองผู้ใช้งานสูงๆ ก็ห้ามไม่ให้บริษัทเหล่านี้ส่งข้อมูลผู้ใช้หากการกระทำไม่ได้ผิดกฏหมายในประเทศของเขา
ในแถลงการไม่ได้บอกให้ 1 แล้วไป 10 เลย แต่กระบวนการระหว่างนั้นผมไม่เห็นว่าจะมีบอกถึงความเป็นไปได้ตรงไหน สิ่งที่ทำได้แล้วเรายังไม่ได้ทำ? การพูดว่ามันมี 2-9 แต่ทั้งหมดมันทำไปแล้ว (และไม่ได้แก้ปัญหาในมุมมองของแถลงการ) หรือทำไม่ได้ มันต่างอะไรจากการบอกว่าให้ไป 10 เลย????
lewcpe.com, @wasonliw
หากข้อความข้างต้นผมสื่อความไม่ครบถ้วน ทำให้เข้าใจสิ่งที่ผมต้องการสื่อผิดไปอย่างไรก็ขออภัย
ผมไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดใด กับเรื่องการแถลงดังกล่าวครับ และจะไม่ขอแสดงความคิดเห็นด้วย ผมแค่ยกตัวอย่างการจับประเด็นโดยอิงเอาข่าวนี้เป็นกรณีตัวอย่างเท่านั้น
ที่ต้องการจะพูด คือ ผมเห็นด้วยกับการแสดงความเห็นเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิด อันจะนำไปสู่วิธีการแก้ปัญหาที่เป็นที่พอใจสำหรับหลายๆฝ่าย แต่หลายๆครั้งผมเห็นว่าการแสดงความเห็นนั้นใช้อารมณ์ และเป็นการเออออตามคนส่วนมาก สารที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่ครบถ้วน เมื่อส่งต่อไปเรื่อยๆ มันก็จะยิ่งบิดเบี้ยวไปเรื่อยๆ เหมือนกับการเล่นกระซิบหูบอกคำตอนเด็กๆนั้นล่ะครับ
ผมไม่ได้ตำหนิถึงการนำเสนอ และการพาดหัวของคุณ lew ครับ แต่จากที่ผมสังเกตจาก Twitter ก็ดี Facebook ก็ดี คนจะให้ความสำคัญไปที่ และเลือกจะสื่อความไปที่ "การบล็อก Facebook และ You Tube" มากกว่า ซึ่งตอนแรกเลย ผมยังไม่ทราบเนื้อหาข่าวเต็มๆ และไม่ทราบแถลงการทั้งสิบข้อ ผมรู้สึกแย่มากกับแนวคิดอันนี้ แต่เมื่อได้ทราบเนื้อหาทั้งหมดแล้ว จึงทราบว่าเนื้อหามันไม่ได้เป็นอย่างนั้นทั้งหมด และเมื่อนึกถึงว่าคนทั่วๆไป ที่ได้ยิน หรือเห็นเพียงแค่คำพาดหัวบนหนังสือพิมพ์เล่มใหญ่ๆ ก็คงจะเข้าใจผิดไปด้วย
social network เป็นช่องทางที่ดีในการแสดงความเห็น แต่ควรจะตระหนัก และคิดสักนิดว่าสิ่งที่เราพิมพ์ลงไปจะมีผลต่อสังคมอย่างไรบ้าง ไม่ใช่แค่เอาสะใจ เพราะที่นี่คือ social network (เครือข่ายสังคม)
สิ่งที่ผมกล่าวมา อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับข่าวนี้เลย ความมุ่งหวังของผมเพียงแค่ต้องการการแสดงความเห็นอย่างสร้างสรรค์เท่านั้นครับ.
ผมว่าการที่คิดไปถึงขั้น 10 แม้จะยังมี 1-9 มันก็ผิดปกติแล้วล่ะครับ(หมายถึงคนที่พูดว่ามี 10) มันเหมือนคำขู่กัน และคิดจะทำจริงๆเสียด้วย(แม้จะประชดก็ตาม)
คือถ้าจะบอกให้ทำ 1-9 ก็ไม่ควรจะยก 10ซึ่งสุดโต่งไปมาประชดเพื่อขู่ ให้น่าสงสัยว่าจริงๆแล้วอยากจะทำ 10 เลยมากกว่าหรือเปล่า?
แต่จริงๆใครที่คิดว่าควรจะทำ 10 ก็เริ่มต้นด้วยการเลิกเล่น FB เลิกดู youtube ก่อนเลยก็ได้นะครับ censor ตัวเองไปเลย ไม่ต้องรอภาครัฐ เพราะจริงๆมันก็ไม่ต่างกัน เพราะคนต่างชาติเขาก็ยังดูได้ตามปกติ คือปิดหูปิดตาตัวเองนั่นแหละ
แบน FB ไม่ว่แต่แบน YouTube ไม่ได้นะ! ขาดใจตาย
ออกตัวก่อนผมไม่ใช่สีไหนเพราะทั้ง2ฝ่ายเล่นการเมืองน้ำเน่าน่ารำคาญ แต่ถ้าตามข่าวมีเหตุการณ์หมิ่นจริงแต่ไม่สามารถหาตัวการได้ รมต.ลาออกไปเหอะครับคุณมีอำนาจในมือแต่ทำอะไรคนร้ายไม่ได้ อย่างน้อยก็ได้รุ้ว่าบ้านเมืองเราคนเก่งหาได้น้อยจริงๆ
+1
Coder | Designer | Thinker | Blogger
เข้าใจผิดแล้ว หน้าที่ในการสืบสวนคือตำรวจ หาหลักฐาน แล้วให้อัยการสั่งฟ้อง จนศาลตัดสินว่าผิดจริงถึงจะมีคำสั่งให้ปิดกั้นได้ครับ
ไม่เกี่ยวอะไรกับหน้าที่ของ ICT(ตามที่ควรจะทำเลย) แต่หลังรปห.หน้าที่ ICT คือละเมิดกฎหมายด้วยการปิดกั้นเวบโดยไม่ใช้คำสั่งศาลเต็มไปหมด คนเลยเข้าใจผิดๆกัน
ICT แค่ต้องอำนวยความสะดวกเท่านั้น(ต้องมีคำสั่งศาลด้วย)
ถ้าระหว่างพิจารณาคดี อาจก่อให้เกิดความเสียหายโจทก์ อาจจะขอคำสั้งคุ้มครองชั่วคราวต่อศาล ให้ระงับการเผยแพร่ได้ จนกว่าคดีจะถึงที่สิ้นสุด ถ้าผิดจริงก็ลงโทษตามกฎหมาย ถ้าไม่ผิดก็กลับมาทำต่อได้ + เรียกร้องค่าชดเชยกันไป
การจะ Block Website ต้องทำโดน คำสั่งศาล เท่านั้น
ซึ่งรัฐบาลที่แล้วไม่ได้ทำ ตามขั้นตอน ตรงนี้ จึงทำให้การ Block เป็นไปได้ อย่างรวดเร็ว
ซึ่งรัฐบาลนี้ คงไม่เอาด้วย ที่จะกระทำการ นอกกฏหมาย ส่วนเหตุผล ผมคิดว่า อาจโดนมองว่า ใช้อำนาจ นอกกฏหมายเป็นช่องให้ถูกฟ้อง ยุบพรรค
ไม่ทราบตอบผมหรือเปล่า
ถ้าใช่ รบกวนอ่านที่ผมตอบใหม่ ไม่มีตรงไหนที่บอกว่าให้ทำโดยไม่ต้องมีคำสั่งศาลนะครับ
คือทางปชป.มักจะพยายามเปรียบเทียบอยู่บ่อยๆว่าสมัยตัวเองบล๊อกได้เยอะกว่าน่ะครับ
แต่ความจริงคือสมัยนั้นใช้อำนาจศอฉ.บล๊อกเอา
"With the first link, the chain is forged. The first speech censured, the first thought forbidden, the first freedom denied, chains us all irrevocably."
สงสัยผมจะพิมพ์ไม่เคลียร์ ผมพูดถึงประเด็นขั้นตอนในการดำเนินคดี บางทีเราไม่ต้องรอคำสั่งศาลจนถึงที่สิ้นสุดก่อน ถึงจะทำการบล็อกได้เท่านั้นเองครับ
ไม่มีประเด็นเรื่องเปรียบเทียบกับฝ่ายไหน แค่แวะมาแนะนำเรื่องกฎหมายที่บางคนอาจจะลืมไปเฉยๆ
ก็พยายามบอกเช่นกันครับ ว่ากระบวนการสมัยปชป. ไม่แม้แต่จะผ่านเข้าไปในประตูศาล
"With the first link, the chain is forged. The first speech censured, the first thought forbidden, the first freedom denied, chains us all irrevocably."
ผมไม่ได้โทษ รัฐบาลนี้ หรือรัฐบาลที่แล้ว แปลกใจว่าทำไมพยายามลากออกนอกประเด็น -*-
ผมก็ไม่ได้โทษครับ
แต่ประเด็นของผมมันเริ่มมาตั้งแต่คุณ phaiaxers ตั้งประเด็นมาว่า รมต.ชุดนี้ห่วย ทำอะไรคนร้ายไม่ได้ (ซึ่งในมุมกลับก็ต้องคิดว่าเทียบกับใครถึงคิดอย่างนั้น)
แล้วคุณ fourpoint ก็ชี้ว่ารบ.ชุดนี้ต้องส่งเรื่องเข้ากระบวนการยุติธรรมทั้งหมดก่อนถึงจะปิดเว็บได้ ทำให้เดินเรื่องได้ช้ากว่าสมัยปชป.
แล้วคุณเองก็มาตั้งประเด็นว่าขอคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก็ได้ ซึ่งผมก็พยายามบอกคุณว่าสมัยปชป.ที่มันเร็วๆน่ะไม่ได้ผ่านกระบวนการนั้นเลย
แล้วเท่าที่ผมเข้าใจ การขอคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวต้องเป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงเท่านั้น (ในกรณีนี้คือทางราชวงศ์)
"With the first link, the chain is forged. The first speech censured, the first thought forbidden, the first freedom denied, chains us all irrevocably."
คงจะเข้าใจผิดกัน ผมไม่ได้ตอบสนับสนุนหรือแย้งในประเด็นของคุณ phaiaxers เรื่องรมต. ทำงานห่วย เพียงแต่เสริมความเห็นของคุณ fourpoint ว่ามันมีวิธีการอื่นๆได้อีก ถ้าจะทำตามกระบวนการที่ควรจะเป็น
กรณีของ ป อาญา ม.112 เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน อัยการมีอำนาจในการดำเนินคดี ไม่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ต้องเห็นชอบนะครับ (ถึงแม้ราชวงศ์จะไม่เอาเรื่อง ถ้าทำผิดตามกฎหมายก็ต้องลงโทษ ยกเว้นจะมีการอภัยโทษหลังมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว)
ย่อหน้าแรกเห็นด้วยว่ามองคนละประเด็น
ย่อหน้าหลังผมก็รู้ครับอันนั้น ผมหมายถึงว่าถ้าจะขอคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ปกติต้องเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงครับ ไม่ได้พูดถึงอะไรที่คุณอธิบายเลย
"With the first link, the chain is forged. The first speech censured, the first thought forbidden, the first freedom denied, chains us all irrevocably."
ย่อหลังประเด็นอยู่ที่ มันเป็นคดีอาญาแผ่นดิน อัยการน่าจะมีอำนาจในการขอคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวได้เอง เพราะเป็นกฎหมายในส่วนของความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ไม่ได้ถูกตราขึ้นเพื่อคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลของพระมหากษัตรย์หรือราชวงศ์
แต่ผมก็ไม่แม่นนะ เพราะเคยเห็นแต่คดีอาญาพ่วงคดีแพ่ง แล้วขอคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในคดีแพ่ง
อัยการร้องขอคุ้มครองฉุกเฉินให้ปิดกั้นชั่วคราวได้ครับ(จำได้ว่ามีเวบนึงโดนศาลสั่งปิดกั้นชั่วคราว) แต่จากข้อเท็จจริง รบ.ที่แล้วสั่งปิดกั้นเวบจำนวนมาก แต่มีเวบที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแค่ไม่ถึงสิบคดีครับ ที่เหลือเป็นคำสั่งศอ.ฉ.ลอยๆ ทั้งๆที่ยกเลิกประกาศพรก.แล้ว ก็ต้องคืน แต่ดันไม่คืนยังกั้นต่อไป
นั่นคือเราใช้กฎหมายกันมั่วซั่ว จนน่าสงสัยว่าจะไปกล่าวหาว่าใครทำผิดกฎหมาย แต่รัฐดันทำผิดกฎหมายในกระบวนการเสียเอง
พรคคโบราณจริงๆ
ตัวเล่นมีอยู่ 2 ฝ่าย
- ฝ่ายหนึ่งเข้าเกียร์ว่าง?
- ฝ่ายหนึ่งประชด?
ไม่เห็นฝ่ายไหนจัดผู้มีความรู้ความสามารถมาชี้แจง การแก้ปัญหาที่ลงรายละเอียด เป็นรูปธรรม ชี้แจงว่าทำได้จริงหรือไม่อย่างไร? ทำไมจึงไม่ทำ?
สรุปก็คือเล่นการเมืองน้ำเน่าเหมือนเดิม? ไม่มีฝ่ายไหนจริงใจอยากจะแก้ปัญหา?
ถ้าบุคลากรทางการเมืองท่านๆ ทั้งหลายกระจอกขนาดนี้ ไม่ต้องประชดผมก็คิดว่าแบนเว็บไปเถอะ
เป็นการแก้ปัญหาที่เหมาะสมกับประเทศเราที่สุดแล้ว...
ผมว่าเป็น
ฝ่ายหนึ่ง มีผลงานออกมาน้อย ซึ่งไม่ได้ ชี้แจงว่าทำไมถึงน้อย และขั้นตอนการทำงานของเค้า
อีกฝ่าย ประชด พร้อมโจมตีอีกฝ่าย ว่าไม่ทำงาน หรือ ทำงานไม่เป็น และไม่จงรักภักดี พร้อมปิดการชี้แจงของอีกฝ่ายไปในตัวว่า เหตุผลใดๆ ไม่ควรอยุ่เหนือความ จงรักภักดี
ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน
คนทำงานดีก็ต้องชม คนไม่มีผลงานก็ต้องบอกว่าไม่เอาไหน
เป็นถึง ส.ส. ถ้าทำงานไปแล้วไม่สามารถจัดคนมาชี้แจงขั้นตอนการทำงาน
หรือจัดคนมาอธิบายปัญหาและลงลึกรายละเอียดชัดเจนไม่ได้
ผมว่ากระจอกครับ
เป็นถึง ส.ส. ถ้าคิดจะสอนมวยฝ่ายตรงข้ามแต่ไม่เตรียมแผนงานที่แน่นอนชัดเจน
ได้แต่ออกมาแถลงข่าวประชดประชันหวังผลทางการเมือง
ผมว่าก็กระจอกเหมือนๆ กันครับ
ส.ส. คือคน 500 คนที่ต้องทุ่มเทการทำงานให้กับประเทศชาติ
ต้องมีความพยายาม ความรับผิดชอบเป็นแบบอย่างให้คนอีก 60 ล้านคน
ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าในสภาตอนนี้มีคนแบบที่ว่าอยู่สักกี่คน?
ประเด็น คือ ข้อเรียกร้อง ของเค้า ตัวเค้าเองก็ทำไม่ได้ และผมว่า มันอยู่ในระดับที่ เกือบจะเป็นไปไม่ได้ ที่จะทำให้เกิดขึ้น ได้จริงอย่างเป็น รูปธรรม
และประเด็นนี้ เกี่ยวข้อง กับ ศรัทธา ถ้าเป็นผม ผมก็เลือกที่จะเงียบ เพราะไม่ว่าพูดอะไร ออกมาก มีเหตุมีผลแค่ไหน ก็เท่ากับ คุณยังมี ศรัทธา ไม่มากพอ
มันไม่ยุติธรรม ที่จะเอาประเด็นนี้มาเล่น เพราะไม่ว่าใครหยิบมาเล่น อีกฝ่ายก็ไม่สามารถ ก็ได้แต่เงียบเท่านั้น
นี่มันประเด็นการเมืองชัดๆ เราไม่ควรบ้าจี้เก็บมาคิด เพียงแต่รับทราบก็พอ ถ้าพี่แกจะเอาจริงก็คงมีเรื่องเหมือนกัน
+1 ผมก็มีแนวคิดแบบเดียวกับคุณมานานแล้วล่ะ(มากด้วย)
อยากจะรู้ว่าถ้าแถลงข่าวกลับกัน จะเป็นไง ?
รมว. ไอซีที ระบุ เนื่องจากรรัฐบาลไม่สามารถจัดการกับเว็บหมิ่นพวกนี้ได้ จึงจะทำการ Ban เว็บไซต์ทั้ง 2 เว็บนี้
แถลงกลับกัน ก็ด่ากลับกันไงครับ มันไม่เกี่ยวกับว่าอยู่ฝ่ายไหน มันสำคัญที่ว่าทำอะไร
ถ้าคุณสนใจแค่ว่าฝ่ายไหนโดยไม่มองว่า ได้ทำอะไรลงไป คุณคงอ่านเวบนี้ไม่สนุกเท่าไรนัก คุณควรจะไป 2 เวบนี้
www.prachatai.com
http://webboard.serithai.net
ไม่เคยได้อ่านข่าวของทั้ง 2 เว็บนี้ครับ และที่สนใจคือ เค้ากำลังจะสื่ออะไร และจริงใจแค่ไหนมากกว่า ไม่ใช่ตัดเป็นบางคำออกมาสรุปห้วนๆ แล้วก็เอาประเด็นนั้นมาด่าเค้า
ปล. ไม่ต้องโยนว่าผมเป็นพวก ปชป นะ ผมเกลียดการเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม
สิ่งเดียวที่คุณบอกคือ ถ้าอีกฝั่งเป็นคนทำ โดยมีแค่ประเด็นเรื่องฝั่ง
โดยไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับ ความหมายที่สื่อ, ความจริงใจ, และ การตัดคำใดๆเลย
ผมไม่ได้โยนว่าคุณเป็นพวก ปชป ผมจึงให้ตัวเลือกแก่คุณทั้งสองฝั่ง ในพื้นที่ๆการกระทำไม่สำคัญเท่าฝั่งที่อยู่
พูดตรง ๆ ว่า แบนหนะแบนง่าย แต่ต้องดูคนอื่นด้วยว่าจะคิดเหมือนกันไหม
สรุปแบบที่ง่ายกว่าคือ แบนเฉพาะบางหน้า ไม่อย่างนั้นคนโวยเละชัวร์
Coder | Designer | Thinker | Blogger
กฎหมายไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังที่หลายคนในนี้ กล่าวอ้างอย่างหน้ามืดตามัว
กฎหมายในรัฐประชาธิปไตย คือกฎ ที่ประชาชนตกลงกันว่าจะเคารพนับถือ
โดยใช้กระบวนการนิติบัญญัติ ที่่มีอำนาจยึดโยงจากประชาชนตามครรลองประชาธิปไตย
กฎหมายฉบับนี้มีที่มาไม่ถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตย
มาตรา 112 นี้มาไม่ได้มาจากประชาชน เผด็จการทหาร สอดแทรกเข้ามา
โดยการใช้อาวุธจากเงินภาษี จี้บังคับเอาอำนาจรัฐไป
โดยที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมในกฎหมายนี้
อันบรรดากฎหมายที่มีในสาระบบ ที่มีที่มาไม่ถูกต้องสมควรจะได้รับการชำระใหม่
ขอเสนอให้ใช้แนวทางนิติราษฎร์ ดำเนินการชำระกฎหมาย โดยเริ่มจากรัฐประหารครั้งล่าสุด
ก่อน แล้วจึงดำเนินการต่อกับรัฐประหารครั้งก่อนหน้าด้วย
บางคนคงไม่รู้นะครับ สมัยสมบูรณฯ กฎหมายนี้(เมื่อก่อนคนละมาตรา)มีโทษ 3ปี ใกล้เคียงกับหมิ่นประมาทบุคค
กฎหมายนี้ถูกเพิ่มโทษเป็น 7ปีในสมัย รปห.สฤษดิ์(รปห.ครั้งแรกที่ไม่มีการเลือกตั้ง แต่งตั้งสภาเองโดยทหารทั้งหมด)
และเพิ่มเป็นขั้นต่ำ 3-15ปี ในคณะรปห.หลังเหตุการณ์ 6 ต.ค.2519 และใช้เรื่อยมาถึงปัจจุบัน
ถ้าจะพูดถึงความศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องดูที่มาด้วยเหมือนกัน
ถ้าแบนจริง startup ทำ social network เกิดบาน 5555
twitter.com/djnoly
เหมือนกับจีนไงครับที่ Renren เป็น social network อันดับ 1
"With the first link, the chain is forged. The first speech censured, the first thought forbidden, the first freedom denied, chains us all irrevocably."
ลองนึกๆดูมันคล้ายกับ มี web ชม iPhone เยอะมากๆ เขียนทุกอย่างเชียร์ออกนอกหน้าเกินจริง
จน iPhone เป็นสุดยอดโทรศัพท์ ที่ไร้เทียมทาน
ซักพักก็จะมีเว็บออกมาด่า เพราะมันขัดกับความรู้สึกที่มี
ให้ตายเหอะครับ คน 100 คน ถามคำถามเกี่ยวกับความชอบ yes no ยังไงก็ต้องมีตอบไม่ตรงกัน
แล้วคน 70 ล้านคน มันจะไปคิดเหมือนกันได้ยังไง
เพียงแต่การทำอะไรเกินกว่าเหตุมากๆเข้า มันไปปั่นกระแสการต่อต้านให้แพร่ระบาดเท่านั้นเอง
ของแบบนี้ยิ่งปราบยิ่งยุ ถ้าจะแก้ต้องเปลี่ยนจากสำนึกคน ไม่งั้นจะกลายเป็นการใช้อำนาจกำจัดคู่แข่งเท่านั้นเอง
อย่างที่เคยขายผ้าเอาหน้ามุดรอดออกมาอย่างที่เคยเป็น
+1
Destination host unreachable!!!
+1 ยกตัวอย่างเห็นภาพดี
แม้แต่สาวก iPhone เองก็ไม่เบา แตะต้องไม่ได้เลย ฉันใดก็ฉันนั้น .......(เติมเองแล้วแต่จินตนาการ ;)
ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นอ่ะนะกรณีแบบนี้
ICT แจงไม่ได้บล็อคทวิตเตอร์ หลังใช้ไม่ได้ชั่วขณะ
ต้องตั้งคำถามเล่นๆว่า ทำขึ้นมาใครโดนด่า แต่ถ้ามีคนชมขึ้นมา ใครได้หน้า
ข้อเสนอบางข้อเสนอผมว่ามันง่ายที่จะพูด เหมือนเรายื่นดาบให้ใครสักคน แต่ถึงเวลาให้ฟันเองไหม ก็ไม่ฟันเองหรอก มือไม้สั่น
ผมชื่นชม การออกมาครั้งนี้ของคุณมัลลิกาครับ
ทำไมนะเหรอ
เพราะเธอจุดกระแสสังคมติดให้ได้รับรู้ ว่ามีการจาบจ้วงจริงใน facebook และ youtube
ก่อนหน้านี้ไม่มีใครสนใจ
แต่ดูตอนนี้สิครับ 160 กว่าคอมเม้นแล้ว
นี้แค่ blognone ที่เดียวนะครับ ^^
+1
แล้วก็ทำให้รู้ว่า User ไหนหางโผล่ ครับ ^^
หางโผล่? hate speech ไปหรือเปล่าครับ
"With the first link, the chain is forged. The first speech censured, the first thought forbidden, the first freedom denied, chains us all irrevocably."
อยู่ในความสุภาพนะครับ
lewcpe.com, @wasonliw
คุณคิดว่ามันจุดติดจริงเหรอ การจาบจ้วงมันมีมานานแต่กระแสอื่นมันไม่เหมือนใน internet
ผมว่าก็รู้ๆเห็นๆกันอยู่แล้วนะ? เพราะเวลามีคนไปเมนท์ (ด่า) ในเพจหมิ่น มันก็เด้งขึ้นมาใน Feed ของเพื่อนๆไง
ผมว่ากระแสมันจุดติดในทางตรงกันข้ามมากกว่านะ
ถ้าพูดว่าขอบคุณคุณมัลลิกา ผมก็คิดว่าคงต้องขอบคุณที่ทำให้คนตาสว่างเพิ่มขึ้นมาอีกโข ว่าคนคลั่งเจ้านี่เขาคิดอะไรถอยหลังลงคลองกันขนาดนี้เชียวหรือ และเริ่มมีคนกลางๆทวงถามแล้วว่า เราจะรักสถาบันกันแบบปิดหูปิดตาปิดปากแบบนี้ มันจะดีจริงๆรึเปล่า
ตกลงว่าในความคิดคุณคลั่งเจ้าคือการด้อยสติปัญญาถอยหลังลงคลองหรือครับ ?
ผมหลงนึกว่าหลักการขั้นพื้นฐานของประชาธิปไตยคือการเคารพความคิดของผู้อื่นเสียอีก นี่ยังไม่ทันอะไรก็ตราหน้าว่าความคิดแบบนั้นแบบนี้ผิดไปเสียก่อน แล้วจะเรียนรู้มุมมองทางความคิดอื่น ๆ ได้อย่างไรล่ะครับ ?
ไม่เห็นด้วยกับตัวเอง ไม่เป็นประชาธิปไตย = ถอยหลังลงคลอง ?
สรุปว่าในความคิดคุณนี่ประชาธิปไตยคือ 100% เหมาะสมกับทุกสถานการณ์ เหมาะสมกับคนทุกเพศทุกวัย เหมาะสมกับทุกสถานที่ เหมาะสมกับทุกยุคทุกสมัยทุกกาลเวลา ใครไม่เห็นด้วยแปลว่าไม่รู้จักคิดถอยหลังลงคลอง ไม่จำเป็นต้องมาเถียงเพราะไม่ว่าอย่างไรประาชาธิปไตยก็ดีที่สุดอย่างนั้นหรือครับ ?
คนเรามีกรอบความคิดของตัวเองไม่ผิดหรอกครับ แต่การพูดจาไปดูถูกกรอบความคิดของคนอื่นโดยที่ตัวเองก็มิได้เข้าใจสัจธรรมของโลกนี้อย่างถ่องแท้ ผมมองว่ามันไม่ใช่การกระทำของคนที่รู้จักเคารพผู้อื่นเขาทำกันหรอกครับ
That is the way things are.
คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอว่าการคลั่งเจ้าแล้วคิดวิธีการพรรค์นี้ออกมาได้นี่แหละคือการถอยหลังลงคลอง ปิดหูปิดตาคนอื่น บล็อกนั่นบล็อกนี่เหวี่ยงแห เพื่อที่จะไม่ต้องเห็นไม่ต้องได้ยิน
ขอโทษ จำไม่ได้เหรอครับที่มีการบล็อกคลิปหมิ่นเมื่อหลายปีก่อน บล็อกไปแล้วได้อะไร? คนที่มันแปะก็อยู่นอกประเทศ มันก็แชร์กันสนุกมือจนกูเกิลลบไป มันได้เห็นได้ดูได้เก็บไปหมดแล้ว ส่วนคนในบ้านเราก็ได้แต่รู้ว่ามี แค่ไม่เห็น ทำอะไรไม่ได้ มันหมิ่นเรื่องอะไรเราไม่รู้ จะเถียงก็ไม่ได้เพราะเราไม่รู้ว่าหมิ่นอะไร เป็นความจริงแค่ไหน คนที่รู้คือคนที่ดูทันแล้วก็บอกคนอื่นไม่ได้อยู่ดี
ขอบอก ผมยังไม่ได้ดูเลย เพราะตอนนั้นผมก็เฉยๆ ไม่ได้สนใจจะดู จนมันกลายเป็นกระแสให้ประเทศไทยต้องบล็อกยูทุบ อับอายขายขี้หน้าชาวโลก ผมถึงได้สนใจขึ้นมาว่ามันคลิปบ้าอะไรที่มันจะทำให้คนคลั่งได้ขนาดนั้น แต่ก็ลบไปแล้ว เปิดดูอีกไม่ได้ และไม่รู้คลิปอะไรด้วยเพราะไม่มีใครแชร์
แต่สรุปคือ เหมือนมีโจรอยู่รอบบ้าน แล้วเราปิดตาตัวเอง หลอกตัวเองว่า ไม่มีๆ ไม่มีโจร ไม่เห็นก็ถือว่าไม่มี โง่มั้ย? ผมเรียกว่าโง่
ถ้ามันเป็นแค่เรื่อง "ผมไม่เห็นด้วยคนเดียว" ผมคงไม่เรียกถอยหลังลงคลองหรอก คุณต่างหากน่าจะไปทบทวนมากกว่านะว่าเวลาคนอื่นเขาพูดว่าถอยหลังลงคลอง เขาก็มีเหตุผล ผมไม่ใช่คนเดียวที่พูดเรื่องนี้ และผมก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะตัดสินใจว่ามันขัดต่อหลักสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย เป็นการถอยหลังลงคลองชัดๆ
มันไม่ใช่แค่ผมตัดสินอะไรง่ายๆ ผมก็ไตร่ตรองแล้วว่ามันผิดหลักการและไร้ตรรกะโดยสิ้นเชิง คุณต่างหากที่พอคนอื่นมาบอกว่ามัน "ถอยหลังลงคลอง" ก็ตราหน้าคนอื่นเลยว่าความคิดคับแคบ คุณไม่เริ่มที่ตัวเองก่อนล่ะครับ ไม่ทบทวนหน่อยว่าตัวคุณเองน่ะคิดอะไรผิดรึเปล่า คนอื่นถึงเรียกความคิดที่คุณสนับสนุนว่ามันถอยหลังลงคลองได้ คุณสอนคนอื่นแล้วตัวเองได้ทำหรือไม่?
ใช่ครับ ผมเชื่อประชาธิปไตยถูกต้อง 100% เพราะถ้าจะบอกว่ามันผิดได้ ระบอบอื่นมันผิดได้มากกว่าแน่นอน อันที่จริงมันไม่มีอะไรที่ถูกต้อง 100% แต่คุณคิดว่าอะไรอย่างอื่นดีกว่า? มันไม่มี โลกเราผ่านมาเยอะแล้ว ทั้งระบอบสมบูรณาญา ระบอบเผด็จการ ระบอบอำมาตย์(บูโรแครท) ระบอบคนเก่ง(อริสโตแครท) สุดท้ายทุกระบอบมันผิดได้ทั้งนั้น ไม่มีระบอบไหนเลยที่รับประกันความถูกต้อง แต่นอกจากประชาธิปไตย เวลาตัดสินใจ คนรับกรรมมันไม่ใช่คนตัดสินใจ และคนตัดสินใจมันก็ไม่เคยรับผิดชอบ
ผมไม่พอใจกับการที่เด็กเลือกตั้งเองไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะถ้ามีการละเมิดสิทธิเด็ก คนเป็นผู้ใหญ่มันก็ไม่เข้าใจ แต่เด็กต้องรับกรรมในสิ่งที่ตัวเองเลือกไม่ได้ว่าจะเอาหรือไม่เอา ผมบอกตรงๆว่าโคตรทุเรศ เป็นผู้ใหญ่มันไม่ได้ทำให้ฉลาดอะไรขึ้นมานักหรอก แต่ชอบคิดว่าตัวเองฉลาดกันนัก
ไอ้ระบอบอื่นที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยก็เหมือนกัน ชอบคิดว่าตัวเองฉลาด ประชาชนเป็นเด็กต้องเชื่อฟัง พิโธ่พิถัง ทำประชาชนตายไปไม่รู้เท่าไหร่เพราะความโง่ของผู้ปกครอง บางทีก็หลอกประชาชนไปตายเพื่อศักดิ์ศรไร้สาระของตัวเอง
แบบนี้จะให้ผมบอกว่าอะไรดีกว่าประชาธิปไตยได้ล่ะ?
ไอ้ ม.112 นี่มันก็เป็นกฏหมายเผด็จการ เขียนขึ้นมาครั้งแรกก็ยุครัฐบาลที่ปล้นอำนาจประชาธิปไตยรอบแรก เอามาเขียนให้โทษหนักขึ้นอีกก็ยุครัฐบาลที่ปล้นอำนาจประชาธิปไตยรอบล่าสุด แค่ความชอบธรรมก็ไม่มีแล้ว แล้วคนตาดำๆต้องมารับกรรมในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ตัดสินใจเลือก ต้องทนรับมัน แบบนี้มันถูกมั้ยเล่า
แล้วก็นะ ถ้าคุณจะละเว้นไม่ใช้ประชาธิปไตยกับอะไรบางอย่างในประเทศนี้ ก็บอกกันตรงๆว่าประเทศนี้มันไม่ใช่ประชาธิปไตย พอถึงเวลาทนไม่ไหวประชาชนจะได้ปฏิวัติโค่นให้หมดอย่างฝรั่งเศส โอเคมั้ย?
หรือจะให้ประเทศนี้มันเป็นประชาธิปไตยเต็มใบดีๆ จะได้อยู่กันไปอย่างสงบสุขเหมือนญี่ปุ่นอังกฤษ
ไอ้กฏหมาย 112 บ้านเราก็เป็นกฏหมายกดหัวคนเห็นต่างมานานแล้ว แถมใช้ป้ายสีกันทางการเมืองได้อีกตะหาก แล้วคุณคิดว่าตัวเองเซนซิทีฟเป็นฝ่ายเดียวเหรอ? สิ่งที่คุณพูดคุณคิด มันก็เป็นการดูถูกประชาธิปไตย ดูถูกสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมกันของมนุษย์เหมือนกัน เพียงแต่คุณไม่รู้สึกเพราะมันไม่ได้เข้าตัวคุณแค่นั้น พอโดนฝ่ายตรงข้ามสวนกลับบ้างถึงจะรู้สึก แต่ก็ไม่เคยสำนึกว่าตัวเองก็ทำกับคนอื่นตลอดมา
สุดท้ายขอบอกอย่าง
คุณคงจะคลั่งเจ้าจนหน้ามืดตามัวไปแล้ว ถึงได้แปลประโยคผิด เพราะผมเขียนชัดเจนว่า "ว่าคนคลั่งเจ้านี่เขาคิดอะไรถอยหลังลงคลองกันขนาดนี้เชียวหรือ" ประโยคมันก็ชัดอยู่ว่า ไม่ใช่ "ตัวความคิดคลั่งเจ้า" ที่ถอยหลังลงคลอง แต่เป็น "ความคิดของคนคลั่งเจ้า(ซึ่งมันโยงกลับไปที่หัวข้อหลัก ก็จะหมายถึงความคิดที่มีแต่จะปิดหูปิดตาคนอื่น)" ที่มันถอยหลังลงคลอง
ป.ล. คำว่า ด้อยสติปัญญา นั่นคุณก็เติมเองนะ ผมไม่ได้พูด
ส่วนตัวผมคิดว่า คนที่อยากถ่วงความเจริญ ให้ประเทศถอยหลังลงคลอง ก็ไม่ได้จะต้องโง่หรอกนะ เพราะคงมีเหตุผลพอ เช่นว่าหวังดี อยากจะให้คนอื่นได้อยู่ในประเทศที่สงบสุขไม่ต้องแก่งแย่งชิงดึกับใครเหมือนอย่างภูฐาน หรืออาจจะต้องการปกป้องธรรมชาติ หรืออาจจะอยากปกป้องสถานะของตัวเอง อยากรักษาสถานะชั่นสูงของตัวเองไว้ ด้วยการผลักให้คนอื่นลงไปจมปลัก
บอกตรง ๆ ว่าผมคิดอยู่แล้วว่าหนึ่งในวิธีการพิมพ์ตอบโต้ของคุณต้องมีประโยคที่ว่าผมเติมคำว่า "ด้อยสติปัญญา" ลงไปเอง เพราะผมสังเกตมาหลายครั้งแล้วว่าคุณมักจะเลี่ยงบาลีเวลาที่คุณไม่สามารถยอมรับได้ว่าตัวคุณเองกำลังดูถูกคนอื่นอยู่
ถ้าคุณคิดว่าผมตีความหมายของคำว่า "ถอยหลังลงคลอง" ผิด เช่น คำนี้สื่อถึงความเจริญก้าวหน้าทางความคิดสติปัญญา คุณก็ช่วยแถลงความหมายของคำนี้ในบริบทที่คุณใช้ออกมาหน่อยครับว่าคุณกำลังบอกว่าคนที่ "ถอยหลังลงคลอง" ในความคิดของคุณแปลว่าอะไร มีความคิดเป็นแบบไหน ถ้ากล้าคิดก็ช่วยกล้าพิมพ์ออกมาตรง ๆ ด้วยก็จะดีนะครับ
ดูคุณอ่านผม post เดียวแล้วตีความไปได้มากมายขนาดนี้ ผมก็ไม่รู้จะเรียกว่าคุณร้อนตัวหรือมีอคติต่อคนที่คิดไม่เหมือนคุณจนหน้ามืดตามัวกันแน่ เพราะที่ผม post ไปมีเรื่องเดียวคือเรื่องการใช้คำพูดดูถูกความคิดคนอื่น มีอคติต่อแนวความคิดของคนอื่นนั้นคือพวกที่ความคิดตัวเองคับแคบ เพราะไม่รู้จักที่จะพยายามทำความเข้าใจหลักการทางความคิดอื่น ๆ นอกเหนือจากของตัวเอง
คุณยังไม่เข้าใจความหมายของ post ผมด้วยซ้ำยังย้อนกลับมาใช้วลีนี้กับผมอีกซึ่งมันเป็นคนละบริบทกันเลย ผมไม่เคยดูถูกความคิดของคนอื่นว่าคิดอย่างไร คิดแตกต่างจากผมผมก็ฟัง แต่ที่ผมกำลังต่อว่าคุณอยู่มันไม่ใช่เรื่องความคิดหลักการของคุณแต่มันคือการกระทำ ซึ่งการกระทำที่ว่าก็คือ "การดูถูกความคิดคนอื่น" ถ้าคุณอ่านถึงตรงนี้แล้วยังแยกแยะประเด็นไม่แตกผมขอแนะนำให้ย้อนกลับไปอ่านตั้งแต่ต้นอีกรอบหนึ่ง ไม่ใช่เอาคำพูดของผมอีกเรื่องหนึ่งมาย้อนกลับแบบนี้ อยากจะใช้แต่ก็ยังใช้ผิดก็อย่าใช้จะดีกว่าครับ แทนที่มันจะยันผมกลับจนหน้าหงายมันกลับทำให้ผมรู้สึกตลกมากกว่า
นี่แหละครับใจความของ post ผมมีแค่นี้ จะมียกคำว่า "ประชาธิปไตย" มาเป็นตัวอย่างการนำเสนอความคิดคุณเท่านั้น ไม่เห็นว่าผมจะ post เรื่องมาตรา 112 ไปตอนไหน ไม่เห็นผมจะบอกว่าตัวผมคลั่งเจ้าไปตอนไหน ช่วยบอกผมหน่อยครับว่าคุณตีความจากประโยคไหนที่ผมเคยพิมพ์ไปใน blognone ว่าผมเป็นพวกอย่างที่คุณเรียกว่า "คลั่งเจ้า" (ซึ่งจริง ๆ ผมก็ไม่ชอบคำนี้หรอกนะ มันสื่อถึงลักษณะการเหยียดหยามผู้อื่นจากคนที่ใช้คำนี้) ผมว่าคุณคงเก็บกดและ anti กลุ่มที่ชอบระบอบกษัตริย์มากจนคิดว่าอะไรทุกอย่างที่ไม่ตรงกับคุณต้องไปอยู่ฝ่ายนั้นให้หมด ความต่อต้านอย่างรุนแรงของคุณมันแสดงออกมาทางคำพูดที่คุณพิมพ์ออกมาอย่างชัดเจน แต่ต้องขอโทษด้วยช่วยกลับไปอ่านให้ดีก่อนที่จะพิมพ์ reply อะไรใส่ความกล่าวหาจัดกลุ่มให้คนอื่นเสร็จสรรพในหัวตัวเองแบบนี้
จริง ๆ ผมมีข้อโต้แย้งกับประเด็นย่อยหลาย ๆ อย่างที่คุณพิมพ์มาเหมือนกันแต่ผมเห็นว่ามันคงไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ตอนนี้เท่าไรนัก ดังนั้นผมก็เลยจะขอจบการชี้แจงไว้ที่ scope เพียงเท่านี้ก็พอ สุดท้ายสิ่งที่ผมอยากจะฝากให้คุณได้คิดก็คือถ้าคุณคิดว่าตัวเองเป็นคนที่เคารพระบอบประชาธิปไตยจริงอย่างที่คุณว่า คุณควรจะเริ่มต้นด้วยการเคารพความคิดเห็นของผู้อื่นครับ ไม่ใช่เจอใครคิดต่างก็เสียดสีแดกดันฟาดงวงฟาดงาแบบนี้ เพราะสิ่งที่คุณทำมันไม่ใช่การเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงแต่มันคือ "การคลั่งระบอบประชาธิปไตย" ต่างหาก (ขออนุญาตใช้คำว่า "คลั่ง" กับคุณเป็นกรณีพิเศษแล้วกัน เห็นคุณใช้กับคนอื่นไปทั่ว คุณคงไม่คิดว่ามันเป็นการดูถูกคุณกระมัง ;)
That is the way things are.
ผมว่าผมก็เขียนแล้วชัดเจนใน ป.ล. อันนี้ก็ดูจะแสดงถึงความหน้ามืดตามัวของคุณอย่างมากจริงๆที่ไม่ยอมอ่านแค่ย่อหน้าสุดท้าย ไม่รู้จะ ข้ามมาทำไม
ส่วนการที่คุณกล่าวหว่าผมร้อนตัว ก็แล้วแต่คุณจะคิด แต่ที่ผมพูดได้อย่างเดียวคือผมโมโหมาก ว่าคนที่คลั่งเจ้าอย่างพวกคุณไม่เห็นคนอื่น เป็นคนเท่ากัน
สิ่งที่คุณพยายาม Present ออกมาอยู่นี่แหละคือความคิดดูถูกคนอื่น คุณคิดถูก ผมคิดผิด ฝ่ายคุณไตร่ตรองแล้ว ฝ่ายผมพูดโดยไม่ ไตร่ตรอง คุณอยากจะสื่อแค่นั้น และเหนือสิ่งอื่นดีใดคือการ Present ความคิดในทางสนับสนุนการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ ปิดหูปิดตาปิดปาก คนอื่น โดยเอากฏหมายมาอ้าง โดยไม่สนใจว่ากฏหมายที่มีมันมีความชอบธรรมหรือเปล่า ขัดต่อหลักการรึเปล่า นั่นแหละคือความคิดที่ เลวร้ายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ที่พวกคุณพ่นออกมาตลอดเวลาโดยที่คุณไม่เอะใจแม้แต่นิดว่ามันไปทำร้ายคนอื่นหรือไม่ เพราะคนอย่าง พวกคุณมีฐานคิดว่ามันเรื่องธรรมดาที่จะคิดแบบนี้อยู่ตลอด
พอมีคนวิจารณ์เจ้าโดนจับอย่างไม่เป็นธรรมก็ไปนั่งสะใจ สมควรแล้ว กฏหมายเทพ ชาบูๆ พอโดนโจมตีกลับก็กรี๊ดๆว่าเราเซนซิทีฟ แต่สิ่ง ที่ตัวเองทำมันละเมิดความเป็นมนุษย์ของคนอื่น ไม่เคยรู้สึกรู้สาอะไร
แล้วที่คุณจะตลกกับการที่ตัวเองทำในสิ่งที่ด่าคนอื่น แล้วพอโดนคนอื่นย้อน ก็ไม่เชื่อ ไม่รู้ตัว อันนี้ก็แล้วแต่คุณ มันก็คงเหมือนกับเรื่อง อื่นๆที่คุณทำเป็นเรื่องธรรมดาแล้วคุณก็ไม่รู้สึกตัวว่ามันเลวยังไงบ้าง
ผมไม่เคยปิดบังว่าผมต่อต้านคนคลั่งเจ้า ถ้าคุณเห็นผมเขียนแล้วบอกได้ว่าผมกำลังต่อต้านออกมาหมดทางคำพูด แปลว่าผมประสบ ความสำเร็จในการสื่อสาร
ความรักกับความคลั่งมันคนละคำกัน และผมไม่เคยคิดว่าคนที่รักจะต้องคลั่ง แต่พวกคุณเองต่างหากที่แยกแยะความรักกับความคลั่งไม่ ออก ไอ้รักมากจนต้องไปคิดปิดหูปิดตาปิดปากคนอื่น แล้วอ้างว่าก็ชั้นรักของชั้น นั่นแหละคือความคลั่ง ผมเห็นคนที่รักจริงๆเขาห้ามเลย ด้วยซ้ำ ไม่อยากอ้างว่าผมรักในหลวงเพราะคุณคงไม่เชื่อ แต่เพราะผมรักแค่ในหลวง ไม่ได้รักสถาบันกษัตริย์ ผมไม่ไมนด์กับการมีอยู่ ของสถาบัน แต่ถ้ามีพวกคลั่งเอาเรื่องสถาบันมาทำร้ายคนอื่นแบบนี้ผมก็ไม่ยอม
ผมไม่ยักรู้ว่าประชาธิปไตยแค่รับฟังไม่พอ ต้องไม่เสียดสี ต้องไม่แดกดัน ต้องไม่ตอบโต้ความคิดเห็นต่าง ผมเชื่อว่าประชาธิปไตยมีหลัก การเหมือนโต้วาที ถ้าคุณพูดอะไรก็ตามแต่ คนอื่นมีสิทธิ์พูดค้านได้ทุกอย่าง และมันก็ค้านกันไปเรื่อยๆ เพราะทุกคนมีสิทธิ์พูด ไม่มีใครมี สิทธิ์ปิดปากใคร ผมมีเหตุผลที่จะบอกว่าพวกคุณถอยหลังลงคลอง และถ้าคุณอยากเถียง
คนอื่นมีสิทธิ์พูดว่าสถาบันดีไม่ดียังไง และผมก็มีสิทธิ์เถียงด้วยเหตุผลและผมก็เคยทำ ผมเคยนั่งเถียงคนเกลียดสถาบันว่าหลายๆเรื่องที่ เลวร้ายเกิดขึ้นในประเทศไทยไม่จำเป็นต้องมาจากสถาบัน ในหลวงไม่ได้มีอำนาจควบคุมได้ทุกอย่าง และผมก็ Convince ให้เขาเลิกพูด ได้ เปลี่ยนเป้าโจมตีไปหาระบอบอำมาตย์แทน
ซึ้งคุณก็มีสิทธิ์นี้ แต่คุณไม่ใช้เอง คุณเลือกจะชูกฏหมายแล้วไล่ล่าคนๆนั้น พอคนๆนั้นรอดไปได้เขาก็ยิ่งไปพูดมากว่าไอ้พวกเชิดชูสถาบัน เถียงสู้ไม่ได้ก็ใช้กำลังปิดปากคนอื่น นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยมาตลอด 40 ปี
ผมอ่านย่อหน้าสุดท้ายแล้วครับ แต่เห็นคุณก็ยังคงเลี่ยงบาลีอยู่ก็เลยถามชัด ๆ อีกครั้งเท่านั้นเอง เห็นคุณบอกว่าไม่จำเป็นต้องโง่แต่อาจจะหวังดี คุณนำเอาความโง่ความฉลาดมาเปรียบเทียบกับความดีงามของจิตใจ มันเกี่ยวกันด้วยหรือครับ แต่ถ้าคุณยืนยันว่าคำพูดนี้ไม่ได้ดูถูกระดับสติปัญญาความคิดคนอื่น คราวหลังก็โปรดยินดีกับคำพูดนี้เวลามีคนมาพูดกับคุณหรือครอบครัวคุณด้วยนะครับ ;)
แล้วก็สั้น ๆ เลยนะครับ
ช่วย quote มาหน่อยครับว่าประโยคไหนที่ทำให้คุณเข้าใจว่าผมเป็นพวก "คลั่งเจ้า" อย่างที่คุณว่ามา ผมว่าผมพิมพ์ถามไปแล้วรอบหนึ่งนะครับ ถ้าอ่านข้ามไปจะ quote มาให้ดูอีกครั้ง
นี่ยังไม่นับว่าคุณกล่าวหาว่าผมสนับสนุนการปิดกั้นเสรีภาพอีก อ่านแล้วบอกตรง ๆ ว่าเหนื่อยหน่ายครับ เพราะไม่รู้ว่าประโยคไหนที่ผมไป post พูดไว้แบบนี้ เลิกกล่าวหาแล้วเอาหลักฐานมาแสดงให้ดูได้แล้วครับ ไม่งั้นก็เลิกพูดนอกประเด็นได้แล้ว จัดกลุ่มให้คนอื่นที่คิดต่างจากตัวเองไปทั่วแบบนี้ไม่ไหวนะครับ
ประชาธิปไตยเปิดโอกาสให้คุณโต้แย้งอย่างมีเหตุผลได้เสมอครับ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณมีสิทธิ์ไปดูถูกคนอื่นทางวาจาเพราะนั่นมันผิดกฎหมายหมิ่นประมาทครับ (ดูถูกดูหมิ่น) ไม่ได้บอกให้ฟังอย่างเดียวเลยครับ กรุณาจับประเด็นให้ถูกด้วยครับก่อนจะย้อนอะไรตลก ๆ แบบนี้ หรือว่าคุณไม่รู้จักวิธีแสดงความคิดเห็นแบบเคารพผู้อื่นครับ คราวก่อนที่โดน ban ไป 3 เดือนนี่ไม่ได้ไตร่ตรองอะไรเลยหรือครับ ?
ส่วนที่คุณคิดว่าผมดูถูกคนอื่น คุณเข้าใจผิดแล้วครับ ผมแค่ดูถูกคุณคนเดียวเท่านั้น เพราะผมคิดว่าการแสดงความคิดเห็นของตัวเองโดยไม่รู้จักเคารพความเห็นของคนอื่นเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมครับ ผมไม่เคยดูถูกความคิดของคุณแต่ผมไม่ชอบที่คุณใช้คำว่า "ถอยหลังลงคลอง" กับคนอื่นที่คิดไม่เหมือนคุณ มันมีวิธีอีกมากมายที่คุณจะนำเสนอความคิดแบบนั้นในที่สาธารณะโดยที่ไม่ต้องใช้คำนี้
ช่วยอ่านประเด็นให้เข้าใจแล้วก็เลิกตีวงออกนอกเรื่องหรือพูดซ้ำเรื่องเดิมได้แล้วครับ
That is the way things are.
ขอโทษนะครับ คำว่าคลั่งเจ้าของคุณน่ะ มันเป็นการกล่าวหาคนที่รักและเทิดทูนสถาบันอย่างผมนะครับ ผมมั่นใจว่าคนไทยรักและเทิดทูนสถาบันมาตั้งแต่จำความได้ ทั้งที่ไม่รู้เรื่องการเมืองซะอีก อย่างน้อยผมก็คนนึงล่ะ คำว่าหมิ่นสถาบัน มันอาจไม่มีอะไรกับคนอย่างคุณ เพราะคุณโหยหาสิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตย เหมือนหลอกตัวเองไปวันๆ คุณเข้าใจความหมายของคำเหล่านี้หรือเปล่า แล้วมันมีประโยชน์โดยตรงกับคุณมากแค่ไหน คำว่าประชาธิปไตย มันมีไว้ให้นักการเมืองมันเล่นเกมการเมืองกัน ฝ่ายไหนชนะก็ได้รับประโยชน์ไป แล้วมันมีอะไรตกถึงเราบ้างครับ ผมถามจริงๆ
การที่คุณสามารถแสดงความคิดเห็นแบบนี้ได้ยังไงครับ
สิ่งที่คุณได้จากประชาธิปไตย
Blognone = 138.1 news/w เยอะมากๆ
++++++11111111111
พวกคลั่งเจ้านี่เขาเคารพความคิดของคนที่ไม่รักเจ้าไหมครับ?
คือผมนึกว่าเราน่าจะอยู่ในยุคที่เลิกมาเถียงกันแล้วเสียอีกว่า จะเอาหรือว่าไม่เอาประชาธิปไตย
pittaya.com
คุณไม่รัก ผมไม่เคยว่า แต่มากระทำหยาบคายกับคนที่ผมเคารพ มันทนไม่ไหวจริง ๆ
ถ้าผมด่า ตัดต่อรูปทุเรศๆ เป็นหน้าพ่อคุณ คุณโกรธมั้ยครับ???
ข้างบนนั่นเป็นแค่ความรู้สึกนะครับ แต่ความจริงแล้วถ้าทำเรื่องแบบนั้นจริง ถึงจะเป็นคนธรรมดาโดนแบบนั้นก็สามารถฟ้องเอาผิดได้ ถูกมั้ยครับ เพราะมันก็ผิดกฎหมาย
อาจไม่โกรธ ถ้าวางอุเบกขาได้
แต่ถึงโกรธ ก็เอาคุณเข้าคุก 20 ปีไม่ได้หรอก
จริงๆ แล้ว กฎหมาย หรือ ประชาธิปไตย อะไรทั้งหลายแล้วแต่มันไม่ได้มีความสำคัญอะไรหรอกครับ คนเอามันมาเป็นเครื่องมือเพื่อจะตีตราว่าตัวเองถูกหรือผิดเท่านั้น คนที่จะทำเพจหมิ่นอย่างงั้น มันไม่มานั่งเปิดประมวลกฎหมายอะไรหรอก และผมคิดว่ามันก็ไม่รู้หรอกว่าประชาธิปไตยคืออะไร มีความหมายอะไรกับมัน
ที่สมควรให้ความสำคัญคือ คนไทยควรมีจิตสำนึก มีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณต่อแผ่นดิน สมควรแล้วหรือที่ปล่อยให้มีการว่าร้าย วิจารณ์สถาบันอย่างอยาบคาย ท่านผู้มีวุฒิภาวะทั้งหลายควรสำนึก แม้แค่แผ่นปริญญาบัตรที่ท่านได้รับพระราชทานมา ยังได้รับจากพระองค์ท่าน ท่านยังคิดจะเนรคุณท่านอีกเหรอ
ทำหยาบคาย ถ้าเข้าความผิด "หมิ่นประมาท ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้าย" ก็ว่ากันไปตามกฎหมายครับ
ข้อกฎหมายของ 112 กับหมิ่นประมาทบุคคลต่างกันอยู่เยอะนะครับ หยิบมาเทียบเคียงกันตรงๆ ไม่ได้หรอก
ต่อให้มีคนไปหมิ่นประมาทนายก ตัดต่อรูปเสียๆ หายๆ ก็ไม่มีทางติดคุกระดับเป็นสิบปีแน่ๆ หรือจะเทียบเคียงกับในประเทศแถบยุโรป เค้าด่า queen ว่าเป็น whore ซึ่งแรงมากๆ ก็มีโทษแค่ปรับนะครับ ไม่ได้ติดคุก
pittaya.com
แล้วถ้าวิจารณ์ถึงผลเสียของผลงานหรือโครงการพระราชดำริ เช่นบอกว่าฝนเทียมมันมีข้อเสียบลาๆๆๆ นี่ถือว่าผิด มาตรา 112 มั้ยครับ (อันนี้ถามจริงๆ ครับ อยากรู้)
ว่ากันตามตัวหนังสือในกฎหมายอาญา มันก็ไม่ควรจะผิดนะครับ แต่เข้าใจว่าการตีความมาตรา 112 ในระยะหลังนี่ครอบจักรวาลไปมาก ถ้าโดนแล้วต่อให้ศาลตัดสินว่าไม่ผิด แต่ระยะเวลาระหว่างดำเนินคดี ผู้ต้องหามักจะไม่ได้รับการประกันตัว ยิ่งคดียืดเยื้อ ก็ติดคุกฟรีๆ นาน
กรณีนี้จะมีตัวอย่างที่เพิ่งผ่านมาคือเรื่องเรือดันน้ำ ซึ่งในสังคมก็ไม่ได้มีการอภิปรายว่าช่วยน้ำท่วมได้หรือไม่ได้ คุ้มหรือไม่คุ้ม แต่เลือกที่จะเงียบ/เซ็นเซอร์ตัวเองกันมากกว่า
pittaya.com
เรื่องเรือดำน้ำผมเห็นในพันทิพย์วิจารณกันเยอะเลยนี่ครับ ว่าประโยชน์น่ะมี แต่น้อยมากจนไม่คุ้มเลยที่จะทำ
ลองเปรียบเทียบท่าทีของการวิจารณ์ กับกรณี บิ๊กแบ๊ก / น้ำดันน้ำ / ธรรมศาสตร์โมเดล / ขุดคลอง หรือนโยบายอื่นดูครับ
อย่างที่ผมบอกว่าในทางกฎหมาย มันไม่ควรจะผิดหรอก แต่ถ้าเรายังปล่อยให้มีการตีความกฎหมายอย่างครอบจักรวาลแบบนี้ วันหนึ่งมันก็สามารถถูกเอามาใช้เป็นเครื่องมือจัดการศัตรูทางการเมืองได้
ผมเชื่อว่ากฎหมายควรเขียนให้ชัดเจนและเจาะจงเข้าไว้ คนในสังคมจะได้รู้ว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ไม่งั้นเราก็ต้องอยู่ในสังคมที่มีแต่ความกลัวแหละครับ
pittaya.com
น่าจะขึ้นอยู่กับเรื่องมากกว่าครับ ว่าเป็นเรื่องอะไร ?
คุณอ่านไม่เข้าใจเองครับ ผมมองว่าการคลั่งเจ้าไม่ทำให้ประเทศถอยหลังลงคลอง แต่การที่มีกรอบความคิดแบบนั้นออกมานั่นต่างหากคือการถอยหลังลงคลอง ผมว่าคุณอ่านเห็นแค่คำว่าคลั่งเจ้าแน่ๆ
ผมมองว่าแทนที่เราจะปิดหูปิดตาประชาชน ทำไมเราไม่ช่วยกันแก้ต่างเปิดออกไปให้คนรู้พร้อมทั้งอธิบาย มันก็ไม่มีปัญหาแบบนี้ คนที่หลงผิดก็ได้มีโอกาสเข้าใจ คนที่เทิดทูนก็มีโอกาสตอบข้อสงสัยกันไป แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือครับ
คุณปิดบนดิน มันก็มีใต้ดิน แล้วมันก็ไม่ได้ลดลง
คุณอ่านประเด็นไม่แตก แล้วเหมาว่า คลั่งเจ้า = ถอยหลังลงคลอง ซะอย่างนั้นทบทวนใหม่นะครับ
การที่เหวี่ยงแห บล๊อคมันซะให้หมดนั่นหละ ถอยหลังลงคลอง หรือคุณคิดว่าความคิดนี้มันดี ?
Blognone = 138.1 news/w เยอะมากๆ
ผมว่า post มันก็สั้น ๆ นะครับ ผมคงไม่ได้อ่านแค่คำเดียวแล้วตีความ reply ออกมาได้เป็น 100 คำอย่างที่คุณว่าแน่นอน
กรอบความคิดแบบนั้นที่คุณว่านั้นคือกรอบความคิดแบบไหนหรือครับ ? เพราะผมอ่านไม่เจอคำอธิบายกรอบความคิดที่คุณว่าจาก 4 บรรทัดของคุณ Thaina เลยแต่ผมเห็นการดูถูกความคิดของคนอื่นเต็ม ๆ จาก post ของเขาครับ ถ้าแนวคิดแบบนี้ออกมาจากพรรคฝ่ายตรงข้ามคุณก็จะออกมาพูดหรือเปล่าครับว่า "คนคลั่งประชาธิปไตยนี่เขาคิดอะไรถอยหลังลงคลองกันขนาดนี้เขียวหรือ" คือผมเข้าใจว่านี่เป็นแนวทางความคิดของคุณมัลลิกาแต่ทำไมต้องฟาดงาเหมารวมไปยังคนอื่นที่นับถือสถาบันด้วยล่ะครับ ? ไม่คิดว่าการใช้คำพูดว่าเหมารวมแบบนี้มันเป็นการดูถูกคนอื่นหรือครับ ?
ความคิดของคุณมัลลิกา = ความคิดของคนคลั่งเจ้า ?
อีกเรื่องนะครับผมไม่เคยบอกว่าผมสนับสนุนการ block web อย่างที่คุณว่าเลยนะครับ ผมเคยพิมพ์ไปตรงไหนส่วนไหนของข่าวนี้ก็ quote มาได้เลยครับ ผมคุยกับคุณ Thaina เรื่องการดูถูกคนอื่นประเด็นเดียวทำไมชอบมีคนยัดเยียดประเด็นอื่นมาให้ผมอยู่เรื่อย
That is the way things are.
ก็ Post มันก็สั้นๆ แต่คนอื่นเขาก็อ่านประโยคภาษาไทยแล้วแปลได้ตรงตัว ไม่เหมือนคนอย่างพวกคุณที่พยายามจะแปลบิดเบือนเหวี่ยงแห เหมือนที่เหวี่ยงเอาคำวิจารณ์ให้ผิดกฏหมายหมิ่นให้ได้อย่างที่ทำมาตลอด
ความหมายมันก็มีแค่นี้ ที่เหลือเป็นคำขยายความของเขา คุณก็อ้างมาได้ว่าผมพูดแค่สั้นๆ คงแปลไม่ได้ยาวแบบนั้น มั่วนิ่มไปไหนก็ไม่รู้อีกแล้ว
การที่ผมพูดไปแล้วคุณก็เติมคำว่าด้อยสติปัญญาเข้ามานั่นยังน่าประนามกว่านะ เอาคำพูดมายัดปากคนอื่นแบบนั้นเนี่ย ไม่ใช่การถอดความหรือขยายความแต่อย่างใด คนอื่นเขาก็ช่วยผมอธิบายว่าไม่มีตรงไหนที่ผมพูดว่าคลั่งเจ้า == ถอยหลังลงคลอง
ต้องให้ผมสอนภาษาไทยคุณใช่รึเปล่า
คนคลั่งเจ้านี่ < ประธานของประโยค หมายรวมถึงคนและกลุ่มคนที่คลั่งเจ้า ซึ่งคำว่าคลั่งอันเป็นคำขยายนี่ก็เป็นคนละคำกับคำว่า รัก เทิดทูน ชื่นชม นับถือ มีความหมายของมันที่แม้แต่ Royalist จริงๆ ก็ยังแยกออกว่ารักกับคลั่งมันต่างกันยังไง ในที่นี้ก็หมายถึง ส.ส.ปชป. คนนี้ และคนที่ไปเห็นดีเห็นงามกับเธอ ก็คือคนอย่างพวกคุณนั่นแหละที่แยกกันไม่ออกว่ารักกับคลั่งมันต่างกันยังไง
เขาคิดอะไรถอยหลังลงคลอง < คำว่า อะไร ในที่นี้หมายถึงความคิดหรือกระบวนการคิดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างของกลุ่มคนดังกล่าว ซึ่งใช้ละไว้ ในฐานที่เข้าใจว่ามันต้องเป็นบางสิ่งบางอย่างที่มีบริบทรอบนอกที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างพูด ในทีนี้ก็ชี้ชัดว่าหมายถึงความคิดปิดประเทศของ ส.ส.ปชป. คนนี้ ที่กำลังพูดถึงอยู่ในกระทู้นี้
ถอยหลังลงคลอง < สนับสนุนการไม่พัฒนา ย้อนยุค คร่ำครึ ถ่วงความเจริญของคนอื่น โดยอาจมีเจตนาดีหรือร้าย จะวางแผนไว้ หรือไม่ใช้สมองเลยก็ตามแต่
ซึ่งคุณมั่วไปเป็นอะไรก็ไม่รู้ หะแรกผมก็นึกว่าผมคงอธิบายไม่เก่งเอง แต่ไม่ใช่นี่หว่า คนอื่นที่เขามาอ่านเขาก็เข้าใจอย่างที่ผมอยากให้เข้าใจ ผมไม่รู้ว่าคุณเรียนภาษาไทยมาแบบไหน แต่คงได้เกรด 4 วิชาอ่านหาเรื่องแน่นอน เป็นแบบนี้ทุกทีที่ผมต้องมาเถียงกับคุณ
ใช่ครับ ความคิดของเธอคนนี้ คือความคิดคลั่งเจ้า ในทางกลับกันถ้าฝ่ายประชาธิปไตยออกมาพูด ผมก็จะพูดว่า อุตส่าห์อยู่ฝ่ายประชาธิปไตย ทำไมคิดอะไรถอยหลังลงคลองแบบนี้ ไม่มีค่าพอจะเป็นตัวแทนฝ่ายก้าวหน้าเลย
แต่ตอนนี้คุณยังสับสนอยู่ด้วยซ้ำว่าสรุปคุณจะคิดว่าคลั่งเจ้าดีหรือไม่ดี ไปๆมาๆคุณมาสรุปเอาเองว่าผมเหมารวมคนที่นับถือสถาบัน ทั้งที่ผมใช้คำว่าคลั่งผมก็จงใจใช้เพื่อให้มันไม่รวมอยู่แล้ว แต่เน้นว่าความคิดและคำพูดของส.ส.ชื่อมัลลิกาคนนี้นี่แหละคือความคลั่ง ซึ่งถ้าคุณเห็นด้วยก็คือคลั่งไปด้วย คนรักสถาบันอีกเยอะแยะที่ไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับเธอ
นี่คือสิ่งที่คุณไม่เข้าใจแล้วพยายามเลี่ยงไปโจมตีเรื่องอื่น ทำแม้กระทั่งบิดเบือนความหมายในประโยคของผม
ตลกดีครับที่ post นี้มีคนมาเห็นด้วยกับคุณเพียง 1 คนคุณก็บอกว่าตัวเองเขียนภาษาไทยดีแล้วเก่งแล้วอธิบายทุกอย่างดีแล้ว ผมต่างหากที่ไม่เข้าใจภาษาไทยไม่รู้เรียนได้เกรดอะไรทำไมถึงอ่านไม่เข้าใจ เข้าใจเขียนเข้าข้างตัวเองดีครับอ่านแล้วคราวนี้ไม่รู้สึกตลกแต่รู้สึกสลดแทนมากกว่า ถ้าคุณจะใช้ตรรกะนี้ในการวิเคราะห์ว่าสิ่งที่่คุณเขียนมันเขียนดีแล้วหรือไม่ คุณควรกลับไปอ่านข่าวเก่า ๆ ดูบ้างนะครับว่าเคยมีคนตีความภาษาไทยของคุณแล้วไม่เห็นด้วยมากน้อยแค่ไหน ถ้ามันมากกว่าก็แปลว่าคุณตกภาษาไทยหรือเปล่าครับ ?
คำตอบคือไม่เลยต่างหาก เพราะมันไม่เกี่ยวกัน คนอื่นอ่าน post คุณแล้วเข้าใจว่าคุณดูถูกคนนับถือสถาบันแบบผมก็อาจจะมีแต่ไม่ได้พิมพ์ออกมาก็ได้ เขาอาจจะรู้สึกว่าการเถียงกับคุณมันไร้สาระเกินกว่าจะเสี่ยเวลาพิมพ์ตอบก็เป็นได้ แบบที่ผมกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ อะไรก็ตามที่ผมถามคุณแล้วคุณตอบไม่ได้คุณก็จะไม่ตอบแล้วเลี่ยงมาตอบ post ที่ผมคุยกับคนอื่นแทน ดูก็รู้เจตนาแล้วครับว่าจะหนีการตอบคำถาม
อย่ามาถามถึงเกรดภาษาไทยของผมเลยครับเพราะผมว่ามันก็เยอะอยู่เหมือนกัน ตั้งแต่เรียนมาจากระดับชั้นประถมปีที่ 1 ถึงมัธยมปลายปีที่ 6 แม้จะไม่ได้ 4 หมดทุกครั้งแต่ก็ได้เกรด 3 แค่ไม่กี่ครั้งเองครับ ไม่รู้ว่าพอผมพูดเรื่องเกรดไปแบบนี้ post หน้าคุณจะลามปามมาถึงสถานศึกษาครูบาอาจารย์ของผมต่ออีกหรือเปล่า เอาเป็นว่าเรื่องเกรดอย่าเอามาพูดเลยครับถ้าคุณเองก็ไม่ได้เรียนเก่งดีเลิศอะไรแบบนั้น พูดไปมันก็จะอายเข้าตัวเองเปล่า ๆ
แหม ... ออกมาอธิบายคำว่า "คลั่ง" ชนิดที่เรียกว่าหาทางลงให้ตัวเองอย่างสวยงามเลยทีเดียวนะครับ ทั้ง ๆ ที่ในใจก็ไม่รู้ว่าเรียบเรียงแบ่งแยกหมวดหมู่เอาไว้แบบนี้หรือเปล่า แต่ผมจะบอกให้อย่างนะครับว่าตรรกะนี้มันมีช่องโหว่ คนที่คลั่งเจ้าตามความหมายที่คุณว่า (ซึ่งผมก็ไม่เห็นว่าคุณจะเขียนอธิบายคำว่า "คลั่ง" ที่คุณอ้างถึงเลย คุณแค่บอกว่ามันไม่ใช่คำนั้นคำนี้) ก็ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับความคิดนี้ของคุณมัลลิกาที่ต้องการจะ block facebook กับ youtube หรือเปล่าครับ ? ผมมั่นใจได้เลยว่าอย่างน้อยต้องมี 1 คนบนประเทศนี้แน่นอนที่เป็นแบบนั้น เขาคนนั้นไม่จำเป็นต้องคิด "อะไร" ที่ตรงกับความคิดของคุณมัลลิกาอย่างที่คุณอธิบายในย่อหน้าถัดไปอีกด้วย แล้วการที่คุณไปใช้คำพูดเหมารวมว่าเขาคิด "อะไร" แบบนั้น "ถอยหลังลงคลอง" นี่ไม่ได้ตั้งใจดูถูกเขาหรือครับ ?
ถ้าคุณอยากจะใช้ความหมายแบบนี้คุณควรจะเพิ่มคำขยายไปเลยว่า "คนคลั่งเจ้าที่เห็นด้วยกับการปิดกั้น web ของคุณมัลลิกา" ให้มันจำเพาะเจาะจงไปครับไม่ใช่ด่ากราดด้วยคำกว้าง ๆ แล้วก็มาอธิบายคำกว้าง ๆ ที่ใช้ไปเสียละเอียดยิบย่อยแบบนี้ ภาษาไทยก่อนจะสอนคนอื่นควรหัดสอนตัวเองก่อนดีกว่าครับ ยิ่งเอาเรื่องเกรดมาพูดนี่ยิ่งน่าขันครับ แต่ผมว่าก่อนที่คุณจะไปแตกฉานภาษาไทยควรไปหัดเรียนรู้การใช้ภาษาติดต่อสื่อสารกับคนอื่นอย่างสุภาพก่อนก็ดีครับ ไม่รู้ว่าคุณเคยนับบ้างหรือเปล่าว่ามีกี่คนแล้วที่มาติงคุณเรื่องการใช้คำพูดดูถูกคนอื่นแบบนี้ แค่ในข่าวนี้ผมก็เห็นมี 2 คนแล้วยังไม่รู้สึกตัวอีกหรือครับ
กล้าคิดดูถูกคนอื่นแต่ไม่กล้ายอมรับ ... ผมว่ามันน่าละอายครับ
ปล. ที่ผมถามไว้ใน reply ช่วยไปตอบด้วยก็ดีนะครับโดยเฉพาะคำถามที่ว่า "คุณดูจากคำพูดของผมตรงไหนถึงได้มากล่าวหาจัดกลุ่มว่าผมเป็นพวกคลั่งเจ้า" กล่าวหาคนอื่นแบบผิด ๆ แล้วไม่รู้จักยอมรับไม่รู้จักขอโทษนี่คุณไม่ละอายบ้างหรือครับ ?
That is the way things are.
ขอบคุณที่มาตอบกันเยอะเลย
แต่ข่าวนี้ผมอยากให้มองไปที่วิธีการ ปลุกกระแส มากกว่านะครับ
ผมเขียน reply นี้ เพราะอยากชี้ให้เห็นว่า เขาไม่ได้ไม่รู้ว่าสังคมจะต่อต้าน
แต่เขารู้ และ ปชป รู้ จึงให้ข่าวไปแบบนี้
เพื่อให้เกิดกระแส การตื่นตัว เรื่องเวปหมิ่น จริงๆจังๆเสียที
เมื่อใดที่ไม่เกี่ยวกับเรา เราก็ไ่ม่สนใจ
แต่เมื่อใดที่เราเริ่มรู้สึกว่า เห้อ นี้เราจะโดนปิด facebook นะ เราจะโดนปิด youtube
นะ เราจึงสนใจข่าวนี้ขึ้นมา เพราะเขาฉลาดที่จะลากให้เราไปเีกี่ยวข้อง
และสนใจเนื้อหาที่ว่า นี้การหมิ่นมันมากขึ้นนะ มันพัฒนาการมากขึ้นนะ
ส่วนคนที่ไปว่าคนอื่น บ้านั้น คลั่งนี้ ในความคิดผม
ผมสงสารคนเหล่านี้ครับ ไม่ว่าคุณจะเป็นฝ่ายสนับสนุน หรือ ไม่ก็ตาม
ผมเห็นใจเขาเหล่านั้น
ที่ต้องมาตกเป็นบ่วง เป็นกรรม ทางความคิด ต่อไปเรื่อยๆ
คนเหล่านี้ เดินได้คล่องขึ้น เมื่อเห็นเพื่อนบ้านขาหัก
คนเหล่านี้ รู้สึกหัวสมองดีขึ้น เมื่อเห็นคนอื่นปวดหัว
คนเหล่านี้ มองเห็นได้ชัดขึ้น เมื่อเห็นคนอื่นแสบตา
และ คนเหล่านี้ ไม่ชอบความโชคดี เออ ผมหมายถึง โชคดีของคนอื่นอะครับ ^^
อีกทางหนึ่ง ก็อาจทำให้มองเห็นถึงความสามารถในการแก้ไขปัญหาของผู้พูด ได้เช่นกันครับ
ประเด็นที่ผมเห็นคนมา comment ผมเห็นว่าส่วนใหญ่ก็ไม่ได้คุยกันว่า จะทำยังไงดี ขั้นจะใช้ youtube ไม่ได้ ชั้นจะใช้ facebook ไม่ได้ ต้องรีบไปช่วยเค้าแจ้ง page หมิ่นฯ แล้ว!?
ส่วนใหญ่ก็จะโต้แย้งถึงความเหมาะสมในวิธีการแก้ปัญหาที่เธอชูขึ้นมา ฯลฯ มากกว่านะครับ?
ผมกำลังชี้ว่า คุณมัลลิำกา ทราบ ว่าวิธีการแก้ปัญหานี้ มันไม่ได้เรื่อง
มันห่วย มันแก้ที่ปลายเหตุ มันไม่ควรทำ
ผมคิดว่า คุณมัลลิกา ที่อยู่ในวงการเมืองมานาน ก็ต้องทราบ จริงหรือป่าว
แต่วิธี ทำให้เป็นข่าว สิ สำคัญกว่า จริงมั๊ยครับ
ลองคิดดูนะ
ถ้าคุณมัลลิกา ออกมาบอกว่า ควรปราบปรามคนที่โพสเนื้อหาไม่เหมาะสม
ควรตั้งคณะกรรมธิการร่วม ในการทำงานควบคู่กับ MICT ในการปราบปราม
ถ้าเนื้อหาข่าวเป็นแบบนี้ ลองคิดว่า เราจะสนใจข่าวนี้มั๊ยครับ :)
ผมไม่ได้เชียร์ใครนะครับ เพียงแต่ต้องการชี้ให้เห็นประเด็นว่า
เขาต้องการแบบนี้ เขาเลยให้ข่าวแบบนี้ เพราะเขาต้องการให้
ประชาชนสนใจ เมื่อประชาชนสนใจ มันก็จะกลายเป็นเรื่องสำคัญ
และนำสู่การผลักดันให้เกิด การตอบสนองต่อปัญหานั้นครับ
ผมว่าคุณ boykeng คิดได้ไกลกว่าคุณมัลลิกาเยอะ เผลอ ๆ เจ้าตัวยังงงเองเลย
แสดงว่า ผมไปเป็น สว ได้แระ สินะครับ ฮาๆๆ ล้อเล่น นะ
"ผมว่าคุณ boykeng คิดได้ไกลกว่าคุณมัลลิกาเยอะ เผลอ ๆ เจ้าตัวยังงงเองเลย"
อ่าน 2-3 เที่ยว ชักเริ่มชอบแฮะ .. หุหุ
ก็เลยเอาตัวเข้าแลกเลย ว่างั้น!?
การอยู่ในวงการเมืองมานาน ไม่ได้หมายความว่าจะช่วยให้กระบวนการคิดดีขึ้นได้นี่ครับ? บางครั้งอย่างที่เราเห็นว่า อาจจะทำให้แย่หนักกว่าเดิม เพราะมัวมาหวังพูดเพื่อสร้างภาพ ทำอะไรให้หวังผลที่จะได้รับ หรือแม้แต่ดีแต่พูด ฯลฯ
ส่วนวิธีการนำเสนอ มีได้หลายวิธีครับ เช่น กรณีคุณชูวิทย์ ที่สามารถเปิดประเด็นหลาย ๆ อย่างให้เป็นประเด็นได้ (ที่ดีก็มี ที่เกินไปหน่อยก็มี) วิธีการที่คุณยกตัวอย่างก็อาจจะเข้าท่าก็ได้?
ที่สำคัญคือผมเชื่อว่า วิธีการนี้ไม่สามารถผลักได้ให้เกิดการตอบสนองต่อปัญหาในลักษณะที่จะไปช่วยกันแก้ปัญหาต้นเหตุ ได้จากกลุ่มผู้ใช้ Facebook และ Youtube หรือแม้แต่ Internet ก็ตาม นอกจากเสียงอื่น ๆ ด้านบน (นอกจากของคุณ)
ถ้าปัญหามันแก้กันง่ายๆแค่ออกข่าวมา ผมว่าปัญหาคงจบไปนานแล้วใช่มั๊ยครับ
ต้องยอมรับก่อนว่า เรื่องนี้มันแก้ไขยาก เพราะมันเกี่ยวกับระบบความคิดคน
ว่าอะไรก็ว่าได้ ตำหนิอะไรก็ตำหนิได้ แต่อย่าไปยุ่งกับความเชื่อส่วนบุคคล
เรื่องแบบนี้ ว่ากันไม่ได้หรอกครับ ใครจะคิดยังไง
เรื่องการอยู่การเมืองมานาน ผมกำลังบอกว่า เขารู้ว่าเขาทำอะไร
ส่วนผลจะดีหรือป่าว มันก็ต้องดูกันที่อื่น
นี้ถ้าไม่มีข่าวนี้นะ blognone คงมีหน้าข่าวที่คนมาอ่าน ณ เวลานี้
8378 คอมเม้นอีก 239 คอมเม้น แล้ว นี้มาจะครึ่งนึง
ของข่าว สตีฟ จ๊อบ เสียชีวิตแล้วนะครับ ^^
แสดงว่า เราตื่นตัวกับข่าวนี้ จริงมั๊ยครับ เขาทำสำเร็จ
เค้าก็เลยกำลังออกมาบอกสิ่งที่รู้ว่าทำไม่ได้ ให้คนอื่นทำให้ได้?
มันแสดงให้เห็นว่าเค้ากำลังเล่นเกมการเมือง ไม่ได้ฉลาดที่จะหาวิธีทำให้คนมาสนใจปัญหานี้อย่างที่คุณว่ามาเลยไงครับ
แล้ว คุณ btxxxx คิดว่า คุณมัลลิกา ต้องทำอะไรเหรอครับ ??
หรือจริงๆ คุณ btxxxx ก็ไม่ทราบ ครับ ^^
ก็ไม่ทราบน่ะสิครับ ใครจะไปบอกได้นอกจากเจ้าตัวเอง (หรือคุณเป็นคุณมัลลิกาปลอมตัวมา?
แต่ถ้าใครก็ตามคิดจากเหตุผลแล้ว ก็อย่างที่บอกไปด้านบนว่า จากวิธีการที่คนพรรคนี้ใช้ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นเรื่องทำให้เกิดขึ้นจริงไม่ได้ (เหมือนที่คุณว่า) ก็เอามา "อิงเจ้า" กล่าวว่าฝ่ายตรงข้าม ก็แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่าตั้งใจหวังผลการเมือง พูดให้ฝ่ายตรงข้ามดูแย่ แล้วตัวเองดูดี เป็นเอกลักษณ์เฉพาะอยู่แล้ว จนอาจจะลืมไปว่าการที่มัวแต่มาทำแบบนี้ กลับจะยิ่งทำให้คนที่ "คิดอีกอย่าง" ยิ่งรู้สึกชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน
ส่วนถ้าต้องการช่วยลด หรือ กำจัดเว็บหมิ่นฯ คุณก็ไปไล่แจ้งบล็อค แจ้งปิด แจ้งความ ฯลฯ ให้หมด หรือสร้างจิตสำนึกให้คนคล้อยตามคุณ การออกมาพูดลักษณะนี้ ไม่ได้ทำให้ปัญหาลดลงได้หรอกครับ
ถ้าโต้แย้งต่อก็ขอเป็น เหตุผลดีกว่านะครับ หรือถ้ายังไม่ชัดเจนพอ ลองไปอ่านข้างล่างต่อนะครับ ^^
ผมไม่คิดว่าคุณมัลลิกาจะคิดอย่างนั้น หลักๆเขาก็แค่ต้องการดิสเครดิตรัฐบาล และต้องการจะเก็บแต้มจากคนที่มีความเคารพสถาบันเท่านั้น (บางทีเจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจจะไปฟ้องปิดเว็ปที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วยซ้ำไป - อันนี้ผมเดาเอง)
เรื่องที่ว่าคุณมัลลิกานี่จะเป็นการจุดกระแสให้มีการตื่นตัวเรื่องการปราบปรามเว็ปหมิ่นนี่ ผมคิดดูว่ามันออกจะแปลกมากโข ในเมื่อเราท่านต่างเชื่อกันว่าประเทศนี้มีคนที่รักสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นส่วนใหญ่ การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นอะไรที่ยินยอมไม่ได้ และทำให้ "คนไทย" เจ็บปวด
แต่ไฉนจึงต้องมารอคุณมัลลิกามาบอกว่าจะปิด facebook หรือ youtube แล้วจึงจะเกิดกระแสตื่นตัวต่อการจัดการกับเว็ปที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มันไม่แปลกและย้อนแย้งตัวเองไปหน่อยหรือครับ
จะอย่างไรก็ตามผมคิดว่าการมาเสนอไอเดียว่าให้จัดการแบน facebook หรือ youtube เลยนี่ มันยังไงก็ถอยหลังลงคลอง เป็นวิธีการที่ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
ถ้าจะถามว่าวิธีการใดเหมาะสม วิธีการที่ดีกว่าคือ การให้ข้อมูลแก่คนไม่ใช่หรือครับ
ยกตัวอย่างเช่น เห็นใน facebook หรือไม่ครับ ที่มีการรณรงค์ให้มีการ bomb report page ใน facebook ที่อ้างว่ามันมีระบบ autopotion อะไรนี่อยู่ (ไม่ทราบว่าระบบนี้มีอยู่จริงหรือเปล่าครับ ใครพอจะบอกได้มั๊ยครับ) นั่นก็วิธีการหนึ่ง
เพราะอาจจะสัณนิษฐานได้ว่า การที่มีเว็ปหมิ่นอยู่ทั้งที่มีหูตาจำนวนมากที่ไม่ยอมให้มีนั้น ก็อาจจะเกิดจากการที่คนที่เคารพในสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ทราบว่าจะจัดการลงมือทำอะไรได้บ้าง จะไปแจ้งความจะแจ้งกับใครที่ไหนอย่างไร หรือตัวมีอำนาจพอจะทำอะไรได้บ้าง
ถ้าคุณมัลลิกาฉลาดพอ คุณมัลลิกาก็อาจจะตีฝีปากสอนสั่งรัฐมนตรีว่าการ ICT (หรือรัฐบาล) ว่ามันมีข้อกฎหมายอย่างนี้ มันมีวิธีการอย่างนี้ ที่จะทำให้ประชาชนช่วยเป็นหูเห็นตา ช่วยเหลือรัฐบาลทำงานได้ด้วย เผื่อท่านรัฐมนตรี (หรือรัฐบาล) ยังไม่ทราบหรือว่ายังมือใหม่อยู่แบบนี้ อาจจะหยอดซ้ำด้วยว่าถ้ารัฐบาลไม่ทำงานประชาชนก็ต้องทำงานเอง อะไรแบบนี้ ถ้าทำอย่างนั้นคุณมัลลิกาก็อาจจะทำการกระแนะกระแหนรัฐบาลของพรรคการเมืองคู่แข่งและเป็นการจุดกระแสให้มีการตื่นตัวจัดการกับเว็ปเหล่านั้นอย่างเป็นรูปธรรมจริงได้พร้อมกัน มันคงดีกว่าการหวังแค่การปลุกกระแสตีกินทางการเมืองแน่นอนครับ
แต่ไฉนจึงต้องมารอคุณมัลลิกามาบอกว่าจะปิด facebook หรือ youtube แล้วจึงจะเกิดกระแสตื่นตัวต่อการจัดการกับเว็ปที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มันไม่แปลกและย้อนแย้งตัวเองไปหน่อยหรือครับ
จะอย่างไรก็ตามผมคิดว่าการมาเสนอไอเดียว่าให้จัดการแบน facebook หรือ youtube เลยนี่ มันยังไงก็ถอยหลังลงคลอง เป็ยวิธีการที่ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
ถ้าจะถามว่าวิธีการใดเหมาะสม วิธีการที่ดีกว่าคือ การให้ข้อมูลแก่คนไม่ใช่หรือครับ
ผมว่าคุณมองตื้่นไปไหมครับ ว่าคนรีบออกมาต่อต้าน เพราะกลัวไม่ได้ up status หรือเล่นเกม? ผมว่ามันเป็นมุมมองของคุณเพียงคนเดียว ที่คิดว่า FB มันทำได้แค่นั้น
หรือเอาง่ายๆ ทำไมคุณมัลลิกา ถึงได้ใช้ FB ทำ fanpage เรื่องนี้เสียเอง เพราะเขากลับไม่ได้เล่นเกมหรือเปล่า?
ทำไมไม่มองถึง freedom of speech และมองเห็นถึงปัญหาการปิดกั้น ที่เป็นการเกาไม่ถูกที่คัน และจะทำให้เกิดปัญหารุนแรงมากขึ้นจากการปลุกระดมผิดๆ?
แน่นอนว่า free of speech คงไม่ได้หมายความว่าจะด่าใครได้ตามใจชอบ แต่โทษหมิ่นประมาทบุคคล กับโทษหมิ่นฯ มันรุนแรงต่างกันมากเกินไป โทษระหว่างบุคคลคือจำคุกไม่เกิน 2ปี(ใกล้เคียงกับทั่วโลก) ในขณะที่โทษหมิ่นฯจำคุกขั้นต่ำตั้งแต่ 3-15ปี และไม่มีข้อกฎหมายให้ยกเว้นโทษ(ในขณะที่คดีฆ่าคนตาย ยังมีเหตุให้ยกเว้นโทษเลยนะครับ เช่นคดีดร.นิด้าตีเมียตายแล้วรอลงอาญา แต่คดีหมิ่นฯไม่มีรอลงอาญาฯครับ ไม่ยกฟ้องก็ติดคุกกันหัวโต) ผมว่าเรากำลังยึดมั่นผิดๆ ว่าทำไมการใช้คำพูด ถึงได้รุนแรงมากกว่าการฆ่าคนตายไปได้? และทำไมเราถึงสร้างความเกลียดชังได้จนไม่มองถึงสิทธิในความเป็นคนของคนอื่นๆ?
การใช้กฎหมายมุ่้งจำกัดด้วยกำลัง รังแต่จะทำให้เกิดแรงต้านนะครับ คนที่รักและอยากปกป้องจริงๆต้องคิดให้มีเหตุผล อย่าใช้แต่ความรู้สึก ไม่ังั้นก็ไม่ต่างจากเหล่าซอมบี้สักเท่าไร
เราเห็นเกาหลีเหนือ ลิเบียยุคกัดดาฟี่เป็นยังไง ต่างชาติเขาก็มองเราไม่ต่างกันสักเท่าไรนั่นแหละครับ เขาไม่ได้มองถึงแค่การใช้ชีวิตว่ายังไม่อดตาย แต่ของมองกันถึงสิทธิเสรีภาพตามธรรมชาติอีกด้วย
โดยส่วนตัว เห็นว่าการออกมาของคุณมัลลิกา เป็นการสอดรับของกระบวนการจัดตั้งแบบหนึ่งครับ ลองหาอ่านงานในยุคช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 แล้วจะเห็นว่า กลุ่มนวพล และกระทิงแดง ลูกเสือชาวบ้าน เขาก็มีกิจกรรมและการปลุกระดมราวๆนี้กัน ตอนนั้นกลุ่มนวพลก็เรียกร้องให้รัฐบาลจัดการนักศึกษา ที่แสดงละครหมิ่น(เขาว่าหมิ่นเพราะนสพ.ตัดต่อรูปนะ) หรืออ่านพาดข่าวไทยโพสต์ตอนที่มีข่าวลือพรฎ. แล้วไม่ต่างจากอ่านหนังสือพิมพ์ที่ตัดต่อรูปแขวนคอเลย ลองหาอ่านหลักฐานเก่าๆย้อนดู แล้วจะเห็นว่ามันล้อกันครับ
ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเสมอ แต่ผลลัพธ์อาจจะไม่เหมือนเดิม...
ผมคงเขียนไม่ชัดเจน ต้องขออภัยด้วยครับ
"การให้ข้อมูล" ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงการสร้างกระแสให้รู้ว่ามันมีเว็ปที่มีเนื้อหาในเชิงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ผมคิดคนโดยทั่วก็รับทราบอยู่แล้วว่ามันมีเว็ปที่มีเนื้อหาเช่นนั้นอยู่ แต่บ้างก็เข้าไม่ถึง บ้างก็ไม่ได้จะเสาะหา (เพราะไม่รู้ว่าจะเสาะหาทำไม)
การสร้างกระแสของคุณมัลลิกาจึงไม่ถูกต้อง เพราะมันไม่ได้แก้ปัญหาอะไร รังแต่จะสร้างความแตกตื่นเสียมากกว่า ตัวอย่างเช่น จู่ๆมีผู้มีชื่อเสียงพอสมควรมาพูดว่าอาหารจะขาดแคลนในช่วงน้ำท่วม พูดแค่เท่านั้น จบแค่นั้น เสร็จแล้วก็เกิดความแตกตื่น ผู้คนไปแห่กักตุนอาหารจนสุดท้ายก็เกิดการขาดแคลนทั้งที่ไม่ควรจะขาดแคลน จนต้องมารณรงค์ให้มีสติกันทีหลัง
ประเด็นคือ การสร้างกระแสของคุณมัลลิกา มันเป็นการตีกินทางการเมือง ไม่ได้จะบอกถึงการแก้ปัญหาอะไร นอกจากแนวทางที่มันเป็นไปไม่ได้ และสร้างวิวาทะขึ้นในสังคมแบบเสียเปล่า ไม่ก่อเกิดการพัฒนาอะไร เพราะมันเป็นวิวาทะที่ไร้ทิศทาง คือ บอกปัญหาให้ใหญ่โต สร้างความแตกตื่น แล้วก็ให้ฝูงชนไปงมทางแก้ปัญหาเอาเอง
ดังนั้น "การให้ข้อมูล" ที่ผมหมายถึงก็คือ การให้ข้อมูลว่า ประชาชน "สามารถจัดการกับปัญหา" ได้อย่างไรบ้าง ให้หูตาที่มีจำนวนมหาศาลนี้ เกิดความตระหนักว่าจะช่วยแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนได้อย่างไร ซึ่งตัวอย่างที่ผมยกขึ้นมาว่า มันมีการรณรงค์เกี่ยวกับการ bomb report page ใน facebook นั่นแหละครับ คือตัวอย่างหนึ่งของการ "ให้ข้อมูล" ที่ควรจะทำมากกว่าการสร้างกระแสอย่างไร้ทิศทางอย่างที่คุณมัลลิกาได้กระทำ (ทั้งนี้ ผมไม่ทราบว่าการรณรงค์ที่ยกตัวอย่างมานั้นได้ผลหรือไม่ ถูกต้องหรือไม่นะครับ เป็นคนละประเด็นกัน)
+1 อ่านเกมขาดครับ
กฎหมายหมิ่นมีไว้ทำลายฝั่งตรงข้ามมากกว่าที่จะทำให้ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน
ถ้าคุณมัลลิกาอยากให้ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเหมือนกัน
รบกวนจัดการสนธิ ลิ้มจาบจ้วง, สส ปชป ไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญ, นักข่าวบอกหักคอ, นักพูดบอกอย่าบีบ ด้วย
ผมดูว่าเค้าพูดประชดนะ
แต่ทำไมเขียนหัวข้อข่าวเหมือนจงใจชี้นำให้เข้าใจไปอีกแบบ?
เพราะผมเข้าใจแบบนั้นครับ ถ้ารองโฆษกพรรคการเมืองใหญ่ ใช้เวทีพรรคมานั่งพูดประชดประชัดให้นักข่าวฟัง
ผมว่าควรลาออก
ดังนั้นผมจึงเขียนโดยทำความเข้าใจตรงตัวตามที่พูดมาครับ ถ้าใครไปถามจากทวิตเตอร์ของเธอแล้วเธอบอกว่าเธอประชด ผมก็ไม่มีปัญหาที่จะเขียนข่าวแก้ให้แต่อย่างใด
ในการเขียนข่าว ผมคงไม่ไปนั่งในความคิดของผู้แถลงเองนอกจากจะแสดงความเห็นกำกับแยกจากเนื้อหาข้อเท็จจริง กรณีนี้มีมีความเห็นในบางส่วนแยกไว้คนละย่อหน้าตามเนื้อข่าวที่เขียน และลงแถลงการเต็มไว้ให้แล้ว ถ้าใครเข้าใจได้ว่าเป็นการประชด ก็ไม่ได้ผิดอะไรครับ ถ้าอยากรู้ว่าประชดจริงหรือไม่ ก็ไปตามถามได้ในทวิตเตอร์เลยครับ
lewcpe.com, @wasonliw
สงสารประเทศไทย T^T
もういい
อ่านหลายความเห็นในนี้แล้วก็พบว่า
หลายๆ คนคิดว่า ประชาธิปไตยคือการทำอะไรก็ได้ โดยไม่สนว่ากฎหมายจะกำหนดไว้ยังไง
อื้ม...เจริญละประเทศไทย = ="
แต่ผมกลับพบว่า บางคนยังสับสนระหว่างกฎหมายที่เป็นธรรมกับสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนควรได้รับ ในระบอบประชาธิปไตยอยู่เลยน่ะครับ
กฎหมายดำรงไว้เพื่อความเป็นธรรมและรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม การใช้กฎหมายเพื่อกดขี่ปิดปากปิดเสียงในการแสดงความคิดเห็น
ต่างประเทศเขาไม่มาช่วยปิดให้หรอกครับ
ดีน่ะครับที่เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทย ฮาๆ
ความเห็นไหนหรือครับ ไปตอบต่อไว้ได้เลยผมจะได้ช่วยแสดงความเห็นมั่ง
lewcpe.com, @wasonliw
5555+ คุณ Lew แกล้งทำเป็นไม่เห็น หรือว่าทำเป็นไม่รู้สึกหรือเปล่าครับ
ผมไม่ได้อ่านทุกอันครับ อันนี้เป็นความจริง หลายอันก็อ่านเพียงผ่านๆ จำนวนคอมเมนต์เยอะ และยาวมาก ถ้าคาดหวังให้ผมอ่านทุกอย่างคงไม่ต้องทำอะไรอีกเลย
อย่างไรก็ตามผม "ไม่สนับสนุน" (แม้จะไม่ได้ห้าม) การโยนความเห็นต่อ "ความเห็นอื่นๆ" โดยไม่เจาะจงเช่นนี้ครับ ผมตีความว่ามันคือการโจมตีคนอื่น โดยไม่เปิดโอกาสให้เขาตอบโต้ มันไม่พัฒนาอะไรขึ้นมานอกจากได้ระบายความอึดอัดส่วนตัว สร้างบรรยากาศที่อึดอัด กดไม่ให้คนอื่นแสดงความเห็นเพราะกลัวเป็นตามที่กล่าวหา และไม่เปิดโอกาสให้คนที่มีพฤติกรรมเช่นนั้นปรับเปลี่ยน
ถ้ามันเยอะ มีหลายอันที่เข้าข่าย ทุกคอมเมนต์มี URL เป็นของตัวเองให้อ้างอิงไปได้ ถ้ามันนอกเรื่องจากข่าว ผมไม่ได้ห้ามตั้งกระทู้ใหม่แล้วอ้างอิงถึงคอมเมนต์เหล่านั้น
lewcpe.com, @wasonliw
ขออภัยครับคุณลิ่ว
โควตาผมมีน้อยเลยไม่สามารถตอบได้หมดครับ แล้วผมคงเป็นคนส่วนน้อยที่ความเห็นไม่ตรงคนอื่นในนี้ด้วย
แต่อันที่ผมไม่เห็นด้วยมากๆ ผมก็ได้ตอบเค้าไปแล้วครับ
อ่านความเห็นของบางคนแล้วก็พบว่า ดูเหมือนบางคนจะไม่เข้าใจถึงคำว่า ความชอบธรรมของกฏหมาย และการมีกฏหมายภายใต้ระบอบประชาธิปไตย
คนพวกนี้นี่ ถ้ามีกฏหมายตกค้างจากยุคสมบูรณาญา อย่างเช่นบอกว่าทุกคนเป็นทรัพย์สินของฮ่องเต้ ฮ่องเต้อยากได้ผู้หญิงคนไหนมาเป็นสนมก็ได้ ก็คงจะรีบถวายลูกเมียตัวเองด้วยความซาบซึ้ง เพราะกฏหมายทุกข้อเขียนมาดีแล้ว ถูกต้องเสมอ บ้านเมืองเรามีกฏหมายยังไงก็ได้ไม่ต้องไปสนหลักประชาธิปไตย ไม่ต้องไปสนประชาคมโลกด้วยเพราะเรา UNIQUE เราหญ่ายยยย เราพึ่งตัวเองได้ ปิดประเทศได้ซำเหมอ
อะ ชาบู แซบซุ้งงง
ป.ล. ถึงคุณ : Worwae07
บางทีอาจเป็นแค่กลุ่มของพวกคุณเองที่รู้สึกกันแบบนั้นไปเอง คนอื่นเขาไม่รู้สึก
คุณเคยได้ลองตัดสินหรือยัง ว่าทุกสิ่งที่คุณเขียน ไม่เอียงไปฝั่งใดฝั่งหนึ่ง และมีความเป็นกลางของทั้ง 2 ด้านเสมอ ผมไม่ได้เรียกร้องให้คนมาสนใจความรู้สึกของผม หรือว่าใคร คุณบอกเองว่าเรามีสิทธิในการเขียน วิจารณ์ ซึ่งผมก็วิจารณ์อยู่ และถ้าเผื่อทันไม่สังเกตเห็น ผมไม่ได้จะสื่อว่าคนไทยควรเข้าใจกฎหมายแล้วออกมาด่ากัน แต่ให้คนไทยช่วยกันทำนุ บำรุงสิ่งที่ยังดีงาม ให้มันยังดีงามอยู่อย่างนั้น อะไรทีเราเคยปฎิญาณ(ในเพลงชาติ,เพลงสรรเสริญฯ) นั่นคือหน้าที่ แต่ถ้า(กลุ่ม) คุณอยากจะตามรอยบางประเทศในยุโรป หรือประเทศเพื่อนบ้านเราก็แล้วแต่ ก็สุดแท้แล้วแต่ความคิดครับ เพราะผมเห็นว่า มันไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับผมเลย
ผมไม่เคยเป็นกลางและไม่เคยบอกว่าผมไม่มีอคติ สิ่งที่ผมมั่นใจคือทุกอย่างที่ผมเขียนผมมีเหตุผล
เหมือนที่คนชอบบอกว่าไม่เคยเป็นกลาง เข้าข้างอะไรก็ตามแต่ ผมก็ไม่เคยเป็นกลาง ผมยืนข้างความถูกต้อง พอใจมั้ยครับ
และมันก็ไม่เกี่ยวกับที่คุณพูดนี่ คุณไปหัวเราะคุณลิ่ว หาว่าเขาไม่รู้สึกว่ามี "คนคิดว่า ประชาธิปไตยคือการทำอะไรก็ได้ โดยไม่สนว่ากฎหมายจะกำหนดไว้ยังไง" นั่นคือประเด็นว่าคนอื่นเขาอาจไม่รู้สึกอย่างที่พวกคุณรู้สึกก็ได้ คนอื่นเขารู้ซึ้งถึงความสำคัญของกฏหมาย ไม่เคยคิดสุดโต่งไปถึงการไม่มีกฏหมาย มีแต่คนอย่างพวกคุณที่คิดไปเอง รู้สึกไปเอง ทั้งที่คนอื่นต้องการแค่กฏหมายให้มันถูกต้องตามหลักประชาธิปไตย และแก้กฏหมายเสร็จก็ไปลดโทษหรือปลดโทษ ชดใช้ให้คนที่เคยไม่ได้รับความเป็นธรรม
การที่คุณคิดว่าอะไรก็ตามแต่มันคือหน้าที่ มันเรื่องของคุณ คุณไม่มีสิทธิ์ไปยัดเยียดให้คนอื่น เหมือนการเลือกตั้งมันไม่ใช่หน้าที่ แต่มันคือสิทธิ์ จะไม่ใช้ก็ได้ ก็แค่ว่าคนที่ไม่ใช้ก็ไม่มีสิทธิ์มาโวยวายกับสิ่งที่ตัวเองเลือกได้แต่ไม่ยอมเลือก
คุณจะคิดว่าเกิดหรือไม่เกิดประโยชน์กับคุณก็เรื่องของคุณ คนอื่นเรียกร้องก็เพราะมันเกิดประโยชน์ ต่อเขาเอง ต่อคนอื่น ต่อทุกๆคน เขาก็ออกมาเรียกร้องสิ่งที่เขาต้องการ การที่คุณออกมาต่อต้านคนที่ออกมาเรียกร้อง ก็ เช่น เดียว กัน
ถ้าคุณไม่ได้ประโยชน์ก็อยู่เฉยๆไปสิครับ ไม่ต้องต่อต้านอะไรทั้งนั้น ก็จะยังไงคุณก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรนี่
เอาละ ผมไม่ค่อยมีโควต้า ขอรวบหมดเลยละกันไอ้ที่คุณตอบๆไว้ข้างบนแล้วผมอยากพูดถึง
ไอ้คำว่าประชาธิปไตยมันมีไว้ให้เราต่อรองกับผู้มีอำนาจครับ ว่าถ้าอยากทำสิ่งที่พวกคุณต้องการ ได้มีอำนาจในสภา ก็ทำให้ผลประโยชน์มันได้ถึงมือประชาชน คนที่เขามีปัญญาเขาก็เห็นว่ามันมีความแตกต่างระหว่างรัฐบาลที่มันยังทำอะไรบ้าง กับรัฐบาลที่มันไม่ทำอะไรเลย ประเทศยังได้พัฒนาก้าวหน้า นโยบายต่างๆทำให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มันเป็น Give & Take ที่ว่าถ้านักการเมืองไม่ทำเพื่อประชาชนบ้าง ก็จะไม่มีใครไปเลือก
ถ้าไม่ใช่ประชาธิปไตยก็ตรงข้าม คนออกนโยบายจะออกนโยบายเพื่อพวกพ้องยังไงก็ได้ตามใจ ไม่มีใครไปค้านได้ ไม่ต้องทำเพื่อประชาชนมันก็ยังเป็นผู้ปกครองต่อไปเรื่อยๆ ต่างกับประชาธิปไตยที่ต้องคอยทำผลงานที่จับต้องได้ภายในสี่ปี ไม่งั้นประชาชนก็จะไปเลือกคนอื่น การที่คุณไม่รู้นี่ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง ขาดแม้แต่ความคิดขั้นพื้นฐานขนาดนี้
แล้วที่มาเพ้อเจ้อเรื่องศีลธรรม คุณธรรม มันศีลธรรมของใคร? กตัญญูอะไร? สถาบันกษัตริย์มีความสำคัญเท่าชาติและประชาชน กษัตริย์ทำเพื่อประชาชน ประชาชนก็ทำเพื่อกษัตริย์มาตลอดเหมือนกัน มันก็เป็นความสัมพันธ์แบบ Give&Take ไม่ใช่ว่าใครมีบุญคุณต่อใคร
จิตสำนึกที่คุณอ้างน่ะใครเป็นคนผลิตมันขึ้นมา? ทำไมต้องยัดเยียดให้ทุกคนมี? มีอะไรที่ตัดสินว่ามันคือสิ่งที่ถูก? มันก็แค่สามัญสำนึกของคนกลุ่มนึงเท่านั้นเอง เหมือนศาสนานั่นแหละ
เรารับปริญญาจากท่านก็ถือเป็นเกียรติ แต่การที่เราได้ปริญญา คือความสามารถและความพยายามของเราเอง ไม่ใช่ว่าท่านสั่งปริญญามาให้เรา มันเพิ่มค่าของสิ่งที่เราควรได้รับอยู่แล้ว แต่มันก็แค่นั้น
สุดท้าย
การที่ต้องตัดสินว่าอะไรถูก อะไรผิด มันก็เป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกัน เราเอาแค่ความเชื่อว่าดีไม่ดีมาตัดสินความถูกต้องไม่ได้ ดีของคนๆนึงอาจไม่ดีกับคนอื่น นี่คือหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
การที่คนไปดูถูกว่าคนนั้นคนนี้ไม่รู้ประชาธิปไตย ผมว่าคุณเองทบทวนหน่อยก็ดีว่าอะไรก็ตามแต่ที่คุณพูดออกมา มันแสดงถึงความไม่รู้ในหลักประชาธิปไตยของคุณเองทั้งนั้น
ดูจาก Comment ข้างบนที่ผ่านๆ เหมือนคุณจะมั่นใจจริงๆนะครับ ว่าสิ่งคุณพูด ข้อมูลที่คุณมี มันถูกต้อง แต่ฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามคุณมันผิด ผมเข้าใจนะว่าคุณมองคนอย่างผมว่าเป็นแค่กลุ่มๆนึง ที่คิดต่างไปจากพวกคุณ แนวคิดที่คุณพูดๆมา มันไม่เคยอยู่ในหัวผมเลยตั้งแต่เด็กหรือรุ่นพ่อแม่ ปู่ย่า ตายายผม คำว่าประชาธิปไตย มันไม่ได้มีความหมายอะไรสำหรับผม ถึงมันเป็นสิทธิที่ผมจะได้รับก็ได้เพียงน้อยนิดเท่านั้นในสังคมความเป็นจริง มันเป็นแค่สิทธิ์ 1 เสียงที่เลือกให้กับพวก ส.ส. เข้าไปนั่งด่ากันในสภา พอลับหลังก็ไปนั่งจูบปากกัน
อะไรกันหนอที่ทำให้คนไทยมีวิธีการคิดเช่นนี้เพิ่มขึ้นในรอบไม่ถึง 20 ปี
ปล. ผมไม่ได้อยากให้คุณมาตอบโต้นะครับ เพราะไหนๆ ก็คิดว่าคงยืนคนละข้างกัน และก็ไม่ได้รับประโยชน์ความรู้อะไรนอกจากคำเสียดสีจากคุณอยู่แล้ว ขอให้จบเถอะครับ
ขอ Jam ความเห็นนี้นะครับ ตรงที่กล่าวว่า...
"... คำว่าประชาธิปไตย มันไม่ได้มีความหมายอะไรสำหรับผม ..."
และสัมพันธ์กับตรงที่คุณกล่าวไว้ว่า...
"อะไรกันหนอที่ทำให้คนไทยมีวิธีการคิดเช่นนี้เพิ่มขึ้นในรอบไม่ถึง 20 ปี"
คนรุ่นผม ได้อ่านความเห็นคุณแล้ว ก็อยากจะกล่าวว่า... "อะไรกันหนอที่ทำให้คนไทยมีวิธีการคิดเช่นนี้เพิ่มขึ้นในรอบไม่ถึง 40 ปี" เช่นเดียวกันครับ
อ่านแล้วทำให้ทราบเลยว่า คุณอ่อนเยาว์กว่าผมน่าจะ 15 ปีขึ้นไปแน่นอน คุณไม่เคยสัมผัสโลกและประเทศไทยก่อนหน้านั้น
ในช่วงเวลาที่... แค่ไปดูหนัง Elvis ก็โดนจับ เพื่อนบางคนโดนจับแล้วหายสาปสูญไปเลย
กางเกงนักเรียนยาวไป (ถึงหัวเข่า) ก็โดนเจ้าหน้าที่ (ไม่ใช่ครูนะ) เอากรรไกรลากกรีดมันขึ้นมาเสียแทบถึงเอว
พอสั้นไป (ฟิตๆ) บ้างก็โดนจับไปติดคุก บ้างก็โดนถอดผ้า คว่ำหน้ากับพื้นดิน ตากแดด
ถ้าหัวแข็ง เถียงๆ สู้ๆ ก็เป็นอันหายสาปสูญ
คุณไม่รู้ ไม่เคยผ่าน... ผลจากประชาธิปไตยที่คุณได้รับมันเลย Spoil คุณตั้งแต่เกิด จนไม่เห็นความสำคัญ ไม่เห็นความตรากตรำ เลือดเนื้อ และชีวิต ของคนรุ่นก่อนคุณที่แลกเพื่อให้ได้มันมาให้ลูกหลานเช่นคุณ
ขอยกตัวอย่างอีกสักเรื่อง... ผมเห็นหลายท่านแล้ว ที่อ้างว่าสังคมเสื่อมทราม ข่มขืน ยาเสพติด มากขึ้นกว่าเมื่อก่อน
ผมกลับเห็นว่า ไม่ได้มากขึ้น มันลดลงด้วยซ้ำ แต่เพราะประชาธิปไตยต่างหาก ที่ทำให้ผู้คนรับรู้มากขึ้น ข่าวสารกล้าออกมามากขึ้น ถ้าไม่ใช่เพราะประชาธิปไตยแล้ว สำนักข่าวทั้งหลายจะแฉกันได้มากเช่นเดี๋ยวนี้หรือไม่? เมื่อรับรู้มากขึ้น ถูกปิดหูปิดตาน้อยลง ก็เอะอะกันว่ามันจำนวนมากขึ้น เสื่อมกว่าเดิม!?! อย่างนั้นหรือ?
สมัยผมวัยหนุ่ม จิ๊กโก๋ถูกใจสาวคนไหน รอดักฉุดได้เลย ง่ายๆ สบายๆ ไม่ฆ่ามันให้ถึงตาย ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น สมัยนี้ทำได้หรือไม่?
ประชาธิปไตยส่งผลถึงขนาดที่ทำให้สังคมปลอดภัยขึ้น หูตามากขึ้น ผู้คนกลัวอำนาจอิทธิพลน้อยลงกว่าเมื่อก่อนมากนัก มาเฟียท้องถิ่นต่างก็สูญพันธ์กันไปเรื่อยๆ....ฯลฯ
โอ... มันสุดจะสาธยายครับ คุณคิดแค่ 20 ปีเองหรือ? แล้วคุณจะเข้าใจและมองเห็นวิวัฒนาการหรือครับ? แล้วคุณจะเห็นพลอยในมือคุณหรือครับ? ว่ามันไม่ใช่ก้อนกรวด?
เคยได้ยินคำว่า "ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง" ไหมครับ?
รู้ไหมว่าความคลั่งไคล้ในสถาบันกษัตริย์แบบปัจจุบันนี้ เพิ่งมีมาเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้เอง แต่ถูกทำให้ดูเหมือนกับว่าเป็นความจริงแท้ ดำรงมาตั้งแต่สมัยก่อนจะมีสยามประเทศเสียอีก
ถ้าคุณคิดว่าประชาธิปไตย (จะเต็มใบหรือครึ่งใบก็ตาม) ไม่มีความหมาย มีประเทศอื่นที่ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยแล้วเป็นตัวอย่างที่น่าชื่นชม น่าเอาเยี่ยงอย่างบ้างไหมครับ?
pittaya.com
ไม่ต้องสาธยายอะไรหรอกครับ ผมคิดว่าอะไรมันไม่เหมาะสมกับผมบ้าง ผมมันเป็นกลุ่มที่แตกต่างไปจากพวกคุณ ปล่อยให้ผมงมงายไปเถอะ ผมก็ยังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ และไม่เคยถูกกดขี่อย่างความเห็นข้างบนพูดมา คุณบอกว่าผมอายุต่างจากคุณอย่างน้อยก็ 15 ปี โอ้วว นี่คุณจะ 50 กว่าแล้วเหรอครับ เป็นคนไอทีที่อาวุโสมาก ขอร้องเถอะ อย่าอธิบายให้ผมฟัง ความตั้งใจของผม มันคงไม่โดนใจพวกคุณหรอกครับ ^^
แล้วก็ขอเสริมอีกนึงว่า ที่คุณพูดว่าประวัติศาสตร์เพิ่งสร้าง เพิ่งชักจูงให้คนมารักสถาบัน ผมว่ามันตรงกันข้ามนะ ที่คนไทยเริ่มจะมาสนใจประชาธิปไตย เอาตอนหลัง ๆ เมื่อยุคไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ขอบคุณครับ
Reply: Worwae07 on 29/11/11 9:23 #358239
ผมไม่แน่ใจนะว่า เฉพาะในส่วนคำว่า "ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง" ผมอ่านดูแล้วเหมือนเค้าตั้งใจจะ comment ต่อคุณ จักรนันท์ มากกว่านะ? แต่พอดีที่นี่เวลา comment ต่อเยอะ ๆ มันจะดูไม่ออกว่า comment ใครน่ะครับ เหมือนข้อความนี้ที่ผมกด reply คุณ แต่มันจะมาต่อด้านล่างแทน
ส่วนเรื่องด้านบน ผมขอแสดงความเห็นนิดหน่อยแล้วกันว่า ในความเห็นผม เรื่องอายุ หรือประสบการณ์ ที่คุณจักรนันท์เอามาเปรียบเทียบนั้นมันไม่ได้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่า ปัจจุบันนี้เป็นอย่างไรนี่ครับ?
แม้ว่าทุกวันนี้ อาจจะดีกว่ายุคสมัยก่อนมากแค่ไหน แต่อะไรที่ไม่ใช่ ก็ยังคงไม่ใช่อยู่ดี
เช่นถ้ามีคนบอกว่า ทุกวันนี้มนุษย์บินได้ คนนึงกำลังบอกว่าไม่ใช่บินไม่ได้สักหน่อย แต่อีกฝ่ายก็กลับมาโต้แย้งว่า โถ่เอ้ย ทุกวันนี้มีเครื่องบิน มี ฮ. คนขึ้นไปนั่งก็บินไปไหนมาไหนได้เหมือนกัน ถ้าเป็นสมัยก่อน จะหาเครื่องบินสักลำลำบากมาก คนที่สร้างเครื่องร่อนยังถูกเยาะเย้ย ฯลฯ อาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ผมต้องการจะสื่อว่า ถ้าหากจะพูดว่าปัจจุบันมนุษย์บินได้ มันก็ยังบินไม่ได้อยู่ดีนั่นแหล่ะ และมันก็ไม่ผิดที่ใครจะไม่เชื่อข้อเท็จจริงนี้ แต่กับคนบางส่วนอาจจะพอใจแค่ทุกวันนี้มีเครื่องบินนั่ง ไปนั่นมานี่ได้สะดวกขึ้นกว่าที่คุณเจอมา มันก็ไม่ได้ทำให้ลบข้อเท็จจริงที่คนกลุ่มแรกคิดได้นี่ครับ
ความเห็นส่วนตัวอีกอย่างคือ การที่มีคนรู้สึกแบบนี้เพิ่มขึ้น ผมว่าเป็นเพราะว่าเดี๋ยวนี้การสื่อสารเป็นไปได้หลากหลายช่องทาง และปิดกั้นได้ลำบากกว่าเมื่อก่อนด้วย น่าจะเป็นส่วนหนึ่งในนั้น
ขอตอบทั้งคุณ Wirwae07 และคุณ btxxxx นะครับ
ประเด็นที่คุณคุยกันในกระทู้ ผมไม่ขอออกความเห็นใดๆ นะครับ
แต่ส่วนที่ผม Jam คือ ตรงที่คุณ Worwae07 ไม่เห็นประโยชน์ที่คุณได้รับจากความเป็นประชาธิปไตยที่มากขึ้นกว่าแต่ก่อนครับ
ประเด็นที่ผม Jam มีเท่านี้จริงๆ ขอความกรุณาอย่าลากผมเข้าไปเกี่ยวโยงกับประเด็นหลักของกระทู้ที่กำลังเสวนากันอยู่ครับ
สำหรับอายุผมที่คุณ Waorwar07 นั้นใช่ครับ ผมอยู่ในวงการ Computer ตั้งแต่ก่อนจะมี DOS ครับ ตั้งแต่สมัยที่คนธรรมดาไม่สามารถจะได้สัมผัส Computer ได้ ผมเริ่มตั้งแต่ยังไม่มี CPU ตระกูล 8080 และสามารถ "อ่าน/เขียน Assembly เข้าใจได้ทุกๆ สถาปัตยกรรมเหมือนอ่านหนังสือปกติ" (ก็ที่จริงมันเหมือนกันนี่ ถ้า Nemonic code สิ ไม่ได้ทั้งหมดครับ แต่ส่วนใหญ่ได้) สามารถออกแบบ Chipset ใช้เองได้ ตลอดจนลงไปถึงกระทั่ง Transistor ของตนเอง และใช่ครับ ผมมีบริษัทของตนเอง ข้ามชาติด้วยครับ ผมนี่แหละครับ เจ้าของบริษัท ที่เป็นวิศวกร ที่ยังลงมือด้วยตนเอง ไม่ใช่เหลือแต่วิชาการที่ดีแต่พูด และไม่ได้กลายร่างเป็น Business man หรือ Investor จนเหลือคำว่าวิศวกรแค่ไว้เป็น Credit ตัวเองครับ ผมเป็นหนึ่งในคนไทยไม่กี่คนที่มีความรู้ความสามารถทำได้ในขนาดที่อเมริกันชนยังจ้างให้ผมทำให้ ชีวิตผมเคยสมัครงานแค่ 2 ครั้งแรก (ครั้งแรกอายุ 14 ปี ครั้งที่สองตอนเรียนปี 2) หลังจากนั้นผมถูกซื้อตัวตลอด จนกระทั่งออกมาตั้งบริษัทของตนเอง ผมเกิดมาในยุคปากกัดตีนถีบครับ
โม้เท่านี้ น่าจะเดาอายุได้แล้วนะครับ ถ้าเป็นคนอยู่วงการ IT มานาน ก็จะคุ้นเคยชื่อผมอยู่แล้ว มาตั้งแต่ยุค BBS + Computer review ครับ
ผมสรุปว่าการ "Jam = คัดค้าน ขัดขา" ของผมซึ่งเป้าหมายอยู่ที่ ข้อความของคุณแสดงออกอย่างชัดเจนว่า คุณไม่เห็นถึงคุณค่าของเสรีภาพของคุณที่ได้มาจากประชาธิปไตยครับ อย่างอื่นๆ กรุณาอย่าลากผมไปกลางสนามรบของคุณๆ ครับ คนอื่นไม่เกี่ยว เพราะทุกๆ ความเห็นอื่นๆ ทั้งหมด ไม่มีใครแสดงออกในลักษณะ "ไก่ได้พลอย" เหมือนความเห็นของคุณครับ
สำหรับคุณ btxxxx นั้น คุณเข้าใจถูกแล้ว ว่ามันเปรียบกันไม่ได้ครับ เพราะประเด็นที่ผม Jam เป็นดังที่ผมกล่าวมาใน 2 ย่อหน้าที่ผ่านมาแล้ว ผม Jam คนละประเด็นกับหัวข้อกระทู้น่ะครับ และจงใจ Jam เฉพาะคุณ Waorwar07 เท่านั้น ดังนั้น อะไรที่มันไม่ใช่ ก็ยังไม่ใช่ เห็นด้วยตามที่คุณกล่าวมาทุกประการครับ แต่กลับกันที่ "อะไรที่มันใช่ มันก็ใช่" จริงไหมครับ? ไม่ได้หมายความว่า มีบางสิ่งที่มันไม่ใช่ แล้วหมายความว่า ประชาธิปไตยมันจะไม่ใช่ไปเสียทั้งหมดเช่นที่คุณ Waorwar07 แสดงออกมา ซึ่งไม่ต่างจากวิธีคิดทำนองว่า ถ้าคนนามสกุลหนึ่งทำผิดร้ายแรงสักคนหนึ่ง หมายความสายเลือดสกุลนั้นเป็นคนไม่ดีทั้งหมด ต้องล้างเผ่าพันธุ์นามสกุลนั้นทิ้งทั้งหมด
ถ้อยคำที่แสดงถึงทัศนของคุณ Waorwar07 ที่มีต่อ "ประชาธิปไตย" นั้น จึงทำให้ผม Jam ความเห็นเขาครับ
ส่วนหนึ่งผมอาจจะเข้าใจผิดไปจริง ๆ เรื่องการ Reply (เพิ่งบอกเค้าไป เข้าใจผิดเองซะงั้น - -)
และคิดว่าเข้าใจเจตนาของคุณจักรนันท์มากขึ้น แต่ถึงแม้ว่าเนื้อหาอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับผมโดยตรง แต่ไหน ๆ ก็มายุ่งไปด้วยแล้ว ก็ขออนุญาตอธิบายเพิ่มนิดหน่อยว่า ถึงยังไงจากความเห็นส่วนตัวผมก็คิดว่า สิ่งที่เค้าสื่อออกมา ต่อให้มาจากอายุที่เค้าน้อยกว่าคุณจริง แต่ก็อาจจะเป็นข้อมูลที่เค้าได้มาจากความรู้สึกของเค้า ใน 20-30 ปีนี้ เช่นเดียวกับที่คุณได้รับเมื่อ 40-50 ปีก่อน มันจึงทำให้เค้าแสดงออกมาแบบนี้ก็ย่อมไม่ผิดไม่ใช่หรือครับ?
เช่น ทุกวันนี้คนที่มีโทรศัพท์บ้านใช้ ก็อาจจะเฉย ๆ และไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งอะไรมากนักกับคนที่คิดค้นโทรศัพท์(บ้าน)ขึ้นมา วันไหนโทรได้ไม่ได้ ก็อาจจะไม่เดือดร้อน เพราะที่เค้าต้องติด เพราะต้องต่อเน็ท ADSL เท่านั้นเอง แต่อาจจะเชิดชู Jobs ที่คิดสินค้าตระกูล i มากกว่าก็ได้ เพราะเค้าใช้สินค้าพวกนี้ประจำ จะโทรศัพท์ด้วย iPhone เล่น iPad ฟัง iPod ทำงานด้วย Mac (ตก i ไปตัวนึง) แม้ว่าสมัยก่อนผมเองก็ต้องไปยืนต่อคิวรอโทรตู้หยอดเหรียญเหม็น ๆ หน้าหมู่บ้านเหมือนกัน ถ้ามีโทรศัพท์ใช้ที่บ้านก็หรูแล้ว
กรณีที่ผมว่ามานี้ ผมก็ไม่รู้สึกว่ามันเป็นอาการ ไก่ได้พลอย อย่างที่คุณว่าเลยนะ??
คือผมคิดว่าการเอามาเชื่อมโยงกับเรื่อง "เวลา" ที่ผมยิ่งมองว่าเป็นตัวแปรหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้มีความแตกต่างทางความคิดได้อย่างยิ่ง ก็ไม่ควรนำมาใช้เชิงต่อว่านี่ครับ
แต่ถ้าตอนนี้ เค้ามี Harddisk 2 TB สักลูก ที่ไปซื้อมาก่อนน้ำท่วม แล้วเอามาขายช่วงนี้ถูกลง (ค่าเสื่อม) เพราะไม่รู้ว่ามันแพงกว่าเดิมหลายเท่า และหาซื้อยาก (ถ้าต้องการเงิน ก็น่าจะขายแพงกว่านี้) แบบนี้ผมว่าใช้คำนี้ได้อยู่นะ?
คือใน Jam แรกของผม ไม่มีตรงไหนที่ตำหนิเลยนะครับ พยายามสะกิดเบาๆ เพื่อให้เขาทราบได้เองเมื่อได้ไตร่ตรองแล้ว เพราะเขาใช้สำนวนเทียบด้วยช่วงเวลา 20 ปี ผมจึงทักท้วงให้เขาลองคิดเลยไปกว่านั้นบ้าง เพราะคนรุ่นผมยังมีชีวิตอยู่เยอะ และรุ่นก่อนผมก็ยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งคนที่กุมบังเหียนการปกครองของประเทศนั้นอยู่ในวัยตั้งแต่รุ่นผมเป็นต้นไปทั้งสิ้น
Jam ที่สองผมยอมรับว่าผมทำให้ชัดขึ้นในประโยคว่า "ไก่ได้พลอย" เพราะพบว่าเขาไม่ได้ไตรตรองให้ดีก่อน Reply ว่าผมพูดถึงอะไร
ไม่มีใครผิดครับ
แต่สิทธิที่เขาพูดอยู่ คือสิ่งที่เขาบอกประมาณว่า "เขาไม่ยี่หระ" นั่นแหละครับ (หรือไม่แคร์ อะไรทำนองนี้ ขี้เกียจ Back กลับไปดูประโยคหลักนะครับ)
ผมพยายามให้เขาทบทวน (แบบไม่ฉีกหน้า - อ้อมๆ เอา) เพื่อให้เขาทราบว่า ไอ้ที่เขาพิมพ์ๆ อยู่ที่ Keyboard ได้นี่แหละ คือสิ่งที่ได้จากประชาธิปไตย หากผมจะแดกดัน ผมคงไม่พูดถึงไก่ ถึงพลอย แต่คงพูดว่า "เกลียดตัวกินไข่ฯ" เสียมากกว่าซึ่งมันแรงเกินไป
เมื่อพูดถึงการเชื่อมโยงกับเวลา ถ้าผมจะอ้างให้มากกว่านั้น ผมคงอ้างถึงเจตนาของดุสิตธานีที่รัชกาลที่ 6 เริ่มขึ้นไปเลยก็ได้ แต่นั่นมันก่อนผมเกิดเสียอีก ไม่ได้เห็นด้วยตา ไม่ได้รู้กับหูตัวเอง มันก็เท่านั้น ถ้าเขาเชื่อมด้วย 20 ปีของเขาเพื่อตัดสินว่า "ประชาธิปไตย" มันไร้ค่า ดังนั้นแล้ว ผมจะใช้ 40 ปีของผม เพื่อ บอกเขาว่า (บอกเขานะครับ ไม่ได้มีตำหนิเลยว่าเขาผิด) อย่ามองด้วยระยะแค่นั้น ระยะแค่นั้นคือประสบการณ์ของเขา แต่ทุกอย่างมันมีประวัติศาสตร์และจุดเริ่มต้นก่อนหน้านั้น
วิวัฒนาการ/พัฒนาการ คำนี้เรียกได้เมื่อเทียบด้วยช่วงเวลายาวๆ ครับ ถ้า Snapshot ด้วยเวลาสั้นๆ เสมอๆ ก็ได้แต่เริ่มใหม่เสมอครับ เราเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไปเพื่ออะไรครับ? การ ต่อยอด คืออะไรครับ? ถ้าคนรุ่นต่อๆ ไปไม่เคยแคร์ไม่เคยเรียนรู้ว่าบรรพบุรุษของตนทำอะไรไว้มาก่อน การปกครองของมนุษย์ก็คงยังป่าเถื่อนเหมือนสมัยหินมาตลอด ใช่ไหมครับ?
สำหรับผม ข้อเท็จจริง != ความเป็นจริง เสมอไปนะครับ ข้อเท็จจริงอ้างจากที่ไหน ตำราไหน ใครเขียนมาก็ได้ แต่ความเป็นจริงในความหมายของผมคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับชีวิตและได้เจอกับตนเอง ระหว่าง 2 สิ่งนี้ผมให้ความสำคัญกับความเป็นจริงมากกว่าครับ
ผมไม่ได้จะสรุปว่าเขาผิด หรือใครผิดครับ กระทั่งกระทู้นี้ ผมอ่านทุกความเห็น และชื่นชมทุกคน ที่ถกเถียงกันภายใต้เหตุผลของตนเองตามครรลองประชาธิปไตย จะมากจะน้อย จะละเมิดกันบ้าง เข้าใจผิดกันบ้าง มันก็เป็นกระบวนการวิวัฒนาการไปสู่การปกครองแบบประชาธิปไตยตามธรรมชาติ ดีทุกความเห็นครับ จึงขอเป็นผู้อ่านความคิดต่างๆ ของคนมีไฟรุ่นปัจจุบันครับ
นอกจาก Reply ที่ผม Jam แล้ว ทุกๆ Reply ถกเถียงกันด้วยเจตนาที่ดีในการพัฒนาประชาธิปไตยทั้งสิ้นครับ ขอชื่นชม
ขอให้ข้อคิดเห็นว่า "การปกครอง" เปรียบกับ "การค้า" ไม่ได้ครับ กรณีที่คุณยกมาเทียบจึงใช้ไม่ได้ครับ การค้าต้องมีกำไร การค้าเป็นการเอาเปรียบอยู่แล้ว มากหรือน้อยตามแต่สังคมจะยอมรับกัน กำไร==การเอาเปรียบ เสมอครับ
ส่วนหนึ่งนั้นผมเห็นด้วยนะครับว่า ไม่ได้มีใครผิด
ส่วนที่ผมไม่ค่อยเข้าใจ ก็คือ ทำไมถึงตีความตัวอย่างผมเป็นเรื่องการค้าได้น่ะครับ??? ผมเพียงต้องการยกตัวอย่างสิ่งของที่ "จับต้องได้" เพื่อให้เห็นว่า ของที่เคยดีหรือมีคุณค่าในยุคสมัยหนึ่ง อาจไม่ได้ทำให้คนอีกยุคสมัยหนึ่งรู้สึกชื่นชมก็ได้ ถ้าไม่ให้เปรียบเทียบกับสิ่งของ มันก็จะเห็นได้ไม่ชัดเจนเท่าหรืออธิบายได้ยากกว่าเพราะมันเป็นนามธรรม ไม่ได้มีการนำกำไรอะไรมาเปรียบเทียบกันเลย?
ผมไม่ได้บอกว่า "ไม่ควร" เรียนรู้ประวัติศาสตร์ หรือ "อย่า" ไปสนใจคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น แต่ประวัติศาสตร์เองก็อาจไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึก "มีคุณค่า" ได้เช่นกัน ถ้าเรื่องเหล่านั้นไม่ทำให้ "ความเป็นจริง" ที่คนบางกลุ่มรับรู้ได้นั้นไม่ยอมรับ
การที่คุณรู้สึกว่า ประชาธิปไตยนั้นมีคุณค่า เกิดจากอะไรหรือครับ? เกิดจากประวัติศาสตร์ที่ว่าเรามีการเปลี่ยนจากระบอบอื่นมาเป็นระบอบนี้เฉย ๆ อย่างนั้นหรือ? ถ้าดูจากสิ่งที่คุณเล่ามาอย่างภาคภูมิใจนั้น ผมเห็นว่าคุณต้องการจะสื่อว่า คุณผ่านช่วงทุกข์ยาก กว่าจะได้สิ่งนี้มา มันจึงเกิดเป็น "คุณค่า" ในใจคุณไม่ใช่หรอกหรือ? ประวัติศาสตร์เหล่านี้ทำให้มีทุกวันนี้ ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ไม่สำคัญ แต่ความรู้สึกถึงคุณค่าของแต่ละคน โดยเฉพาะแต่ละยุคแต่ละสมัยนั้น สามารถแตกต่างกันได้ใช่ไหมครับ
การที่เค้ารู้สึกว่ามันไม่มีค่าในตอนนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าที่ผ่านมามันไม่มีค่าอะไรเลย เหมือนที่เจ้าตัวเค้าอธิบายข้างล่างนั่นแหล่ะ หรือถ้าจากตัวอย่างเดิมของผม ก็เหมือนที่ผมบอกว่าในยุคสมัยก่อนแค่มีโทรศัพท์บ้านผมก็ถือว่าโอเคแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ต้องมีมือถือ ต้องมี Tablet แต่โทรศัพท์บ้านมันไม่สำคัญ ไม่ใช่มันไม่เคยสำคัญมาก่อนเลย ดังนั้นมันก็อาจจะไม่แปลกที่เค้าจะคิดว่าไม่สำคัญ เพราะเค้ามองย้อนไปแค่ 20 ปี แต่สิ่งที่คุณเทียบมันเรื่องเมื่อ 40 ปีก่อน
คือผมรู้สึกขัดแย้งในวิธีการสะกิดเท่านั้นเอง ว่าทำไมสิ่งที่คุณสะกิดเขาถึงนำสิ่งที่ไม่เหมือนกันมาสะกิด เหมือนที่วันก่อนมีคนบ่นว่า โทรศัพท์รุ่นนี้ไม่มีคีย์บอร์ด พิมพ์ไม่สะดวก (อ้าว มันเป็นโทรศัพท์ เครื่องก็เล็ก มีคีย์บอร์ดก็หนัก หนา และเล็ก พิมพ์ไม่สะดวกอยู่ดี ตกลงจะเน้นพิมพ์เหรอ?) แล้วก็บอกว่าพอจะเปลี่ยนใจมาใช้ Netbook ก็มี Notebook อยู่แล้วจะซื้อทำไม (อ้าว Netbook กับ Notebook มันเหมือนกันเหรอ? และมันโทรออกหรือเอานิ้วจิ้มได้เหมือนตัวเลือกแรกได้หรือ?) blah blah อะไรแบบนี้ต่างหากครับ
สุดท้ายนี้ต้องขอโทษด้วยที่ตั้งแต่แรกมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับผมอยู่แล้ว จนต่อมาซะยืดยาว เพียงเพราะผมก็มีเจตนาที่คิดว่าไม่ต่างจากคุณที่ต้องการติงเค้าเหมือนกันครับ :)
คุณยกตัวอย่างเป็นสิ่งของที่ "จับต้องได้" มาเทียบไม่ได้เลยครับ
เสรีภาพที่ได้รับจากการปกครองแบบประชาธิปไตย มันจับต้องไม่ได้ แต่เราอยู่กับมันครับ
และเสรีภาพ/อิสรภาพที่ได้มา ไม่มีคำว่าตกรุ่นครับ
เสรีภาพ/อิสรภาพที่ได้ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดไม่ว่ายุคไหน ช่วงเวลาไหน ปีไหนๆ ในประวัติศาสตร์ของ Species ใดๆ มันไม่เคยตกรุ่นในแบบที่ว่า "เคยดีในสมัยหนึ่ง และไม่ดีในยุคสมัยหนึ่ง" แต่มันดีเสมอมาสำหรับทุก Species ครับ และทุกๆ Species ก็เรียกร้องอย่างไม่เคยพอเสมอ
คุณพยายามนำสิ่งที่เป็นรูปธรรมมาเปรียบเทียบกับนามธรรม ยิ่งโดยเฉพาะเป็นรัฐศาสตร์อยู่นะครับ
คุณเข้าใจสิ่งที่ผมสื่อผิดเกือบทั้งหมดครับ
ผมไม่ได้สื่อว่าประชาธิปไตยมีคุณค่า ผมเล่าอย่างหดหู่ด้วยซ้ำ ผมสื่อว่าเมื่อคุณไม่ได้เคยได้อยู่ในช่วงที่ประชาธิปไตยยังฉาบฉวย คุณก็ไม่อาจรู้สึกได้ว่า คุณกำลังได้รับอะไรอยู่ เพราะคุณเคยชินกับมัน
การเล่าของผม จึงเป็นการเทียบในช่วงเวลายาวกว่านั้น เพื่อชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่คุณได้รับจากระบอบในปัจจุบัน มันผ่านการขัดเกลามาตามเวลาตามครรลองของมัน มันไม่เร็วแบบพลิกฝ่ามือ
การเปรียบเทียบของผม ที่คู่กรณีถามผมว่า "แรงไปไหม?" ผมไม่ได้ตอบเขา เพราะจะทิ้งให้เขาไปคิดเอง แต่กระนั้นจะชี้แจงให้คุณเข้าใจแทนจะดีกว่า
ที่ผมเปรียบเทียบกับกรณีคนสมมติสกุลหนึ่งนั้น เพราะก่อนหน้านั้น มันเป็นระบบนั้นจริงๆ ต้องขออภัยที่จะกล่าวคำไม่สุภาพคำหนึ่งนะครับ เกิดมาน่าจะเคยได้ยินสำนวนไทยๆ แท้ๆ ว่า "ประหารเจ็ดชั่วโครต" ไหมครับ? คุณว่ามันมาจากไหน?
ผมทิ้งเอาไว้ ไม่โต้แย้ง ไม่ชี้แจง เพื่อให้ผู้อ่านได้ไปทบทวนดู ถึงเสรีภาพที่ตนเองได้รับตั้งแต่จำความได้
ฝ่ายหนึ่ง ย่อมต้องมีคนเรียกร้องเสรีภาพมากขึ้นอีก
อีกฝ่าย ที่ชินกับเสรีภาพมาตั้งแต่เกิดและคิดว่าตนเองพอใจแล้ว ย่อมเรียกร้องให้ควบคุมไปบ้าง
ฝ่ายที่ยังด้อยกว่าทางสังคม ก็ย่อมเรียกร้องให้เท่าเทียมกันมากขึ้น
ฝ่ายที่ได้เปรียบกว่าทางสังคม ก็ย่อมเรียกร้องว่าอย่าให้มันมากไปนัก
ฝ่ายหนึ่งพยายามขยับสภาพตนเองขึ้น
อีกฝ่ายพยายามกดสภาพคนอื่นไว้
เหตุนี้ผมจึงไม่ขอออกความเห็นใดๆ เพราะการขับเคี่ยวของทั้ง 2 ฝ่าย คือวิวัฒนาการของประชาธิปไตยอันเป็นธรรมชาติ
กว่าจะลงตัวต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปีครับ
ประชาธิปไตยไม่ใช่พลิกได้เป็นฝ่ามือ
ประเทศไทย/คนไทยไม่ได้วิเศษวิโสที่จะสร้างประชาธิปไตยได้ง่ายและเร็วไปกว่าชาติอื่นๆ เขาสร้างมา ผมจึงเข้าใจดี ต่างก็เป็นมนุษย์ที่เรียกร้องเพื่อสิทธิเสรีภาพตนเองทั้งนั้นครับ
ฝ่ายตรงข้ามเขาก็ได้ชี้แจงผมไปแล้ว ว่าเขาไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น น่าเป็นเพียงความผิดพลาดในการใช้ภาษาโต้การเสวนาเท่านั้นครับ
เสรีภาพในสมัยไหน? ยุคไหน? เวลาใด? ชาติใด? ของสิ่งมีชีวิต Species ใด? ครับ ที่เสียคุณค่า(แบบตกรุ่น)? ลองยกตัวอย่างให้ผมนึกขึ้นได้บ้างซิครับ?
อย่าว่าแต่เรื่องประชาธิปไตยเลยครับ เรื่องอื่นๆ ที่เป็นนามธรรมในใจคนยังมีอีกหลายเรื่อง ที่มีสำนวนเตือนไว้ว่า "กว่าจะรู้ค่าก็ต่อเมื่อเสียมันไป"
มันจะเหมือน "ตัวอย่างวัตถุ" ที่จับต้องได้ของคุณบ้างไหม?
ความรู้สึกมีค่า มันขึ้นกับผู้นั้นเรียนรู้ประวัติศาสตร์เสมอครับ ถ้าสมองคุณไม่เคยเรียนรู้ว่า "เงิน" คืออะไร ใช้ทำอะไรได้ ต่อให้คุณนอนบนกองเงิน คุณก็เห็นมันเป็นแค่สิ่งรองนอนเท่านั้น ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่า "เงิน" มันใช้ทำอะไรได้บ้าง... นั่นคือสิ่งที่มีผู้ถ่ายทอดให้คุณทราบเข้าไปในสมอง Content ที่เข้าไปในสมองของคุณ นั่นคือประวัติศาสตร์ของเงินนั่นเอง
จะขอพูดอีกแบบเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นว่า เมื่อคุณเห็นคนถือเงินไปซื้อของครั้งแรกในชีวิตของคุณ เพียงเวลา 1 นาทีที่ได้เห็นประวัติศาสตร์ของเงินนั้น ทำให้คุณเริ่มเรียนรู้ค่าของมันขึ้นมาทันที กว่าคุณจะฉลาดใช้เงิน กว่าจะใช้เงินต่อเงินได้ กว่าจะทำธุรกิจได้ คุณก็ยังต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเงินอีกมาก จากหลายตำรา หลายวิธีการของคนอื่นที่เขาทำมาก่อน เป็นเวลาหลายปี
ไม่มีอะไรมีค่าทั้งนั้น ถ้าสมองของเราเอง ไม่รู้จักประวัติศาสตร์ของมันครับ ถ้าเราเพียงรู้จักชื่อมัน ก็เท่านั้น แต่เมื่อเราเรียนรู้ว่า "มันเป็นมาอย่างไร? ใครเคยใช้มันทำอะไร? เพื่ออะไร? อย่างไร? มีใครเคยทำอย่างไรเพื่อจะได้มันมา" เราจึงรู้จักมันจริงๆ
สามย่อหน้าที่ผ่านมา ผมอธิบายลงลึกไปถึงกลไกทางการรับรู้/การเรียนรู้/การคิด/การวิเคราะห์ของสมองของสิ่งมีชีวิต ออกจะเข้าใจยากไปสักหน่อย ก็ขอรบกวนช่วยพินิจให้ถ้วนด้วยนะครับ
ทบทวนดูอีกครั้ง ระหว่างผมและคุณ ใครคือผู้นำ "สิ่งที่ไม่เหมือนกัน" ไปเปรียบกับ "การปกครอง" กันแน่ครับ?
ผมเข้าใจเจตนาคุณครับ ไม่ต้องกังวลไป ผมเห็น Reply มาแล้ว ก็อยากพยายามให้คุณมองให้ขาดครับ
ผมกำลังมองว่า สิ่งที่เรากำลังจะสื่อ มันคือ "คนละเรื่องเดียวกัน"
ถ้าลองอ่านย้อนไปตั้งแต่แรก ก็น่าจะเห็นว่าสิ่งที่ผมพยายามจะสื่อ คือ เหตุผลที่เค้าใช้แสดงคือเค้าคิดย้อนไปช่วงเวลาหนึ่ง แต่คุณเอาหตุผลที่เกิดในอีกช่วงเวลาหนึ่ง (ซึ่งเค้าก็อาจจะไม่รู้ หรือรู้แต่ไม่ได้ผ่านมาจริง เหมือนที่คุณยกตัวอย่าง) ผมจึงเห็นว่ามัน "ไม่แฟร์" เพราะคุณจะทำให้เค้ามาโต้แย้งในเหตุผลนั้นไม่ได้!? เช่นเดียวกันกับหากผมอายุมากกว่าคุณ แล้วผมบอกคุณว่า คุณก็ผิดเหมือนกัน คุณมองไปแค่ 50 ปีงั้นเหรอ? ผมอายุ 70 ผ่านยุคก่อนหน้านั้นที่ได้ประชาธิปไตยมาใหม่ ๆ อยู่กันอย่างมีความสุข นักการเมืองตั้งใจทำหน้าที่กันอย่างเต็มที่ ฯลฯ (ในแง่ดี) แม้ว่าคุณจะไปพยายามหาข้อเท็จจริงมาหักล้างกับคำพูดนี้ แต่...สิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้คือ อายุ ที่จะเพิ่มให้เท่าผม หรือ ย้อนไปมีประสบการณ์เหมือนผมได้
ประวัติศาสตร์ที่เรารู้อาจจะไม่ใช่ทุกอย่างที่เป็นจริง เพราะมันอาจจะอยู่ที่ใครเป็นคนเขียน?(หรือเปล่า?) และผมก็บอกว่า ไม่ได้บอกว่าเรื่องที่เล่ามามันผิด และไม่ได้ไปว่าอะไรกับคุณค่าของประชาธิปไตย หรือ ความสำคัญอะไรเลย แต่พยายามอธิบายว่า "ความรู้สึกว่ามีคุณค่า" นั้นมันบังคับกันไม่ได้
คุณบอกว่า
"เสรีภาพที่ได้รับจากการปกครองแบบประชาธิปไตย มันจับต้องไม่ได้ แต่เราอยู่กับมันครับ และเสรีภาพ/อิสรภาพที่ได้มา ไม่มีคำว่าตกรุ่นครับ"
ผมไม่ได้บอกว่าผิด! แต่สิ่งที่ผมบอกคือ การที่มันจับต้องไม่ได้ และเราก็อยู่กับมัน หรือมันไม่ตกรุ่น มันไม่สามารถบังคับให้ใครรู้สึกมีคุณค่าได้ ถ้าคนคนนั้นไม่ยอมรับ (เห็นไหมครับว่าเราคุยกัน "คนละเรื่อง" ผมพยายามจะสื่อถึง "คุณค่าและการยอมรับ" (ว่าทำไมคนถึงยอมรับ/ไม่ยอมรับ) แต่คุณพยายามจะโยงไปถึง "ความสำคัญของประวัติศาสตร์" หรือ "ความสำคัญของประชาธิปไตย" (เพื่อบอกว่ามันดีนะ น่ายอมรับนะ) ซึ่งผมย้ำอีกครั้งว่า ส่วนตัวผมเองผมไม่ได้บอกว่ามันผิด แต่ขอทิ้งท้ายไว้ว่า ทุกคนไม่ได้จำเป็นต้องศึกษาประวัติศาสตร์ของเรื่องทุกเรื่องหรอกครับ คุณจะทำอะไรนั่งคิดเรื่องพวกนี้ทั้งวันจริง ๆ น่ะเหรอ? แสดงว่าคุณตอบได้ว่า ทำไมถึงต้องเรียก "โต๊ะ" ว่า "โต๊ะ" ทำไมเรียก "เก้าอี้" ว่า "เก้าอี้" เพราะคุณน่าจะกำลังนั่งมันอยู่นะครับ)
คำว่า "กว่าจะรู้ก็สายเสียแล้ว" นั้นเป็นไปได้ในกรณีนี้เช่นกันครับ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าผลสุดท้ายจะออกมาเป็นอย่างไรด้วยหรือเปล่า? คนที่คิดว่าโลกกลม คนที่คิดค้นเครื่องบิน คนที่สร้างอะไรใหม่ ๆ ขึ้นมาในโลกนี้ ก็อาจล้วนถูกคนอื่นหัวเราะเยาะและใช้ประโยคนี้ว่าเค้ามาแล้ว แต่สุดท้ายคนที่รู้อาจจะเป็นคนพูดเองก็ได้???
ถ้าจะเอาของที่เป็นนามธรรมมาเทียบ ลองเอาศาสนาไหมครับ? คุณคิดว่าศาสนาพุทธดีหรือเปล่า? ทำไมทุกคนไม่นับถือศาสนาพุทธ? ทำไมบางคนไม่สนใจนับถือศาสนาอะไรเลย? ทำไมบางคนไม่ไหว้พระ? ทำไมบางคนนิยมนิกายที่ชอบฆ่าตัวตายหรือทำอะไรที่เราเห็นว่าแปลก? คนที่ทำตัวแตกแยกเหล่านั้นเป็นคนไม่ดีหรือเปล่า? แล้วคนที่นับถือศาสนาพุทธเป็นคนดี? พระทุกรูปนับถือศาสนาพุทธ? ฯลฯ และในขณะเดียวกันคุณก็อาจจะรู้ประวัติศาสนาคริสต์หรืออิสลาม แล้วศาสนาเหล่านี้ไม่ดี? ทำไมไม่นับถือ? ผมไม่ได้ต้องการบอกว่า ศาสนาพุทธมีประวัติศาสตร์อย่างไร ไม่ได้บอกว่า "ดีไม่ดี" แต่ผมกำลังบอกว่า "ไม่จำเป็น" ที่ทุกคนต้อง "ยอมรับ" หรือรู้สึกว่า "มีคุณค่า" ทุกอย่างเหมือนกันก็ได้ครับ
ขอวกกลับมาที่เรื่อง "ไม่เหมือนกัน" อีกรอบ อย่างที่ผมบอกไปข้างต้นว่า เนื่องจากสิ่งที่คุณเจอกับ "สิ่งที่เค้าเจอ" มันไม่เหมือนกัน เหมือนคุณไปดูหนังมาเล่าให้เพื่อนฟังว่าสนุกมาก เพื่อนก็คงไม่สนุกเท่าคุณ หรือพอเพื่อนคุณตามไปดูอาจจะบอกว่าห่วยก็ได้ แต่หนังมันก็ออกไปแล้วซะอีก ส่วนที่ผมอธิบายแบบนั้นก็ได้บอกไปแล้วว่า ไม่ได้เปรียบเทียบที่ตัวสิ่งของแบบที่คุยร่ายมายืดยาว แต่เป็นเรื่อง "การยอมรับ"
ว้า... คุณใช้การสมมติอย่างเดียวเลยนะครับ...
"สิ่งที่เราจะสื่อมันคนละเรื่องเดียวกัน" อะไรนั่นที่คุณว่ามา ผมไม่เห็นด้วยเลยครับ เพราะสิ่งที่คุณจะสื่อคือกำลังลากผมเข้าทางธงของคุณ ส่วนที่ผมสื่อกับคุ่กรณีผมคือ เขาควรทบทวนใหม่ว่า ประชาธิปไตย ควรมีความหมายและรับรู้บ้างสำหรับเขา เพราะเขาต้องใช้ชีวิต อยู่กับมัน ดังนั้น... ผมว่า "มันคนละเรื่องเลย" ล่ะครับ
เอาล่ะ งั้นผมจะเสวนากับคุณดูสักหน่อยแล้วกัน
จุดแรก เอาเรื่องของเงื่อนเวลาที่นำมาใช้เปรียบเทียบสถานการณ์การปกครองนะครับ
20 ปีของเขาและ 40 ปีของผม เราใช้เป็นความเป็นจริงของเราทั้งสองฝ่ายทั้งสิ้น ทั้งผมและเขาไม่ได้มีปัญหาอะไรกันเลยตรงนี้ แต่คุณพยายามยกมา 70 ปี... นี่หนึ่งล่ะ ที่สมมติเอา
ยกมาว่า "อายุ 70 ผ่านยุคก่อนหน้านั้นที่ได้ประชาธิปไตยมาใหม่ ๆ อยู่กันอย่างมีความสุข" นี่สองล่ะ ที่สมมติเอา มันจริงเสียที่ไหน? ขอหลักฐานครับ? หลักฐานแบบไหนก็ได้นะ เรื่องเล่ามาเฉยๆ ก็ได้ครับ ผมมีวิจารณญาณเพียงพอที่จะพิจารณารายละเอียดการเล่าว่าน่าเชื่อได้แค่ไหน โดยไม่จำเป็นต้อง Link อะไรมาเลยก็ได้ครับ
ต่อมาก็ "นักการเมืองตั้งใจทำหน้าที่กันอย่างเต็มที่ ฯลฯ (ในแง่ดี)" นี่ก็สามล่ะ สมมติอีกแล้ว
และต่อมาก็ "แม้ว่าคุณจะไปพยายามหาข้อเท็จจริงมาหักล้างกับคำพูดนี้" นี่ก็สี่ล่ะ สมมติอีกเช่นกัน
สิ่งสมมติของคุณ ผมจะต้องไปหาข้อเท็จจริงมาหักล้างอะไรกันครับ??? มีแต่คุณต้องหาข้อเท็จจริง/ความเป็นจริงมา Support สิ่งสมมติของคุณสิครับ
ย่อหน้าถัดมาของคุณ ผมขอถามว่า "ผมไปบังคับใครหรือครับ?" มีตรงไหนที่ผมบังคับใครให้เห็นคุณค่าครับ ช่วยกรุณา Quote ประโยคของผมมา "ฟันแสกหน้า" ผมแบบจะๆ เลยครับ ว่าผมบังคับใคร?
ผมอธิบายแล้วใน Jam ที่ 2 ว่า เมื่อคนไม่ทราบที่มา (ประวัติศาสตร์) และผมก็เล่าประวัติศาสตร์เพียงสั้นๆ 2-3 ย่อหน้าใน Jam แรก เพื่อให้เขาทราบและได้กลับไปไตร่ตรองเอง ว่าใช้วลีผิดพลาดไป โดยที่ไม่ได้ "ว่ากล่าวโต้งๆ" หรือ "บังคับ" ใดๆ เลย
การเล่าสภาพแวดล้อมอันเกิดจากการปกครองของบ้านเมืองในอดีตเพียง 2-3 ย่อหน้าใน Jam แรกของผมนี่ มันก่อความเดือดร้อนร้ายแรง ทำร้าย ให้ร้ายใคร หมิ่นใคร บังคับใคร พาดพิงใคร หรือแม้แต่เสียดสีใครหรือไม่? ช่วย Quote ข้อความผมมาฟันแสกหน้าผมด้วยครับ!!!
ประวติศาสตร์อาจไม่ใช่ทุกอย่างที่เป็นจริง คุณพูดไม่ผิดครับ แต่ไม่เข้าทีเลยที่นำข้อเท็จจริงนี้มาเพื่อแสดงท่าทีในการปฏิเสธประวัติศาสตร์ทั้งหมดครับ การอ้างของคุณไม่ได้ต่างกับวิธีคิดในกรณีตัวอย่างที่ผมสมมติคนทำผิด 1 คนในสกุลแล้วประหารยกสกุล
ถัดมา... คุณยก Quote ผมมาที่ผมกล่าวว่า "เสรีภาพที่ได้รับจากการปกครองแบบประชาธิปไตย มันจับต้องไม่ได้ แต่เราอยู่กับมันครับ และเสรีภาพ/อิสรภาพที่ได้มา ไม่มีคำว่าตกรุ่นครับ"
แล้วคุณขึ้นประเด็นแย้งว่า... "ผมไม่ได้บอกว่าผิด!"
สูดหายใจลึกๆ กลับไปอ่านใหม่นะครับ... แล้วใน Jam ของผม มีตรงไหนบอกว่าใครผิดครับ??? มีตรงไหนกล่าวหาว่าคุณ "บอกว่าผิด"? รบกวน Quote มาแสกหน้าผมตรงๆ เลยครับ
ประโยคเดียวที่ผมพูดคือ "คุณเข้าใจสิ่งที่ผมสื่อผิดเกือบทั้งหมดครับ" ซึ่ง ไม่ว่าจะอ่านยังไง ตีความอย่างไร มันก็ไม่ได้มีความหมายไปในทางที่ผมว่าคุณผิด หรือใครผิดเลย แต่มันชัดเจนว่าผมหมายถึง "คุณเข้าใจสิ่งที่ผมสื่อผิดเกือบทั้งหมดครับ"
และแน่นอน เป็นลักษณะเฉพาะตัวของผมที่ถ้าได้ลองพยายามสื่อไปอีกระยะหนึ่งแล้ว ไม่สามารถทำให้ผู้ฟัง/ผู้อ่านเข้าใจที่ผมสื่อได้ ผมจะออกตัวยอมรับเองเสมอ ทุกครั้ง ทุกที่ ตลอดมา ว่าผมผิดเองที่ไม่สามารถสื่อสารให้ผู้ฟัง/ผู้อ่านเข้าใจสิ่งที่ผมสื่อได้ ประวัติศาสตร์ของผมเองก็มี ลักษณะเฉพาะตัวผมเป็นเช่นนี้อย่างเด่นชัดมาตลอดครับ
และคุณก็ยังเข้าใจสิ่งที่ผมสื่ออย่างผิดๆ อยู่นะครับ ดูเหมือนคุณจะตั้งธงไว้ในใจแล้ว ว่าผมพยายามสื่อแบบที่คุณกำลังพยายามบีบความหมาย Content ผมไปทางนั้นอยู่ครับ อย่างเช่นประโยคนี้...
"(เพื่อบอกว่ามันดีนะ น่ายอมรับนะ) "
ตรงไหนครับ ที่ผมบอกว่ามันดี? ตรงไหนที่ผมสื่อว่าน่ายอมรับ? ช่วย Quote มาแสกหน้าผมหน่อยครับ
ผมออกจะ Jam ตรงๆ ที่เจ้าของประโยคกล่าวว่า "มันไม่มีความหมาย" เพื่อแย้งว่า "ความหมายมันมี" ก็เท่านั้น ดังนั้นจะเลี้ยวไปไหนครับ?
ส่วนที่คุณกล่าวว่า เราคุยกันคนละเรื่อง ผมเห็นด้วยครับ จริงแท้เลย และผมก็งงมากด้วย เพราะผม.. คุยกับเขา.. ซึ่งจบและเข้าใจกันได้เป็นอย่างดีไปแล้ว
แต่คุณซึ่งผ่านมาอ่านไป แล้วตีความ Jam content ของผมแบบตั้งธง และพยายามบิดเบือนเจตนาของผมให้เข้าทางแนวธงของคุณให้ได้อยู่นี่.... ทำไมครับ? คุณประสงค์อะไรหรือครับ?
ที่คุณทิ้งท้ายว่า "ทุกคนไม่ได้จำเป็นต้องศึกษาประวัติศาสตร์ของเรื่องทุกเรื่องหรอกครับ" เช่นกัน ไม่ต่างจากวิธีคิดเดิมที่คุณชอบยกมาใช้อ้าง...
จริงครับ ทุกคนไม่จำเป็นต้องศึกษาประวัติศาสตร์ของเรื่องทุกเรื่อง แต่การนำข้อเท็จจริงนี้มาเพื่อปฏิเสธที่จะรับรู้ประวัติศาสตร์ที่คุณไม่ต้องศึกษา แค่ 2-3 ย่อหน้า ที่ผมเล่าให้อ่านถึงที่เลย ไม่ต้องดิ้นรนใดๆ เลย มันฟังไม่ขึ้นครับ ไม่ต่างกับที่คุณอ้างว่า "ประวติศาสตร์อาจไม่ใช่ทุกอย่างที่เป็นจริง" เพื่อปฏิเสธทั้งหมดเช่นกัน
แต่ที่แน่ๆ ผมจะพูดแบบของผม ซึ่งจริงยิ่งกว่าคำพูดหนึ่งแน่นอนก็คือ...
เมื่อใครก็ตามพยายามจะ Involve เรื่องใดๆ ก็ตาม ให้มีคุณค่า มีสาระ คนๆ นั้น "จำเป็นต้องศึกษาประวัติศาสตร์ของเรื่องนั้นๆ" อย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้น สิ่งใดๆ จากปากคนๆ นั้นในเรื่องนั้นๆ ก็ Garbage ดีๆ นั่นเอง
ข้อเท็จจริงของคุณ จะแย้งข้อเท็จจริงข้อนี้ของผมได้ไหมครับ?
คุณมองกำแพงแล้วเห็นแต่รอยร้าวเพียงนิด ก็คิดปฏิเสธกำแพง
แต่ผมเห็นความสวยงาม แข็งแรง และประโยชน์ของกำแพงมากกว่ารอยร้าวเล็กๆ นั่นครับ
ผมจะขอแหย่คุณคำถามหนึ่ง อย่าของขึ้นแล้วกันนะครับ...
ประวัติศาสตร์จะจริงตรงไหน แค่ไหนบ้าง ผมให้เกียรติที่จะบอกให้คู่สนทนาเขารับทราบไปและได้ไปไตร่ตรองด้วยตนเองครับ?
คำถามคือ... คุณเชื่อว่า ฝ่ายที่ถูกผม Jam เขา ไม่สามารถ จะมีพิจารณญาณไตร่ตรองประวติศาสตร์สั้นๆ 2-3 ย่อหน้าของเขาเองหรือครับ?
คำถามย่อยคือ คุณให้เกียรติวุฒิภาวะของเขาหรือไม่?
ผมทำไปแล้ว อย่างชัดแจ้งครับ
ถัดมา... ไม่ว่าจะ "โลกกลม" หรือ "เครื่องบิน" ก็ยังไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกับการปกครองได้ครับ คุณยังคงติดอยู่ที่เดิมนะครับ คือแยกนามธรรมกับรูปธรรมไม่ออก
ถ้าคุณเปรียบกับแสง ผมว่ายังเข้าท่ากว่าครับ การปกครองแบบประชาธิปไตย มันเหมือนหลอดไฟกลมๆ ที่ให้แสงสว่างรอบตัว 360° ครับ เมื่อประชาธิปไตยมันเบ่งบานขึ้น มันก็เหมือนแสงที่สว่างจ้ามากยิ่งขึ้น เราย่อมเห็นเงาดำๆ ได้ชัดเจนขึ้นว่ามันมีเงาอยู่ตรงไหนบ้าง แต่ขนาดของเงามันเท่าเดิมครับ ในขณะที่เมื่อประชาธิปไตยมันยังใหม่ๆ แสงมันก็ยังสลัวๆ เงามันก็ขมุกขมัวไปทั่ว ตัวคนบังแสงสร้างเงาก็ย่อมพยายามกีดกันไม่ให้แสงมันสว่างขึ้นเพื่อรักษาสภาพตัวเองภายใต้ความขมุกขมัวนั้น
ทุกวันนี้แสงมันสว่างขึ้น คนไม่ดีทำอะไรลำบากขึ้น พวกเราเห็นเงาชัดมากขึ้นครับ
การปกครองระบอบอื่นๆ เหมือนกระบอกไฟฉาย ที่ไม่ได้ฉายแสง 360° รอบตัว แต่ส่องสว่างไปในทางที่กำหนดไว้
บ้านเราเอง ก็ยังไม่ได้ฉายแสง 360° เช่นกัน... แต่เอาล่ะ ผมอุปมาเพียงเท่านี้ เดี๋ยวจะกลายเป็นว่า ผมเข้าร่วมประเด็นหลักของกระทู้
ผมแสดงการยกตัวอย่างให้คุณอ่านเป็นกรณีที่สองแล้วนะครับ เพื่อให้เห็นว่า "นามธรรม" มันคืออะไร?
ถัดมา คุณเริ่มพยายามทำให้เป็น "นามธรรม" บ้าง แต่ใช้วิธีเอา "ความศรัทธา" มาเปรียบเทียบกับ "การปกครอง" ซึ่ง.... ผมตอบคำถามคุณเลยแล้วกันครับ
ดีครับ
เพราะทุกคนได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของศาสนาไม่เหมือนกันครับ เด็กคนใดเกิดในครอบครัวที่เป็นอิสลาม ย่อมได้รับประสบการณ์ตั้งแต่จำความได้เป็นเรื่องของศาสนาอิสลาม และจะเติบใหญ่ไปเป็นอิสลามิกชนเสมอครับ และอีกส่วนก็มีคือ คนบางคนไม่เคยรับรู้เรื่องศาสนาพุทธ เขาก็ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้รับรู้ประวัติศาสตร์ของพระพุทธเจ้าและคำสอน จนเกิดศรัทธามาเป็นพุทธศาสนิกชนครับ ผมขอถามกลับในคำถามนี้ว่า คุณถามเพื่ออะไรครับ? กลับยิ่งเป็นคำถามที่สนับสนุนการอธิบายกลไลทางความคิด/ความเชื่อของสมองมนุษย์ที่ผมได้กล่าวไปแล้วด้วยซ้ำ?
มีเป็นสองกลุ่มนะครับ กลุ่มหนึ่งคือคนเหล่านั้นไม่ได้สนใจประวัติศาสตร์ของศาสนาใดๆ เลย จึงไม่ได้ศึกษาเรื่องศาสนาใดๆ เลย ย่อมไม่ได้มีการปลูกฝังความเชื่อทางศาสนาใดๆ เลย และอีกกลุ่มซึ่งมีจำนวนน้อยกว่า คือกลุ่มที่สนใจประวัติศาสตร์ทางศาสนามาก จนศึกษาลงลึกไปในหลายศาสนา แล้วเกิดตีแตก/มองขาด ว่าคำสอนของศาสนาคือปรัชญา ส่วนการเคารพ/ศรัทธาคือความงมงาย จึงเลือกคำสอนที่ดีใส่กระบวนการคิดในสมองของตนเอง แต่ละทิ้งซึ่งความงมงายในประเพณีการแสดงออกซึ่งความเคารพ/ศรัทธาของแต่ละศาสนา
อันนี้แบ่งได้เป็นหลายกลุ่มย่อยเลยครับ เอาเป็นว่า ผมคาดว่าเจตนาในคำถามของคุณคือ ตั้งใจถามถึงกลุ่มพุทธศาสนิกชนที่ไม่ไหว้พระเท่านั้นนะครับ คนที่ไม่ใช่พุทธศาสนิกชนคงไม่ใช่เป้าหมายของคำถามของคุณนะครับ คนที่ศึกษาเน้นลงไปในคำสอนของพระพุทธเจ้าจะไม่ไหว้พระเป็นส่วนมากครับ พระพุทธเจ้ามีคำสั่งสอนมากมาย แต่ไม่ได้มี คำสั่ง ให้พุทธศาสนิกชนต้องทำการ ไหว้พระ ครับ แท้ที่จริงกระทั่งพระพุทธรูปซึ่งเป็นสิ่งสมมติในคราแรกที่จะมีการสร้าง พระพุทธเจ้ายังไม่เห็นด้วยที่จะให้สร้าง เพราะจะเกิดความงมงาย (ผมขี้เกียจหา Link อ้างอิงให้นะครับ ไปหาเอาเองนะครับ) การไหว้พระจึงเป็น ประเพณี ในสายตาของผู้ที่เข้าใจและเน้นไปที่คำสอนสั่งของพระพุทธเจ้าครับ ขอตอบแค่กลุ่มเดียวแล้วกัน เดี๋ยวจะนอกเรื่องยาวไป
นั่นก็เพราะประสบการณ์รับรู้ที่เขาได้รับเข้าสู่สมอง มันเป็นเรื่องของนิกายนั้นๆ โดยผู้ถ่ายทอดของนิกายนั้นๆ มีความสามารถในการถ่ายทอดประสบการณ์/ประวัติศาสตร์เข้าสู่สมองผู้อื่นสูงกว่าที่บางคนนั้นเคยได้รับมาก่อนในชีวิต ไม่ใช่แต่นิกาย/ศาสนา เอาตามตำราสมัยใหม่ก็มีเรื่อง จิตวิทยามวลชน ตลอดไปจนถึงการสร้างอุปทานหมู่ ไปอยู่แม้กระทั่งในหลักสูตรการสร้างตลาดแบบ MLM ครับ
ผมไม่อาจตัดสินครับ ถ้าเขาไม่ละเมิดสิทธิใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เขามีสิทธิทำ และผม ไม่มีสิทธิ ตัดสินเขาครับ คุณพยายามจะดึงผมเข้าทางธงอีกแล้วหรือ? ขอบอกตรงๆ ยก Quote ผมมาเลยครับ ฟังผมตรงๆ กลางแสกหน้า มีตรงไหน ผมกล่าวหาว่า "คู่สนทนาผมเป็นคนไม่ดี"? จะได้ไม่ต้อง เลาะริมรั้ว ผมอย่างนี้อยู่ร่ำไป
ไม่ทราบครับ ไม่เคยศึกษาสถิติ ไม่เคยได้รับทราบ ไม่มีประสบการณ์ในตัวเลขเรื่องนี้ ขอสงวนคำตอบครับ ขอสงวนการกะ ของดการคะเน ขอสงวนการใช้/ให้ความรู้สึก และผมไม่ขอสะเออะสู่รู้เดาหรือสมมติตัวเลขใดๆ ขึ้นมาครับ และถ้าใครจะกรุณาบอกตัวเลขให้ผมทราบเลยทันทีหรือแค่ชี้ทางให้ผมไปหาข้อมูลได้ง่าย ก็จะเป็นพระคุณอย่างสูงในน้ำใจของท่าน ที่มีใจกรุณาเอื้อเฟื้อ ช่วยแบ่งปันต่อยอดความไม่รู้ของผมให้ได้รู้เพิ่มได้โดยง่าย ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากไป ผมไม่คิดไปในทาง Negative แก่ผู้ที่บอกเล่าอะไรกับผมฟรีๆ เป็นแน่แท้ครับ (ผมไม่เคยมีความคิด/พฤติกรรมแบบนั้น ไม่ว่าจะกับคนวัยใด รุ่นใด และเมื่อไหร่) ผมจะพิจารณาทุกสิ่งจาก Positive thinking เสมอครับ
อ้าว คุณถามเองตอบเองซะแล้วไงครับ ก็ลองมาคนมาถ่ายทอดให้รู้เพิ่มสิครับ พอรับรู้มากพอ จนเกินศรัทธาเก่าที่มี ผมก็ย่อมนับถือแน่นอน.... คุณเอาคำถามอะไรมาถามครับเนี่ย? กลับยิ่งสนับสนุนคำอธิบายของผมเข้าไปใหญ่เลย
และสต่อมา คุณกล่าวว่า ผมกำลังบอกว่า "ไม่จำเป็น" ที่ทุกคนต้อง "ยอมรับ" หรือรู้สึกว่า "มีคุณค่า" ทุกอย่างเหมือนกันก็ได้ครับ
ผมขอย้ำว่า จำเป็น ครับ
การปกครอง ไม่ใช่ศาสนาครับ
ศาสนามีตัวเลือก และไม่เลือกเลยก็ได้
แต่ผลจากการปกครอง เราต้อง อยู่กับมัน ครับ อย่างเลือกไม่ได้ เลี่ยงไม่ได้ครับ
ความมีเสรีภาพในการเลือกศรัทธาศาสนาน่ะ เป็นผลผลิตจากประชาธิปไตยนะครับ!!! เห็นไหมครับ คุณไม่ยอมศีกษาประวัติศาสตร์การพัฒนาประชาธิปไตย จนคุณพลาดขนาด ยกเอาเสรีภาพในการเลือกศรัทธาศาสนา อันเป็นผลสิทธิที่ได้จากประชาธิปไตยแท้ๆ มาพยายามหักล้างผมหน้าตาเฉยเลย
เมื่อเร็วๆ นี้ มีกระแสจะบรรจุศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติด้วยซ้ำ... ประชาธิปไตย?
คุณกำลังไม่ทันเฉลียวนะครับ ว่าแทบทุกสิ่งที่คุณยกมาประกอบ ล้วนเป็นผลจากการปกครองแบบประชาธิปไตยที่พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ ทั้งสิ้น คุณก็เป็นผู้ที่ใช้สิทธิเหล่านั้นจนเคยชิน ทั้งในทาง Defence และ Engage เพื่อบอกว่า "ไม่จำเป็นต้องรู้จักประชาธิปไตย"
ตอนนี้ผมนึกสำนวนนุ่มๆ ไม่ออก ต้องขอโทษไว้ก่อน ถ้าสำนวนบรรทัดต่อไปนี้จะฟังดูแรง/หยาบคายไปบ้างนะครับ
ถ้าไอ้ตัวประชาธิปไตยนี่มีชีวิต... คงสบถใส่การโต้แย้งของคุณว่า "กินบนเรือน.....หลังคา" เป็นแน่แท้
คุณใช้เสรีภาพที่ได้จากประชาธิปไตย เพื่อ Defence/Engage บอกว่า ประชาธิปไตยไม่มีความหมายสำหรับทุกคน
วิธีคิดของคุณถ้าเผยแพร่ออกไป กลับจะเป็นการสนับสนุนเด็กรุ่นหลัง ที่ยังด้อยประสบการณ์ในเรื่องประชาธิปไตย ให้กลายเป็นผู้ที่สักแค่เรียกร้อง สักแต่ใช้สิทธิ จนเลยขอบเขตของอิสรภาพที่มนุษย์ผู้อยู่ร่วมกันพึงรักษา ดังเช่นที่ประชาชนของประเทศเรากำลังขาดๆ เกินๆ อยู่ในตอนนี้ครับ คุณว่าดีแล้วหรือ ที่จะปล่อยให้ทุกคนใช้เสรีภาพอย่างเต็มที่โดยไม่ จำเป็น ต้องรู้ว่า มันเป็นมาอย่างไร ขอบเขตของเสรีภาพในปัจจุบันมันควรแค่ไหน และกำลังไปในทิศทางใดต่อไป
การอุปมาสุดท้าย เรื่อง "ไปดูหนัง" ของคุณ ก็อีหรอบเดิมนะครับ นำสิ่งที่เปรียบกันไม่ได้มาเทียบเช่นเคย
การไปดูหนัง เป็นเสรีภาพที่ได้จากประชาธิปไตยครับ คุณเลือกที่จะไม่ดูก็ได้ครับ แต่ผลจากการปกครองในระบบประชาธิปไตยนั้น คุณต้อง อยู่กับมัน ครับ ขอย้ำว่า...
ทุกคนใช้ชีวิตอยู่กับมัน
!!! อยู่กับมัน !!!
การไปดูหนังที่คุณยกมา คุณก็ยกมาแบบสมมติให้ผมและเพื่อนไปดูหนังมาทั้งเรื่องทั้งคู่ แล้วเพื่อนไม่สนุกเท่าผม เลยไม่ชอบ ยกตัวอย่างแบบนี้ก็เข้าตัวคุณอีกอยู่ดีครับ ก็นั่นไงครับ คู่สนทนาผมเขาดูหนังประชาธิปไตยมาแค่ 20 ปีในชีวิตเขาไง ไม่ได้ดูต้นครึ่งเรื่องแรกไง ผมก็เลยเล่าสรุปๆ 21-40 ปีเป็น 2-3 ย่อหน้าให้ไง จะได้เท่าๆ กันไงครับ แล้วค่อยตัดสินสิ ว่ามันจะสนุกหรือไม่? เปรียบเทียบแบบนี้ขี้โกงนี่นา...
เขาใช้เหตุผลในช่วงเวลาหนึ่งคือ 20 ปีที่แล้ว ตามที่คุณกล่าวอ้าง และคุณก็พยายามลากผมเข้ากรอบที่ว่า ผมก็ใช้เหตุผลใน "อีกช่วงเวลาหนึ่ง"!!! เพื่อให้เข้าทางธงคุณหน้าตาเฉยเลย...
20 ปีที่แล้ว เป็น Subset ของ 40 ปีที่แล้วนะครับ!!! มันคือเวลาเดียวกันครับ แต่ Period ไม่เท่ากันครับ!!! ถ้าผมยกดุสิตธานีมาสิ คุณจะดึงเข้าเหตุผลคุณทางนั้นได้เต็มที่เลยครับ
และเห็นไหมครับ คนที่ผมสะกิด เขาเข้าใจกันดีไปแล้ว ทำไมคุณยังค้างเติ่งอยู่ตรงนี้ครับ?
อย่าสมมติด้วยสิ่งที่คนเราเลือกได้ด้วยความพอใจมาเปรียบเทียบอีกเลยครับ หาตัวอย่างมาใหม่ดีกว่าครับ ผมสังเกตุเห็นว่าทั้งหมดคุณเลี่ยง/มองข้ามไม่โต้แย้งเรื่องกลไกการเกิดความรู้สึกถึงความมีคุณค่าของสมองเลยนะครับ ซึ่งนั่นเป็นสาระสำคัญทีเดียวเชียวว่า ประวัติศาสตร์ของแต่ละสิ่ง มันมีความจำเป็นอย่างไร ที่ต้องรู้ เมื่อเราต้องอยู่กับมัน
ดีขึ้นครับในเรื่องที่พยายามยกศาสนามาเทียบ ฝึกฝนอีกหน่อยในการพิจารณานามธรรมนะครับ ดูเหมือนน่าจะเริ่มจับนามธรรมเป็นแล้ว แต่ยังมองรูปร่างหน้าตาของนามธรรมแต่ละเรื่องไม่ออกเท่านั้น
+1
ถึงคู่กรณีจะอ่านแล้วคิดอย่างไรก็ตาม แต่อย่างน้อยสำหรับผมถือเป็นข้อเขียนที่เป็นเหตุเป็นผลและ"เห็นภาพ"มากเลยครับ
"With the first link, the chain is forged. The first speech censured, the first thought forbidden, the first freedom denied, chains us all irrevocably."
ขอตอบก่อนว่า มันยาวมาก...
แสดงให้เห็นความตั้งใจของคนตอบที่พยายามที่จะอธิบายให้ผมฟังอย่างเต็มที่ ทั้ง ๆ ที่อธิบายมากี่ครั้ง (ยาวเหมือนกัน) ผมก็ตอบไปโดยเหมือนยังไม่เข้าใจ อันนี้ผมขอขอบคุณและรู้สึกยินดีที่ได้สนทนาด้วย
แต่...
ผมยังอ่านไม่จบ @ @...
ขออ่านต่อก่อนนะครับ และจะพยายามคิดตามทุก ๆ คำที่คุณพยายามสื่อมาให้ครับ :)
เรื่องที่ว่าผมจะลากคุณมาเข้าทางธงของผมนั้น อันนี้ขอตอบจากใจนะครับว่า ผมไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นหรอกครับ ผมเพียงอธิบายไปตามความรู้สึกที่ได้จากการอ่านข้อความที่คุณเขียนเท่านั้นเอง คือ ผมอ่านแล้วรู้สึกว่า คุณกำลังจะสื่ออย่างนั้น ผมก็จึงติงไป พอคุณอธิบายกลับมา ผมก็อ่านแล้วรู้สึกว่าคุณกำลังตีความหมายของผมผิด จึงพยายามอธิบายกลับไปอีกหลาย ๆ ครั้ง เท่านั้นเองครับ
ส่วนเรื่องสมมติ ก็หลายเรื่องมันไม่ได้เกิดขึ้นจริงถ้าไม่สมมติผมก็ไม่สามารถนำมาพูดกับคุณได้ อย่างผมอายุน้อยกว่าคุณ จะให้ไปบอกว่าผมอายุมากกว่ามันก็เกิดขึ้นไม่ได้จริง ผมจึงต้องสมมติไงครับ (อันนี้ผมไม่ทราบว่ามันแปลกตรงไหน?) ส่วนลำดับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผมสมมตินั้น ก็เหมือนที่ผมบอกไปว่า เราคุยกันคนละเรื่อง เพราะผมไม่ได้มาเถียงโต้แย้งข้อเท็จจริงอะไรกับคุณ ผมกำลังคุยกับคุณเรื่องแนวความคิด!
ก็ตรงกันกับที่คุณบอกว่า
ที่ผมสื่อกับคุ่กรณีผมคือ เขาควรทบทวนใหม่ว่า ประชาธิปไตย ควรมีความหมายและรับรู้บ้างสำหรับเขา เพราะเขาต้องใช้ชีวิต อยู่กับมัน
อันนั้นคุณไปคุยกับเขาตามสบายเลยครับ เพราะมันคนละเรื่องกับที่ผมพูดกับคุณ
ดังนั้น เรื่องที่ผมสมมติ ผมไม่ได้สนใจหรอกว่ามันจริงหรือเปล่า? ในส่วนนี้คุณต่างหากที่กำลังจะลากผมไปยังธงของคุณ ว่าจะต้องไปคุยกันเรื่องประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยให้ได้ ผมแค่ต้องการจะยกตัวอย่างเพื่อให้คุณมองในมุมกลับ ในฐานะที่คุณเป็นผู้ฟัง เป็นผู้รับการบอกกล่าวลักษณะนี้ ว่ามันทำให้คุณเกิดสภาวะที่ "ไม่แฟร์" ได้อย่างไรเท่านั้นเอง เมื่อมันเป็นเรื่องสมมติ เรื่องข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างไร มันจึงไม่สำคัญ เพราะมันสมมติขึ้นมาไงครับ ในส่วนรายละเอียดปีกย่อยตรงนั้น ผมขอให้มันติดไว้แบบนั้นก็ได้ (เพราะมันคงยาวก็จะทำให้เราเข้าใจกันได้) ผมขออธิบายต่อเฉพาะตรงที่มันเป็นประเด็นแล้วกัน
ย่อหน้าถัดมา เรื่องการ "บังคับ" ให้เชื่อนั้น คุณเองไม่ได้ใช้คำพูดว่า จะต้องเชื่อตามคุณโดยตรงหรอก แต่จากลำดับคำพูดด้วยการนำข้อความที่เค้าใช้ โดยนำเสนอมุมมองของคุณ ว่าเค้ามองไป 20 ปีในมุมมองหนึ่ง แล้วโต้แย้งโดยยกอายุหรือประสบการณ์มาข่ม (อันนี่คุณก็ไม่ได้เขียนหรอกนะว่า ข่ม แต่ผมอ่านแล้วมันให้ความรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ) ว่าในขณะที่คุณอายุมากกว่าเขา 15 ปี+ คุณเห็นโลกมาเยอะ คุณผ่านช่วงที่เลวร้ายมาก่อน ถ้าเค้าเจออย่างที่คุณเจอ เค้าจะไม่คิดแบบนี้ ซึ่งมันก็เป็นการชักจูงให้เค้ารู้สึกคล้อยตามคุณไม่ใช่หรือ? (คุณก็บอกว่าต้องการสะกิดให้เค้าคิด)
"อะไรกันหนอที่ทำให้คนไทยมีวิธีการคิดเช่นนี้เพิ่มขึ้นในรอบไม่ถึง 20 ปี" คนรุ่นผม ได้อ่านความเห็นคุณแล้ว ก็อยากจะกล่าวว่า... "อะไรกันหนอที่ทำให้คนไทยมีวิธีการคิดเช่นนี้เพิ่มขึ้นในรอบไม่ถึง 40 ปี" เช่นเดียวกันครับ
x
x
"โอ... มันสุดจะสาธยายครับ คุณคิดแค่ 20 ปีเองหรือ? แล้วคุณจะเข้าใจและมองเห็นวิวัฒนาการหรือครับ? แล้วคุณจะเห็นพลอยในมือคุณหรือครับ? ว่ามันไม่ใช่ก้อนกรวด?"
ที่ทำให้ผมโต้แย้งก็คือการที่เค้าคิดแค่ 20 ปี หากทำให้เค้าคิดว่าอะไรสักอย่างนั้นไม่สำคัญ (สำหรับเค้า) มันก็ "ไม่จำเป็น" ที่จะต้องไปเกี่ยวกับเรื่อง "วิวัฒนาการ" (ซึ่งเป็นเรื่องที่คุณดูสนใจมากเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะต้องสนใจด้วย) และ หากข้อมูลที่คุณประเมินเป็นจริง (เรื่องอายุ และ ประสบการณ์) คุณบอกว่า ให้เค้าทำให้ได้เหมือนอย่างคุณ ถึงจะรู้ซึ้งว่าเค้าคิดผิด มันจะทำให้เกิดขึ้นจริงได้ยังไงล่ะครับ!
และที่ถามว่าผมรู้ได้อย่างไรว่าเขาทำไม่ได้... อันนี้คงไม่ต้องตอบมั๊งครับ?
ส่วนคำว่า "ผมไม่ได้บอกว่าใครผิด" ผมก็แค่ต้องการสื่อว่า ผมไม่ได้บอกว่าที่คุณพูดนั้นผิดผมเลยมาโต้แย้งคุณ! มันใช่ประเด็นที่ผมเอามาพูด ข้อมูลคุณแน่นปึ้ก คงไม่ผิดหรอก แต่ผมไม่ชอบวิธีการเท่านั้นเอง
ย่อหน้าถัดมาคุณก็วกกลับมาพูดเรื่องประวัติศาสตร์อีกแล้ว ผมก็ย้ำอีกรอบว่า ผมไม่ได้จบเอกประวัติศาสตร์ ผมไม่ได้สนใจที่จะเสวนาเรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทย หรือ ส่วนไหน ๆ ของโลก แต่ผมขอโต้แย้งแค่จุดที่คุณบอกว่า ผมเอาข้ออ้างว่า "ประวัติศาสตร์ไม่ใช่ทุกอย่างที่เป็นจริงมาเป็นข้ออ้างที่จะปฏิเสธประวัติศาสตร์ทั้งหมด" กลับมาถามคุณบ้างว่า ประโยคไหนที่ผมบอกอย่างนั้นหรือครับ? ช่วยเอามาแสดงให้ผมดูก็พอ ไม่ต้องตีแสกหน้าผมหรอก... ที่ผมพิมพ์ไปมีแต่คำว่า "ผมไม่สนใจ" "ผมไม่ได้ว่าคุณผิด" "ผมไม่อยากคุยเรื่องนั้น" การไม่สนใจ หรือ ไม่อยากคุยนี่มันร้ายแรงถึงขนาดว่า เป็นการปฏิเสธประวัติศาสตร์อย่างนั้นเลยหรือครับ? คุณเองไม่ใช่หรือที่ยกตัวอย่างว่า ถ้าจะเอาเรื่องเก่ากว่ายุคคุณมาพูด คุณก็ไม่อยากพูด เพราะคุณก็เกิดไม่ทัน อยากคุยเรื่องยุคของคุณมากกว่า แต่ผมมันยิ่งกว่านั้น คือยุคไหนผมก็ไม่อยากคุยครับ
"เมื่อพูดถึงการเชื่อมโยงกับเวลา ถ้าผมจะอ้างให้มากกว่านั้น ผมคงอ้างถึงเจตนาของดุสิตธานีที่รัชกาลที่ 6 เริ่มขึ้นไปเลยก็ได้ แต่นั่นมันก่อนผมเกิดเสียอีก ไม่ได้เห็นด้วยตา ไม่ได้รู้กับหูตัวเอง มันก็เท่านั้น"
ตอนแรกพิมพ์ไปซะยาว ขอเป็นสั้น ๆ แทนแล้วกัน ไม่รู้คุณได้ดูหนังเรื่อง "อุโมงค์ผาเมือง" หรือเปล่า? นั่นอาจจะเป็นตัวอย่างหนึ่งที่อธิบายความคิดผมได้ครับ ถ้าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนัง... ถ้าคุณไม่ได้ฟังคนสุดท้ายเล่า... ใครโกหก? ไม่ใช่ทุกครั้งที่จะโชคดีหาคนสุดท้ายได้กันทุกคนหรอกครับ? หรือถึงเจอ ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าเป็นคนสุดท้ายที่เล่าหรือเปล่า?
ถ้าผมจะยืมคำพูดของคุณที่ว่า "กว่าจะรู้ก็สายเสียแล้ว" ก็อาจจะใช้กับกรณีนี้ได้เช่นกันครับ เลือกคนที่คุณจะเชื่อดี ๆ แล้วกัน
และที่คุณบอกว่า
เมื่อใครก็ตามพยายามจะ Involve เรื่องใดๆ ก็ตาม ให้มีคุณค่า มีสาระ คนๆ นั้น "จำเป็นต้องศึกษาประวัติศาสตร์ของเรื่องนั้นๆ" อย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้น สิ่งใดๆ จากปากคนๆ นั้นในเรื่องนั้นๆ ก็ Garbage ดีๆ นั่นเอง
คุณมั่นใจหรือว่าคุณจะแสดงความเห็นอะไรก็ตาม คุณรู้ซึ้งถึงประวัติศาสตร์ทุกเรื่องที่คุณแสดงความเห็นใช่ไหมครับ??? ตัวผมเอง ผมยอมรับเลยว่าผมไม่ใช่ แล้วคุณยอมรับไหม? คุณจะโต้แย้งผมหรือเค้า (เรื่องความคิดของผมหรือเค้า) คุณรู้หรือเปล่าว่าผมหรือเค้าเป็นใคร เกิดที่ไหน ทำงานอะไร นิสัยใจคอยังไง ฯลฯ คุณยังมาวิจารณ์ผมหรือเค้าได้อย่างมากมายขนาดนี้??? หรือแม้แต่ข้อความต่าง ๆ ที่คุณเอามากล่าวอ้าง สำนวนต่าง ๆ คุณรู้ประวัติศาสตร์ที่มาที่ไปของมันอย่างถ่องแท้ ทุกคำแน่หรือ? หรือข้อความต่าง ๆ ที่คุณพิมพ์มาใน reply นี้คุณก็รู้จักถ่องแท้แล้วจริง? ถ้าตอบไม่ได้ก็ช่วยบอกด้วยว่า สิ่งใด ๆ ที่ออกจากปากคน ๆ นั้นเรียกว่าอะไรครับ??? (ย่อหน้านี้ผมขอโทษด้วย ถ้าใครอ่านแล้วรู้สึกไม่ดี แต่ผมใช้คำลักษณะเดียวกับที่มาครับ)
เรื่องคำถามที่คุณบอกว่าแหย่ผม ผมไม่รู้ว่าทำไมต้องใช้คำว่าของขึ้น ส่วนหนึ่งก็คงเหมือนที่ผมถามไปข้างบนว่า คุณคงไม่รู้จักในเรื่อง (ในที่นี้คือคน) ที่คุณพูดถึงจริง ๆ อย่างลึกซึ้งถึงทำให้คิดแบบนั้น พิมพ์ไปเพราะสนุกมือ? ขนาดแค่คุณย้อนกลับไปอ่าน Reply ก่อนผมก็มีบอกชัดเจนอยู่แล้วว่า
ถ้าลองอ่านย้อนไปตั้งแต่แรก ก็น่าจะเห็นว่าสิ่งที่ผมพยายามจะสื่อ คือ เหตุผลที่เค้าใช้แสดงคือเค้าคิดย้อนไปช่วงเวลาหนึ่ง แต่คุณเอาหตุผลที่เกิดในอีกช่วงเวลาหนึ่ง (ซึ่งเค้าก็อาจจะไม่รู้ หรือรู้แต่ไม่ได้ผ่านมาจริง เหมือนที่คุณยกตัวอย่าง) ผมจึงเห็นว่ามัน "ไม่แฟร์" เพราะคุณจะทำให้เค้ามาโต้แย้งในเหตุผลนั้นไม่ได้!?
ผมไม่รู้ว่าคุณเข้าใจคำว่า "อาจจะ....จึง...ไม่แฟร์..ทำให้...." หรือเปล่า? หรืออาจจะอ่านข้ามไปเพราะตัวหนังสือมันเยอะ แต่ผมพิมพ์ reply ที่นี่แบบใส่สีหรือทำตัวหนาใส่เส้นใต้ไม่เป็นจริง ๆ ผมขอโทษด้วยครับ และ ใน reply เดียวกันนั้น ผมก็บอกไปหลายครั้งแล้วว่า เรื่องเค้าตอบได้/ไม่ได้ หรือ ข้อเท็จจริงอย่างไรนั่นไม่เกี่ยวกับที่ผมคุยกับคุณเลย หากคุณศึกษาเป็นอย่างดี ผมคิดว่าคงไม่มีคำถามเหล่านี้หลุดออกมาได้แน่นอนครับ หรือถ้าเรียกว่าศึกษาดีแล้ว ผมคิดว่าผมคงไม่มั่นใจแล้วล่ะว่า สิ่งที่คุณพยายามโน้มน้าวเขามันน่าเชื่อจริง ๆ....
จนถึงย่อหน้าถัดมา คุณก็ยังกลับมาเรื่องเดิม ๆ อีก เพราะผมก็อธิบายไปแล้วว่า ไม่มีประโยคไหนที่บอกว่า โลกกลม=การปกครอง คุณเองพยายามใช้คำเปรียบเปรยทั้งกับเค้าและกับผม แต่คุณกลับไม่เข้าใจการเปรียบเปรยที่ผมใช้ ผมไม่ได้พูดเรื่อง โลกกลม (รูปธรรม) กับ การปกครอง (นามธรรม) แต่ผมพูดเรื่อง การทำให้คนยอมรับเรื่องโลกกลม กับ การทำให้คนยอมรับเรื่องการปกครอง ซึ่งมันเป็นเรื่องจิตใจที่เป็นนามธรรมทั้งคู่ ว่าคุณต้องแสดงให้เค้า "ยอมรับ" ให้ได้ก่อน ซึ่งการ "ยอมรับ" นี้มันบังคับกันไม่ได้
ในขณะที่ตัวอย่างที่คุณยกมา.... อ้าว... แสงนี่เป็นนามธรรมจริง ๆ หรือครับ? ในเมื่อคุณไม่ได้แสดงความเห็นเรื่องโลกกลม หรือ เครื่องบิน ว่าเป็นอย่างที่ผมยกตัวอย่างหรือไม่ ผมขอข้ามเรื่องแสงนามธรรมของคุณไป เพราะมันยาวและเป็นคนละเรื่องเดียวกันเหมือนเดิม
ส่วนคำตอบของคุณทั้งหมดเรื่องความศรัทธา ก็นั่นแหล่ะครับ มันตอบคุณได้เองอยู่แล้ว ถ้าคุณจะลองสูดหายใจลึกๆ กลับไปอ่านที่คุณตอบมาเองนี่แหล่ะว่า แต่ละคำตอบที่คุณให้มานั้น คุณเองก็ยังเข้าใจเลยว่ามันมีสาเหตุมาจาก "ความแตกต่างกัน" เช่น
"ทำไมบางคนไม่สนใจนับถือศาสนาอะไรเลย?"
มีเป็นสองกลุ่มนะครับ กลุ่มหนึ่งคือคนเหล่านั้นไม่ได้สนใจประวัติศาสตร์ของศาสนาใดๆ เลย จึงไม่ได้ศึกษาเรื่องศาสนาใดๆ เลย ย่อมไม่ได้มีการปลูกฝังความเชื่อทางศาสนาใดๆ เลย และอีกกลุ่มซึ่งมีจำนวนน้อยกว่า คือกลุ่มที่สนใจประวัติศาสตร์ทางศาสนามาก จนศึกษาลงลึกไปในหลายศาสนา แล้วเกิดตีแตก/มองขาด ว่าคำสอนของศาสนาคือปรัชญา ส่วนการเคารพ/ศรัทธาคือความงมงาย จึงเลือกคำสอนที่ดีใส่กระบวนการคิดในสมองของตนเอง แต่ละทิ้งซึ่งความงมงายในประเพณีการแสดงออกซึ่งความเคารพ/ศรัทธาของแต่ละศาสนา
ข้ออื่น ๆ คุณก็ตอบลักษณะคล้าย ๆ กัน มันจึงเป็นที่มาของจุดเริ่มต้นของการสนทนาอันยาวเหยียดนี้ว่า ประสบการณ์ของคุณกับเขาต่างกัน (ในที่นี้ผมหมายถึงยุคสมัย) แต่ละคนจึงอาจจะมีความคิดที่แตกต่างกันได้ไงครับ
แต่หนึ่งในนั้นคงต้องขอยกมานิดหน่อย
"คนที่ทำตัวแตกแยกเหล่านั้นเป็นคนไม่ดีหรือเปล่า?"
ผมไม่อาจตัดสินครับ ถ้าเขาไม่ละเมิดสิทธิใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เขามีสิทธิทำ และผม ไม่มีสิทธิ ตัดสินเขาครับ คุณพยายามจะดึงผมเข้าทางธงอีกแล้วหรือ? ขอบอกตรงๆ ยก Quote ผมมาเลยครับ ฟังผมตรงๆ กลางแสกหน้า มีตรงไหน ผมกล่าวหาว่า "คู่สนทนาผมเป็นคนไม่ดี"? จะได้ไม่ต้อง เลาะริมรั้ว ผมอย่างนี้อยู่ร่ำไป
เห็นอะไรในข้อความนี้ไหมครับ? ผมก็จะย้ำกับคุณครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ +1 ว่าที่ยังมาย้ำว่าผมกล่าวหาคุณ ว่าคุณไปกล่าวหาคู่สนทนาว่าเป็นคนไม่ดีนั่นน่ะ เฮ้อ....(บ้าง) ผมย้ำว่า ผมไม่สนใจจริง ๆ นะครับ ไม่เคยอยู่ในหัวผมเลย....เอายังงี้ดีกว่า...ผมใบ้เพิ่มให้อีกนิดก็ได้ว่า ถ้าคุณศึกษาประวัติศาสตร์ของผมในเว็บนี้ดี ๆ คุณจะรู้ว่าการที่ผมแย้งคุณเพราะต้องการจะไปปกป้องคู่สนทนาของคุณนั้น แทบเป็นไปไม่ได้เลยครับ เพราะฉะนั้น ถ้ามีธงปักไว้ ก็หักทิ้งเถอะครับ หรือ ถ้าไม่รู้จะเอาไปทำอะไร เอามาฟันแสกหน้าผมแทนเลยก็ได้จะได้จบ ผมยังคงยืนยันว่าไม่มีธงที่มองไม่เห็นทั้งนั้น ผมยืนยันว่ายังคงเป็นเรื่อง "การยอมรับ" ต่างหาก
สุดท้ายหลังจากคุณตอบเรื่องศาสนา คุณก็ยังลงท้ายว่า...
การปกครอง ไม่ใช่ศาสนาครับ
ศาสนามีตัวเลือก และไม่เลือกเลยก็ได้
แต่ผลจากการปกครอง เราต้อง อยู่กับมัน ครับ อย่างเลือกไม่ได้ เลี่ยงไม่ได้ครับ
ก็นั่นแหล่ะครับ... ผมถามจริง ๆ เถอะนะ... คุณไม่รู้จริง ๆ หรือว่าผมเปรียบเทียบเรื่องศาสนาเพราะอะไร? ถ้าจะเอาแบบนี้ผมพิมพ์อะไรต่อ ใจคุณไม่เปิดก็เท่านั้น คุณก็บอกไม่เหมือน คุณก็บอกไม่ใช่ อ้างไปซ้ายทีขวาที คำตอบมันอยู่ข้างบนนะครับ ผม....ต้องการ....ให้เห็นว่า....ความแตกต่าง....ของประสบการณ์...มีผลกับการเลือก....เลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ....เลือกที่จะยอมรับหรือเปล่า?.....แค่นั้นเอง.......ศาสนา...ไม่เท่ากับ...การปกครอง...จริง ๆ ครับ .... (ถ้าพิมพ์ให้ตัวหนา+โต+สีแดงเข้ม ๆ ได้คงจะดี) ถ้ายังติดใจ เอาเป็นว่าเรื่องนี้ผมยอมครับ...
เพราะขนาดผมอ่านต่อมาบรรทัดต่อมา ยังเจอเรื่องการดูหนังต่ออีก... ยอมจริง ๆ ครับ...ยอมแล้ว ขนาดคุณไปดูหนังกับเพื่อน คุณยังเชื่อได้ว่า เพื่อนที่ฟังคุณเล่าหนังครึ่งเรื่องให้ฟังและดูเองอีกครึ่งเรื่อง ไม่แตกต่างกับคุณที่ดูเองทั้งเรื่อง โอ้โห...ผมว่า...คุยต่อคงไม่มีประโยชน์แล้วครับ ไหน ๆ ก็จะจบ เห็นมีต่อท้ายเล็ก ๆ ผมก็ต่อให้นิด ๆ ว่า คุณมั่นใจว่ารู้จักนามธรรมจริง ๆ สินะ.... ผมยอมรับว่าผมไม่ชำนาญเท่าไหร่ แต่ถ้าผมถือคติเหมือนที่คุณบอกใน reply ของคุณ ผมคงจะไม่กล้าทิ้งท้ายแบบนี้หรอกครับ
ผมมองว่าคุณทั้งคู่ต่างก็มองเรื่องประสบการณ์ในคนละมุม แบบที่ทำให้มาถกเถียงกันตอนนี้แหละ
สำหรับผม แน่นอนครับ อายุน้อยกว่าแทบทุกคนในเว็บนี้แน่นอน แต่ผมพอเข้าใจว่าแนวคิดของคุณจักรนันท์มันดูสลับไปมาระหว่างประสบการณ์นิยมแบบเคร่งครัดกับแบบองค์รวม เลยทำให้คุณ btxxxx ต้องออกมาจี้ประเด็นนี้
ซึ่งคุณจักรนันท์คงลืมไปว่าในขณะที่บอกให้คู่กรณีไปฉุกคิด ไปศึกษา แต่ก็ปิดทางด้วยการบอกว่าประสบการณ์มีไม่เท่ากัน(และในความเป็นจริงก็ไม่มีใครมีประสบการณ์ต่อเรื่องหนึ่งๆได้เท่ากันหรอกครับ ต่อให้เกิดวินาทีเดียวกันด้วย)
ดังนั้นคุณ btxxxx จึงออกมาแย้งวิธีการนี้ ซึ่งผมก็เห็นด้วยว่ามันมีปัญหา
แต่ผมคิดว่าผมเข้าใจเจตนาและประเด็นของทางคุณจักรนันท์ในการเอาเรื่องประสบการณ์มาโต้กับคุณ Worwae07 นะ เพราะเขาเขียนมาตอนแรกในแบบที่เรียกได้เลยว่า "ปิดหูปิดตา" ไม่รับเอาประสบการณ์นอกเหนือจากประสบการณ์ตรงที่ตัวเองพบเจอมาเลย ซึ่งมันอาจจะเป็นวิธีที่ดีในบางประเด็น แต่สำหรับเรื่องของประชาธิปไตยไทยที่มีมากว่า 70 ปี มันไม่แฟร์
แล้วไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ ข้อเขียนของคุณจักรนันท์ก็ทำให้ผมเห็นประเด็นว่า การศึกษาประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะพูดให้มากที่สุดนั้นจำเป็นมากที่จะทำให้การสนทนาเป็นไปได้ ไม่งั้นเถียงกันไปก็ไร้ความหมาย เพราะผู้มีประสบการณ์น้อยกว่าจะมองแต่ในมุมของตัวเอง
ถึงแม้ว่าจะมีคำกล่าวที่ว่า "ประวัติศาสตร์เป็นของผู้ชนะ" และทำให้เกิดความเข้าใจว่าไม่ต้องศึกษาประวัติศาสตร์ก่อนจะพูดก็ได้ เพราะยังไงก็เป็นประวัติศาสตร์ด้านเดียว แต่แน่นอนครับ ในซอกหลืบบางที่ มันมี "ประวัติศาสตร์ของผู้แพ้" "ประวัติศาสตร์ของคนธรรมดาสามัญ" อยู่ ซึ่งประสบการณ์ที่คุณจักรนันท์พยายามบอกเนี่ยแหละ คือข้อยืนยันว่าอย่างน้อยคนที่ผ่านประสบการณ์มาน้อยกว่าก็อาจจะเพิ่มประสบการณ์ในยุคก่อนหน้าตัวเองได้ด้วยการรับฟังและหาข้อมูล แล้วจุดสำคัญทางประสบการณ์ของคุณจักรนันท์ คือหมุดหมายทางประวัติศาสตร์ที่เขาได้ผ่านมาครับ ทั้งการอยู่ใต้ระบอบเผด็จการทหาร การอยู่ในยุคสมัยของคนเดือนตุลา การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของพคท. ฯลฯ
แต่ถ้าจะพูดให้แฟร์ ถ้าใช้แนวคิดประสบการณ์นิยมแบบเคร่งครัดในการถกเถียงกันอยู่ คุณจักรนันท์ก็ต้องหาประสบการณ์เพิ่มด้วยเช่นกัน เพราะตัวเองก็ไม่ได้มีประสบการณ์ถึง 70 ปีแห่งประชาธิปไตยมาตลอดช่วง ซึ่งมันก็เป็นไปไม่ได้ จึงไม่ควรใช้ท่าทีนั้นกับคู่กรณีด้วยเช่นกันครับ
"With the first link, the chain is forged. The first speech censured, the first thought forbidden, the first freedom denied, chains us all irrevocably."
T_T ซึ้งใจที่มีคนเข้าใจสิ่งที่ผมพยายามอธิบาย
ผมไม่ได้โต้แย้งในเจตนาดีที่เค้ามีที่จะบอกให้คู่กรณีไปคิดตาม หรือถ้าจะพูดให้ชัด ไม่รู้ว่าจะเชื่อหรือเปล่า แต่ผมยังเห็นด้วยในเนื้อหาที่คุณจักรนันท์พยายามจะอธิบาย และ ไม่เห็นด้วยกับข้อความของคู่กรณีด้วยซ้ำ เพียงแต่ผมต้องการทักเรื่องท่าทีที่แสดงออกมาเท่านั้นเอง
ส่วนหนึ่งผมต้องขอโทษที่บางช่วงบางตอน อาจใช้ข้อความที่ไม่เหมาะสม รวมไปถึงอาจไปล่วงเกินคุณจักรนันท์ไปบ้าง และอาจทำให้หลาย ๆ คนที่อ่านรู้สึกไม่ดี ตรงจุดนี้ผมขอโทษด้วยจริง ๆ ครับ
และตรงข้อความตัวหนา ๆ ด้านบน ผมพยายามหาวิธีแก้แล้วแต่แก้ไม่เป็น คือจริง ๆ ต้องการจะ quote แต่ไม่รู้จะทำยังไง พอใส่เป็นขีด ๆ กั้นไว้เอาแบบง่าย ๆ มันก็กลายเป็นแบบที่เห็น ลองเปลี่ยนเป็นตัวอื่น ๆ ก็ไม่ work อ่านใน Input format ก็ไม่ค่อยเข้าใจ สุดท้ายเลยพยายามจัดให้ดีที่สุดตามที่เห็นด้านบน ยังไงถ้ามีท่านใดพอสอนผมทำได้ ในโอกาสต่อไป (เพราะตอนนี้แก้ไม่ได้แล้ว) ผมจะพยายามแก้ไขให้ถูกต้องครับ
ขอรวบเป็น Reply เดียวนะครับ
สำหรับคุณ bahamutkung ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม ผมขอแสดงความนับถือครับ คุณมีความสามารถในการถ่ายทอดที่ดีมาก หากคุณอายุยังน้อยจริงๆ ผมเชื่อว่าคุณเป็นบุคคลากรที่ทรงคุณค่าของชาติได้ครับ คุณใช้ภาษาได้ดีมาก มองสถานการณ์ได้ขาดไปจนกระทั่งสภาพทางความคิดของปัญเจกบุคคล ยินดีที่ได้รู้จักครับ และขอขอบคุณในการติเตียนทักท้วงที่ชัดเจนที่มีแก่ผม ความสามารถในการเข้าสู่ประเด็นที่ตรง สั้น และชัดเจนเช่นที่คุณแสดงออกมานี้ เป็นจุดอ่อนด้อยของผมครับ ผมเข้าใจตามที่คุณทักท้วงมาครับและยอมรับด้วยครับว่า เพื่อให้คุณ Worwae07 ได้ทันฉุกคิดนั้น ผมมีความสามารถคิดออกมาได้แค่ใช้ "แนวคิดประสบการณ์นิยม" เท่านั้นจริงๆ ครับ วิธีที่ดีกว่านั้นผมไม่สามารถคิดออกมาได้ครับ และคุณอ่านผมได้ขาดเลยตรงที่ว่า "มันอาจเป็นวิธีที่ดีในบางประเด็น" เป็นเหตุที่ทำให้ผมใช้วิธีนี้กับคุณ Worwae07 ครับ โดยที่จริงแล้วสิ่งที่จุดประกายความคิดที่จะใช้วิธีนี้ มาจากประโยค "...20 ปี..." ของเขานั่นเอง
สิ่งที่ผมคิดเลยไปจากนั้นอีกหน่อยคือ เพราะผมเห็นประโยคจุดประกายด้วยวิธีนี้ ผมจึง เชื่อว่า คนที่คิดด้วยวิธีนี้ เมื่อผมใช้วิธีคิดเดียวกันให้เหตุผลกับเขา น่าจะมีโอกาสทำให้เข้าใจกันได้เร็วที่สุด เป็นเหตุให้ผมไม่เห็นด้วยกับที่คุณ btxxxx ทักท้วงวิธีการของผม (โดยที่เขาก็ไม่ได้นำเสนอ Solution อื่นใดให้ผมด้วยซ้ำ) ผมจึงบอกเขาว่า ระหว่างผมและคุณ Worwae07 ได้จบไปนานแล้ว เพื่อพยายามจะบอกว่า "อย่างไรก็ตาม วิธีการของผมได้ผลกับเป้าหมาย" โดยชี้ชัดไว้ว่า "คนอื่นไม่เกี่ยว" พยายามจะบอกว่าวิธีของผมมันเป็นแบบ "Peer to Peer" แต่ผมไม่มีความสามารถในการสื่อสารที่ดีพอจะบอกได้ตรงๆ แบบสรุป ผมจึงชื่นชมความสามารถในการสื่อสาร/สรุป/ใช้ภาษาของคุณมากครับ
ยินดีที่ได้รู้จักครับ
สำหรับคุณ btxxxx ไม่ต้องห่วงเรื่องล่วงเกินอะไรนั่นนะครับ เราเสวนากันด้วยเหตุผล ล้ำเส้นกันบ้างมันก็เพื่อ Tuning แนวคิด/ความคิด/วิธีคิดซึ่งกันและกัน ผมไม่ยึดถืออัตตาใดๆ ครับ เวลาที่ผมยกประสบการณ์ใดมาเล่า ก็ไม่ได้มาจากอัตตาใดๆ มาตลอด ในทุกๆ ที่ตลอดมา ซึ่งผมมีร่องรอยประวัติศาสตร์ทิ้งไว้เป็นหลักฐานมามากและยาวนานพอที่จะยืนยันได้ว่าผมเป็นเช่นนี้จริงๆ ครับ ขอให้สบายใจได้ครับ
สำหรับเรื่อง Format ของ Reply ผมใช้แค่ 2 อย่างคือ Star และ Double quote น่ะครับ ที่เหลือ เจ้าของ Web เขาเขียน Algorithm จัดให้เอง ผมจึงไม่ทราบเหมือนกันครับ
เห็นว่ามันยาวแล้ว และเป้าหมายแท้จริงของผมก็ได้บรรลุไปนานแล้ว ก็คงขออนุญาตไม่ต่อไปเสียทุกประเด็นกับคุณ btxxxx นะครับ เกรงใจคนอ่านคนอื่นโดยเฉพาะเจ้าของ Web เพราะระหว่างเราคือการออกนอกประเด็นหลักของกระทู้ซ้อนถึง 2 ชั้น ได้แก่ การ Jam ของผมเป็นการออกนอกประเด็นหลักกิ่งแรก และการ Jam ของคุณที่มีต่อผมเป็นการแตกกิ่งเป็นชั้นที่ 2
เข้าใจว่า คงมีคนเบื่อ Reply เราสองคนเป็นร้อยๆ คนไปแล้ว ผมจะลองพยายามให้สั้นลงหน่อยแล้วกัน ไม่รู้จะได้สั้นแค่ไหนนะครับ
ผมขอขอบคุณข้อความต่างๆ ของผมที่คุณ Quote มา ซึ่งช่วยชี้เตือนผมได้ดีครับ ถึงความบกพร่องในการใช้ภาษาสื่อสารเจตนาของผม ดังนั้นผมจะขอชี้แจงข้อบกพร่องบางจุดจากที่คุณ Quote มาก่อนนะครับ
ผมพลาดมหันต์เลยครับ ข้อความนี้ ผมตั้งใจจะแสดงออกว่า สภาพการปกครองบ้านเมืองในขณะนั้น มันแย่กว่าตอนนี้มาก แต่พอคุณ Quote มาแล้ว ทำให้ผมเห็นได้ว่า มันกลับทำให้ผู้อ่านเข้าใจไปว่า ผม Look down คุณ Worwae07 ว่าตัวเขาสุดจะสาธยายได้
นี่เป็นความพลาดที่มีแก่คุณ btxxxx โดยตรงเลยครับ ข้อความนี้ผมไม่ได้สื่อถึงเวลาครับ ผมหมายถึงตัว "ดุสิตธานี" ซึ่งเป็นรูปธรรมครับ และส่วนที่ว่ารัชกาลที่ 6 เริ่มขึ้น เป็นประโยคขยายความตัวดุสิตธานีเท่านั้น ซึ่งเมื่อมันต่อกันแล้ว ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดได้ว่า ผมหมายถึงเวลาที่นับเริ่มจากตอนนั้น แต่ผมยืนยันได้ด้วยประโยคที่ผมกล่าวไว้ว่า "ถ้าผมยกดุสิตธานีมาสิ คุณจะดึงเข้าเหตุผลคุณทางนั้นได้เต็มที่เลยครับ" เป็นหลักฐานแก้ตัวแก่คุณ btxxxx ว่าผมไม่ได้สื่อถึงเวลาที่ดุสิตธานีเริ่มขึ้นจริงๆ แต่ผมหมายความถึง ดุสิตธานี เป็นรูปธรรม จึงทำให้ผมกล่าวต่อไว้ว่า "คุณจะดึงเข้าเหตุผลคุณทางนั้นได้เต็มที่เลยครับ"
ต้องขออภัยอย่างที่สุดในความสามารถในการสื่อสารอันบกพร่องของผมครับ
รูปประโยคของผมพลาดอีกเหมือนกัน แต่ผมไม่มีวิธีที่จะพูดให้อ่านเข้าใจได้ว่า ผมไม่ได้หมายถึงการ ต้องรู้ซึ้ง ดังที่คุณ btxxxx ย้อนถามผมครับ ผมพยายามจะสื่อว่า แต่การ "ไม่ยี่หระเลย" เช่นที่คุณ Worwae07 แสดงออกนั่นต่างหาก ที่ละเลยไม่ได้กับการปกครอง ดังนั้นผมยอมรับตามที่คุณถามครับ ว่า ไม่ใช่ และยอมรับในความผิดพลาดด้วย ที่รูปประโยคของผมทำให้คุณเลยเถิดไปถึงกับใช้คำว่า "รู้ซึ้ง"
ตั้งใจจะบอกว่า อย่าโกรธ อย่าเคือง อย่าโมโห อย่าใช้อารมณ์เมื่อได้อ่านข้อความต่อๆ ไปน่ะครับ อันนี้เป็นความเคยชินที่พัฒนาตามวัยครับ คล้ายๆ กับกรณีเมื่อเราสูงอายุมากขึ้น สรรพนามเรียกตัวเองจะเปลี่ยนไปเองโดยไม่ทันรู้ตัว ต้องขออภัยอีกเช่นกันที่ผิดพลาดจากความเคยชินครับ
ถัดมาคือการเสวนากันต่อนะครับ
ผมเชื่อในเจตนาคุณตามที่คุณบอกนะครับ แต่ผมไม่เห็น Solution ใดๆ จากคุณตั้งแต่แรกเลย จึงไม่เข้าใจจุดประสงค์ของคุณและพยายามถามหา ว่าเพื่ออะไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณ Worwae07 ได้เข้าใจและจบไปแล้วด้วย ผมเลยยิ่งงงไปใหญ่น่ะครับ ว่าคุณทักท้วงอะไรผม? เพื่ออะไร? และไหนคือ Solution ของคุณ? ผมโดนทักท้วงสิ่งที่ผมได้ทำไปแล้ว จบไปแล้ว และได้ผลไปแล้ว โดยคนที่ทักท้วงไม่ได้นำเสนอวิธีการอื่นใดให้แก่ผมด้วยนอกจากการตำหนิติเตียนวิธีการของผมเท่านั้นจริงๆ
ผลลัพธ์ของวิธีการของผม กลับไม่ได้สนใจมอง
ผมเดาได้ครับ ตั้งแต่แรกเลยล่ะ ว่าคุณ Worwae07 น่ะ เขาพิมพ์มันมือไปหน่อย ที่จริงเขาสนทนาอยู่ในประเด็นหลักของกระทู้นั่นแหละครับ แต่การพยายามที่จะโต้ตอบกับคู่กรณีของเขา ทำให้เขาใช้รูปประโยคผิดพลาด ทั้งประธานและกิริยาของประโยค ซึ่งมันจะเป็นลายลักษณ์อักษรจารึกไว้ใน Blognone.com ตราบนานเท่าที่ Web ยังคงอยู่ และ อาจ กลายเป็นต้นแบบแนวคิดให้แก่เด็กรุ่นหลังที่ผ่านมาอ่านเจอได้แม้เพียงสักคน จึงได้ทักท้วงเขา เพื่อจะทิ้งการทักท้วงนี้ไว้เป็นลายลักษณ์อักษรต่อ Reply ทันทีเช่นกันครับ
ผมมั่นใจว่าผมรู้จักนามธรรมมากกว่าคุณครับ แต่ไม่ได้ยืนกระต่ายขเดียวว่ารู้จักดีกว่าใครๆ ครับ ลดทิฐิลงสิครับ นอกจากเราควรยอมรับได้ว่า เรามีอะไรด้อยกว่าคนอื่นแล้ว เราต้องยอมรับและยืดอกในสิ่งที่เราดีกว่าคนอื่นเขาด้วยครับ
ผมไม่ให้ Credit กับประโยคที่ว่า "ทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย" นะครับ สังคมที่ยึดถือประโยคนี้ จะมีแต่คนไม่ดีเต็มสังคมครับ เพราะสังคมไม่ป้องปกคนดี ไม่เชิดชูคนเด่น แต่กลับกดหัวคนดี คนเด่นไปเสียอีก
คนดี ต้องยืดอกได้ครับ คนเก่งต้องคุย ต้องข่มคนไม่เก่งได้ครับ
สังคมที่คอยแต่โอ๋คนไม่ดี คนไม่เก่ง นับวันจะมีแต่ทรุดแต่โทรมลงครับ
คนดี คนเก่ง เป็น Inspiration ได้เสมอ ด้วยวิธีการต่างๆ กันตามแต่ปัญเจกบุคคล บางคนสามารถ Motivate ได้ด้วยการพูดดี ตั้งรางวัล บางคนต้องกดดัน บางคนต้องผลักดัน บางคนต้องแดกดันเสียดสี ทุกวิธีการมันใช้ได้ผลดีและไม่ดีได้ทั้งนั้น ไม่มีวิธีการใดดีที่สุด ต้องเลือกวิธีการจากลักษณะของเป้าหมายครับ
นักเลง มาเฟีย เดินส่ายอาดๆ ทั้งตามถนนไปจนในสภา คนกลับทั้งกลัว ทั้งเกรง มีทั้งเคารพก็มี แต่คนดี คนเก่งเดินหดหัว อวดตัวก็ไม่ได้เพราะสังคมไทยประนาม แบบนั้นผมไม่ยึดถือน่ะครับ
อะไรผมไม่สันทัด ผมไม่กล้าฟุ้งครับ แต่ถ้าสิ่งที่สันทัด ผมจะโม้ไม่เกรงใจใครทั้งนั้น และออกตัวเสมอทุกครั้งด้วยว่า "ผมขอโม้" แบบชัดๆ เจาะจง มีหลักฐานในร่องร่อยประวัติศาสตร์ของผมมายาวนานแล้วเช่นกันครับ
ผมกล้าทิ้งท้ายแบบนั้นกับคุณ เพราะคุณยังแสดงให้ผมเห็นไม่ได้ ว่าคุณเข้าใจดีกว่าผมน่ะครับ คุณเองก็ควรจะกล้าในสิ่งที่คุณมีดีเช่นกันครับ อย่าอาย อย่ากลัวใครจะหมั่นไส้ อย่าแคร์ความริษยาของผู้อื่นครับ
มันเป็นความเป็นจริงนะครับ ที่ว่า มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ยินดีกับสิ่งที่คุณมีดีกว่าคนอื่นครับ นี่ก็เป็นหนึ่งเรื่องที่คุณอยู่กับมันและจำเป็นต้องยอมรับ เมื่อใดที่มนุษย์ส่วนใหญ่เลิกเป็นเช่นนั้น อาการที่เรียกว่า "การแข่งขัน" จะเหือดหายไปครับ ไม่ว่าจะแข่งขันในรูปแบบไหน เรื่องใดๆ ก็ตาม
เมื่อผมตีแตกและก้าวพ้นตรงความเข้าใจธรรมชาติตรงนี้แล้ว ผมจึงไม่ถือสาอะไรใครอีก วางอัตตาและทิฐิลงไปได้เกือบหมด ในขณะเดียวกัน ผมก็สูญเสีย "มารยาททางสังคม" บางอย่างลงไปด้วย เพราะสิ่งเหล่านั้นเมื่อผมพิจารณาด้วยความเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ที่มากขึ้นแล้ว พบว่ามันเป็นเพียงความฉาบฉวย และเป็นกลไกการอุปโลกหลอกกัน/กดหัวกันเองในหมู่มนุษย์เท่านั้น จึงเกิดพฤติกรรมบางอย่างที่สังคมตัดสินผมว่า "น่าหมั่นไส้" ขึ้นมาได้นั่นเอง (หรือคำเรียกอื่นๆ ใดในความหมายทำนองเดียวกันก็ตาม)
ขอบคุณที่ยินดีรับฟังครับ และเท่าที่อ่านดูผมคิดว่าตอนนี้คุณเข้าใจเจตนาผมบ้างแล้ว และสิ่งที่คุณอธิบายมาผมก็ยินดีรับฟังตามนั้นครับ แต่จริง ๆ ส่วนหนึ่งแล้วผมไม่ได้ถึงกับติดใจอะไรทุกประโยคที่อธิบายมาขนาดนั้นหรอกนะครับ เพียงแต่มันอาจเป็นเหมือนที่คุณสรุปไว้ คือเมื่อผมอ่านรวม ๆ มันทำให้ผมรู้สึกอยากติติง (อาจจะคล้าย ๆ ที่คุณรู้สึกอยากติติงคู่กรณีในทีแรกนั่นแหล่ะ) และคิดว่า ผมเองคงมีความอ่อนด้อยเรื่องการอธิบายความ หรือการพยายามทำให้คนอื่นเข้าใจสิ่งที่ตัวเองต้องการจะสื่อ เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยมีคนอื่นเข้าใจ comment ของผมผิดหลายครั้งเหมือนกัน กว่าจะทำให้เข้าใจกันได้ บางทีอีกฝ่ายคงเบื่อไปก่อน ไม่มาทนโต้ตอบเหมือนคุณด้วยซ้ำ
ส่วนในรายละเอียดข้อความต่าง ๆ ที่อธิบายมานั้นก็คงไม่โต้แย้งต่อแล้ว เข้าเรื่องเลยดีกว่า
เรื่องแรกคือเรื่อง Solution อันนี้ผมยอมรับว่า ใน comment แรกนั้น ผมเพียงแต่ติติง แต่ไม่ได้บอก Solution ให้คุณตรง ๆ และหลังจากนั้นอาจจะพล่ามอะไรต่อมิอะไรมากจนคนอ่านงงไปด้วย ถ้าถามผมว่า ผมมี Solution ที่แนะนำไหม อันนี้ผมมีให้ได้แน่นอน เพราะเหตุผลที่ผมติงคุณคือ ผมติงว่าการเอาสิ่งที่แตกต่างอย่างเรื่องเวลา (ผมขอใช้คำให้ใกล้เคียงของเดิมเพื่อจะได้ไม่งง) มาใช้นี่มันดูไม่แฟร์ ดังนั้น หากคุณคิดเห็นไม่ตรงกับเค้า ผมก็เห็นว่าคุณแค่แสดงความคิดเห็นของคุณ (ก็เรื่องที่คุณเล่าเหมือนเดิมนั่นแหล่ะ)เพียงแต่ไม่ต้องมีเสริมข้อความที่ (ทำให้ผมรู้สึกว่า) ไปข่มเค้าด้วยเรื่องนี้ก็เท่านั้นเอง นั่นเป็นวิธีแก้ไขแบบตรงไปตรงมา เมื่อสาเหตุเกิดจากอะไร ผมก็แก้ที่ตรงนั้นแต่มันก็อาจมีวิธีอื่น ๆ ที่อาจจะดีกว่านี้ ซึ่งผมเองเชื่อว่าคุณสามารถทำได้ (ดูจากการโต้ตอบกับผม)
เรื่องถัดมาคือที่ถามว่า
ตรงนี้คุณอาจใช้คำให้ผมเข้าใจผิดอีกแล้ว เพราะคุณถามผมว่า "ถามเพื่ออะไร" แล้วบอกต่อว่า "คู่กรณีคุณได้เข้าใจและจบไปแล้ว"
จากเหตุการณ์ เค้าพิมพ์->คุณแจม->เค้าโต้แย้ง->ผมไปพิมพ์ต่อ->คุณตอบทั้ง 2 คน->เค้าพิมพ์สุดท้าย->
ตีความแบบที่ 1 คือ คุณหมายถึงว่าเค้าเข้าใจคุณและตอบคุณไปแล้วตั้งแต่ที่พิมพ์ตอบมาครั้งแรก เพราะผมติงทีหลัง อันนี้ผมดูจากข้อความเค้าผมไม่ได้รู้สึกว่าเค้า "เข้าใจ" และยอมรับสิ่งที่คุณต้องการสื่อถึงเค้าเลยนะ? ผมจึงไม่ได้เข้าใจว่าเป็นแบบนั้น ดังนั้นอันนี้ผมคงไม่ต้องตอบว่าจะเอาอะไร
ตีความแบบที่ 2 คือ คุณต้องการจะสื่อว่าเรื่องที่คุณพิมพ์ไปนั้นสุดท้ายคู่กรณีของคุณเข้าใจ แต่ผมไม่เข้าใจ แล้วยังไปติโดยไม่ยอมบอก Solution ด้วยอีกต่างหาก แล้วผมต้องการจะเอาอะไร? (ถ้าแปลผิดบอกอีกทีนะครับ) ถ้าเป็นคำถามนี้ ถ้าผมตอบตรง ๆ เลยก็อาจเป็น... ผมดันไป...ยุ่งเรื่องชาวบ้าน (ไม่อยากเติมคำไม่สุภาพ) ก็อาจจะไม่ผิด แต่ส่วนหนึ่งก็เหมือนที่คุณอธิบายเหมือนกันว่าที่ที่เราคุยกันอยู่นี่มันไม่ใช่ที่ส่วนตัว ถ้าคุณไปทะเลาะตบตีเมียอยู่กลางห้าง มันก็อาจจะไม่แปลกที่อาจจะมีคนมาห้าม มามุงดู หรือวิพากย์วิจารณ์ ฯลฯ คือมันก็มีที่มาที่ทำให้ผมเข้าไปยุ่งเหมือนกัน ซึ่งหากมองในแง่ของคุณก็คงเป็นอารมณ์เดียวกันที่คุณไปแจมเค้านั่นแหล่ะ คือ คุณก็แค่ต้องการจะบอกให้เค้าเข้าใจเรื่องที่คุณรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ใช่ไหมครับ?
(ผมไม่รู้ว่าแบบไหนนะ แต่ตอบไปทั้ง 2 แบบแล้วกัน)
ส่วนเรื่องนามธรรม อันนี้ผมเองก็อาจไม่ได้เขียนชัด ๆ เพราะมันยาวมากแล้ว และตอนนั้นกำลังรู้สึกขี้เกียจอธิบายซ้ำ ๆ เรื่องเดิม คือผมทิ้งท้ายไว้ว่า...
ซึ่งมันมาจาก comment คุณที่ว่า
จะเห็นว่า ผมบอกไปแล้วว่า ผมไม่ชำนาญเท่าไหร่ ผมไม่ได้ไปอวดอ้างอะไรเลยว่าผมเก่งกว่าคุณในเรื่องนี้เลยนะ ที่ผมไปเอาตัวอย่างที่เป็นนามธรรมมายกตัวอย่างให้คุณฟัง ก็เพราะพอยกเป็นรูปธรรม คุณก็อ้างว่าอันนั้นรูปธรรมมาเทียบไม่ได้หรอก พอเอานามธรรมมาคุยด้วยก็บอกว่าเทียบด้วยไม่ได้อีกเป็นคนละเรื่องกัน!?... ผมไม่ได้บอกว่าคุณเก่งกว่าใคร ๆ คำว่า "คติ" ที่อ้างถึงนั้นหมายถึงประโยค...
ซึ่งในทิ้งท้ายของคุณผมอ่านแล้วรู้สึกว่าคุณกำลังพยายามจะข่มผม ว่าที่พยายามจะเอามาโชว์น่ะยังดีไม่พอหรอกนะ ไปหัดมาใหม่เถอะ ไม่รู้ดีเท่าชั้นหรอก (อันนี้แปลจากความรู้สึกนะ) ผมจึงบอกคุณไปแบบนั้น เพราะผมย้ำกับคุณหลายครั้งว่า ผมคุยกับคุณว่า "การยอมรับ" การยอมรับเรื่อง A การยอมรับเรื่อง B จนถึง Z ก็คือเรื่อง "การยอมรับ" ไม่ใช่หรือครับ? ไม่ใช่ A B...Z ตรงนี้มันไม่จำเป็นต้องไปศึกษาอะไรเพิ่มเติม มันใช้แค่การคิดวิเคราะห์เท่านั้น ผมจึงบอกว่าถ้าแค่นี้คุณยังไม่เข้าใจก็ไม่น่าเอามาอวดคนอื่นหรอกไงครับ
ส่วนเรื่อง "คนเก่งชอบข่ม" (ผมขอเปลียนเป็นคำนี้แล้วกัน เพราะที่คุณว่ามันเกินคำจริงไปไกล) คุณคิดดูดี ๆ ว่า สิ่งที่คุณเชิดชู (ประชาธิปไตย) กับสังคมที่ยึดถือความคิดนี้มันขัดแย้งกันอย่างไร? ผมออกตัวก่อนว่า ผมไม่ได้เข้าใจลึกซึ้งอะไรมากหรอก ผมคิดแบบรู้น้อย ๆ อย่างผมนี่แหล่ะว่า จากที่คุณว่า...
คำสอนนั้นเค้าพูดถึงคนดี ว่าไม่ให้ทำตัวเด่น แต่คุณพูดถึงสังคมที่ไม่เชิดชูคนเด่น ซึ่งคนเด่นไม่เท่ากับคนดี!? ซึ่งก็เหมือนกับที่คุณยกตัวอย่างนักเลง มาเฟียนั่นแหล่ะ แล้วยังต่ออีกว่า "กดหัว" คนดี ผมกลับมองคำว่า "อย่าเด่น" ในคำนั้น มันเป็นการเตือนเท่านั้นเอง คือจะเด่นก็ทำได้ แต่อาจเป็นภัยนะ และสุดท้ายคือ ผมเห็นด้วยกับ "คนดี ต้องยืดอกได้" แต่ไม่จำเป็นที่ "คนเก่งต้องคุย" แต่ขอเปลี่ยนเป็น "คนเก่งจะคุยก็ได้" (เพราะถ้าคุยมากไปอาจจะกลายเป็นว่าคุณไม่เก่งแทนก็ได้ ไม่เก่งที่จะแยกแยะความเหมาะสม) และไม่เห็นด้วยกับ "ต้องข่มคนไม่เก่งได้" เพราะถ้าเก่งหรือดีจริงต้องเป็น "ต้องทำให้คนไม่เก่งยอมรับได้" ไม่ใช่ "ยอมรับเพราะถูกข่ม" ต่างหากครับ
ปัญหาของคำสอนนี้ที่คุณกังวล หากคุณแก้โดยการ "เก่งต้องคุย" หรือ "ข่มคนอื่น" คุณก็อาจ "จะเป็นภัย" ตามคำสอนนั้นแทนก็ได้ (แต่คุณก็มีสิทธิที่จะคิดหรือจะทำ) ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นก็อาจจะเป็น "กว่าจะรู้ก็สายเสียแล้ว" ที่คุณบอกผมตอนแรกก็ได้ การจะแก้คำนี้น่าจะเป็นการทำให้คนในสังคมรู้จักความ "ยินดีในความสำเร็จของผู้อื่น" (ซึ่งถือเป็นเรื่องยาก) ถึงจะเป็นการแก้ที่ต้นเหตุไม่ใช่หรือครับ? ส่วนที่คุณกังวลว่าหากเกิดขึ้นจริงจะทำให้การแข่งขันเหือดหายไป..อ้าว... การแข่งขันนี่เกิดจากความไม่ยินดีในความสำเร็จของผู้อื่นหรอกหรือครับ? ก็เป็นอีกจุดหนึ่งว่ามุมมองของคุณเต็มไปด้วยความต้องการกดคนอื่นไว้ตลอดเวลา ซึ่งก็แสดงว่าคุณเองก็ไม่อาจยินดีในความสำเร็จของผู้อื่นได้ แล้วคุณจะเรียกร้องหาโลกที่ให้โอกาสคนดี คนเก่งอย่างที่คุณต้องการได้อย่างไรครับ?
ประสบการณ์ผมที่น้อยกว่าคุณ และ เวลาที่จะนำมาใช้ไตร่ตรองเรื่องพวกนี้ของผมไม่ได้มากมายอะไร ทำให้ผมคิดได้เท่านี้ จึงไม่ขอแสดงความเห็นที่แสดงไม่ได้ในข้อความที่เหลือแล้วกันครับ
ก่อนอื่นผมต้องขออภัย ถ้ามีบางถ้อยคำ อาจจะไม่สุภาพกับคุณจักรนันท์ นะครับ คุณจักรนันท์ เข้ามา Jam ความเห็นผม ที่พูดถึงวิวัฒนาการในรอบ 20 ปี ผมหมายถึงแนวคิดเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันนะครับ ผมยังไม่ได้ให้น้ำหนักกับวิวัฒนาการของประชาธิปไตยเลย กับแนวความคิดที่คุณกล่าวหาผมเกี่ยวกับวิธีคิดทำนองว่า "ถ้าคนนามสกุลหนึ่งทำผิดร้ายแรงสักคนหนึ่ง หมายความสายเลือดสกุลนั้นเป็นคนไม่ดีทั้งหมด ต้องล้างเผ่าพันธุ์นามสกุลนั้นทิ้งทั้งหมด" เหอออออ !! แรงไปมั้ยครับ ผมแค่เป็นเด็กครับ เป็นเด็กที่ไม่รู้เดียงสา ยังอ่อนต่อโลก และ ยังไม่พร้อมครับ เหมือนเด็ก 3 ขวบที่ยังติดพ่อ-แม่นั่นล่ะครับ ซึ่งผมก็คิดว่าคนไทยหลายๆ คนก็เป็นแบบผมเช่นกัน ดังนั้นคุณอย่าเหมารวมครับ ว่าคนไม่เห็นความสำคัญของประชาธิปไตย จะเป็นพวกเผด็จการไปหมด เค้าอาจจะมีแค่ใจที่จะปกป้องสถาบันเท่านั้น
ถ้าผิดพลาดก็ขออภัยด้วยครับ
ไม่เป็นไรครับ ผมไม่โกรธเคืองหรือถือสาหาความอันใดครับ ถ้าเช่นนั้นคุณคงผิดพลาดในการใช้ประโยคตรงที่คุณพิมพ์ไว้ว่า.. (ขออนุญาตยกมาอีกครั้ง)
"... คำว่าประชาธิปไตย มันไม่ได้มีความหมายอะไรสำหรับผม ..."
ตรงนี้จริงๆ ที่เดียวในเจตนาผมน่ะครับ คุณคงอาจจะพิมพ์มันมือไปหน่อย
ได้เห็นคนรุ่นใหม่ที่ลดอัตตาตัวเองได้เมื่อทักท้วงเช่นที่คุณเป็น ผมก็ยินดีมากแล้วครับ
อย่าติดใจอะไรเลยครับ สบายใจได้ครับ
ผมได้บอกไปแล้วนะครับด้านบน ว่าถ้ามันไม่ดีผมก็เห็นด้วยว่าต้องแก้ เรื่องหมิ่น ผมก็คิดว่าโทษมันเยอะไปจริงๆครับ
โดยส่วนตัวผมก็เห็นด้วยกับการวิพากย์วิจารณ์ ผลงาน ของเจ้าครับ อันไหนดี ไม่ดี ก็ว่ากันไปตามเหตุผล ผมอยากอ่านอยากรู้ถึงข้อเสียของโครงการต่างๆเหมือนกัน เพราะผมก็ไม่เห็นด้วยที่จะเชื่อโดยไม่ลืมหูลืมตา ท่านทำอะไรก็ว่าดีไปหมด แต่ที่ผมเห็นว่ามันผิดคือการกระทำจาบจ้วงล่วงเกิน หยาบคาย สาปแช่ง พวกนั้น ก็เข้าใจนะว่าไม่เคารพ ไม่รัก แต่ทำแบบนั้นมันก็เกินไป
เรื่องปิดทั้งเว็บแบบที่เจ๊แกว่ามา แน่นอน ผมไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว ปญอ มากๆ ปิดหูปิดตาซะขนาดนั้น
ส่วนเรื่องประชาธิปไตยผมคงไม่สามารถบรรลุได้ถึงแก่นแท้อย่างผู้เจริญแล้วแบบคุณจริง ๆ
ถ้าคุณ "คิด" แบบที่คุณ "พูด" ตอนนี้จริงๆ คุณจะไม่ "พูดออกมาพล่อยๆ" ว่า "เหมือนทำผิดกฏหมายแล้วโวยวายให้แก้กฏหมาย"
กลุ่มไม่เอา 112 มีมาตั้งหลายปีแล้ว พูดอะไรก็ไม่ค่อยมีคนฟัง แต่ก็พูดมาตลอด ย้ำชัดมาตลอด ไม่ใช่พึ่งจะมาโวยวายกันตอนนี้ มันแค่มาเข้าหูคุณได้ก็ตอนที่มันดังจนคุณหนวกหู เพราะตอนนี้มีเคสสดๆร้อนๆให้เห็น มันเลยปลุกกระแสคนได้มากขึ้น แล้วก็มาเถียงข้างๆคูๆ เพราะไม่อยากได้ยิน พอเถียงสู้ไม่ได้ก็มาจบที่กระแนะกระแหนว่า พึ่งจะมาโวยวายหลังมีคนทำผิด
...ก็ผิดมหันต์ เราโวยวายกันมานานแล้ว คุณไม่ฟังเอง แล้วไอ้ที่คุณกล่าวหาว่าคนอื่นไม่สนใจกฏหมาย ก็มั่ว ถ้าไม่สนใจ เราคงไม่รณรงค์ให้แก้ เราเคารพกระบวนการกฏหมาย เรารณรงค์ให้แก้กฏหมาย แก้เสร็จมันก็ต้องปล่อยตัวคนที่เคยโดนกฏหมายนี้ เพราะถ้ากระบวนการแก้จบสิ้น ก็ถือว่ากฏหมายไม่ชอบธรรม ก็คืนผลประโยชน์ให้ย้อนหลัง
ไม่สนใจกฏหมายคงทำสงครามกลางเมืองปล้นประเทศ จับพวกอำมาตย์มาตัดคอไปแล้ว ยังไงฉีกกฏหมายเสร็จก็เขียนกฏหมายให้ตัวเองบริสุทธิ์ได้ แต่เผอิญเราไม่มีฐานคิดที่ว่ากฏหมายอยู่เหนือประชาธิปไตยแบบคนบางกลุ่มบางพวกเลยไม่ได้ทำ
ส่วนเรื่องอากงนี่เคสพิเศษกว่า เพราะแค่กระบวนการก็มีช่องโหว่ไม่ชอบธรรมมากแล้ว
คุณยังไม่เข้าใจที่ผมต้องการจะสื่อจริงๆ ลองฟังและคิดในมุมมองตรงข้ามคุณดูบ้างก็ได้ แต่ผมเองอาจจะพูดไม่ค่อยรู้เรื่องเองด้วย
อันแรก เรื่องกลุ่มไม่เอา 112 ผมไม่รู้จริงๆว่าพวกคุณเรียกร้องมานานแล้ว ก็เพิ่งจะมาได้ยินตอนช่วงทักษิณใกล้โดนไล่นี่ล่ะ เพราะผมก็เพิ่งจะรับรู้เรื่องการเมืองบ้างตอนช่วงนั้น เมื่อก่อนไม่เคยสนใจ หรืออาจจะโดนปิดหูปิดตาด้วย ซึ่งผมบอกไปแล้วว่าผมก็ไม่เห็นด้วยเหมือนกันเรื่องปิดหูปิดตา
เรื่องกล่าวหาว่าคนอื่นไม่สนใจกฏหมาย ผมไม่ได้บอกว่าพวกคุณไม่สนใจกฏหมาย แน่นอน พวกคุณรู้กันดีอยู่แล้ว เพียงแต่ผมได้บอกไปแล้วว่า ในเมื่อกฏหมายข้อนี้มันยังมีอยู่ แล้วคนฝ่าฝืนกระทำผิด ก็ต้องได้รับโทษ ไม่งั้นจะมีกระบวนการยุติธรรมไว้ทำไม (แต่ปัจจุบันก็มีไว้ใช้แค่กับคนจนอยู่แล้ว)
แต่ถ้าเรียกร้องกันสำเร็จ แก้ไขได้แล้ว ผมก็คงไม่มีสิทธิว่าคนเหล่านั้นว่า "ทำผิดกฏหมาย"
ส่วนเรื่องอากง ผมไม่ข้อออกความคิดเห็นมาก เพราะมันไม่ชัวร์ว่าอากงผิดจริงหรือป่าว ไม่ชอบมาพากลอย่างที่คุณว่านั่นแหละ
Pages