Dow Jones Newswires รายงานว่าแอปเปิลได้ออกมาแสดงจุดยืนที่ใหม่ พร้อมที่จะตกลงกับผู้ผลิตมือถือ Android ทั้งหลายเช่นซัมซุงและโมโตโรล่า โดยแอปเปิลต้องการค่าไลเซ่นส์ 5-15 ดอลลาร์ต่อมือถือ Android หนึ่งเครื่องที่ขายได้ จากกรณีละเมิดสิทธิบัตร "หลายอย่าง" ของแอปเปิล
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าทั้งซัมซุงและโมโตโรล่าจะไม่ยอมรับค่าไลเซ่นส์ที่แอปเปิลเสนอมาอย่างง่าย ๆ
การยื่นข้อเสนอเก็บค่าไลเซ่นส์กับผู้ผลิตมือถือ Android เป็นยุทธวิธีที่ขัดกับสิ่งที่สตีฟ จ็อบส์ต้องการอย่างแน่นอน เพราะก่อนหน้านี้จ็อบส์ได้ออกมาแสดงจุดยืนเดียวคือ "จะจัดการ Android ให้สิ้นซากด้วยเงินทั้งหมดที่แอปเปิลมี" แต่สำหรับแอปเปิล บริษัทที่มีเงินสดเหลือใช้มากเกินไปแบบนี้เงินที่เพิ่มขึ้นมาคงไม่ได้มีประโยชน์มากนัก
ที่มา - MacRumors
Comments
ทิมกุ๊กอาจจะไม่อยากเล่นเกมต่อแล้วก็ได้ แต่มันก็จะขัดกับพระบัญชาของศาสดา
ตอนนี้ apple จ่าย nokia อยู่ครับ สุดท้าย moto กับ samsung ก็อาจต้องจ่ายอีก ลองคิดว่ามีอีกหลาย บ. ที่ยังไม่ใด้เล่นเรื่องนี้ เฉพาะ open handset alliance ก็มี 20 กว่า บ. แล้ว ...
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
ผมว่าแอปเปิ้ลนี่ล่ะตัวขัดขวาง innovation
คนอื่นพัฒนาเอาพัฒนาเอา ตัวเองทำได้แค่ออก product ใหม่โดยแค่ upgrade hardware อย่างเดียว
งั้นคนอื่นก็พัฒนาสิ่งที่แอปเปิ้ลไม่เคยทำสิครับ? แล้วพอแอปเปิ้ลก๊อปก็มาฟ้องเอา ก็แฟร์นะครับ
จริงๆแอปเปิ้ลเค้าก็เอาที่คนคิดไว้แล้ว มาทำนะครับ เพียงแต่ว่าพี่ท่าน "ขยันจด" เท่านั้นเอง
ทำแล้วไม่จด จะมาโทษใครได้ละครับ
ถ้าไม่จด ในทางกฏหมายก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ครับ
แต่ Fact มันก็ยังอยู่นะว่าใครเป็นคนคิด
คุ้นๆว่า มีคนในเวปนี้อธิบายเกี่ยวกับ สิทธิบัตร
ว่าถ้าสามารถพิสูจน์ได้ว่าสร้างขึ้นมาก่อนจริงๆ จะชนะคดีนี่นา
แปลกจัง -.-' ผมเข้าใจผิดเหรอเนี่ย
ถือเป็น Prior Art ก็กลายเป็นว่าสิทธิบัตรใบนั้นก็หมดสภาพไป
แน่นอนว่าถ้าผมจำไม่ผิดนะ 555
+1 จดไปทั่ว
จดเล็ก จดน้อย จนน่าเกลียด
Apple ออก Software Update ทุกปีครับ ไม่ใช่แค่ Upgrade Hardware อย่างเดียว
ยอมรับว่าบางอย่าง Apple ก็เอามาจากคนอื่นบ้าง แต่เอกลักษณ์ส่วนใหญ่ก็คือของเขาอยู่ดี
จนคนอื่นลอกไปใช้ก็เยอะแยะ
ไม่บ้างแล้วล่ะครับ อย่างฟังชั่นเด่นๆในiOS5 พี่แกเอามาจากแอฟบนcydiaเกือบทั้งดุ้นเลย
เอามาจาก cydia ก็ไม่ผิดนิครับ คุณอยากมาทำบนระบบ ios5 ของappleเอง
มันต่างกับบริษัทอื่นที่มาเอาของ apple ไปเเล้วมาทำเป็นของตัวเองนะครับ
เพิ่งรู้ว่าขโมยไอเดียจาก cydia = ไม่ผิด
ป.ล. อย่าลืม notification bar
ไม่ใช่เพียงแค่ notification bar ครับ Apple ลอกคนอื่นมาหลายๆ อย่างมาก แล้วก็โปรโมทประหนึ่งว่าคิดมาเองทั้งสิ้น
เป็นความจริงที่คนทั่วไปรับรู้ แต่แฟนบอยแอปเปิ้ลยอมรับไม่ได้
เหมือนกับที่แฟนบอยหุ่นเขียว (บางท่าน) ยอมรับไม่ได้ การพัฒนา android ได้แรงบัลดาลใจมาจาก iOS ไม่น้อยเช่นกัน หากเทียบจากหน้าตาของ Android ที่เหมือน BB ตัวนั้น
+1 งง กับตรรกะแปลกๆ ของสาวก
"คุณอยากมาทำบนระบบ ios5 ของappleเอง" --> ไม่สามารถใช้เป็นเหตุผลที่แอปเปิลจะมาลอกเลียนแอพใน cydia ได้นะครับ เป็นห่วงว่าความเห็นนี้จะโดนท่านอื่นหาว่าตรรกะเพี้ยนได้นะครับ ต้องพยายาม คิด.วิเคราะห์.แยกแยะ หน่อยครับ
apple ทำ ios ก็อยู่ส่วนของ os ครับ ส่วน app อะไรที่งอกมาด้วยฝีมือของ dev คนอื่น ก็ถือว่าเป็นแนวคิดของเจ้าของ app นั้น ถ้าแอปเปิลอยากได้ก็ต้องซื้อเอา ไม่ได้แปลว่าใครก็ตามที่มาทำ app ในอาณาจักรของ apple แล้ว apple มีสิทธิ์ไปยึดหรือเลียนแบบได้
ตอบเอาฮาใช่ไหมนี่
ยังงี้ Autocad Photoshop คงกลายเป็นของ microsoft ไป
ฟ้อง Apple เลยสิครับ โดน Apple ลอกไปนี่นา ฟ้องเลย
จริงๆ สำหรับผม Apple ไม่มีอะไรที่เป็น innovation เลย
แต่เพราะความกล้าของ Apple นั้นล่ะ เป็นตัวสำคัญที่ทำให้มันเผยแพร่
อย่าง multi touch นี้ผมเคยเห็น DiamondTouch กับ Microsoft surface มาก่อน แต่มันไม่แพร่หลายเพราะมันแพงมาก
แต่ด้วยความกล้า Apple เอาสิ่งเหล่านี้มาใส่ในอุปกรณ์เคลื่อนที่จึงทำให้มันแพร่หลาย
พูดง่ายๆ คือ Apple ไม่ได้คิดก่อน แต่เป็นคนทำก่อน
ยกเว้นเรื่อง App Store ของ Apple อันนี้ผมเห็น Apple เป็นเจ้าแรกจริงๆ
เอาเข้าจริงผมว่าไอเดีย app store นี่ก็เห็นใน cydia ก่อนนะครับ
สมัยนั้นหา app แผลงๆ พวก gb emu ก็ได้จาก cydia นี่แหล่ะ
ถ้าให้ผมนึกถึงอันแรกที่เห็นใน apple ก่อนก็คงเป็น slide to unlock กับพวก slide แล้วรับสาย
หลังจากนั้นแบรนด์อื่นก็แห่ slide กันใหญ่
Apple อาจไม่ได้คิดเองทุกอย่าง
แต่เค้าดูแล้วว่าของที่เค้าทำแล้วจะก่อให้เกิดประโยชน์กับเรา
อย่างเรื่องของ Cloud นี่ Apple เค้าพูดถึงกันตั่งแต่ปี 1996/1997 แล้วครับ
สิ่งที่Apple ทำไม่ไช่แค่ Innovation ครับ มันยังรวมถึง integration (การผสมผสานเข้าด้วยกัน) ด้วย
ส่วนค่ายอื่นนี่ เค้าแค่พยามบวก Spec ขึ้นมาเรื่อยๆ คิดต่อเองแล้วกันครับ
แล้วมันทำให้การไปพยายามหยุดคนอื่นมีความชอบธรรมหรือครับ?
lewcpe.com, @wasonliw
รักษาผลประโยช์ทางธุรกิจมากกว่าคับ เขาไม่ได้เป็นการหยุด ผมมองในทางกลับกันมันเป็นการเร่งมากกว่า เป็นการเร่งที่ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆที่แตกต่างไปจากเดิม ไม่อยู่ในกรอบความคิดเดิมๆ
เป็นการกีดกันทางการค้า ทำให้ platform อื่นมีตัวเลือกน้อยลง หรือมีค่าไช้จ่ายมากขึ้น เพื่อผูกขาดวัตกรรมใหม่ๆ มากกว่าครับ
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
มันก็ไม่ได้เป็นการหยุดคนอื่นนี่ครับ ลองคิดดูว่าถ้าคุณคิดอะไรมาสักอย่างแล้วโดนคนอื่นเอาไปทำแบบเดียวกัน มันก็คือการลอกกันนี่ครับ คิอถ้าจะทำให้มันได้ผลลัพท์ออกมาแบบเดียวกัน ก็อย่าใช้วิธีการแบบเดียวกันก็ได้นี่ครับ แต่ก็ไม่แน่ เดี๋ยวนี้เขาสงวนสิขสิทธิ์ ทั้งวิธีการและผลลัพท์กันแล้วครับ
คุณพิมพ์ไม่รู้เรื่องเลยครับว่าจะสื่อว่าอะไร
lewcpe.com, @wasonliw
555+ ตอนนี้เริ่มสับสนกับคำพูดตัวเองและครับ หลังจากอ่านดูอีกรอบ เอาเถอะครับความคิดใครความคิดมันมันคงไม่มีผิดถูก แต่แค่คิดคนละทาง
Cloud Computing โดนพูดถึงโดย John McCarthy (เจ้าของ AI ที่ชื่อว่า Lisp) ตั้งแต่ 1960
icloud ก็ไม่ไช่ของใหม่เทียบใด้กับ xdrive ไม่ก็ drop box แค่ติดตั้งแบบผูกขาดไปกับอุปกรณ์ของตัวเอง
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
ชักจะติดกับดักตัวเองนะครับเนี่ย
ไหนจะ microsoft อีกสุดท้ายภาระตกอยู่ที่ผู้บริโภค
มาแนวเดียวกับ M$ เลย ไม่ได้ทำน้องดร์อยแต่มีส่วนแบ่งรายได้
ข่าวต่อไป แอบเปิ้ลมีรายได้จากแอนดร์อย ... $
ผมชอบ Apple และเห็นด้วยกับ Jobs เกือบทุกเรื่อง มีไม่เห็นด้วยบ้าง หนึ่งในเรื่องที่ไม่เห็นด้วยก็คือเรื่องนี้ล่ะ
สงสัย Tim Cook เบื่อที่จะเล่นเกมนี้แล้วมั้ง นับวัน Apple จะยิ่งถูกตอบโต้รุนแรงขึ้น
สู้เอาเงินจำนวนนี้ไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ดีกว่า ฟ้องแต่พองามก็พอ
เพราะผู้ผลิต Android หลายค่าย (ไม่ใช่ทุกค่าย และก็ไม่ใช่ทุกรุ่น บอกก่อนเดี๋ยวเกิดดราม่า)
ต้องการเลียนแบบ Apple ซึ่งผมก็ไม่ชอบในส่วนนี้เลย สู้พัฒนาเอกลักษณ์ให้เป็นของตนเองดีกว่า
จะไม่ให้ Apple ฟ้องแล้วจะให้ทำยังไง??? ซึ่งผมว่าบางที Apple ก็ทำถูก แต่บางทีมันก็เกินไปนะ
ถ้าเก็บค่าไลเซนต์ ค่าเครื่องก็จะสูงขึ้นสิ ยังงี้ถ้าราคาไล่ๆกัน ส่วนมากก็เลือกแอปเปิ้ลอยู่แล้ว แนบเนียนมาก
ms เก็บ $10
apple เก็บ $10
google (moto) ก็เก็บ $10
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
เป็นการเล่นเกมแบบซับซ้อนครับ เพิ่มต้่นทุนคู่แข่งก็ถือเป็นการขัดขาทางหนึ่งเหมือนกัน เป็นการปฏิบัติที่ชอบธรรมและไม่มีค่าใช้จ่าย(ในการฟ้องร้อง ) เสียด้วย
อ่านจาก quote ท้ายข่าวแล้วอยากเอาไปบอกคุณทิมคุกจังว่าจะเอาเงินที่ล้นมือไปทำอะไรดี
ความคิดดีนิแอปเปิ้ล 555
ทางเค้าละครับ apple หึหึ ถ้าจ๊อบยังอยู่ คงใช้การพัฒนามาสู้กัน
Notification iOS5 นี่คุ้นๆเหมือนเคยเห็นในระบบของหุ่นเขียวนะ เอ๊ะหรือไม่ใช่
สาวกเขาถือว่าเป็นการต่อยอดไม่ใช่ก็อปหรือเปล่า
คือเขาซื้อตัวผู้พัฒนามาีครับ
Coder | Designer | Thinker | Blogger
เรื่อง Notification Center นี่ควรจะให้เครดิตกับ Android ละครับ เพราะสามารถผลักดันให้ออกมาใช้งานจริงได้ก่อน
ผมว่าให้ Palm ดีกว่ามาก่อนแค่มันอยู่ด้านล่างแต่หุ่นเขียวเอามันไปอยู่ด้านบน
รับทราบครับ
ประเด็นคือ Android ทำให้มันกลายเป็นมาตรฐานได้ไงครับ เหมือน ๆ กับการนำเสนอการใช้นิ้วซูมถ่างเข้า ถ่างออกของอีกค่ายนั่นละคับ
+1 เงียบเชียว
Tim Cook มา Apple เน่า
Coder | Designer | Thinker | Blogger
เค้าทำถูกแล้วครับ
ตอนนี้กำลังจะโดนฟ้องกลับจากค่ายต่างๆ มากมาย samsung / soc, moto / edge ที่ยังไงก็หนีไม่พ้น
ไอ้ที่ฟ้องไปหวังกีดกัน android ส่วนใหญ่ก็โดนแก้โดยปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย ตอนนี้ market share ก็เสียไปแล้ว
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
เป็นแนวคิดที่ดี แม้ว่าศาสดาจ็อบส์อาจจะไม่เห็นด้วย
ส่วนตัวคิดว่าเป็นการพยายามหาทางลงของแอปเปิลมากกว่า เพราะนับวันคดีก็ยิ่งเยอะทั้งที่ตัวเองฟ้องทั้งที่ถูกคนอื่นฟ้อง มันทำให้ไม่ไปไหน และคนก็เบื่อกับข่าวเหล่านี้และมองแอปเปิลในทางลบ ครั้นจะถอนฟ้องรึยอมความเฉยๆก็ดูเสียหน้า เก็บตังซะหมดเรื่อง จะได้ถือ่าตนมีส่วนถูกอยู่เหมือนกันนะน่ะ เพราะถ้าวิเคราะห์ดูดีๆแล้ว แอนดรอยด์โตเกินกว่าจะกำจัดให้สิ้กซากโดยเงินที่มีแล้วน่ะ
เอาจริงๆ นะครับ
ผมเห็นด้วยนะกับแนวทางนี้ ก็ถ้าแอปเปิลเลือกเดินในแนวนี้ตั้งแต่แรกวงการก็คงไม่ปั่นป่วนขนาดนี้แล้ว
สิทธิบัตร ถ้าใครใช้ไปหรือไปละเมิดจริง การที่จะจ่ายนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วครับ แต่ถ้าบริษัทที่โดนเรียกเก็บคิดว่าไม่เป็นธรรม หรือไม่ได้ไปละเมิดจริง ก็ต้องยื่นเรื่องเข้าสู่กระบวนการให้ศาลตัดสินต่อไป
อย่างไมโครซอฟท์ แม้จะ evil ที่เรียกเก็บเงินค่าสิทธิบัตร แต่เขาก็ไม่ได้ไปขัดขวางหรือกำจัดใคร ถึงจะไปเก็บเงินกินเปล่าเขาแต่ก็ไม่ได้ไปทำร้ายหรือทำลายเขา
แต่แนวคิดที่เกรี้ยวกราดอย่างจ๊อปส์ ตั้งใจจะกำจัดคู่แข่งทุกวิถีทาง มันไม่ใช่วิถีทางหรือแนวคิดของคนปกติอยู่แล้ว พอมันเป็นความคิดที่ไม่ปกติ ทุกสิ่งทุกอย่างเลยยุ่งเหยิงไปหมดอย่างที่รู้กัน
ยินดีที่ทิมคุกรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องครับ (ภาษาชาวบ้านคือ เป็นคนปกติ) พอได้เข้ามาเป็นหัวเรือใหญ่ควบคุมบริษัทเองแล้วก็พยายามเปลี่ยนสิ่งที่มันไม่ถูกต้องให้เข้าที่เข้าทาง ถือว่าน่าชื่นชมและต้องรอติดตามผลงาน แอปเปิลจะเปลี่ยนตัวเองตอนนี้ก็ยังไม่สายครับ
แฟร์ดีครับ
ใครละเมิดก็ควรจ่าย
(แต่จริงๆ ผมเชื่อว่า วิทยาการทุกอย่างบนโลก มันก็ล้วนแต่ก้าวหน้าได้ด้วยการต่อยอดทั้งนั้นแหละ ยิ่งในแวดวงไอทียิ่งเห็นได้ชัด)
ชอบย่อหน้านี้มาก
While some see them as the crazy ones, we see genius. Because the people who are crazy enough to think they can change the world, are the ones who do.
@TonsTweetings
+1 เรื่องจริง :D
ผมไม่ชอบใจอย่างมากที่คุณเรียกคนอื่นว่าไม่ใช่คนปกติแบบนี้ คุณว่าคนอื่นไม่ปกติแล้วคุณมีวิธีพิสูจน์อะไรว่าตัวคุณนั้นเป็นคนปกติ วิธีคิดแบบของคุณนั้นเป็นสิ่งที่ปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ความปกติ" นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ได้กรอบกำหนดที่เป็นรูปธรรมเหมือนอย่างกฎหมายอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศหนึ่งการแสดงความรักด้วยการกอดจูบกันในที่สาธารณะนั้นเป็นเรื่องปกติ ในขณะที่อีกประเทศหนึ่งผู้หญิงเดินออกนอกบ้านต้องคลุมผ้าปิดหน้าปิดศีรษะจึงจะถือว่าเป็นเรื่องปกติ เมื่อดูเปรียบเทียบทั้ง 2 กรณีแล้วจะพบว่าพฤติกรรมการใช้ชีวิตไม่เหมือนกันเลยแล้วแบบนี้จะเรียกว่าแบบไหนคือปกติกันแน่ ?
นี่ยังไม่นับตรรกะที่ว่าทำไมคนที่คิดค้นอะไรก่อนต้องอนุญาตให้คนอื่นนำผลงานของตัวเองไปใช้แล้วเรียกเก็บเงินอย่างเดียว ถ้าไม่อนุญาตให้ใช้ถือว่าเป็นเรื่องไม่ปกติ แล้วตกลงสิทธิการตัดสินใจในการอนุญาตหรือไม่อนุญาตนั้นถูกริดรอนหายไปไหนตั้งแต่เมื่อไร หรือคุณกำลังจะบอกว่าการริดรอนทางเลือกของคนอื่นคือวิถีแห่งความปกติในนิยามของคุณด้วย ?
ร้านเสื้อผ้าบ้าน brand ดังบ้านเราแจ้งตำรวจไปจับร้านค้าเสื้อผ้าที่ copy เสื้อผ้าของตัวเองไปขาย ให้จับขึ้นศาลถูกนำไปลงโทษตามกฎหมายและห้ามขายเสื้อผ้า copy ของ brand นั้นอีก คุณฟังแล้วจะรู้สึกว่าเสื้อผ้า brand นี้เป็นพวกไม่ปกติอีกหรือเปล่า ?
อย่าเอากรอบของตัวเองไปตัดสินคนอื่นง่าย ๆ แบบนี้ครับหรือถ้าอยากจะทำจริง ๆ ก็ควรหัดใช้วิธีการพูดที่ไม่ดูถูกคนอื่นสักหน่อยจะดีกว่านี้ครับ
That is the way things are.
เป็นสิทธิ์ของคุณที่ไม่ชอบใจนะครับ
แต่คุณคงห้ามผมต่อว่าบุคคลที่สามและเป็นบุคคลสาธารณะไม่ได้เช่นกันครับ ตราบใดที่ผมไม่ได้ไปต่อว่าคุณ :)
เรื่องคนปกตินั้น มันเป็นนามธรรมมากครับ เราไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนหรอกว่าใครเป็นคนปกติ ใครเป็นคนไม่ปกติ หรือตัวเองจะปกติหรือเปล่าเราๆ ก็ยังไม่รู้เลย แต่เรื่องพวกนี้มันไม่ต้องท้าวความกันยาวครับ มันเป็นเรื่องของทัศนคติของแต่ละคนมากกว่าว่าจะมองใครอย่างไร ไม่ปกติของผม อาจจะปกติของคนอื่นก็ได้ แต่จากทัศนคติของผม ผมก็มองเช่นนี้ครับ ..ดังนั้นคุณก็ไม่ต้องข้องใจมากครับ มันเป็นทัศนคติของผมล้วนๆ
คนเราทุกคนมีความรู้สึกนึกคิดที่แตกต่างกันออกไปครับ อย่าไปเอาอะไรกับมันมากเลย
นอกซะจากว่า คุณจะไม่ยอมให้ใครมาวิพากษ์คนที่คุณศรัทธาอย่างเด็ดขาด
ต้องขอบอกว่า ทุกครั้งที่ผมออกมาคอมเมนต์อะไรประมาณนี้ ผมจะวิพากษ์ที่ตัวองค์กร หรือตัวบุคคลอย่างจ็อปส์ จะพยายามเลี่ยงการมานั่งดราม่ากันเองครับ (แต่ยอมรับว่าครั้งนึงผมเหวี่ยงโดยเอ่ยถึงสาวกไปบ้าง เพราะข้องใจว่าทำไมต้องออกรับตัวราวกับตัวเองโดนวิพากษ์เสียเอง แต่ทั้งนี้สาวกของผม หมายถึงคนที่ออกมาปกป้องอย่างออกหน้าออกตา ใครแตะศาสดาไม่ได้เลย) แต่ผมไม่มีปัญหากับคนใช้แอปเปิลนะครับ และยินดีหากจะ discuss กันด้วยเหตุผล มุมมองและอารมณ์ที่ดีๆ ระหว่างกันครับ ดังนั้นอย่ามาดราม่ากับผมเลยครับ :)
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำในย่อหน้าสุดท้ายครับ แต่ประโยคนี้ผมอยากให้คุณทบทวนกับตัวเองด้วยได้ไหมครับ
คุณอาจจะไม่รู้ตัว แต่ผมเองสังเกตมาเป็นปีๆ แล้วว่า ข้อความของคุณก็ดูถูกคนอื่นไม่น้อยเช่นกันครับ (ไม่เฉพาะ คห.ของผม) คุณอาจจะเป็นคนพูดตรงซึ่งผมเข้าใจดี แต่ดังนั้นก็ควรเปิดโอกาสให้คนอื่นพูดตรงๆ ได้เช่นกันโดยเฉพาะการพาดพิงถึงบุคคลสาธารณะ และไม่ได้ต่อว่าหรือพาดพิงคุณเลยแม้แต่น้อย
(ผมเองก็ไม่เคยไปต่อว่าคุณครับเท่าที่จำความได้ ข่าวเก่าๆ ผมก็เลี่ยงการโต้ตอบกับคุณในหลายข่าวแล้ว เพราะผมรู้ดีว่าเรามองต่างมุม คนละขั้วกันอย่างชัดเจน เถียงไปก็ไม่ได้ประโยชน์ครับ)
ด้วยความเคารพ ขอบคุณครับ
ใน comment ก่อนหน้าของผมไม่ได้ห้ามให้คุณต่อว่าใครนะครับ แต่หากการต่อว่านั้น ๆ ไม่ได้อ้างอิงอยู่บนเหตุผลที่ผมคิดว่าเหมาะสม ตัวผมเองก็มีสิทธิ์ออกมาชี้แจงขยายความตรรกะเพิ่มเติมเพื่อให้คนที่ได้อ่านลองคิดในมุมมองที่เขาอาจจะไม่ทันได้คิดดูบ้าง ส่วนเรื่องที่เขาเหล่านั้นจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็เป็นสิทธิ์ของเขาครับ
หากอ้างอิงจากย่อหน้าที่ 2 คุณบอกว่า "ความปกติ" เป็นเรื่องของปัจเจก สิ่งที่คุณเห็นว่าปกติคนอื่นอาจไม่มองว่ามันปกติ ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับและเป็นสิ่งที่ผมพูดไปใน comment ของผมอยู่แล้ว เพียงแต่ที่คุณเขียนใน comment ก่อนหน้าคุณกลับใช้คำว่า "คนปกติ" ซึ่งผมตีความว่าคุณหมายถึงคนส่วนใหญ่ของสังคมโดยทั่วไป ความหมายเป็นแบบเชิงกว้างไม่ใช่เชิงบุคคล ซึ่งเป็นการอนุมานไปเองว่าวิธีคิดที่คุณคิดว่าปกติในแบบของคุณนั้นเหมือนของคนหมู่มาก แต่ผมไม่เห็นด้วยและไม่คิดว่าเป็นแบบนั้นจึงต้องออกมาแย้งครับ
สุดท้ายผมคงไม่มีอำนาจไปสั่งห้ามไม่ให้คุณดูถูกต่อว่าบุคคลสาธารณะใด ๆ อยู่แล้วครับ สิ่งที่ผมทำได้ก็มีเพียงแค่แสดงความคิดเห็นออกมาว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งไหนบ้างพร้อมทั้งแสดงเหตุผลประกอบเท่านั้นเอง
ปล. คนเราให้ความสำคัญกับเรื่องแต่ละเรื่องไม่เหมือนกันมีความรู้สึกนึกคิดที่แตกต่างกันอย่างที่คุณบอก ดังนั้นการที่คุณกำหนดว่าผมไม่ควรเอาอะไรกับมันมากจึงเป็นเรื่องที่ลักลั่นย้อนแย้งกับประโยคก่อนหน้าที่คุณพิมพ์มาครับ ผมเองให้ความสำคัญกับการดูถูกคนอื่น ส่วนคุณเองให้ความสำคัญกับกระบวนการพัฒนาวงการ IT สงครามสิทธิบัตร ถ้าคุณบอกว่าผมไม่ควรเอาอะไรกับมันมากในเรื่องการวิพากษ์บุคคลสาธารณะ ทำไมคุณไม่บอกตัวเองเช่นเดียวกันว่าไม่ควรเอาอะไรมากกับเรื่องสงครามสิทธิบัตรล่ะครับ จะได้ไม่ต้องพิมพ์ต่อว่า Steve Jobs บ่อย ๆ แบบนี้ ;)
That is the way things are.
แล้วทำไม android ไม่จด notification
ผมคิดแบบบ้านๆนะ
คือบางทีทาง Android เองอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาๆ ใครๆ ก็คิดของแบบนี้ได้ไม่ต้องไปจดมันหรอกใช้ๆ กันไปสบายๆ
พอ Apple ทำตามก็หัวเราะหึๆ เล่นกันเป็นมุขซะแบบ geek ว่าแหมทำตามซะแล้วอะไรทำนองนี้
เพราะผมมองง่ายๆ แบบของผมว่า บางอย่างมันก็พื้นๆ เกินไปที่จะจด
เช่น วิธีการที่จะนำน้ำปลาเหยาะออกจากขวดด้วยการเขย่า
เกิดมีใครบ้าจี้จดขึ้นมา แล้วดันผ่านด้วยแล้วก็บอกว่า คนคิดคนแรกไม่จดเอง
คุณว่ายุติธรรมดีไหมล่ะ หรือคนที่ทำคนแรกดันไม่จดเองถือว่าโง่
คนไปจด แล้วไปไล่ฟ้องไล่เก็บเงินชาวบ้านก้ต้องโดนด่าว่าเป็น Evil เป็นธรรมดา
ทีนี้พอใครจะทำอะไรอีก ก็กลัวไปหมด ตูจะโดนฟ้องไหมฟะ
จะทำเหยาะน้ำตาลลายสวยๆ ออกมาขาย
มันมีคนจดวิธี ใส่น้ำตาลด้วยวิธีเขย่าไปรึยังฟะ หรือตูจะจดซะเองดี!?! หรือจะไม่ทำอะไรเลยมันดีง่ายดี ตักกันต่อไปน่ะหล่ะ
กฏหมายประเทศเขาออกแบบมาแบบนั้นครับ คุณควรจะดีใจที่กฏหมายที่ว่ามันไม่ได้บังคับใช้ในบ้านเราด้วย ถ้าไม่งั้นอาจจะมีคนจดวิธีเดินออกจากบ้านว่าควรก้าวขาข้างไหนออกไปก่อน
ซ้าย หรือ ขวา?
อันนี้เป็นความคิดส่วนตัวนะครับ
คือกูเกิลพยายามทำตัวให้เป็นสัญลักษณ์ของ Freeconomic สังเกตว่าผลิตภัณฑ์กูเกิลเกือบทั้งหมดจะฟรีทั้งนั้น(แล้วมาเก็บข้อมูลเราไปทำโฆษณา)
ทีนี้ Freeconomic มักจะมาคู่กับ Opensource เพราะมันเสริมภาพลักษณ์กันได้ดี(และเราก็เห็นกูเกิลพยายามทำภาพแบบนั้นเช่นกัน) ซึ่งการจดสิทธิบัตรยิบย่อยเยอะแยะไว้ฟ้องคนอื่นเนี่ยมันก็ไม่ Opensource เอาซะเลย
แต่จากนี้ไปคิดว่ากูเกิลจะหันมาจดสิทธิบัตรไว้ป้องกันตัวมากขึ้นแล้วละ
จดแบบนี้ได้มั้ยครับ
เปิดอิสระให้ทุกคนเอาไปใช้ได้ "ยกเว้นพวกนั้น"
ผมคิดว่าถึงได้มีกรณีที่ Moto อนุญาตทุกราย ยกเว้น "พวกนั้น" แล้วเกิดการฟ้องร้องกันในตอนนี้ครับ
เอาจริงๆคงไม่ไช่หรอกครับ เพราะ google ก็มีทีมกตหมายพร้อมที่จะหาวิธีทำให้ถูกกตหมาย
เช่น ให้ Moto เก็บทุกรายเอาไปให้ google แล้ว google ก็ค่อยจ่ายเงินสนับสนุนการไช้ android อีกที
ผลลัพธ์ใกล้เคียงกัน แต่ดูเหมือนถูกกตหมายมากขึ้น :)
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
ผมติดตามอ่านคอมเม้นของคุณมาสักระยะ ผมคิดว่าคุณคิดถึง Android ในแงดีมากจนเกินไปครับ อะไรที่เป็น Android คุณเหมารวมว่าดีหมด ชนะหมด และ Apple กำลังจะล้มเหลวทั้งหมด
อย่าลืมว่าคนอื่นก็มีเขี้ยวเล็บครับ ไม่ใช่ว่าจะไปกัดเค้าได้อย่างเดียว
ผมไม่ได้คิดว่าจะเปลี่ยนความคิดคุณได้ครับ แต่ถ้าคุณยังเลือกที่จะเชียร์และคอมเม้นแบบไม่มีเหตุผล ผมก็คงไม่ตอบอะไรคุณอีกครับ
ผมว่าเพราะจดไม่ได้มากกว่า ลอกเขามาเหมือนกัน
ทุกเม็ดจริง ๆ
นี้และครับคือการฆ่า android ของจริง
กินข้าวศัตรูดีกว่ากินข่าวตัวเอง
แบบนี้ moto จะไปขอกินข้าว apple ได้รึเปล่า
เหอ
พยายามได้ดี หา solution แบบ Win-Win-Win ถ้าเราไม่สามารถเอาชนะเค้าได้ เราก็ร่วมมือกับเค้าซะเลย ถ้าทำได้จริง apple จะได้เงินจากค่าต๋งตรงนี้อาจจะเยอะกว่ารายได้ที่หายไปซะอีก (ถ้าลองคิดว่าคน 100 คนจะซืิอแอนดรอยแน่ๆ 60 จะซื้อ iphoneแน่ๆ 30 เหลืออีก 10 ยังตัดสินใจไม่ได้หากตรง 10 คนนี้หายไป apple ก็จะได้ค่าต๋งมาทดแทนแทน)
apple ยิ่งฟ้องยิ่งเปลืองเงิน แต่ M$ รับทรัพย์ไปเฉยๆ