จากการที่ Apple ปรับนโยบายความเป็นส่วนตัวบนอุปกรณ์ หรือ App Tracking Transparency กำหนดให้โซเชียลมีเดียต้องขอการยินยอมให้ติดตามข้อมูลที่ส่งผลต่อการมองเห็นโฆษณานั้น ล่าสุด Financial Times รายงานว่า ช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ นโยบายดังกล่าวส่งผลกระทบเป็นตัวเงินต่อแพลตฟอร์มอย่าง Snap, Facebook, Twitter และ YouTube ร่วมหมื่นล้านดอลลาร์
Apple เริ่มใช้นโยบายเพื่อความเป็นส่วนตัวหรือ App Tracking Transparency ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดย Lotame บริษัทเทคโนโลยีการโฆษณาซึ่งมีลูกค้ารายใหญ่อย่างเช่น The Weather Company และ McClatchy ได้ประมาณการว่าแพลตฟอร์มโซเชียลทั้งสี่ สูญเสียรายได้ไป 12% ในไตรมาสที่สามและสี่ หรือราวๆ 9.85 พันล้านดอลลาร์ Snap ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เพราะตัวแพลตฟอร์มเน้นการใช้งานบนมือถือ ส่วน Facebook ได้รับผลกระทบในแง่ของขนาดการตลาดของตัวเอง
Mike Woosley ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Lotame กล่าวว่า ผู้โฆษณากำลังเจอปัญหากับการได้รับผลตอบแทนน้อยลงจากการลงทุนในโฆษณา ยกตัวอย่างแบรนด์ชุดชั้นในชายที่จะได้เข้าถึงลูกค้าหนึ่งรายจากโฆษณา $5 ซึ่งกำหนดเป้าหมายไปที่ผู้ชาย 1,000 คน แต่กลายเป็นว่าจู่ๆ บริษัทโฆษณาก็ไม่สามารถทำการกำหนดเป้าหมายโฆษณาได้ เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นหญิงใครเป็นชาย ทำให้ต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากขึ้น
Aidan Corbett หัวหน้าผู้บริหารของ Wayflyer บริษัทผู้ให้เงินทุนแก่การเริ่มต้นช้อปปิ้งออนไลน์ บอกว่า หากความสามารถในการโฆษณาบน Facebook เริ่มไม่คุ้มค่า คนก็จะเริ่มย้ายออก ซึ่ง TikTok ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะใช้เงินน้อยกว่าในการทำให้โฆษณาแสดงผล 1,000 ครั้ง
Eric Seufert ที่ปรึกษา adtech กล่าวว่า Facebook ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากเหตุการณ์นี้ ซึ่ง Facebook ต้องทำโครงสร้างและเฟรมเวิร์คใหม่ทั้งหมดซึ่งน่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปี
ช่วงแรกๆ ที่ Apple เสนอโยบายใหม่ๆ Facebook โจมตี Apple หนักมาก ว่าใช้เหตุผลเรื่องความเป็นส่วนตัวมาบังหน้าผลประโยชน์ของตัวเอง
ในขณะเดียวกัน Twitter ดูจะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบน้อย (รายได้โฆษณาไตรมาสก่อนหน้าเพิ่มขึ้น 41%) เนื่องจากโฆษณาบน Twitter พึ่งพาบริบทและการสร้างแบรนด์ มากกว่าการติดตามพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์ ส่วน Alphabet ก็มีข้อมูลผู้ใช้ของบุคคลมากพอ ไม่จำเป็นต้องติดตามผู้ใช้ในแอปของบุคคลที่สาม
ที่มา - Financial Times, Gizmodo
Comments
เพราะ "App Tracking Transparency" นี้และทำให้ iPhone น่าใช้ขึ้นมาเลย
โดนสแกนรูปในเครื่องแทน
รอให้คนลืมแล้วค่อยแอบเนียนใส่เข้าไป
ไม่กลัวโดนสแกนรูปเพราะไม่ได้อัพรูปขึ้น iCloud
เดี๋ยวมันก็ลามไปครับ
ระบบสแกนมันอยู่ในเครื่องเพราะงั้นจะเอาไปสแกนกับแอปก็เป็นเรื่องง่ายๆ Apple ก็เคยออกมาบอกแล้วว่าตั้งใจจะเปิดให้แอปอื่นๆใช้งานระบบนี้ได้ด้วย ถึงตอนนั้นจะโวยวายก็ไม่ทันแล้ว เพราะถ้ายอมให้มันมี 1 แล้ว มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมี 2 3 4 ไม่ได้ครับ
พ่อค้าข้อมูลโดนหนักสุด เจ้าอื่นดูจะไม่ค่อยกระทบมาก twitter เองก็ออกรายงานว่ากระทบน้อยกว่าที่คิด
รอดูวันที่ facebook จ่าย subscribe ปิดโฆษณา
เพราะทวิตเตอร์มีรายได้จากโฆษณาไม่เยอะอยู่แล้วละมั้งครับ ไม่ก็ไม่ได้เป็นพวก twitter pixel เยอะเท่า facebook/google
Metaworse เลยทีเดียว
แปลว่าข้อมูลส่วนตัวเรามีค่ามากกว่านั่นอีกสินะ เพราะยังไงระบบนี้ก็ยังไม่ได้ปิดกั้นความเป็นส่วนตัวทุกอย่าง 100% และยังมี OS อื่นที่ไม่ได้ปิดกั้นเหมือน iOS
เห็นด้วย ดีแล้ว ไม่งั้นเจอแต่พวกโฆษณา
น่าจะเข้าใจผิดนะครับ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโฆษณาครับ แต่จะไม่สามารถโฆษณาแบบมีเงื่อนไขได้ เช่น กลุ่มเป้าหมาย เพศชาย อายุ 25-30 อะไรแบบนี้ครับ
ทำให้เราโดนโฆษณาแบบหว่านแหแทน เช่นโฆษณายาลดน้ำหนัก หรืออะไรก็ตามที่จ่ายเงินมากพอ ทำให้ใช้งบโฆษณามากขึ้น และถึงกลุ่มเป้าหมายได้น้อยลง สำหรับเรา ก็จะเจอโฆษณาที่ไม่เกี่ยวกับเรามากขึ้นเเท่านั้นเองครับ แต่ข้อดีคือ ข้อมูลเราปลอดภัย
แต่ทำไมเหมือนว่าโฆษณาหายไปเยอะเลยนะครับจากเมื่อก่อนรัวๆเลยเดี๋ยวนี้ห่างๆกันถึงจะเจอ
น่าจะเพราะส่วนนึงที่มีงบก็เลือกโฆษณาแบบหว่านแห ในขณะที่อีกส่วนทำแบบนั้นไม่ได้ เลยไม่ลงโฆษณาเลย
แต่ผมว่าโฆษณาหายเพราะธุรกิจหลายประเภทยังไม่ฟื้นจากโควิดครับ มาตรงกับช่วงนโยบายใหม่ของแอปเปิลพอดี
ตามนั้นครับ ไม่มีเหตุผลอะไรที่ Facebook หรือ platform อื่นๆจะลดโฆษณาให้ผู้ใช้อย่างเราเห็นน้อยลง (เราไม่ได้จ่ายเงินให้ซักหน่อย แถมเราจ่ายข้อมูลให้น้อยลงด้วยซ้ำ) ในทางตรงกันข้าม ถ้าพูดถึงเรื่องเหตุผล ควรจะต้องเพิ่มด้วยซ้ำ เพื่อให้รักษายอดให้ผู้จ่ายเงินซื้อโฆษณาได้ยอดต่างๆเท่าเดิมด้วย
ส่วนตัวผมเปิดให้มันติดตามเราได้ทุกอย่าง ก็มีโฆษณาที่ตรงกับความต้องการเราขึ้นปกติ ส่วนโฆษณาแปลกๆอย่างพวกโฆษณาพนันที่หลายคนบ่นว่าเต็มไปหมดไม่เคยโผล่มาบน feed ผมเลย
การควบคุมความเป็นส่วนตัวเป็นเรื่องดี แต่เราเป็นคนรับเค้กส่วนที่เหลือครับ เมื่อคนแบ่งเค้กคนแรกอย่าง Apple ตัดแบ่งเค้กก้อนใหญ่กว่าเดิมไปแล้ว มีหรือที่ผู้ให้บริการจะยอมแบ่งเค้กตัวเองให้ก้อนเล็กลงกว่าเดิม สุดท้ายก็มาแบ่งเอาจากผู้ใช้นั่นแหละครับ
แต่ถ้าโฆษณาเหล่านี้ไม่ตรงตามกลุ่มเป้าหมายไปเรื่อย ๆ สักวันก็ต้องถอนออกเพราะไม่คุ้มค่าลงโฆษณาหรือเปล่าครับ ?
That is the way things are.
ไม่ครับ เพราะมันก็ไม่มีทางเลือกอื่นที่จะโฆษณาได้ตรงกลุ่มเป้าหมายอยู่ดี นอกจากคนจะหายไปจากแพลตฟอร์มนั้นๆอย่างมีนัยยะสำคัญ
ก็เหมือนย้อนกลับไปยุคโฆษณาทีวี อาจจะไม่ตรงกลุ่มเป้าหมายแต่ก็ยังมีโอกาส ถ้าไม่ลงเลยคือไม่มีใครเห็น
ค่าโฆษณาก็จะต้องลดลงตามความคุ้มค่าแหละครับ
มันก็เยอะเหมือนเดิมแหละครับ เพราะธุรกิจรายได้หลักมาจากโฆษณา เพราะไมได้เก็บรายเดือนจะเอาตังมากจากไหน พวกทำเว็บข่าวต่างๆ ก็เห็นอยุ่กันเต็มไป
อย่างน้อยเพราะไอ้ความสามารถนี้ทำให้โฆษณาผมหายจากหน้าแสดงผลน้อยไปจมเลย
กระทบกับ Platforms และ Advertisers ใช้เงินยิง Ads มากขึ้นแต่ความแม่นของ Target ลดลง
กระทบ FB หนักมาก ...1 ในไม่กี่เรื่องที่ต้องขอบคุณแอปเปิ้ล ????
ไม่รู้ว่าเก็บแค่ไหน
บางวันแค่ยืนดูของในห้างนานหน่อย
ก็ตามมาขึ้นในยูทูปแล้วหรือว่าแค่บังเอิญ
ส่วนตัวผมว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ
That is the way things are.
blognone ได้ใช้บริการตัวนี้ไหม ลดลงบ้างไหม