ถ้าจำกันได้ มีช่วงนึงที่ใคร ๆ ก็ท่องกันแต่คำว่า Metaverse (พอ ๆ กับที่ตอนนี้คนพูดคำว่า AI) หนึ่งในธุรกิจที่ได้อานิสงส์แรงไฮป์ก็คือ VR หรือ Virtual Reality ตอนนั้นหลายเจ้าปล่อยแว่น VR ออกมาให้พรึ่บ ส่วนฝั่งซอฟต์แวร์เองก็ไม่น้อยหน้า มีมาให้เราลองทั้งฝั่งโซเชียลมีเดีย เกม ความบันเทิง หรือแม้แต่ซอฟต์แวร์สำหรับทำงาน
Kevin Roose คอลัมนิสต์สายเทคจาก The New York Times เคยอธิบายเอาไว้น่าสนใจว่า ในช่วงโควิด ยอดขายแว่น VR เติบโตขึ้นถึง 30% ใน 1 ปี แม้จะเป็นแกดเจ็ตราคาไม่ถูก แถมยอดใช้แอป VR ก็พุ่งขึ้นอีกด้วย ไตรมาสแรกปี 2020 รายได้จากกลุ่ม non-ad ของ Meta เติบโต 80% โดยหลัก ๆ มาจากยอดขาย Oculus Quest
เรื่องนี้เข้าใจได้ไม่ยากเพราะในช่วงโควิด การล็อกดาวน์เป็นเหตุผลที่ชัดเจนว่าทำไมคนถึงอยากเข้าไปเจอคนอื่น ๆ บนโลกเสมือน แต่เมื่อโลกจริงกลับมาสู่ภาวะปกติแล้วก็เรียกได้ว่าวงการ VR กำลังจะเจอแบบทดสอบของจริง
หนึ่งในมูฟสำคัญที่เราน่าจะจำได้คือการเปลี่ยนชื่อของ Facebook เป็น Meta และหันไปโฟกัสกับธุรกิจความจริงเสมือนที่ Meta เรียกว่า Reality Labs มากขึ้น (ทุกวันนี้ยังขาดทุน)
แต่การที่หุ้น Meta ดิ่งหนัก ๆ อยู่ช่วงนึงน่าจะสะท้อนความเห็นนักลงทุนที่มองว่าธุรกิจ VR ยังไม่ได้อยู่ในกระแสหลัก ซึ่งทำให้ Meta ขาดทุนอยู่ร่ำไป ตอนนี้หุ้นขึ้นกลับมาเยอะก็เพราะรายได้จากโฆษณา แต่ฝั่ง VR ก็ยังขาดทุนอยู่ไตรมาสละ 3-4 พันล้านเหรียญ (มากกว่าแสนล้านบาท)
ตอนนี้ คนที่ซื้อแว่น VR เกือบ 1 ใน 3 ใช้งานแค่อาทิตย์ละครั้ง ส่วนอีกเกือบ 1 ใน 3 ใช้น้อยกว่าเดือนละครั้งด้วยซ้ำไป ในขณะที่วัน ๆ นึงเราหยิบโทรศัพท์มาเล่นกันเกือบ 150 ครั้ง
หลุมลึกที่ VR กำลังติดอยู่มีอยู่หลายหลุมที่ขวางให้ตลาด VR ตีวงอยู่ในกรอบจำกัด เช่น
1. ฮาร์ดแวร์ยังเทอะทะ เหตุผลแรกน่าจะเป็นเรื่องที่หลายคนน่าจะนึกออกทันทีเวลาพูดถึงข้อเสียของแว่น VR คือมันใหญ่และค่อนข้างหนัก แว่น Meta Quest 3 มีขนาด 18.4169.8 ซม. (ประมาณว่าเอาหนังสือ Sapiens มาหั่นครึ่งตามแนวยาว แต่หนากว่า) แถมหนักเกินครึ่งกิโลกรัม ส่วนแว่นรุ่นอื่นก็มีน้ำหนักไล่เลี่ยกัน
จริง ๆ เวลาหลายคนใส่แว่นก็รู้สึกรำคาญอยู่แล้ว แล้วแว่น VR ก็ดันมีขนาดใหญ่กว่า หนักกว่า แถมต้องครอบตาแทบจะแนบสนิทไปกับหน้า แถมเวลาจะถอดเข้าถอดออกสลับไปทำอย่างอื่นแวบนึงก็ติดขัด ถือเป็นข้อจำกัดสำหรับไลฟ์สไตล์จริง ๆ ยิ่งถ้าเทียบกับสมาร์ตโฟนหรือสมาร์ตวอทช์
2. UX ไม่น่าประทับใจ ตรงนี้เป็นภาคต่อของข้อแรก และเป็นส่วนผสมที่ทำให้ใช้แว่น VR แล้วไม่สะดวกสบายอีกหนึ่งต่อ ผู้ใช้จำนวนมากบอกตรงกันว่าตนต้องเจออาการเมา VR ไม่มากก็น้อย อาการนี้เกิดขึ้นเพราะจุดรวมสายตาและจุดโฟกัสไม่ตรงกันระหว่างระยะทางของวัตถุ 3D เสมือนจริงกับระยะโฟกัสที่วัตถุนั้นๆ
Apple Vision Pro สามารถแก้ไขจุดนี้ได้ดีกว่าเจ้าอื่น ๆ โดย Apple Vision Pro สามารถทำได้ดีในการติดตามการเคลื่อนไหวของตา ทำให้มีอาการเมาน้อยกว่า แต่ก็ต้องแลกมาด้วยราคาหลักแสน
3. ยังไม่เจอต้นแบบที่ใช่ แม้แต่ในวงการเกมที่เป็นหัวเรือของอุตสาหกรรม VR ก็ยังไม่เจอ use case ที่ใช่ คือนอกจากต้องซื้ออุปกรณ์แยกแล้ว ยังไม่มีเกมที่ตอบโจทย์ แม้จะเอาเกมฟอร์มยักษ์มาทำเป็นเวอร์ชัน VR ก็ยังไม่สามารถดันยอดได้ แถมบางเกมก็เข้าข่ายแป้กอีก (เช่น Assassin’s Creed Nexus VR) จนค่ายใหญ่ ๆ ยังต้องชะลอคันเร่งบนถนน VR
นอกจากวงการเกม ซอฟต์แวร์ในแวดวงอื่น ๆ ก็ยังไม่ตอบโจทย์มากนัก เช่น การดูหนังก็อาจจะโอเคแต่ไม่ได้มีความจำเป็นต้องซื้อมาเพื่อดูโดยเฉพาะ การประชุมออนไลน์ (เช่น Microsoft Mesh) ที่ลำบากในการทำงานแบบ Multitask เมื่อเทียบกับคอมที่เราคุ้นเคยกันอยู่แล้ว
จะเห็นว่าในหลายวงการเรายังไม่เจอ use case ที่ว้าว พูดง่าย ๆ คือการใช้งานออกมาแย่หรืออาจจะดีก็ได้ แต่ยังไม่ดีพอให้จ่ายเพิ่มเพราะไม่ได้มี value added ใหม่ ๆ ที่คุ้มราคาพอ
ดูเหมือนคำว่า VR ยังเป็นตลาดที่มีความ Niche คือกระจุกตัวในคนบางกลุ่ม หรือถูกใช้งานแบบแคบ ๆ ไม่สามารถขยายไปสู่คนทั่วไปเพื่อใช้งานโดยทั่วไปได้มากเท่าที่ควร
ตัวเลขนี้คือเหตุผลที่ทำให้คนหันมาซื้อ VR
ข้อมูลจาก Greenlights Insights ตรงนี้ทำให้เห็นว่าการเล่นเกมคือสาเหตุหลักที่ของการซื้อแว่น VR ทิ้งห่างสาเหตุอื่นพอสมควร
และแม้แต่ในอุตสาหกรรมเกมที่เป็นตัวความหวังของ VR ก็ดูเหมือนจะหวังอะไรได้ยากด้วยซ้ำ ถ้าก่อนหน้านี้ VR อยู่ในยุคทอง ตอนนี้เราก็คงอยู่ในยุคมืด ใครที่เคยลงทุน ตอนนี้ถอนทัพออกไปไม่น้อย แม้แต่เกมฟอร์มยักษ์เองก็ยังขยับตัวลำบาก จนมีข่าวร้าย ๆ ออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
Horizon Worlds แพลตฟอร์มเมตาเวิร์สของ Meta เองก็ไปได้ไม่สวยเท่าที่ควร เพราะโดนผู้ใช้โจมตีเรื่องรูปลักษณ์อยู่ตลอด เคยมียอดผู้ใช้งานต่อเดือนน้อยจนต้องปรับเป้า นอกจากนี้ ยังมีคนวิจารณ์อีกด้วยว่าเป็นแพลตฟอร์มที่ธรรมชาติขัดกับความเป็นโซเชียลมีเดียคือมีค่าแรกเข้า (แว่น VR) สูงจนคนไม่อยากเข้าร่วม จนล่าสุด เตรียมเปิดให้ใช้งานบนเว็บและมือถือ ซึ่งแม้อาจจะช่วยเพิ่มยอด แต่ก็ไปขัดการขายแว่น VR ของตัวเอง
VR ในอุตสาหกรรมสตรีมมิงก็ดูจะขลุกขลักไม่แพ้กัน Greg Peters ซีอีโอร่วมของ Netflix เคยออกมาพูดเองว่ายังไม่ทำแอปสำหรับ Vision Pro โดยเฉพาะเพราะตลาดเล็กเกินไปและไม่คาบเกี่ยวกับกลุ่มลูกค้า 270 ล้านคน ของ Netflix เท่าไหร่นัก
ตอนนี้เราจะเห็นปัญหาว่า แม้กระทั่งในอุตสาหกรรมความหวังอย่างเกม ธุรกิจ VR ยังคลำหาตลาดหรือที่ทางของตัวเองไม่พบ แม้แต่เกมฟอร์มยักษ์ก็ยังเป๋เมื่อเข้าสู่โลกเสมือน แถมตลาดก็ยังมีขนาดเล็ก เพราะนอกจากจะไม่สะดวกและเข้าถึงได้ยาก (เพราะต้องซื้อแว่นที่ยังแพง) แล้วก็ยังมีแพลตฟอร์มที่ดีมาให้ใช้งานไม่มากพอ ตลาดจึงยังจำกัดอยู่ในกลุ่มคนเล่นเกม (และมีใจรักพอจะจ่าย) เป็นหลัก
ถ้าไม่นับเรื่องความบันเทิง use case ที่ดูเร็วๆ น่าจะพอมีประโยชน์คือฝั่งองค์กรและอาชีพเฉพาะทาง เช่น ในสาย Healthcare อย่างการจำลองกายวิภาค การจำลองการผ่าตัด การฝึกกระบวนการทางการแพทย์ ช่วยพัฒนาองค์ความรู้ได้มากขึ้นผ่านโลกเสมือน เพราะช่วยให้เข้าถึงการฝึกฝนได้เพิ่มขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำลง
หรืออาจจะเป็นสายวิศวกร ช่างซ่อมบำรุง หรือออกแบบ ที่สามารถใช้โลกเสมือนจำลองของจริงขึ้นมา โดยตลาดนี้มีคนบุกเบิกคือ Microsoft ที่ลุยทำแว่น Hololens โดยไปเล่นกับโลก VR+AR (Mixed Reality) อย่างจริงจังก่อนใครเพื่อน แต่สุดท้าย ถึงแม้จะออกแว่นมาถึง 2 รุ่น ก็ไปไม่รอดเช่นกัน
ทั้งความไม่สะดวกสบาย ประสบการณ์ที่ไม่ดี และขาด use case ที่ใช่ ทำให้ตลาดจำกัดวงลงมา และพอตลาดเล็กเกินไป บริษัทก็ขาดแรงจูงใจจะลงทุนต่อ
ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ออกมาน้อยและขาดคุณภาพ แล้วก็วนกลับไปทำให้ตลาดมีขนาดเล็กอีก เกิดเป็นวงจรอันแสนเลวร้าย (Vicious Cycle) ที่กดดันอุตสาหกรรมโดยรวม
และตอนนี้มีตัวอย่างให้เห็นจริง ๆ ว่าหลายบริษัทเริ่มล่าถอย เช่น
กระทั่งคนที่คลั่งไคล้ใน Metaverse ที่สุดอย่าง Meta ที่อุตส่าห์เปลี่ยนชื่อตาม ก็ยังมีลือมาว่าได้หั่นงบทีม Reality Labs ลง 1 ใน 5 เลื่อนไทม์ไลน์การปล่อยแว่น Quest รุ่นใหม่ออกไป แถมยังปิดสตูดิโอผลิตเกม VR ที่เพิ่งซื้อมา 4 ปี
สุดท้ายแล้วทางออกของธุรกิจนี้อาจจะคล้าย ๆ กับที่ GWI เทียบเอาไว้ว่า ถ้า VR อยากจะแมส อาจจะต้องทำให้ได้เหมือนสมาร์ตวอทช์
เดิมทีสมาร์ตวอทช์เคยเป็นเติบโตภายในวงของนาฬิกาออกกำลังกายภายใต้การนำของแบรนด์หัวขบวนอย่าง Garmin เป็น use case ที่แข็งแกร่งสำหรับนาฬิกาเพื่อสุขภาพของคนออกกำลังกาย
แต่ใน 2015 ทาง Apple ได้สร้างโปรดักส์ที่ตอบโจทย์ตลาดทั่วไปได้มากขึ้น คือไม่จำเป็นต้องเป็นสายออกกำลังกายจ๋า ขอแค่อยากใช้งานเพื่อการเคลื่อนไหวหรือออกกำลังกายเบา ๆ ติดตามข้อมูลหรือรับคำแนะนำด้านสุขภาพ
โดยนาฬิกายังพ่วงการทำงานร่วมกับอุปกรณ์อื่นและใช้งานแอปอื่นได้บางส่วน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่กว้างขึ้น ทำให้นาฬิกาอัจฉริยะเคลื่อนเข้าสู่ตลาดกระแสหลักได้มากขึ้น เพราะเจอ use case ที่แข็งแกร่งและตอบโจทย์คนทั่วไป
แม้ธุรกิจ VR จะยังงมทางของตัวเองไม่เจอ แม้แต่คนที่ use case ชัด ๆ ก็ยังอยู่ลำบาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าการมอบ Immersive Experience ให้กับผู้ใช้ไม่ว่าอย่างไรก็มีข้อดีของมัน เพียงแค่ปัจจุบันเรายังไม่เจอ use case ที่ใช่สำหรับตลาดระดับแมส
Greg Peters ซีอีโอร่วมของ Netflix บอกว่าแม้ตอนนี้จะยังไม่ได้ทำแอปให้ Apple Vision Pro เพราะตลาดเล็กไป แต่ก็พูดคุยกับ Apple อยู่เสมอเพื่อมองหาอะไรใหม่ ๆ เกี่ยวกับ Vision Pro
ประตูบานนี้ไม่ได้ปิดตาย เพียงแต่ยังไม่ได้แง้มออกกว้าง ๆ เท่านั้นเอง
อ้างอิง: Fortune Business insights, 99firms, Inverse, Fortune, GWI, NY Times, Tech Radar
Comments
เข้ามารายงานตัว ในฐานะคนใช้ Quest 3 เฉลี่ยวันละ 3 ชั่วโมง ตอนนี้เร่งเคลียร์ Asgrath Wrath 2 อยู่ เล่นไป 70 ชั่วโมงละ เพราะเดี๋ยวต้องเตรียมตัวเล่น Alien, Batman, Behemoth, Metro และอื่น ๆ ที่กำลังจะออกมาช่วงปลายปีอีก
เรื่อง Metaverse จริง ๆ ที่ Mark ประกาศไว้ คือจะใช้เวลา 5 ปีในการสร้าง ซึ่งถึงปัจจุบันก็ตามแผนนะ อีก 2 ปี Quest 4 ออกมา วงการนี้จะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเยอะ มี Headset ที่มีจอชัดใกล้เคียงกับ Vision Pro แต่ราคาที่เข้าถึงคนส่วนใหญ่ได้มากขึ้น
ว่าแล้วก็ ไปดู Netflix ใน Quest 3 ต่ออีกซักเรื่องละกัน ตั้งแต่ Update ให้ดูใน Quest Browser ได้เมื่อซัก 2 เดือนที่แล้ว ตอนนี้ดูหนังใน Netflix จบไปจะ 20 เรื่องละ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้า แทบไม่เคยดู Netflix เลย
ปล. และตอนนี้มีตัวอย่างให้เห็นจริง ๆ ว่าหลายบริษัทเริ่มล่าถอย เช่น
Ubisoft บอกว่ายังไม่ทำเกม VR เพิ่ม ยอดขายเกม Assassin’s Creed Nexus VR ไม่ดีพอ => https://www.ubisoft.com/en-us/game/just-dance/vr
Bytedance เพิ่งเปิดตัว Pico4 Ultra ไปเมื่อ 2 วันก่อน Spec และราคาคือคู่แข่งกับ Quest 3 เลย รออ่านใน blognone นึกว่าจะเขียนถึง แต่ก็ไม่เห็น https://www.picoxr.com/global/products/pico4-ultra
use case เดียวที่เหนือกว่าอุปกรณ์อื่นคือเอามาดูหนัง VR ค่าย S1/Moodyz ฮะ
ถ้าไม่มีหนังโป๊ คือดับไปแล้ว
Meta ก็ไปซื้อบริษัทที่สร้างเกมส์ inZOI มาซะ แล้วทำเป็น OS สำหรับ Metaverse ทำให้มันควบคุมจากอุปกรณ์ของ VR ได้ ก็มีผู้เล่นกลุ่มใหญ่พร้อมเข้ามาร่วมแล้ว โดยไม่เกี่ยงเรื่องขนาด และน้ำหนักอุปกรณ์ด้วย อาจจะมีบ่นบ้าง แต่มีคนเล่น Online กลุ่มใหญ่มากกว่าปัจจุบันแน่นอน ออก DLC หาทุนแบบถี่ๆ แบบ SIM 4 ก็น่าจะมีทุนพัฒนา HW ให้มีขนาดเล็กลง เบาลง แล้วก็ดึงนักลงทุนให้เดินหน้าต่อไปได้
ส่วนตัวผมว่าแค่ยังไม่ถึงเวลาของมันนั่นแหล่ะ ถ้าจะมาก็คงหลัง AI เริ่มนิ่งเหมือน Internet ทุกอย่างก็น่าจะพร้อม แต่ Meta จะอยู่ถึงวันนั้นหรือเปล่า อันนี้ไม่ทราบได้ เอาแค่ทำให้ได้ระดับเกมส์ inZOI ให้คนสามารถปฏิสัมพันธ์กันในโลกเสมือน ในระดับกราฟฟิกแบบนั้นโดยไม่เวียนหัว ยังดูน่าจะต้องใช้เวลาอีกนานเลย แต่ผมยังเชื่อนะถ้าทำได้แบบในเกมส์นี้ ผมว่ามันเกิดได้แน่ ส่วนตัวผมว่าเกมส์นี้น่าจะเป็นอีกเกมส์ที่จะมาแรงในปลายปี ถึงช่วงต้นปีหน้าลากยาวแบบ Sim 4 ได้เลย เพราะฐานกลุ่มผู้เล่นกว้างมาก แล้วก็จะมีคนเรียกร้องให้ออก version VR สำหรับเกมส์นี้แน่นอน
บริษัททำ inzoi คือ Krafton ราคาไม่ใช่ถูก ๆ นะครับ ราว ๆ 11 Bilion USD ได้ ดูจากงบที่จะลง metaverse แล้ว meta ไม่น่าจะลงทุนเงินขนาดนั้น
ถ้าดูแค่ว่ามีเงินพอมั้ย ก็พออยู่
แต่ถ้าทำอะไรไม่ถูกใจผู้ถือหุ้นเดี๋ยวโดนถล่มหนักได้
หุ้นเพิ่ง ATH กำลังสวยๆ อยู่
https://www.tradingview.com/symbols/NASDAQ-META/financials-overview/
Cash & equivalents 58.18 B
Free cash flow 43.85 B
ยังเร็วเกินไป ถ้ามันเล็กกว่านี้ แบตเตอรี่อาจจะต้องพึ่ง Solid State ได้ทั้งเบา ได้ทั้งเก็บเยอะก็มีแววต่อยาว ๆ
VR น่าจะเกิดได้เมื่อมันกลายเป็น AR เพิ่มอรรธรสไปอีก ผมอยากได้นะ แต่ถูกสุดก็ Pico รอกันไป ว่าจะเดินทางไปทางไหน
อยากเอามาเล่นเกม VTOL VR น่าจะเกมขับเครื่องบินซิมเบาๆ ที่เล่นง่ายสุดละ แต่แค่ซื้อจอยเครื่องบินมาเปิด DCS ไปนอนดีกว่าปุ่มเยอะเกินจำไม่ไหว ขนาดแค่ Falcon BMS แค่พอขับได้กว่าจะหาปุ่มยิงปืนตั้งชื่อซะเกือบหาไม่เจอ
หลังๆ คิดว่ามันเฉพาะทางจริงๆ อยากได้ Immersive พวกเกมขับรถ ขับเครื่องบินที่ต้องหันหัวตามด้วยไม่งั้นเล่นยาก ยิ่งเกมเครื่องบินไม่หันตามได้นี่เล่นไม่ได้เลย
ช่วงหลังนี่หนังออกเยอะมากนะครับ 55
Horizon Worlds มันเป็นงานที่เหมือนโดนแกงค์ DE หลอกนะ เอาคนไม่เคยทำงานด้านนี้มาทำ เน้นยัดความหลากหลาย สุดท้ายได้ขยะมาหนึ่งชิ้นคนอย่างร้าง ห้องนั่งเล่นพบปะสังสรรค์มันควรที่จะต้องปล่อยอิสระแบบ VR Chat สิ
ส่วน VR อยากได้พวกไปใช้เครื่องแสกนทำภาพ 3d สถานที่ต่างๆ ให้เดินเที่ยวได้ก็พอแล้ว แต่ app ด้านนี้มีน้อยมาก แถมขนาด apple เองตัว apple map เองยังไม่สนใจทำ app ให้เลย
ผมเพิ่งขาย quest 2 มาซื้อ quest 3 เอามาเล่นแค่ vrchat หาเพื่อนคุย ชอบที่อัดหน้าจอแล้ววิดิโอกันเขย่าแบบ gopro ได้ เพราะต่อจอนอกแล้วอัด ภาพเขย่าจนเวียนหัว ผมอัด 1902x1080 30fps กันสั่นระดับ medium 10Mbps (ลอง 5Mbps แล้วเสียงพูดผมเบา) เปิดสุดทุกอย่าง 60fps กันสั่น high อัด 20Mbps แล้วแว่นร้อนมาก (ตาร้อนผ่าวๆ) เลยปรับกลางๆ พอ เสียบชาร์จไป เล่นไปได้ทั้งวัน เคยเล่นนานสุดตั้งแต่ 4 โมงเย็น ยัน ตี 3 แบตไม่ลดแบบ quest 2
ผมสังเกต quest 2 ไฟวิ่งเข้าแค่ 4-5W ส่วน quest 3 ไฟวิ่ง 10-12W แล้วตอนนี้ไม่ต้องใส่เลนส์แบบ quest 2 แถมรอบๆ ไม่มีเบลอแล้ว ล่าสุดต่อ การ์ดแคปเจอร์บนคอมดูหนังได้ ตอนแรกว่าจะซื้อ xreal ตอนนี้ดูผ่าน quest 3 สะดวกกว่า
ชอบที่เล่น vrchat ไปเปิด youtube และเว็บไปด้วยได้แล้ว
ยิ่งมี tracking มือ ยิ่งสนุกไปใหญ่ ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
้ยดูหนังกับเพื่อนใน vrchat อารมณ์เหมือนไปดูโรงหนังจอใหญ่ๆ คุณภาพเสียง ภาพ กำลังดี สามารถปรับให้นอนดูบนเตียงแบบ sword art online แล้วปรับจอให้นอนดูแบบไม่ต้องเงยคอได้ สะดวกมาก
ได้ยินว่าปลายปี 2024 จะมี quest 3s แบบไม่มีจอย ขายราคาไม่ถึงหมื่นบาท เพราะจอยข้างหนึ่งก็ 4000 กว่าบาทแล้ว แถมแบตหมดไว ถ่านไฟฉายใช้แล้วทิ้งกองเป็นถุง ตอนนี้ซื้อถ่านชาร์จมา แต่ด้วยความที่ตอนนี้ tracking มือได้แล้วเลยไม่ค่อยได้ใช้จอย แล้วแบตไม่ค่อยหมด
ขอบคุณ apple ที่ทำแว่น vision pro ออกมา แล้ว quest 3 เอาฟีเจอร์มาเกือบหมดเลย ปี 2024 ผมว่าฟีเจอร์ vr อัพเดทมาเยอะกว่า 5 ปีที่ผ่านมาเสียอีก ล่าสุด tracking มือใส่ steamvr บน vrchat แล้ว
VR เหมาะกับงานสาย 3D มากๆ คือเวลาแบบ รูปทรง ตึก อาคาร วิเคราะห์อะไรที่เป็นแบบ 3D คือดีมาก
แต่พอเอามาเล่นเกมส์ไม่ไหว เหงื่อแตกเปียกไปหมด เกมส์ยิงปืนมือก็ต้องนิ่งจริงไม่งั้นเป้าส่าย ยิ่งถือสไนคือต้องกลั้นหายใจยิง ยากไปจนไม่สนุกพอเริ่มเป็นสนุกคนดันหาย😭😭😭 ช่วง Oculus Rift S ถ้าสเปคเครื่องไม่ถึงคือจะกระตุกมาก
สมาร์ตวอชเรื่องสุขภาพอาจจะไม่เท่าไหร่ผมว่าหลักๆมันมีตลาดคนใส่นาฬิกาเดิมอยู่แล้ว
ผมเป็นคนเล่นเกมแนว FPS ไม่ได้เลยเพราะเวียนหัว ดังนั้นพวก VR ไม่สนใจเลย แถมราคาก็แพง เล่นเกม ดูหนัง ดูซีรี่ย์บนทีวีก็ดีอยู่แล้ว
ปัญหานอกจากใส่ไม่สบาย คือมันไม่ haptic ด้วยนี่แหละครับ
ใช่ครับมันว้าวเหมือนคุณเข้าไปในโลกเกมจริงๆ แต่พอคุณ ยื่นมือออกไป คุณก็กระเด็นออกจาก immersive ทันที
กลุ่ม tech enthusiast อาจจะบอกรับได้ แต่คนทั่วๆ ไปจะไม่น่าอิน
จริงๆ ตอน palmer lucky เปิดตัว oculus ครั้งแรก มันก้าวกระโดดมากนะ เทค vr มันมีมานานมาก แต่ราคาแพง และคุณภาพไม่ดีมากจนคนไม่สนใจ จนมา oculus เนี่ยแหละ
ผมว่ามันต้องมีการก้าวกระโดดอีกรอบ จะด้วย ขนาด/ราคา/interface/haptic มันถึงจะจุดติดอีกครั้ง
ผมไปว้าวกับสำนักงานจำลองมากกว่า แต่ติดที่ว่ายังไม่อินกับการสั่งงานของมัน มันดูยุ่งยากไป ขอแบบแค่เมาส์คีย์บอร์ดเหมือนเดิมแต่จอใหญ่ขึ้นก็พอแล้ว แว่น ARVR พวกนี้เหมือนจากเดิมเรามีแค่จอภาพไม่กี่จอตรงหน้า กลายเป็นว่าเรามีจอภาพได้แทบจะนับไม่ถ้วน ดู Teaser, Demo และ Demonstration โคตรว้าว
เคยอยากลอง VR อยู่ช่วงนึง ช่วงนั้นค้นไปเจอ Pico 4 กับ Xreal Air แล้วเห็นราคามันพอๆกัน แล้วก็นึกในใจ Pico 4 มันทำได้มากกว่า Xreal Air แล้วใครมันจะไปซื้อ Xreal Air
สรุปปัจจุบันผมใช้ Xreal Air แทบทุกคืนเลย 55+
ส่วนตัวคิดว่าถ้าตั้งเป้าให้มันเป็น Wearable มากกว่า Console มันก็ต้องทำ form factor แบบนี้แหละถึงจะแมสได้ รอดูว่าจะมีเจ้าใหญ่ลงมาเล่นไหม (เห็น Asus เปิดตัวอยู่ตอนงาน CES แต่เงียบไปเลย) เพราะตอนนี้ผมมองว่ามันไปได้อีกไกลเลยถ้า Software ดี (Xreal ยังถือว่าแย่อยู่ด้าน Software)
ปล. ที่เปลี่ยนใจเอา Xreal Air แทนเพราะเห็นโฆษณา Lenovo Legion Go โชว์ use case ให้ดูนี่แหละ
ยังไม่รู้ จะเอามาใช้ แทน พวก จอภาพแบบเดิมยังไง ถึงมันจะดูว้าวก็ตาม
มองไม่เห็นภาพเลยว่ามันจะเกิดได้ยังไง
ถ้าไม่ได้เป็นเหมือน Sword art online อะครับ
ขนาดหูฟังใส่นาน ๆ ยังรำคาญเลย
ถ้าคุณอายุ40+ แล้วเริ่มมีปัญหาทางสายตา แล้วถ้า vr ยังเป็นใส่แว่นครอบหัวแบบนี้ คุณจะรู้ว่า vr มันไม่มีทางเกิด จะเกิดได้มันต้องระดับเสียบปลั๊กที่หัว แล้ว enter the matrix
จอนแรกก็สงสัยคนคนไม่สนับสนุนการมีอยู่ของมันเยอะขนาดนี้ทำไมถึงยังมีคนใช้อยู่ เลยลองซื้อมาในแอพชอปปิ้ง 7.7
พอได้ลองมันเปิดประสบการณ์ใหม่จริงๆนะ กราฟฟิคไม่ได้สมจริงแต่พอได้เล่นมันรู้สึกสมจริงเพราะการสั่นของจอย เพราะเห็นของในมือเหมือนถือมันจริงๆ เรื่องมึนหัวผมเป็นคนมึนหัวขั้นสุดก็เลี่ยงเกมวิ่งยิงปืน
ส่วนความว้าวของมันเป็นสิ่งที่อธิบายให้ตายยังไงมันก็ไม่เห็นภาพนอกจากต้องลองเอง
😲
ในวงการผม ผมเห็นอย่างเดียวที่รอด และใช้งานจริง คือการผ่าตัดผ่านกล้อง VR ที่ทำให้หมอทำงานได้ง่ายขึ้น แต่วงการนี้ เครื่องมือตัวละหลักล้าน เค้าก็ซื้อกันเป็นปกติ VR ไม่ใช่ของแพง
นอกนั้น ในวงการอื่น ผมยังไม่เห็นว่า มีสิ่งไหน ที่จะมีโอกาสรอดเลย จะเกม จะหนัง จะอะไรก็ตาม ก็จะมีคนแค่กลุ่มเล็ก ๆ และพอหายเห่อ ก็จะเล็กลงเรื่อย ๆ จนสูญพันธุ์ไป
ใครจะไปถวิลหาโลกที่พยายามทำให้เหมือนจริง เพราะแค่คุณถอดแว่น VR ออก คุณก็พบโลกจริงแล้ว
ในความเป็นจริง สิ่งที่น่าจะเกิดได้มากกว่า คือแว่นตา google glass ที่ทำมาในตอนนั้น แล้วพับโครงการไป ดูแล้วเข้าท่ากว่าในชีวิตจริง ใช้งานได้จริง ทำอะไร ๆ ได้ ถ้าวันนั้น google ไม่ได้พับโครงการไป วันนี้ apple watch อาจจะไม่ได้เกิดก็ได้
สำหรับคนทั่วไป google glass ใช้งานได้จริงกว่า VR เยอะเลย
วันที่ผ่านมา pico 4 ultra เปิดตัว แต่ผมหาข่าวใน blognone ไม่เจอครับ
แว่น VR หนักหัว และไม่ immersive เท่าโลกแห่งความจริง
That is the way things are.
ซื้อ Apple Vision Pro มาตั้งแต่วันแรกที่เปิดขาย
UX ทำมาดีมาก
แต่ App Store ไม่รองรับประเทศไทย
เลยโหลดแอพทำงานมาไม่ได้เลยสักแอพ
แว่นหนัก ใส่เกิน 1 ชม. ไม่ได้
ใช้สักพัก เริ่มมึนด้วย
สรุป ใช้ทั้งหมด 5-6 ครั้ง ในเดือนแรกที่ซื้อมา
แล้วก้ไม่ได้หยิบขึ้นมาอีกเลยมา 4-5 เดือนแล้ววว
ส่วนตัว ผมคิดว่ามันเกิดได้แน่ๆแต่ราคายังแพงเกินไปสำหรับ gadget ชิ้นหนึ่ง และหนักเกินไปด้วย