By: arjin 
on 11 March 2025 - 08:08
Tags:
ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาเมื่อคืนนี้ ราคาหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 7 บริษัท หรือที่เรียกกันว่าหุ้น 7 นางฟ้า (Magnificent Seven) ต่างปรับลดลงมาก จนทำให้ภาพรวมดัชนี Nasdaq ลดลง 4% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2022 ปิดที่ 17,468.32 จุด
ราคาหุ้น 7 นางฟ้าปรับลดลงดังนี้ NVIDIA ลบ 5%, Alphabet ลบ 4.4%, Meta ลบ 4.4%, Apple ลบ 4.9%, Microsoft ลบ 3.3%, Amazon ลบ 2.4% ส่วน Tesla ลบ 15.4%
นักวิเคราะห์ให้เหตุผลหลักที่ทำให้ราคาหุ้นปรับลดลงมากรวมทั้งกลุ่มเทคโนโลยี ว่ามาจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจในช่วงเดือนที่ผ่านมา รวมทั้งนโยบายของรัฐบาลสหรัฐทั้งการขึ้นกำแพงภาษี การตัดลบงบประมาณหน่วยงานรัฐ
Get latest news from Blognone
Follow @twitterapi
Comments
Speedrunning recession ตามด้วย depression และแน่นอนว่าเป็นความผิดของรัฐบาลชุดที่แล้ว
"มาจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจในช่วงเดือนที่ผ่านมา รวมทั้งนโยบายของรัฐบาลสหรัฐทั้งการขึ้นกำแพงภาษี การตัดลบงบประมาณหน่วยงานรัฐ" ประโยคนี้ก็น่าจะหมายถึงรัฐบาลทรัมป์นะครับ ไปตีความยังไงว่ามาจากรัฐบาลที่แล้ว
ประโยคสุดท้ายน่าจะหมายถึง Trump คิดที่จะโยนความผิดไปให้รัฐบาลชุดที่แล้วครับ ไม่ใช่ตัวเขาเอง
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
ยับ ทั้งเหรียญ ทั้งหุ้น
เป็นอีกเหตุผลที่ผมอยากตัด Tesla กับ Meta ออกจากหุ้นนางฟ้า ให้เหลือแค่ MANGA เท่านั้น
MANGA กดยังไงก็ market cap ไม่ต่ำกว่าสองล้านล้านเหรียญ ตอนนี้มีแค่ Apple ที่ไม่ต่ำกว่าสามล้านล้าน Microsoft กับ NVIDIA หลุดไปเหลือสองล้านล้าน
Tesla อันนี้หลุดหลักล้านล้านไปเรียบร้อยแล้ว และยังหาจุดต่ำสุดไม่เจอ portfolio ก็ไม่ได้ diversified เป็นจุดอ่อนของหุ้นนางฟ้าอย่างชัดเจน
Meta ยังอยู่ในหลักล้านล้านก็จริง แต่ไม่ได้ใหญ่อันดับหกของโลกจริง (มี Saudi Aramco มาแทรก) และธุรกิจหลักยังคงวนเวียนกับโซเชียลเน็ตเวิร์ค ธุรกิจเสริมอย่าง Metaverse ยังไม่เกิด และสกุลเงินดิจิตอลที่ยกเลิกไปเรียบร้อยแล้ว
ผมเข้าสู่วงการห้น US เมื่อ 2 ปีก่อน เพราะตอนที่ Meta ลงหนัก มีเซียนหุ้นคนนึงบอกว่าประมาณว่า หลังจากโควิด คนอยากเจอกันตัวเป็น ๆ มากกว่าภาพดิจิตอล Metaverse ของ Meta ก็เลยล้มเหลวไม่เป็นท่า ราคาหุ้นเลยลงหนัก แต่ผมซึ่งชอบ VR มากเห็นต่าง ก็เลยขวนขวายหาวิธีซื้อหุุ้น US และจัด Meta ไป ถึงตอนนี้ก็ได้กำไรมาพอตัว และก็ยังเก็บหุ้น Meta อยู่ทุกเดือน และก็ดีใจที่ช่วงนี้ราคาลงมาบ้าง เพราะตั้งใจจะเก็บไปเรื่อย ๆ จนกว่า Quest 4 ออกช่วงปลายปีหน้า
เมื่อไม่กี่วันก่อนหลังจากที่ Meta มีข่าวเรื่องจะสร้าง Cable ใต้น้ำเชื่อม 5 ทวีป
เปิดตัว Project Aria Gen 2 AR Glass
https://www.meta.com/en-gb/blog/project-aria-gen-2-next-generation-egocentric-research-glasses-reality-labs-ai-robotics/
ออกบทความเกี่ยวกับแว่น Orion มา
https://www.meta.com/en-gb/blog/orion-compute-puck-reality-labs-next-computing-platform
ผมยังคิดเลยว่าในอีก 2-3 ปีนี้ ถ้าจะมีอันดับเปลี่ยนแปลงใน Magnificent 7 หนึ่งในนั้น ก็คงเป็น Meta นี่แหละที่จะทะลุ 2 Trillion และแซงบางบริษัทขึ้นไป
แวะมาแลกเปลี่ยนความเห็นครับ ตอนนี้คงได้แค่ปล่อยให้เวลามันทำงานของมันไป อีกซัก 2 ปีภาพต่าง ๆ ในประเด็นนี้ คงชัดเจนขึ้น
ผมมองว่า Meta รายได้มาจาก Ads มากกว่า ส่วน Metaverse อะไรนั่น มันคือความล้มเหลวที่ไม่กล้ายอมรับและลงทุนต่อไป
รายได้ที่ผ่านมาและรายได้ปัจจุบันของ Meta คือจาก Ads ใช่เลยครับ ที่หุ้นมันพลิกตัวกลับจาก 100$ มา 700$ ในช่วง 2 ปีก็เพราะรายได้จาก Ads การบริหารด้วยการลดคน ซื้อหุ้นคืน จ่ายปันผล ไม่ใช่เพราะ Metaverse
ส่วนเรื่อง Metaverse ตอนนี้ ผมพูดได้แค่ว่าปัจจุบันผมมีเกมแและ App จาก Meta Store เอาไว้เล่นใน Quest 3 อยู่ 500 กว่าเกม ดังนั้นมุมมองก็จะต่างออกไป
ที่เหลือก็คงได้แค่รอให้เวลาเฉลย 2 ปีไม่นานครับ แป็บเดียวเอง จากที่ผมเห็น เงินที่เค้าถมลงไปใน Reality Lab มันกำลังจะออกมาเป็นรูปเป็นร่างแล้ว
รีบเทถ้าไม่อยากดอย
ทรัมป์ก็อ่อนไหวกับราคาหุ้นด้วยนะ