Andy Rubin เจ้าพ่อของฝ่าย Android ในกูเกิล ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว The New York Times ถึงสถานการณ์ของวงการมือถือ
- Android จะมียอดขายแซงหน้า iPhone และ BlackBerry แน่นอน ขึ้นกับว่าเมื่อไรเท่านั้นเอง เพราะเขามั่นใจว่าระบบที่เปิดให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์หลายเจ้าช่วยกันผลิตย่อมชนะ
- เขาบอกว่าผู้บริโภคแคร์ว่า มือถือของตัวเองเป็นระบบเปิดหรือไม่ และบอกว่าเขา "ไม่อยากอาศัยอยู่ในเกาหลีเหนือ"
- กูเกิลใช้ Android SDK รุ่นเดียวกับนักพัฒนาภายนอก ในการสร้างโปรแกรมบน Android (อันนี้กระทบชิ่งไปยังแอปเปิลที่ใช้ SDK รุ่นพิเศษ แต่ให้นักพัฒนาใช้ SDK รุ่นธรรมดา)
- เขายืนยันว่า Android 2.2 "Froyo" จะรวม Flash Player รุ่นมาตรฐาน (ไม่ใช่ Flash Lite) มาให้เลย
- ปัญหาเรื่อง compatible เป็นสิ่งที่กูเกิลให้ความสำคัญมาก เพราะโปรแกรมบน Android ในตอนนี้รันอยู่ทั้งบนมือถือ และทีวี 42 นิ้ว
- เขาบอกว่าไม่มีปัญหาเรื่อง Chrome OS ซ้อนทับกับ Android ถ้ามีแท็บเล็ตที่ใช้ระบบปฏิบัติการทั้งสองตัววางขายแข่งกัน ยังไงกูเกิลก็ได้ประโยชน์
- เขาซื้อ iPad ให้ภรรยาใช้ เขามองว่า iPad จะกินตลาดเน็ตบุ๊กมากกว่าสร้างตลาดใหม่ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ต้องการพกหรือชาร์จอุปกรณ์เพิ่มขึ้นอีกตัว
- ผู้สื่อข่าวแกล้งถาม Rubin ว่าถ้าคนของกูเกิลลืมมือถือต้นแบบ Android ไว้ในบาร์ จะเกิดอะไรขึ้น Rubin ตอบว่าเขาอยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น และใครสักคนเขียนถึงมัน โลกเปิดย่อมมีความลับน้อยกว่าอยู่แล้ว
ที่มา - The New York Times
Comments
ไมไม่เปรียบว่าจีนละครับ แหะๆ..
ปล.ผมก็เชื่อเหมือนกันนะว่า Android หน่ะครองโลกซักวันแน่ (จะอยู่ที่เมื่อไหร่)
มือถือตอนนี้ก้ใช้กันให้พรึ่บแล้ว และมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ไหนจะอุปกรณ์อื่นๆอย่าง Tablet อีก
อุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวอย่างไมโครเวฟ ตู้เย็นก็ยังมี Android เดี๋ยวอีกไม่นานก็รถ.. อากู๋ครองโลก
เพราะเรื่องพรรค์นี้ จีนยังเทียบเกาหลีเหนือไม่ได้ครับ
ขนาดนั้นเลย
เคยเห็นภาพในเกาหลีเหนือหรือเปล่าครับ?
โฆษณาตามท้องถนนไม่มี
แถมประชาชนยังต้องใส่เสื้อผ้าสีทะมืนๆ ห้ามใส่สีสันสดใสเด็ดขาด
นี่แค่ส่วนหนึ่ง...
เขาไม่ได้เป็นเสรีนะครับ โฆษณานะมีแต่ไม่จำเป็นเพราะมีตัวเลือกไม่มาก (ทางลงรถไฟใต้ดินมีโฆษณานิดหน่อย) เสื้อผ้าสีสดมีครับแต่คนไม่นิยมเป็นค่านิยมของเขาเอง ชุดประจำชาติก็สีสดอยู่แต่ส่วนมากคนในเปียงยางชอบใส่สูทสีเข้มมากกว่า
จริงอยู่ว่ามันต่างจากเกาหลีใต้มาก แต่จากที่เคยเจอคนเกาหลีเหนือมีระเบียบวินัยกว่าเยอะ มีปัญหาอะไรคนในชาติก็ช่วยกันไม่เหมือนเกาหลีใต้มีอะไรก็ประท้วงไว้ก่อน
ปล. ตอนนี้ยกเลิกเที่ยวบินจากกรุงเทพไปเปียงยางชั่วคราวนะครับ ใครจะไปเที่ยวต้องไปขึ้นเครื่องที่ปักกิ่งเอา ค่าใช้จ่ายตกทริปละ 6 หมื่นได้ไป 7 วัน (เผื่อใครสนใจไปดูของจริงบ้าง จะได้รู้ว่าความจริงเกาหลีเหนือเจริญกว่าที่อเมริกาบอกเยอะนัก)
ผมไม่ทราบว่าอเมริกาบอกว่าเกาหลีเหนือเป็นอย่างไร
แต่ที่ผมรู้คือความเจริญของเกาหลีเป็นความเจริญแบบรังมด
คือประชาชนเป็นเหมือนมดงาน ต้องเลี้ยงผู้นำ สั่งอะไรก็ต้องทำ ไม่มีสิทธิ์มีเสียง ไม่มีความบันเทิงที่ตัวเองเลือกได้มากนัก
มีแต่พวกชนชั้นผู้นำที่มีอิสระ อยากเสพอะไรก็เสพได้ตามใจ แต่ยัดเยียดสื่อขยะอย่างรายการตลกที่ไม่ตลก รายการตลกที่โฆษณาชวนเชื่อตลอดเวลา ให้ประชาชนดูไปแกนๆ
ประชาชนเกาหลีเหนือมีบางครั้งที่อาหารไม่พอ ไม่ได้รับแจกจ่ายจนเกือบอดตาย แต่ผู้นำมีกินสามมื้อตลอดเวลา
กับประชาชน แจกจ่ายข้าวกับผัก แต่ข้าราชการ ยิ่งชั้นสูงยิ่งกินอาหารหรู
ผมยอมรับว่าประชาชนเกาหลีเหนือคงจะสมานสามัคคีกันดี
แต่มันสะท้อนภาพว่า เพราะมีแต่ความลำบากตลอดเวลา รัฐพึ่งไม่ได้ เลยทำให้คนต้องสามัคคีกัน ช่วยเหลือกัน จนติดเป็นค่านิยมสังคม
ไม่สังเกตหรือว่าประเทศที่เจริญแล้ว ประชาชนมักจะไม่สามัคคีกันมาก
ก็เพราะมันไม่จำเป็น คนเราจะมีความสามัคคีกันมาก ก็ต่อเมื่อมีความลำบากอยู่ตรงหน้าครับ
เกาหลีเหนือจะเจริญยังไง แต่ไม่ใช่ประชาชนที่ได้รับความสบายจากความเจริญนั้นโดยตรง
ผมเห็นว่า เกาหลีเหนือ เจริญแต่ประเทศ แต่ชาติไม่ได้เจริญไปด้วย ครับ
และที่พาดพิงอยู่นี่
ก็ไม่ได้พูดถึงความเจริญ
แต่หมายถึงการไม่เสรีนี่แหละครับ
ไม่มีใครโยงไปเรื่องความเจริญเลยนะครับ
และก็ยังไม่ได้บอกเลยซักคำว่าปิดกั้นแล้วมันไม่ดี
แค่บอกว่า มันปิดกั้นเหมือนเกาหลี เกาหลีชอบปิดกั้นยิ่งกว่าจีน เท่านั้นเอง
ไม่ทราบไอ้ข้อความข้างบนนี่ ไปเอามาจากไหนเหรอครับ? สังเกตเอง? หรืออ้างอิงอะไร?
สังเกตเองครับ อ้างอิงจากหลายๆแหล่ง
มันก็มีคำกล่าวหรือคำสรุปของนักวิชาการที่สะท้อนเรื่องนี้มากมาย พวกวลีที่ว่า ผ่านความความลำบากด้วยกันจะสร้างความผูกพัน สถาณการณ์สร้างความสามัคคี หรือพวก ความสะดวกสบายทำให้คนเราเห็นแก่ตัวมากขึ้น พวกนี้
ถ้าเป็นเศรษฐศาสตร์ศาสตร์จะแยกเลยว่า สังคมชนบทที่ความเจริญเข้าไม่ถึง มักจะมีความสามัคคีกลมเกลียว ร่วมแรงร่วมใจทำงานเป็นหมู่คณะ มากกว่าสังคมเมือง
ชาติพันธุ์วิทยาจะมีข้อมูลของเผ่าที่แร้นแค้น และเผ่าที่อุดมสมบูรณ์ ว่าคนในเผ่าไหนที่เหนียวแน่นกว่า
นักประวัติศาสตร์มักจะสรุปว่า ความรู้สึกชาตินิยมกลมเกลียวของคนในชาติมักจะเกิดขึ้นเมื่อผ่านความเลวร้าย เช่นญี่ปุ่น
นักสังคมศาสตร์ก็จะมีเรื่องของ การรวมตัวกันเป็นสหภาพแรงงานเพื่อต่อรองมักจะเกิดจากการกดขี่
มีเหตุผลที่บอกได้ว่าไม่จริงก็ช่วยบอกด้วยครับ
Oop! ถ้าอย่างนั้น ณ ประเทศหนึ่งในเวลานี้ ก็เป็นประเทศเจริญ สิน่ะ เพราะประชาชนแตกความสามัคคี (หวังว่าคงรู้น่ะประเทศไหน)
ก็เห็นสามัคคีกันดีออกนะครับ
กลุ่มนึงก็สามัคคีกันเป็นกลุ่มก้อนเพื่อปิดถนน ด่ารับบาล
อีกกลุ่มก็สามัคคีกันออกมาด่ากลุ่มแรก
นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดมากเลยนะว่า ความเดือดร้อน ความลำบาก ทำให้เกิดความสามัคคีกัน
ที่เสื้อแดงออกมา ที่เสื้อเหลืองออกมา ถ้าไม่เดือด้อนก็คงไม่อกอมารวมตัวกันหรอกครับ
ความหมายของผมคือ ถ้ามันไม่ลำบากต้องดิ้นรนอะไร ความสัมพันธ์ของคนก็จะหลวมๆ เพราะไม่มีใครต้องไปนั่งช่วยใคร
แ่ต่การแตกสามัคคีระดับชาติ มองอีกมุมแล้วมันก็เป็นความสามัคคีกันเองระหว่างคนส่วนหนึ่งอยู่ดี
น่ะครับ
ครับผม คิดว่าความสามัคคีของคนทั้งประเทศเสียอีก เสียดายจัง
ผมเข้าใจว่าคุณ Perl เล่นมุขว่า google มีปัญหากับจีน ทำไมไม่เปรียบเป็นจีนไปซะเลยล่ะ
คนบางคนก็ซีเรียสเน้อ วิเคราะห์ละเอียดยิบ เคยไปประเทศเค้าป่าวเหอะ
ข้อสุดท้ายรู้สึกแปลกๆแฮะ อยากให้มือถือหาย !?
สงสัยอยากให้พนักงานบินไปเยอรมันฟรีมั่ง
Andy แฝงความนัยครับ เค้าอยากภรรยาไปอยู่เกาหลีเหนือ :P
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
555+
เนี้ยแหละ จ๊อบส์ ถึงได้ขมวดคิ้วแล้วบอกว่า "เอ็งเล่นตูก่อน"
เรื่องขายได้แซงมันคงแซงอยู่แล้วละครับระบบเปิด ถ้าสู้ไม่ได้นี่สิแปลก
ส่วนเรื่องเกาหลีเหนือเข้าใจว่าคนอเมริกันมีความรู้เกี่ยวกับประเทศนี้น้อยนะครับ
เปิดไฟท้ายปล่อยให้แซงก็ยังเชื่อว่าไม่ทัน
ไม่อยากอธิบายยืดยาว
แรงไปมั๊ง....
ที่น่าสนใจก็คือคนจำนวนมหาศาลเต็มใจเข้าไปอยู่ในอาณาจักรแอปเปิ้ลนี่แหละครับ
สิ่งที่ apple มีแต่ google ไม่มีอย่างชัดเจนคือความเป็นแฟชั่นครับ ทำอย่างไรให้ ดาราใช้ android ทำอย่างไรให้มันกระจายไปยั่งกลุ่มผู้นำในหลากหลายสาขาอาชีพ ลองสังเกตุดูสิครับว่าสินค้า apple ขายได้เพราะมันเป็นแฟชั่นไปในตัว ครั้งหนึ่ง ipod เคยเป็นแฟชั่นดาราพกพากันหวือหวา ทุกวันนี้คนพูดถึงน้อยลงไปทุกทีๆ ยอดขายมันเลยไม่ร้อยฉ่าเหมือนแต่ก่อน iphone กำลังดำเนินรอยตาม ipod ครับตอนนี้กำลังร้อนฉ่าได้ที่แถม job เองชอบสร้างกระแสให้สินค้าตัวเองอยู่เรื่อยๆ ถือเป็นนักการตลาดบ้านทรายทองระดับพระกาฬจริงๆ ส่วน google เองพึงลำลึกถึงกึ๋นทางการตลาดที่เด่นกว่านี้ให้มากหน่อยมีเพชรเต็มไม้เต็มมือ ถ้าไม่เอามาเดินตามตลาดใครจะไปเห็นถึงคุณค่าและความงามของมัน
fashion สำหรับบางคน แต่หลายคนก็ไม่ใช่นะครับ iPhone เองก็ยังมีบางอย่างที่ Android ไม่มี เรื่องระบบ push ใน iPhone ผมว่า Android เทียบไม่ได้ เรื่อง user experience เจ้าอื่นก็ทำไม่ได้แบบ google เพราะ iPhone เป็นระบบปิด ควบคุมทุกอย่างได้ หรือแม้กระทั้ง iTunes ซึ่งมันคือหัวใจเลยแหละครับ แต่ในทางกลับกัน คนที่ไม่ชอบพวกนี้ก็คือข้อเสียเหมือนกัน
เรื่อง iPod ยอดขายก็ยังเยอะอยู่นะครับ แค่มันไม่ได้ growth แบบในตอนแรก
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
หลายคนซื้อมาแต่ไม่เคย sync กับ itune เพราะทำไม่เป็น ใช้เพื่อโทร + โชว์ ได้สองอย่างนี้แหละผมว่าคนกลุ่มนี้เยอะมากๆเลยนะสำหรับเมืองไทยเรา นี่แหละถึงเรียกว่าแฟชั่น ส่วน android ตอนนี้เห็นแต่ท่านเทพเทวาทั้งหลายซื้อมาใช้กัน ผมอยากให้สาวๆแถวบ้านมี android มาใช้บ้างในเร็ววันก็เท่าันั้นเอง ถ้าผมโพสไปสะกิดใครก็ขอโทษด้วยแล้วกันนะครับ
คนประเภทที่ว่าก็มีจริงแหละครับ แต่คนพวกนี้จะไปใช้ยี่ห้ออะไร แบบไหนก็มักจะใช้ไม่ค่อยเกินโทรกับถ่ายรูปแหละครับ ไม่ค่อยได้ใช้ความสามารถอื่น และที่ใช้ OS อื่นๆ ที่เป็นแบบนี้ก็มีเหมือนกัน แม้แต่ Android เองผมก็เชื่อว่ามีคนที่ซื้อตามเพื่อนบอกว่าดี และไม่ค่อยได้ใช้เหมือนกัน
แต่จากยอด download app, ยอด traffic internet แล้ว ก็บอกได้เหมือนกันว่าไม่ใช่เยอะแค่คนประเภทที่คุณบอกครับ
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ผมเชื่อแล้วว่า แตะไม่ได้เลยของเค้าแรงจริงๆ
ผมคุยด้วยเหตุผลนะครับ
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
+1
สงสัยอ่ะครับ รบกวนชี้แนะด้วยนิดนึงครับ ว่า PUSH ของ iPhone เปรียบเทียบกับ Android แล้วเป็นยังไงบ้างครับ ส่วนตัวแล้วสนใจ Android แต่พอเห็นอันนี้แล้วชะงักเลยครับ
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
ก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นนะครับ สำหรับการ sync กับ Gmail account ทุกอย่าง
บางทีก็แทบจะทันที บางทีก็ประมาณ 10 นาที ที่เคยเจอนะครับ
ส่วนใหญ่เวลา add appointment ยาวๆ ผมมักจะทำบน google calendar (PC) แล้วเดี๋ยวมันก็ sync เข้ามือถือเอง ก็เร็วดีนะครับ
เหมือนกันเลย
แอดทุกอย่างบนหน้าเว็บกูเกิ้ล แล้วค่อย sync เอา
สะดวกกว่าพิมพ์จอเล็กๆมากมาย
push ที่ว่าจะเป็นเรื่อง app ของ 3rd party หน่ะครับ ของ Android พวก app จะต้องรันใน background และอัพเดตสถานะเอง เช่น facebook จะไม่ push แต่จะเป็นการไปดึงข้อมูลมาทุกกี่นาทีแล้วแต่ตั้ง หรือ msn ก็ต้องเปิด app ออนไลน์ค้างไว้ ซึ่งฝั่ง iPhone พวก msn จะเป็นการ online ที่ server ของเจ้าของ App และถ้ามีข้อความมา ค่อย push ผ่าน server apple เข้ามา ทุกอย่างจะผ่าน server apple หมด ฝั่ง iPhone ก็เช็คแค่จากที่เดียว และไม่ต้องเปิดโปรแกรมให้ทำงานค้างไว้ ผลคือประหยัดแบตกว่า และใช้ data น้อยกว่า แต่ข้อเสียคือเวลาจะเปิด app ดูจะเสียเวลาโหลด app นานเพราะเหมือนเปิด app ใหม่ (แต่ปัญหานี้จะหมดไปสำหรับ 3GS ใน OS 4.0) ส่วนของ Android ขึ้นกับ app ที่เราเปิดค้างไว้ ถ้า app เขียนมาไม่ดีก็อาจสูบแบต สูบดาต้าได้ แต่ iPhone ห่วยกว่ามากเรื่อง notification ที่มีแจ้งเฉพาะข้อความสุดท้าย
ส่วนเรื่อง push mail ถ้าเป็น gmail ไม่ค่อยต่างกันครับ แต่ของผม iPhone ได้ก่อนนิดนึงตลอดนะ (ไม่กี่วิ) ตอนที่ลองใช้คู่กัน 2 สัปดาห์ (ทั้งต่อเน็ตด้วย wifi และ edge)
ปัจจุบันเลือก iPhone เพราะชินมือกว่า และติดการจัดการเพลงของ iTunes และบาง app ก็ซื้อไว้แล้ว
ปล. เขียนยาวหน่อยเพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
สำหรับ Android notification มันคือการ pull หรือ polling ไม่ push ผมว่าด้าน push คงต้องยกให้ BlackBerry
ผมเชื่ออยู่เสมอว่า iPhone ติดตลาดกับคนหมู่มากได้เพราะความเป็นแฟชั่น (เครื่องสวย ฟีเจอร์แนว ใช้ง่าย ติดกระแส) ซึ่ง android ดูยังจะแพ้ตรงนี้
แต่ผมเชื่อว่า htc ก็ตั้งใจที่จะมาตีตลาดตรงนี้ เรียกได้ว่ามือถือรุ่นหลังๆ ทุกรุ่นของ htc ดูจะเป็นแฟชั่นโฟนมากขึ้น เน้นดีไซน์ แถมโปรโมทเข้าถึงคนทั่วไปยิ่งขึ้น จุดอ่อนเรื่อง UI ก็แก้ด้วย Sense ของตนเองทำให้ใช้ง่ายเหมือนโทรศัพท์ทั่วไป รอดูครับผมว่า htc เนี่ยล่ะตัวจริง
ตอนนี้ผมอยากได้ legend ชะมัด โครตสวยเลย รอราคาลงอีกนิด
เห็นเช่นเดี่ยวกัน ถ้าแก้ UI ให้สวยๆ ก็จะตีตลาดได้ และผมก็อยากได้ legend เหมือนกัน
นอกจากแก้เรื่อง UI แล้ว ต้องแก้เรื่องระบบทัชด้วยครับ
จับปุ๊บก็รู้ปั๊บแล้วว่าการใช้งานเครื่องไหนมันลื่นไหลตามนิ้วได้มากกว่า
แล้วกูเกิลเป็นประเทศอะไรดี อเมริกาป่ะ เสรีภาพ
แต่อยากครองโลกXDบะ บะ บะ บวก หนึ่ง
^^
+11
บะบะบะบวกยี่สิบ (เลียนแบบข้างบน)
แซงอะชัวร์อยู่แล้วเพราะตอนนี้ มือถือ Android ราคาไม่ถึงหมื่นก็วางขายหลายรุ่นแล้ว
มันมีผู้ผลิตหลายเจ้า มีหลายรุ่น มันก็ต้องมีผู้ใช้มากกว่าเป็นธรรมดาสิครับ ...
That is the way things are.
แซงสิครับ เล่นมันเกือบทุกตลาดเลย แอนดรอยมีทุกราคาตั้งแต่ 3พันถึง 2หมื่นกว่า
แต่พอเวอร์ชั่นหลังจาก 2.2 เป็นต้นไป ตลาดกลาง-ล่างก็คงน้อยลงรึเปล่าครับ เพราะ CPU ก็ต้องแรงขึ้นด้วย
แหม่ๆ - -
ก็มีตั้งแต่ราคาถูกตนถึงแพง ยังไงก็เข้าถึงผู้ใช้ได้มากกว่าอยู่แล้ว
คงแซงซักวัน
แย้งแบบสาวกหน่อย :D
@TonsTweetings
เรื่องปัญหาของ Nexus One ที่พูดถึงด้านบนนี่ มันเป็นเรื่องของ Hardware นะครับ (เรื่อง 3G มีคนสรุปกันว่า เป็นปัญหาทั้ง Hardware และ Software ที่ได้มีการ OTA ไปแล้วรอบนึงเป็นการแก้ด้าน Software ซึ่ง Hardware มันก็คงแก้ไม่ได้) นับว่าไม่เกี่ยวกับ Android ได้รึเปล่าครับ?
การ update ด้าน Software ให้ Nexus One จาก Google ยังมีอย่างต่อเนื่องนะครับ แต่ต้องยอมรับว่า มันไม่ได้ถึงมือผู้ใช้ทั่วที่รอ OTA Update ถ้าไปอ่านตาม Changelog ของ Custom ROM อย่าง Cyanogen จะพบว่า module หลายตัว ได้รับความช่วยเหลือจากพนักงานของ Google นะครับ
Nexus One มันก็คือตัวชูโรง Android นั่นล่ะครับ พูดโดยรวมก็ได้อยู่ดี มันก็เหมือน iPhone ที่เป็นตัวชูโรง iPhone OS แม้ว่า iPhone OS มันจะโผล่ในหลาย ๆ อย่างตั้งแต่ iPad ยัน iPod touch
แต่ถ้าเป็นที่ Hardware ก็คงต้องด่ากันไป device by device แล้วจริง ๆ เพราะแต่ละตัวนี่มันต่างกันมากพอสมควร แต่ถ้าพูดแค่ Nexus One นี่ update ยังมาแค่สองตัวเองนี่ครับ?
@TonsTweetings
OTA เข้าใจว่ามีแค่ตัวเดียวเองนะครับ
Edit: ส่วนตัวแล้วผมรู้สึกว่า Nexus One ดีกว่า ตัวอื่นเพียงแค่ว่า มันออกมาก่อนครับ เพราะข้างในแล้วมันไม่มีอะไรเลย เป็น 2.1(r1) เปล่าๆ จะบอกว่าเป็นตัวชูโรง ผมว่าในสายตาของผู้ใช้ทั่วไป คงไม่ใช่รึเปล่าครับ? จากยอดขายที่เรี่ยติดดิน ฮ่าๆ
เรียกว่า เป็นเครื่องทดสอบ ROM ดีกว่าครับ (:
เห็นด้วยทุกประการกับคุณ toandthen
+1
แฟนพันธุ์แท้สตีฟจ็อบส์ | MacThai.com
ขอแย้งเรื่อง business dependency ละกัน
android เป็น open source นะครับ ไม่ใช่ว่าวันไหน google เลิก support android แล้ว brand นั้น จะตายเลยซะหน่อย เค้าก็ไปทำต่อเองได้
ใครมีตังเท่าไหร่ก็ซื้อตามกำลังเงินตัวเอง จบ
เบื่อดราม่า
แรงได้อีก....
ผมไม่รู้ ผมรู้แต่ผมคงไม่มีวันลาจาก Android ละ เพราะสามารถแก้ใขได้ทุกอย่างของระบบ แม้กระทั่ง Kernel
สรุปผมโครตชอบ Android เลย อยากได้อะไรเพิ่มเติม แก้ src คอมไพล์ใหม่
แรง
แต่ในเมกา ตัวเลขผู้ใช้ Android ก็แซง iPhone ไปแล้วนะ(จากข้อมูลของ admob)
นอกจากชาวไอทีอย่างพวกเรา ก็ยังมีคนอื่นๆที่เขาตัดสินใจซื้อ android/iphone อยู่ เร็วๆนี้ก็มีเพื่อนสองคนมาถามว่าซื้อมือถืออะไรดี เราก็บอกง่ายๆว่าเอาใช้ง่าย ใช้ดี ก็ iPhone ไป ทั้งสองคน(ซึ่งไม่รู้จักกัน) บอกเหมือนกันว่าไม่อยากได้ มันดูแฟชั่น ใช้แล้วเหมือนตามกระแส สรุปแล้วคนนึงไปซื้อ WinMo(HTC) อีกคนนึงไปซื้อ Milestone กลายเป็นว่า แฟชั่นก็เป็นดาบสองคมเหมือนกันแฮะ
เห็นด้วยอย่างยิ่ง
อีกนานครับ
เหตุผลง่ายๆ
ของเล่นของกูเกิล มัน Geek เกินครับ
We proud to be geek!
Shut up and ヽ༼ຈل͜ຈ༽ノ raise your dongers ヽ༼ຈل͜ຈ༽ノ
มันจะมาแบบเนิบๆ แล้วค่อยครองโลก วะฮะฮะ
ไม่พูดถึงระดับโลกละกันเพราะไม่รู้ แต่ประเทศไทยนี่ผมว่าคนรู้จักแอนดรอยด์น้อยมากนะ
หลายคนยังเต็มใจที่จะซื้อโนเกียเครื่องละหมื่นกว่า ที่ผมไม่เห็นว่ามันจะทำอะไรได้เลย นอกจากถ่ายรูปสวย
กั๊ก 2.1 ให้ Nexus One ออกเป็นตัวแรก
แบบนี้เรียกเสรีหรอครับ
Nexus One เป็นต้นแบบที่ควรจะเป็นไงคับ
จริงๆ ถ้าถามผม ผมชอบแอปเปิลในมุมของความ "แน่น" ของ user experience นะครับ ตั้งแต่ผมเปลี่ยนมาใช้ Mac OS X ผมก็รู้สึกว่าอะไรๆ มัน hassle free กว่าสมัยใช้วินโดวส์มากมาย จริงๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า windows 7 เป็นไงบ้างแล้ว (อาจจะดีกว่าแล้วก็ได้ ตอนนี้เอาเข้าจริงๆ ก็ตัดสินใจอยู่ว่าโน๊ตบุ๊คเครื่องใหม่จะซื้อ PC มั้ย) ซึ่งในขณะเดียวกับ iPod และ iPhone ผมก็รู้สึกว่า feature มัน limited แต่ทุก feature ที่มันมีมันแน่นมากถ้าเทียบกับสมัยผมใช้มือถืออื่นๆ ก็ไม่ปฏิเสธว่าใช้แล้วมันก็ต้องมีปัญหาติดขัดบ้าง ผมอาจจะโชคดีด้วยแหละไม่เจอเคสใหญ่ๆ (แบบที่เคยเห็นคนบ่นเรื่อง sync iPod มีปัญหาลงอะไรหลายรอบสักอย่าง หรือก็ยังไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรมากมายกับความอ้วนของ iTunes) เลยทำให้รู้สึกประสบการณ์โดยรวมของแอปเปิลยังดีอยู่
ใจจริงตอนนี้อยากใช้ Vaio Z กับ Mac OS X ก็ต้องยอมรับว่าเป็นข้อจำกัดจริงๆ ของการใช้ Mac OS X ที่ทำให้ทางเลือกของ HW น้อยลงสุดๆ
ผมเองออกจะขัดหูขัดตาสักหน่อยเวลาใครกล่าวหาแอปเปิลในลักษณะนี้ (เช่นเดียวกับขัดหูขัดตาเวลาแอปเปิล/สาวกแอปเปิลไปว่าอะไรคนอื่น) ผมมองว่าเรื่องแบบนี้เป็นจุดยืนของแต่ละฝ่าย กูเกิลเองก็มีจุดยืนของตัวเองที่แตกต่างกับแอปเปิล แต่ละจุดยืนมันก็มีข้อดีข้อเสียที่เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมตามแต่ละสถานการณ์ ผมคิดว่าการที่ตลาดมีผลิตภัณฑ์จากค่ายที่มีจุดยืนหลากหลายกันแบบนี้ต่างหากที่ทำให้เราเกิดทางเลือกที่หลากหลาย บางคนอาจชอบผจญภัยอย่างอิสระเสี่ยงตาย หรือบางคนอาจจะอยากเป็นนกน้อยในกรงทอง มันก็เรื่องของแต่ละคน สาดน้ำลายใส่กันมันก็มีแต่ทำให้ป่วยจิตกันเปล่าๆ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องหาข้อตกลงกันให้ได้แบบการเมืองสักหน่อย สุดท้ายอะไรที่โลกไม่ชอบ โลกรู้สึกว่าไม่ดี มันก็จะหายไปเองในที่สุด
ปล. แต่โดยส่วนตัวก็จะเฉยๆ กับการ discredit กันเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ เพราะเป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ที่ทำเพราะอะไร แต่ user เถียงกันนี่ไม่เข้าใจจริงๆ เหมือนจะเถียงว่าผัดไทกับราดหน้าอะไรอร่อยกว่ากัน ถ้าไม่ใช่ว่ายังมีคนชอบกินทั้งสองอย่างอยู่มากพอ มันคงไม่มีให้ซื้อกินทั้งสองอย่างจนทุกวันนี้หรอก
ผมขอเห็นแย้งด้วยกรณีตัวอย่างนะครับ
IE
เป็นเคสที่สุดโต่งมาก ที่การรักษาจุดยืนของผู้ที่กุมความได้เปรียบในตลาด และมีฐานผู้ใช้จำนวนมาก ทำให้มาตรฐานสียหาย
การต่อยอดนวัตกรรม การคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆในช่วงนั้นยากลำบากโดยใช่เหตุ และความคุ้นชินจะทำให้ผู้ใช้ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง(ยิ่ง User Experience ดี ความคุ้นชินยิ่งมาก) แล้วยังมีผลต่อเนื่องหลังจากประกาศทิ้งไปหามาตรฐาน เพราะต้องซัพพอร์ทผู้ใช้ที่ยังไม่พร้อมเปลี่ยน
เหตุเพียงเพราะบางบริษัท พยายามรักษาจุดยืนที่ไม่เข้ากันกับสิ่งที่เป็นมาตรฐาน
ผมเห็นว่า Apple (และ Adobe ที่ผมชอบบ่นเรื่องแฟลช) กำลังจะเข้าสู่วงจรนี้เหมือนกัน
เรื่องการรักษาจุดยืนในตลาด ทั้ง Apple และ Adobe มีความชัดเจน
กับผลิตภัณฑ์ที่มีผู้ใช้ในวงกว้างของแต่ละค่าย และทั้งสองไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกัน
ทำอย่างไรที่จะแสวงหาจุดร่วม เช่นผลักดัน Flash บน OSX (กรณีของ"Gala")
หรือจะสงวนจุดต่าง การที่ Apple ไม่ยอมเรื่อง Flash บน iPhone OS
ซึ่ง Apple และ Adobe คิดไม่เหมือนกัน เรื่องการซัพพอร์ทผู้ใช้ที่ยังไม่พร้อมเปลี่ยนไปสู่สิ่งใหม่ๆ
Apple เป็นบริษัทที่เปลี่ยนแปลงล้ำสมัย มีความคล่องตัวในการผลักดันเทคโนโลยี
เพราะผู้ใช้ต้องปรับตัวตามสิ่งที่ Apple เสนอและ Apple คิดว่ามันเหมาะสมกับการใช้งาน
ในสายตาของหลายๆคน อาจจะบอกว่าทำไมจึงต้องสร้างจุดยืนที่ไม่เข้ากันกับชาวบ้าน
แต่สิ่งนั้นคือการสร้างความแตกต่าง และทำให้ Apple แปลกแยกจนถึงทุกวันนี้
แบบว่ารักพี่เสียดายน้อง ซื้อ iPhone มาลง Android ละกัน