John Sculley คือใคร?

เขาคือคนที่สตีฟ จ็อบส์ ชวนมาทำงานด้วยประโยคอมตะว่า "คุณอยากจะขายน้ำอัดลมต่อไป หรือจะมาเปลี่ยนโลกกับผม" และเขาเข้ามารับตำแหน่งซีอีโอของแอปเปิลในปี 1983

สองปีหลังจากนั้น John Sculley ขัดแย้งกับจ็อบส์ จนเป็นผลให้บอร์ดแอปเปิลปลดจ็อบส์จากตำแหน่งสำคัญทุกตำแหน่งในปี 1985 (ไม่ได้ไล่ออกแต่ในทางปฏิบัติก็ใกล้เคียง)

Sculley อยู่กับแอปเปิลถึงปี 1993 และตอนนี้เขายังมีบทบาทอยู่บ้างในโลกไอที ล่าสุดเขาไปพูดที่ลอนดอน และมีเนื้อหาเกี่ยวกับแอปเปิล จ็อบส์ และบิล เกตส์

ช่วงนี้แอปเปิลยิงโฆษณา iPad 2 ต่อเนื่อง เมื่อเดือนที่แล้วก็ได้ปล่อย "If you ask..." โดยเจาะกลุ่มผู้ใช้แต่ละอาชีพ มาคร่าวนี้เน้นไปทีไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ทั้งอ่านข่าวแบบมีภาพเคลื่อนไหว ดูหนัง วีดีโอคอล เรียนนอกสถานที่ อ่านหนังสือ ดูภาพทางดาราศาสตร์

ตัวโฆษณาดูได้ท้ายข่าวครับ

ที่มา - MacRumors

เว็บ Patently Apple ได้ออกรายงานถึงรายละเอียดสิทธิบัตรของแอปเปิลเกี่ยวกับการเพิ่มเติมความสามารถให้กับ Find My iPhone โดย Find My iPhone ที่ว่านี้จะเพิ่มการควบคุมให้กับผู้ใช้ที่ไม่ได้มีไอโฟนอยู่กับตัว โดยความสามารถใหม่ที่น่าสนใจได้แก่

การตรวจสอบการใช้งานที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งจะทำงานเมื่อมีคนป้อน Passcode ผิดพลาดเกินจำนวนครั้งที่กำหนดไว้ เมื่อทำงาน ไอโฟนจะเริ่มทำการบันทึกภาพ วีดีโอ เสียง และตำแหน่งของเครื่องแล้วส่งกลับไปยังผู้ใช้ตัวจริงได้ เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะระบุบุคคลที่นำไอโฟนเครื่องนั้นไป

The Wall Street Journal ได้จัดทำรายงานพิเศษเผยถึงปัจจัยหนึ่งแห่งความสำเร็จของแอปเปิลช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นั่นคือร้านค้า Apple Store ซึ่งหากจะว่าไปแล้ว แนวคิดของการสร้างร้านค้าปลีกในอาคารแล้วให้ลูกค้าเข้าไปเดินเลือกซื้อสินค้าของแอปเปิลนั้น ก็ออกจะขัดกับภาพลักษณ์ความทันสมัยของสินค้าของแอปเปิลอยู่เหมือนกัน โดย WSJ ได้เก็บข้อมูลของร้านค้า Apple Store ทั้งจากคู่มือฝึกอบรม และการสัมภาษณ์พนักงานทั้งอดีตและปัจจุบันของร้าน จึงพบว่าแอปเปิลได้ออกแบบและจัดการรายละเอียดต่างๆ เอาไว้ในน่าสนใจทีเดียว

เรื่องของคน

iPad รุ่นหน้ามีความเป็นไปได้ว่าจะใช้จอความละเอียดสูง (ต้นฉบับระบุ Retina Display) เมื่อมีผู้ไปค้นพบภาพความละเอียด 2048x1536 พิกเซล (ซึ่งมีจำนวนพิกเซลเป็น 4 เท่าของ iPad 2 ที่มีจอความละเอียด 1024x768 หรือพูดอีกอย่างคือเพิ่มความละเอียดอีกด้านละ 2 เท่า) ใน iOS 5 SDK ในส่วนของเฟรมเวิร์คของ Twitter และในภาพพื้นไม้ในแอพ Newsstand

นอกจากนั้น ชื่อของไฟล์ภาพทั้งสองแห่งดังกล่าวยังเพิ่มคำว่า "@2x" ต่อท้ายอีกด้วยครับ ส่วนหลักฐานดูภาพได้ที่ท้ายข่าวครับ

ที่มา: 9to5Mac

ภาพแรกแสดงชื่อไฟล์ที่มาพร้อมกับ "@2x" ต่อท้าย

ในงาน WWDC 2011 แอปเปิลไม่ได้พูดถึงฮาร์ดแวร์สายแมคอินทอชของตัวเองเลย ทำให้คนที่รอซื้อแมครุ่นใหม่ๆ ยังต้องรอกันต่อไป

แต่ข่าวล่าสุดจากหนังสือพิมพ์ Economic Daily ของไต้หวันรายงานข้อมูลวงในผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ว่า MacBook Air รุ่นใหม่น่าจะออกขายช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ ของล็อตแรกจะผลิตได้ 460,000 ตัว ในข่าวไม่ได้บอกว่าจะมีอะไรใหม่บ้าง แต่คาดกันว่าเบื้องต้นคงเป็นซีพียู Core "Sandy Bridge" รุ่นใหม่ของอินเทลนั่นเอง

นอกจากนี้ Economic Daily ยังรายงานข่าวลือที่เคยออกมาก่อนหน้านี้ว่าปี 2011 เราจะได้เห็น iPad สองรุ่น ซึ่งตามข่าวลือบอกว่า iPad 3 จะออกไตรมาสที่สี่ และมีความละเอียดของหน้าจอสูงกว่า iPad 2 ประมาณ 5-6 เท่าด้วย

Bluewater Production บริษัทเดียวกับที่เคยผลิตการ์ตูน Mark Zuckerberg มาแล้วเมื่อปีก่อน กำลังจะมีการ์ตูนเล่มใหม่ซึ่งเป็นชีวประวัติของสตีฟ จ็อบส์ โดยใช้ชื่อว่า "Steve Jobs: Co-Founder of Apple" เนื้อหาจะพูดถึงประวัติของสตีฟ จ็อบส์ตั้งแต่เกิด เข้าโรงเรียน ช่วงก่อตั้งบริษัทแอปเปิล จนถึงยุคปัจจุบัน โดยมีตัวละครที่เกี่ยวข้องอย่าง Steve Wozniak หรือ Bill Gates

การ์ตูนเล่มนี้มีความยาวทั้งหมด 32 หน้า วาดโดย Chris Schmidt และ Joe Phillips ซึ่งเคยทำงานที่ DC Comic มาก่อน กำหนดวางจำหน่ายเดือนกันยายนนี้ ราคา $3.99

ที่มา - PC World

FOSS Patents รายงานว่าแอปเปิลได้ตอบโต้ซัมซุงกรณีที่ซัมซุงได้ขออนุญาตศาลในการขอดูสินค้าที่ยังไม่ถูกเปิดตัวของแอปเปิล iPhone 5 และ iPad 3 ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการจงใจที่จะก่อกวนและไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง และการร้องขอดูสินค้าที่ยังไม่เปิดตัวแอปเปิลนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการที่แอปเปิลฟ้องซัมซุงในตอนแรกแต่อย่างใด

ส่วนเรื่องความคืบหน้าของการต่อสู้ระหว่างซัมซุงกับแอปเปิลในครั้งนี้ ทางศาลได้ให้เวลาซัมซุงถึงวันศุกร์นี้ในการผลิตอุปกรณ์ตัวอย่างที่ซัมซุงยังไม่ได้เปิดเผยให้กับแอปเปิล (สินค้าตระกูล Galaxy รุ่นต่อไปนั่นเอง) โดยหลังจากนั้นแอปเปิลสามารถที่จะตัดสินใจว่าจะดำเนินคดีต่อไปกับซัมซุงอีกหรือไม่ หากแอปเปิลชนะคดีดังกล่าว ซัมซุงอาจจะไม่สามารถขายอุปกรณ์ดังกล่าวได้อีก

ดูเหมือนว่าแอปเปิลไม่ได้แค่จ่ายค่าตอบแทนให้กับโนเกียเพื่อที่จะเป็นผู้ใช้เทคโนโลยีของโนเกียอย่างถูกต้องตามกฎหมายอย่างเดียวเสียแล้ว เพราะจากรายงานล่าสุดของ New York Times นอกเหนือจากการจ่ายค่าตอบแทนให้กับโนเกียแล้ว แอปเปิลยังได้ตกลงกับโนเกียในการทำ Cross-licensing หรือการอนุญาตให้อีกฝ่ายนำเทคโนโลยีตามสิทธิบัตรของตนไปใช้ได้อย่างถูกต้อง

ในรายงานยังบอกอีกว่าผู้ผลิตมือถือ Android ทั้งหลายอาจจะตกเป็นเป้าของการฟ้องร้องจากโนเกีย โดยจากรายงานของ FOSS Patents นั้น Android มีส่วนหลายส่วนที่คล้ายคลึงกับ iOS อย่างมาก เพราะฉะนั้นแล้วทุกปัญหาเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิบัตรที่แอปเปิลเจอ ผู้ผลิต Android ก็น่าจะเจอเช่นกัน

ในที่สุดแอปเปิลก็เริ่มขาย iPhone 4 แบบที่ไม่ติดสัญญาและไม่ผูกติดกับเครือข่าย (ปลดล็อค) ในสหรัฐอเมริกาแล้ว ที่ราคา 649 ดอลลาร์สหรัฐ​ (ประมาณ 19,800 บาท) สำหรับรุ่น 16GB และราคา 749 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 22,800 บาท) สำหรับรุ่น 32GB

สำหรับเราคนไทยคงไม่ต้องอธิบายกันมากว่า "ปลดล็อคแล้ว" หมายความว่าอย่างไร ส่วนราคาดังกล่าวเป็นราคาก่อนภาษี หากแปลงเป็นเงินไทยแล้วก็จะมีราคาถูกกว่าที่ขายในเมืองไทยปัจจุบันครับ

ที่มา - 9to5Mac

ข่าวนี้อาจจะเป็นสิ่งที่บอกกับแอปเปิลว่าทำไม iCloud อาจจะเป็นที่ต้องการจริง ๆ โดยจากรายงานของ David Chartier อดีตผู้ช่วย บก.​ ของ MacWorld กว่า 50% ของไอโฟนที่ลูกค้านำมาให้ Genius Bar ในร้านค้าของแอปเปิลซ่อมนั้นไม่เคยถูกแบคอัพหรือซิงค์กับคอมพิวเตอร์มาก่อนเลย

ในรายงานบอกว่าผู้ที่ไม่ซิงค์ไอโฟนกับคอมพิวเตอร์หลังจากการ Activate ครั้งแรก มักจะมีปัญหาเมื่อข้อมูลบนไอโฟนนั้นหายไป แม้ว่าลูกค้าเหล่านี้สามารถที่จะกู้แอพต่าง ๆ กลับมาได้ด้วยการดาวน์โหลดใหม่ แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้ผูกไอโฟนไว้กับบริการอย่าง MobileMe หรือ Gmail จะไม่สามารถกู้ข้อมูลสมุดโทรศัพท์ในเครื่องได้เลย

โนเกียได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าปัญหาการขัดแย้งกันระหว่างแอปเปิลกับบริษัทกรณีที่แอปเปิลได้ละเมิดสิทธิบัตรเทคโนโลยีมือถือหลายฉบับได้จบลงแล้ว โดยการที่แอปเปิลได้ตกลงที่จะจ่ายค่าตอบแทน (Royalty Fee) ให้กับโนเกีย

สำหรับการจ่ายค่าตอบแทนให้กับโนเกียในครั้งนี้ เป็นการจ่ายเพียงครั้งเดียวสำหรับสินค้าทุกอย่างที่ละเมิดสิทธิบัตรของโนเกียจนถึงวันนี้ และหลังจากนั้นแอปเปิลจะต้องจ่ายค่าตอบแทนนี้ให้กับโนเกียต่อไปเรื่อย ๆ ในฐานะผู้ถือไลเซ่นส์สิทธิบัตรของโนเกีย ซึ่งจะได้รับสิทธิในการผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีตามสิทธิบัตรของโนเกียอย่างถูกต้องต่อไป

ใครที่อยากใช้บริการ iCloud บนวินโดวส์และยังใช้ Windows XP และ/หรือ Office 2003 อยู่คงต้องเตรียมอัพเกรดซะแล้ว เพราะแอปเปิลได้ระบุใน press release ถึงความต้องการขั้นต่ำในการรันโปรแกรม iCloud บนแพลตฟอร์มวินโดวส์ว่าต้องการ Windows Vista หรือ Windows 7 ส่วนชุดออฟฟิศนั้นก็ต้องการ Outlook 2007 หรือ Outlook 2010 ในการเรียกดูข้อมูลรายชื่อผู้ติดต่อและปฏิทิน

ดูเหมือนนโยบายสนับสนุนความเข้ากันได้แบบย้อนกลับ (backwards compatibility) ของแอปเปิลจะเปลี่ยนไป เนื่องจากโปรแกรมตัวอื่นอย่าง iTunes 10.3 และ MobileMe ยังสามารถใช้งานบน Windows XP SP2 ได้ แต่ iCloud กลับไม่สามารถใช้งานบน Windows XP ได้แล้ว

ไม่ว่า Apple จะทำอะไรเป็นอันต้องโดนขัดอยู่ตลอด ล่าสุด iCloud Communications ก็ประกาศยื่นฟ้อง Apple เนื่องด้วยชื่อ iCloud ที่เป็นบริการใหม่ของ Apple นั้น ไปซ้ำกันกับ iCloud ที่เป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับระบบการสื่อสารโดยตรง โดยเอกสารที่ทาง iCloud ยื่นฟ้องไปนั้น คือต้องการให้ Apple ประกาศยุติการให้บริการ iCloud ลงทั้งหมด และทำการทำลายสัญลักษณ์หรือสิ่งอื่นใดที่เกี่ยวข้อง

งานนี้ท่าจะยาว เพราะ Apple เอง ก็หมดเม็ดเงินไปกว่า 4.5 ล้านดอลลาร์เพื่อให้ได้โดเมน iCloud.com มาครอง ก็คงจะจบเรื่องไม่ได้ง่ายๆ อย่างกรณีซัมซุง งานของเราๆ ก็ดูกันต่อไปครับว่าจะจบด้วยดีหรือว่าอย่างไร ว่าแต่ว่าป๊อปคอร์นพร้อมหรือยัง

นักพัฒนาชื่อ WillFour20 ได้ทดลองเขียน Widget ให้กับ Notification Center บน iOS 5 ได้แล้ว แม้ว่าแอปเปิลเองยังไม่ได้ปล่อย API ที่นักพัฒนาทั่วไปเข้าถึงได้ โดยทั้งหมดนี้สามารถทำได้โดยที่ไม่ต้องการ SDK ของแอปเปิลแต่อย่างใด

Chronic นักพัฒนาโปรแกรมเจลเบรคอีกรายยังได้เผยรายละเอียดอีกว่า สิ่งที่นักพัฒนาต้องทำก็คือการสร้าง "custom view interface" และก็คอมไพล์ออกมาให้เป็น plug-in ของ bulletinboard ซึ่งเป็นโค้ดเนมภายในที่แอปเปิลใช้เรียก Notification Center นั่นเอง

ในขณะนี้มีเพียงแค่ Widget ของแอพ Weather กับ Stocks ของแอปเปิลเองเท่านั้นที่แอปเปิลได้ติดตั้งมาพร้อมกับ iOS 5 แต่มีความเป็นไปได้สูงเหมือนกันที่แอปเปิลจะเปิด API ให้นักพัฒนาเข้าถึงส่วนนี้ได้ในอนาคต

ฟีเจอร์ Wi-Fi Sync ของ iOS 5 นั้น โดยหน้าที่หลักแล้วจะทำการเชื่อมต่อกับ iTunes บนเครื่องแมคหรือพีซีเพื่อซิงค์หรือแบ็คอัพข้อมูล (เช่น หนัง โชว์ทีวี หรือภาพถ่าย) ผ่านการเชื่อมต่อไร้สายแบบ Wi-Fi

แต่เรื่องของเรื่องก็คือ ฟีเจอร์นี้ดันมีหลักการทำงานแบบเดียวกับแอพ Wi-Fi Sync (ชื่อเหมือนกันอีกต่างหาก) ของนักพัฒนาแอพ iOS ชื่อ Greg Hughes

เล่าประวัตินิดนึงว่า แอพนี้ของ Greg Hughes เคยถูกส่งไปให้ App Store ของแอปเปิลเมื่อเดือนเมษายน 2010 และหนึ่งเดือนหลังจากนั้นมันก็ถูกถอดออกไปด้วยสาเหตุที่เขาได้รับแจ้งทางอีเมลว่ายังมีปัญหาเรื่องความปลอดภัย

ถึงแม้แอปเปิลจะยังปล่อยอัพเกรด iOS 5 ให้ iPhone 3GS แต่เมื่อมีการทดลองติดตั้ง iOS 5 บน iPhone 3GS และใช้งานก็พบว่ามีบางฟังก์ชันได้หายไป โดยฟังก์ชันใหม่อย่าง การรวมทวิตเตอร์เข้ากับระบบปฏิบัติการ, การปรับปรุงการแจ้งเตือนผู้ใช้, Newsstand, การเพิ่มฟังก์ชันบน Safari (ดูข่าวเก่า) ยังมีให้ใช้งาน แต่ฟังก์ชันปรับแต่งรูปภาพกับ tab bar บน Safari นั่นกลับไม่ปรากฏบน iPhone 3GS

ข้อจำกัดทางด้านฟังก์ชันและคุณสมบัตินี้เคยเกิดขึ้นแล้วในตอนที่แอปเปิลปล่อย iOS 4 ให้ iPhone 3G และท้ายสุดแอปเปิลได้ตัดสินใจหยุดการสนับสนุน iPhone 3G เมื่อต้นปี (ไม่มีการอัพเดตตั้งแต่ iOS 4.2.1 เป็นต้นมา)

ที่งาน Open Mobile Summit นอกจากที่คุณ Stephen Elop ซีอีโอของโนเกียจะย้ำถึงความจำเป็นของบริษัทที่เลิกพัฒนาซิมเบียนแล้วไปเป็นพันธมิตรกับไมโครซอฟท์แล้ว เขายังกล่าวถึงแอนดรอยด์และแอปเปิล ดังนี้

"Apple created Android, or at least created the conditions necessary for Android to come into being"

ที่มา: Engadget

ใครที่ได้ดูงานแถลงข่าว WWDC 2011 คงจะเห็นฟีเจอร์ใหม่ๆ และเพิ่มเติมของ iOS 5 กันแล้ว
หลังจากงานนำเสนอจบลง เหล่านักพัฒนาก็สามารถดาวน์โหลด iOS 5 Beta มาได้เล่นทดลองก่อนใครและได้ค้นพบความสามารถต่างๆ ที่ซ่อนไว้ซึ่งไม่ได้ถูกกล่าวถึงในงานแถลงเลย

ความสามารถที่ถูกค้นพบเพิ่มเติม ทาง 9to5Mac ได้รายงานเป็นระยะๆ ซึ่งผมรวบรวมให้มีดังต่อไปนี้ครับ

งาน WWDC ของแอปเปิลในครั้งนี้ สำหรับนักพัฒนาโปรแกรมแล้ว สิ่งที่น่าสนใจมากไปกว่า OS X Lion หรือแม้แต่ iOS 5 ก็คือการเปิดตัว iCloud โดยเฉพาะนาทีที่สตีฟ จ็อบส์ประกาศว่าจะเปิด API สำหรับบริการ iCloud ให้กับนักพัฒนาโปรแกรมได้ใช้งานด้วย

มีเหตุผลอะไรที่แอปเปิลต้องสร้าง Data Center ที่ใหญ่โตขนาดนั้นเพียงเพื่อรองรับโปรแกรมเพียง 9 โปรแกรมที่จ็อบส์ประกาศออกไป นั่นเป็นเพราะแอปเปิลได้เปิดให้ทุกโปรแกรมที่ทำงานอยู่บนอุปกรณ์ iOS สามารถใช้งาน iCloud API ได้ทั้งหมด เราสามารถเขียนโปรแกรมให้ Sync ไฟล์ทั้งหมดได้เหมือนกับที่จ๊อปส์โชว์โปรแกรม Keynote เก็บเซฟของเกมส์ พอร์ตหุ้น รูปที่เพิ่งแต่งเสร็จ ไฟล์ทุกชนิดที่ใช้ในโปรแกรม ทั้งหมดสามารถที่จะไปเก็บไว้บน iCloud ได้นั่นเอง

หลังจากแอปเปิลเปิดตัว OS X Lion ในงาน WWDC โดยมีกำหนดวางจำหน่ายในเดือนกรกฎาคม ก็อาจทำให้ผู้ที่เล็งว่าจะซื้อเครื่องแมคหลายคนลังเล เพราะรออีกเดือนนึงแล้วค่อยซื้อแมคพร้อม Lion น่าจะดีกว่า

แอปเปิลออกมาแก้ปัญหานี้โดยเพิ่มโครงการ Mac OS X Lion Up-To-Date ซึ่งการันตีว่าผู้ที่ซื้อเครื่องแมคหลังวันที่ 6 มิถุนายนเป็นต้นไป จะได้อัพเกรดเป็น Lion ฟรีแน่นอน โดยลูกค้าจะต้องลงทะเบียนกับแอปเปิลภายใน 30 วันหลังซื้อเครื่องเพื่อรับสิทธินี้ด้วย

หลังจากที่แอปเปิลเปิดตัว iMessage ซึ่งเป็นระบบส่งข้อความหากันของ iOS ก็เกิดคำถามขึ้นทันทีว่านี่จะเป็นแพลตฟอร์มที่ทรงพลังพอจนทำให้ BlackBerry Messenger หรือที่เรียกกันว่า BBM ของค่าย RIM หมดความสามารถในการแข่งขันในตลาดจนดับสนิทไปเลยหรือไม่ ซึ่งนักวิเคราะห์จากหลายสำนักก็ออกมาให้ความเห็นกันดังนี้ครับ

ย้ำอีกรอบว่าข่าวนี้ยังไม่ยืนยันนะครับ

การเปิดตัวบริการ iCloud ของแอปเปิลเมื่อวันก่อน แสดงให้เห็นชัดเจนว่าแอปเปิลเอาจริงกับกลุ่มเมฆมาก ถึงขนาดว่าเปิดศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่เพื่องานนี้โดยเฉพาะ

แต่มีคนไปจับทราฟฟิกของ iCloud แล้วพบว่าทราฟฟิกบางส่วนของ iCloud ถูกส่งไปยัง Amazon S3 และ Microsoft Azure ซึ่งเป็นบริการจากบริษัทคู่แข่งของแอปเปิลทั้งคู่ (ถึงแม้จะไม่ใช่บริการคู่แข่งกันตรงๆ ก็ตาม)

ข่าวนี้ยังไม่ได้ยืนยันว่าจริงแค่ไหนอย่างไร (เว็บต้นเรื่องล่มไปแล้ว) แต่ถ้าเป็นจริงก็อาจมองโลกในแง่ดีว่า ศูนย์ข้อมูลของแอปเปิลยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี ระหว่างนี้ก็เช่าใช้ S3/Azure ไปพลางๆ ก่อน (แสดงให้เห็นพลังของกลุ่มเมฆชัดเจนมากขึ้น)

หลังจบการนำเสนอในงาน WWDC เมื่อวันก่อนสตีฟ จ็อบส์ในฐานะซีอีโอของแอปเปิลได้เดินทางไปยังสภาเมือง Cupertino ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่แอปเปิล เพื่อนำเสนอโครงการสร้างอาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของแอปเปิล (แอปเปิลแคมปัส)

หลังจากที่ iOS 5 เพิ่งจะเปิดตัว พร้อมกับปล่อยรุ่นสำหรับนักพัฒนาไปเมื่อวาน ก็ถูก Jailbreak ไปแล้ว

จากทวิตของ @MuscleNerd (iPhone Dev team) เครื่องที่ถูก Jailbreak คือ iPod touch รุ่นที่ 4 โดยใช้ limera1n และการบูตผ่านคอมพิวเตอร์ (tethered boot)

เขาได้แนบภาพจาก iPod ที่มีไอคอนของ Cydia มาในทวิตเพื่อเป็นหลักฐานด้วย (ดูภาพได้ในข่าว)

ที่มา - Geeky Gadgets จาก Engadget