สำนักข่าว Bloomberg รายงานพิเศษ เกี่ยวกับเทคโนโลยีการขนส่งสินค้าด้วยโดรน ซึ่งตอนนี้ประเทศจีนมีความล้ำหน้ากว่าประเทศอื่นมาก เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการทดสอบ
โดย JD.com อีคอมเมิร์ซรายใหญ่เบอร์สองของจีน ซึ่งที่ผ่านมาโฟกัสการพัฒนาเทคโนโลยีขนส่งสินค้าด้วยโดรนมาตลอด เผยว่าปัญหาใหญ่ในการขนส่งสินค้าของจีน คือการมีพื้นที่กว้างมาก และมีพื้นที่ห่างไกลหลายจุด ประเมินว่ามีประชากรจีนอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลแบบนี้กว่า 570 ล้านคน
JD.com อีคอมเมิร์ซเบอร์สองของจีน และกูเกิล ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ โดยกูเกิลจะลงทุนในหุ้นเพิ่มทุนของ JD.com ด้วยเงิน 550 ล้านดอลลาร์ (18,000 ล้านบาท) คิดเป็นจำนวนรวม 27.1 ล้านหุ้น ซึ่งความร่วมมือจากทั้งสองบริษัทนั้น มีทั้งการร่วมกันพัฒนาโซลูชันของธุรกิจค้าปลีกเน้นเจาะตลาดทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, อเมริกา และยุโรป ซึ่ง JD.com จะช่วยด้านขนส่งและซัพพลายเชน ส่วนกูเกิลจะเป็นด้านเทคโนโลยี
ในความร่วมมือนี้ JD.com ยังบอกว่าจะคัดเลือกสินค้าคุณภาพสูงหลายรายการ เพื่อจำหน่ายผ่านช่องทาง Google Shopping ในบางประเทศด้วย
JD.com อีคอมเมิร์ซเบอร์สองของจีน เปิดเผยว่าบริษัทได้สร้างศูนย์จัดการคำสั่งซื้อสินค้า (Fulfillment) แห่งใหม่ขึ้นที่เซี่ยงไฮ้ ที่สามารถรองรับคำสั่งซื้อถึง 2 แสนคำสั่งต่อวัน และที่น่าสนใจคือศูนย์จัดการสินค้านี้มีพนักงานเพียงแค่ 4 คน โดยทั้งหมดมีหน้าที่ควบคุมหุ่นยนต์ในศูนย์
ผู้บริหารของ JD.com กล่าวว่าการใช้ระบบอัตโนมัติทั้งหมดเช่นนี้ จะทำให้บริษัทเป็นอีคอมเมิร์ซรายแรกที่สามารถจัดส่งสินค้าได้ทั่วทั้งประเทศจีน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดภายในวันเดียวกับคำสั่งซื้อ (same day) บนเงื่อนไขว่าคำสั่งซื้อต้องเสร็จสิ้นก่อนเวลา 11 นาฬิกา
Tencent และ JD.com สองบริษัทอินเทอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ของจีนได้ลงทุนในธุรกิจทีวีของ LeEco ที่กำลังประสบปัญหาการเงิน โดย Tencent และ JD.com ลงทุนรายละ 300 ล้านหยวนหรือราว 1,500 ล้านบาท ซึ่งนอกจากสองเจ้านี้แล้วยังมี TCL และ Suning บริษัทผลิตอุปกรณ์ใช้งานในบ้านลงทุนในตัวเลขที่ใกล้ๆ กัน
LeEco ระบุในเอกสารที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์เสิ่นเจิ้นด้วยว่า เงินลงทุนครั้งนี้ช่วยต่อลมหายใจให้ธุรกิจได้มาก โดย JD.com ระบุว่าการลงทุนครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทขยายบริการ JD Smart Screen Alliance ที่ให้ผู้ใช้สามารถใข้งานและซื้อของผ่าน JD.com ได้ผ่านหน้าจอทีวีเลย ขณะที่ Tencent ปฏิเสธจะให้ความเห็นในการลงทุนนี้
JD.com อีคอมเมิร์ซเบอร์ 2 ของจีน รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2017 รายได้รวม 16,932 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 38.7% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 69.1 ล้านดอลลาร์ ซึ่งลดลงมาจากปีก่อนมาก สาเหตุจากค่าใช้จ่ายการตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น และบริษัทเพิ่มการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องหลายอย่าง
จำนวนบัญชีผู้ใช้งาน JD.com มีจำนวนเพิ่มขึ้น 29% เป็น 292.5 ล้านบัญชี
ซีอีโอ Richard Liu กล่าวถึงผลการดำเนินงานว่า JD.com ยังคงดำเนินงานตามวิสัยทัศน์ค้าปลีกที่ไร้พรมแดน ซึ่งเชื่อมต่อทุกช่องทางการจำหน่ายไปยังลูกค้าไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในจีน โดยใช้เทคโนโลยีสนับสนุนไม่ว่าจะเป็น AI, Big Data ยกระดับให้กับแพลตฟอร์มของ JD.com เพิ่มมูลค่าให้ทั้งกับลูกค้าและคู่ค้าธุรกิจ
JD.com อีคอมเมิร์ซรายใหญ่เบอร์สองของจีน ประกาศวันนี้ว่า JD Logistics หน่วยบริษัทในเครือที่ดูแลการจัดส่งสินค้าทั้งวงจร รับเงินลงทุนจากนักลงทุนภายนอกเป็นครั้งแรก มูลค่ารวม 2,500 ล้านดอลลาร์ โดย JD.com จะยังถือหุ้นอยู่ 81.4% ทำให้มูลค่ากิจการ JD Logistics อยู่ที่ 13,500 ล้านดอลลาร์
กลุ่มนักลงทุนในครั้งนี้ประกอบด้วย Hillhouse Capital, Sequoia China, China Merchants Group, Tencent, China Life, China Development Bank Capital FOF, China Structural Reform Fund และ ICBC International
JD.com อีคอมเมิร์ซรายใหญ่เบอร์สองในจีน ประกาศแผนธุรกิจเตรียมบุกอเมริกาภายในครึ่งหลังของปี 2018 นี้ นอกจากนี้ยังเตรียมเพิ่มความแข็งแกร่งของธุรกิจ Logistics โดยให้ Tencent เข้ามาถือหุ้น 15% ในบริษัทย่อยด้านนี้
Richard Liu ประธานของ JD.com กล่าวว่าเมื่อบริษัทตัดสินใจเดินหน้าสู่แผนงานใดแล้ว เงินลงทุนจะไม่มีจำกัดในสิ่งนั้น จนกว่าบริษัทจะบรรลุเป้าหมายได้ตามต้องการ ทั้งนี้ในอเมริกาปัจจุบัน JD.com ได้มีความร่วมมือกับร้านค้าปลีก Walmart อยู่ก่อนหน้าแล้ว โดยมีเป้าหมายคือสามารจัดส่งสินค้าภายในวันเดียวกัน (Same-Day) แบบที่ Amazon ทำได้
JD.com อีคอมเมิร์ซรายใหญ่เบอร์สองของจีน เริ่มรุกสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น โดยล่าสุดได้ประกาศเข้าลงทุนซีรี่ส์ C ใน Tiki อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของเวียดนาม ด้วยมูลค่าที่ไม่เปิดเผย แต่ JD.com บอกว่าจะทำให้บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Tiki
ปัจจุบัน JD.com มีการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่แล้ว โดยมีอีคอมเมิร์ซอยู่ในอินโดนีเซีย และเป็นพาร์ทเนอร์กับกลุ่มเซ็นทรัลในประเทศไทย
ทั้งสองบริษัทจะร่วมมือกันทั้งเรื่องการบริการจัดการประสบการณ์ลูกค้า, การจัดซื้อ, การขนส่ง ตลอดจนเทคโนโลยีต่างๆ
เราเห็นการบุกสู่โลกร้านค้าปลีกออฟไลน์จากยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซหลายราย ทั้ง Alibaba และ Amazon คราวนี้เป็นของ JD.com อีคอมเมิร์ซเบอร์สองคู่แข่ง Alibaba ในจีน โดยเปิดตัวซูเปอร์มาร์เก็ตไฮเทคชื่อ 7Fresh ในปักกิ่ง
Xiaosong Wang ซีอีโอของ 7Fresh และกลุ่มธุรกิจอาหารสดของ JD.com บอกว่าจุดขายของ 7Fresh คือการจำหน่ายสินค้าระดับพรีเมี่ยมคุณภาพสูง (แฮมจากสเปน, อาหารทะเลจากญี่ปุ่น เป็นต้น) รวมทั้งผสานการจัดการออฟไลน์-ออนไลน์ แบบที่ลูกค้าในจีนไม่เคยเจอมาก่อน ตัวอย่างความล้ำที่ 7Fresh พูดถึง อาทิ
Tencent บริษัทอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ของจีน เดินเกมเข้าสู่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซมากขึ้น โดยล่าสุดได้ประกาศร่วมมือกับ JD.com อีคอมเมิร์ซเบอร์สองของจีน ซึ่ง Tencent เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อยู่แล้ว เพื่อเข้าซื้อหุ้นใหม่ของ Vipshop มูลค่ารวม 863 ล้านดอลลาร์ โดย Tencent จะลงทุน 604 ล้านดอลลาร์ และ JD.com ลงทุน 259 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าราคาหุ้นปัจจุบันของ Vipshop 55%
Vipshop เป็นเว็บไซต์จำหน่ายสินค้าออนไลน์ของจีน ซึ่งมีจุดแข็งคือการทำโปรโมชัน Flash Sale และการจำหน่ายสินค้าในกลุ่มแฟชั่น และเครื่องแต่งกาย ซึ่งการที่ทั้ง Tencent และ JD.com เข้ามาร่วมถือหุ้น จะทำให้ระบบจ่ายเงิน WeChat และระบบจัดส่งสินค้าของ JD.com เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งและขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น
JD.com อีคอมเมิร์ซอันดับ 2 ของจีน รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2017 มีรายได้รวม 12,587 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 39.2% จากช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว และมีกำไรสุทธิ 147 ล้านดอลลาร์
Richard Liu ซีอีโอ JD.com กล่าวว่าเรายังเดินหน้าสู่เป้าหมาย นำสินค้าที่มีความหลากหลายมากที่สุดส่งมอบให้กับลูกค้าในจีน และมอบประสบการณ์คุณภาพสูงสุดบนอีคอมเมิร์ซ
JD.com อีคอมเมิร์ซอันดับ 2 ของประเทศจีน ซึ่งจัดกิจกรรมลดราคาประจำปีวันคนโสดจีน 11 เดือน 11 มาต่อเนื่องหลายปีเช่นกัน แต่ไม่เคยเปิดเผยตัวเลขยอดขาย ปีนี้ตัดสินใจรายงานตัวเลขเป็นครั้งแรก ซึ่งออกมาน่าสนใจทีเดียว
โดยยอดขายสุทธิ (GMV) อยู่ที่ 1.27 แสนล้านหยวน คิดเป็นเงินไทยราว 6.3 แสนล้านบาท (Alibaba ปีนี้ทำได้ 1.68 แสนล้านหยวน) ซึ่งตัวเลขนี้สูงกว่ายอดขายของ Alibaba เมื่อปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 1.21 แสนล้านหยวน JD.com ยังเปิดเผยสถิติของสินค้าบางรายการที่น่าสนใจดังนี้
ก่อนหน้านี้ JD.com อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของจีนเพิ่งจะประกาศแผนลงทุนในไทย เตรียมใช้ไทยเป็นฮับไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อื่นๆ เช่น เวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์ แต่ยังไม่ระบุเม็ดเงินที่จะนำมาลงทุน ล่าสุด Tech In Asia รายงานว่า JD หารือกับเครือเซ็นทรัล เตรียมทำอีคอมเมิร์ซเป็นกิจการร่วมค้า (Joint Ventures) ในไทยด้วยเงินทุน 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
สำนักข่าว Reuters รายงานว่า JD.com ผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซรายใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ในประเทศจีน ประกาศแผนลงทุนในประเทศไทยภายในปีนี้ จากที่ปัจจุบันลงทุนในประเทศอินโดนีเซียอยู่แล้วในภูมิภาคนี้
Richard Liu ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ JD.com กล่าวว่าเขาต้องการใช้ประเทศไทยเป็นฮับในให้บริการยังประเทศอื่นของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เวียดนาม และมาเลเซีย
อย่างไรก็ตามเขาปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลของขนาดเงินที่จะลงทุนในประเทศไทย
ที่มา: Reuters