JD.com อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ในจีน รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 1 ปี 2020 รายได้รวม เพิ่มขึ้น 20.7% จากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน เป็น 20,602 ล้านดอลลาร์ โดยรายได้จากธุรกิจบริการเพิ่มขึ้น 29.6% เป็น 2,275 ล้านดอลลาร์ และมีกำไรสุทธิ 149 ล้านดอลลาร์
Richard Liu ซีอีโอของ JD.com กล่าวว่าบริษัทสามารถดำเนินงานได้เต็มกำลังปกติตลอดช่วงการระบาดของ COVID-19 ผลการดำเนินงานที่ออกมาสะท้อนว่าลูกค้าใช้บริการ JD.com มากขึ้นในช่วงที่ต้องเก็บตัวอยู่บ้าน
จำนวนผู้ลูกค้าบนแพลตฟอร์มที่แอคทีฟย้อนหลัง 12 เดือน ก็สะท้อนภาพดังกล่าว โดยจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 24.8% เป็น 387.4 ล้านคน และเป็นผู้ใช้งานบนมือถือเพิ่มขึ้น 46%
JD.com อีคอมเมิร์ซเบอร์สองของจีน รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2019 มีรายได้รวม 24,517 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 26.6% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยรายได้จากธุรกิจบริการเพิ่มขึ้น 43.6% เป็น 3,012 ล้านดอลลาร์ ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 510 ล้านดอลลาร์
Richard Liu ซีอีโอ JD.com กล่าวว่าการเติบโตเกิดจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของสินค้าภายใต้แบรนด์ JD ซึ่งได้รับความเชื่อถือมากขึ้น นอกจากนี้การเติบโตยังมาจากเมืองรองในจีน และลูกเล่นนวัตกรรมใหม่ในการทำการตลาด
นอกจากนี้ Liu ยังอัพเดตสถานการณ์ของ COVID-19 โดยบอกว่า JD ได้เข้ามาช่วยเหลือด้านการขนส่ง ที่เป็นจุดแข็งของบริษัท เพื่อให้สินค้าและเวชภัณฑ์ที่จำเป็นกระจายไปทั่วประเทศได้รวดเร็วและปลอดภัย
JD.com อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของจีน รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2019 มีรายได้รวม 18,865 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 28.7% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน แบ่งเป็นรายได้จากการจำหน่ายสินค้า 16,628 ล้านดอลลาร์ และรายได้จากกลุ่มธุรกิจบริการ (Marketplace, โฆษณา, ลอจิสติกส์) 2,237 ล้านดอลลาร์ และมีกำไรสุทธิ 85.7 ล้านดอลลาร์
จำนวนลูกค้าที่มีการใช้งานประจำในรอบ 12 เดือน เพิ่มขึ้นเป็น 334.4 ล้านบัญชี เทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ซึ่งอยู่ที่ 321.3 ล้านบัญชี
ไฮไลท์สำคัญในไตรมาสที่ผ่านมามีทั้ง การเปิดตัวแพลตฟอร์ม Jingxi ที่เน้นเจาะเมืองรองในจีน และปรับปรุงการส่งสินค้าโดย 90% ของสินค้า JD.com จัดจำหน่ายโดยตรง สามารถส่งได้ภายใน 24 ชั่วโมงที่จีน
เทศกาลลดราคา 11.11 ได้ผ่านไปแล้ว ซึ่ง Alibaba ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซจีน ต้นแบบเทศกาลลดราคาในวันดังกล่าว ก็ประกาศสถิติยอดขายสูงถึง 1.1 ล้านล้านบาท ในประเทศไทยเองก็การจัดกิจกรรมในวันดังกล่าวอย่างคึกคัก ซึ่งอีคอมเมิร์ซแต่ละค่าย ก็ได้ประกาศสถิติตัวเลขในประเทศไทยออกมาเช่นกัน รายละเอียดดังนี้
JD.com อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของจีน รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 2 ปี 2019 รายได้รวม 21,890.8 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 22.9% จากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน เฉพาะกลุ่มธุรกิจบริการ รายได้เพิ่มขึ้น 42.0% เป็น 2,442.0 ล้านดอลลาร์ ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 79.5 ล้านดอลลาร์
จำนวนลูกค้าที่มีการใช้งานประจำในรอบ 12 เดือน เพิ่มขึ้นเป็น 321.3 ล้านบัญชี เทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ซึ่งอยู่ที่ 310.5 ล้านบัญชี
ซีอีโอ Richard Liu กล่าวว่าไตรมาสไฮไลท์สำคัญในไตรมาสที่ผ่านมาคือกิจกรรมฉลองครบรอบบริษัทเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ขณะที่ภาพรวมธุรกิจยังคงดำเนินงานได้ดีท่ามกลางการแข่งขันที่สูง บริษัทยังคงโฟกัสไปที่การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาส่งมอบประสบการณ์กับลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป
JD.com รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2019 มีรายได้รวม 18,041.6 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 20.9% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน รายได้เฉพาะจากส่วนบริการเพิ่มขึ้น 44.0% เป็น 1,852.1 ล้านดอลลาร์ และมีกำไรสุทธิ 1,090.6 ล้านดอลลาร์
จำนวนลูกค้าที่มีการใช้งานประจำในรอบ 12 เดือน เพิ่มขึ้นเป็น 310.5 ล้านบัญชี เทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ซึ่งอยู่ที่ 305.3 ล้านบัญชี
ซีอีโอ Richard Liu กล่าวว่า JD.com จะยังคงลงทุนต่อเนื่องในเทคโนโลยีสำคัญ รวมทั้งลงทุนในบุคลากร เพื่อหาแนวทางขยายฐานลูกค้าและเสาะหานวัตกรรมใหม่
ที่มา: JD.com
JD.com อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของจีน ประกาศเข้าซื้อหุ้นจำนวน 46% ใน Jiangsu Five Star คิดเป็นมูลค่า 1,270 ล้านหยวน เพื่อต่อยอดกลยุทธ์ O2O (Online-to-Offline)
Jiangsu Five Star เป็นเชนร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ของจีนที่มีสาขามากกว่า 220 แห่ง ซึ่งตามแผนการเข้าถือหุ้นของ JD.com นั้น ก็เพื่อเสริมธุรกิจการขายเครื่องใช้ไฟฟ้าออนไลน์ของ JD.com ให้ลูกค้าสามารถดูสินค้าที่ร้านของ Jiangsu ก่อน แล้วค่อยมาสั่งซื้อออนไลน์ได้
หากวัดที่ส่วนแบ่งการขายเครื่องใช้ไฟฟ้าออนไลน์ของจีน JD.com ยังมีส่วนแบ่งสูงสุดที่ 38.9% แต่คู่แข่งรายอื่นก็เริ่มกินส่วนแบ่งมากขึ้น ทั้ง Suning.com (Alibaba มีหุ้น) และ Tmall (ก็ของ Alibaba) ที่มีส่วนแบ่ง 30.1% และ 24.9% ตามลำดับ
มีรายงานออกมาไม่กี่วันก่อนว่า JD.com อีคอมเมิร์ซรายใหญ่อีกแห่งของจีน มีแผนปลดพนักงานออกประมาณ 8% คิดเป็นจำนวนราว 12,000 คน โดยฝ่ายที่กระทบมากที่สุดคือส่วนที่เกี่ยวข้องกับคลังสินค้าและการจัดส่งสินค้า
อย่างไรก็ตามเมื่อวันพุธที่ผ่านมา JD.com ได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว ระบุว่าเป็นการนำเสนอที่เกินความจริง โดยความจริงเป็นการปรับโครงสร้างองค์กร ซึ่งมีการสับเปลี่ยนพนักงานเข้าออกตามปกติ พร้อมยืนยันว่าปีนี้จะรับพนักงานเพิ่มอีกราว 15,000 อัตรา
ข่าวของ JD.com ที่ออกมาก่อนหน้านี้สะท้อนความกังวลต่อภาพรวมอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตจีนว่ามีการเติบโตที่ชะลอตัว จนส่งผลกระทบแม้แต่กับบริษัทขนาดใหญ่ จากที่ก่อนหน้านี้มีการเติบโตรวดเร็วมาก
JD.com รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 4 ปี 2018 รายได้รวม 19,611 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 22.4% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยรายได้จากเฉพาะส่วนบริการเพิ่มขึ้น 45.7% เป็น 2,124 ล้านดอลลาร์ สุทธิแล้วขาดทุน 709 ล้านดอลลาร์
ซีอีโอ Richard Liu กล่าวว่า JD.com ยังคงเติบโตโดดเด่นกว่าอุตสาหกรรมในทุกหมวดที่บริษัทให้ความสำคัญ และบริษัทยังลงทุนด้านเทคโนโลยีต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสบการณ์สำหรับลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานในระยะยาว
JD.com ยังอัปเดตตัวเลขต่าง ๆ โดยพื้นที่คลังสินค้ามีรวมมากกว่า 12 ล้านตารางเมตร จากศูนย์ 55 แห่ง มีร้านค้าออนไลน์ในแพลตฟอร์มมากกว่า 210,000 ร้านค้า และมีพนักงานเต็มเวลามากกว่า 178,000 คน
Rakuten เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซญี่ปุ่นประกาศความร่วมมือกับ JD.com เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซจากจีน เพื่อพัฒนาโซลูชั่นระบบขนส่งโดยไม่ต้องใช้คนร่วมกันในประเทศญี่ปุ่น
ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ Rakuten จะนำประสบการณ์ขนส่งสินค้าผ่านโดรนในญี่ปุ่น และโซลูชั่นด้านไอทีของบริษัท มาแชร์กับ JD.com ที่มีประสบการณ์ด้านโดรนและกลุ่มพาหนะแบบไม่ต้องใช้คนบังคับ (unmanned group vehicles หรือ UGV) ในจีน เพื่อพัฒนาบริการขนส่งสินค้าโดยไม่ต้องใช้คนของ Rakuten ให้ใช้งานได้หลากหลายสถานการณ์
Go-Jek แพลตฟอร์มเรียกรถจากอินโดนีเซีย ที่ตอนนี้ทำตลาดในไทยด้วยชื่อ Get ประกาศรับเงินเพิ่มทุนซีรี่ส์ F รอบแรก ซึ่งได้เงินไปราว 1 พันล้านดอลลาร์ จากแผนทั้งหมดที่ต้องการ 2 พันล้านดอลลาร์ ส่วนมูลค่ากิจการยังไม่มีการเปิดเผย แต่คาดอยู่ราว 9.5 พันล้านดอลลาร์
รายชื่อนักลงทุนในรอบนี้ก็มากันครบรายใหญ่ไม่ว่าจะเป็น กูเกิล, JD.com, Tencent ร่วมด้วย Mitsubishi Corporation และ Provident Capital
Go-Jek บอกว่าเงินทุนก้อนนี้จะนำมาใช้ขยายธุรกิจให้กว้างขึ้นภายในอินโดนีเซีย ที่ตอนนี้ทำทั้ง มอเตอร์ไซค์, แท็กซี่, ส่งอาหาร, รับจ่ายเงิน, รับส่งพัสดุ และยังนำเงินมาใช้ขยายกิจการในต่างประเทศ ซึ่งตอนนี้มีทั้ง เวียดนาม (Go-Viet), ไทย (Get) และสิงคโปร์
มีรายงานว่า JD.com อีคอมเมิร์ซรายใหญ่อันดับสองของจีน ได้ประกาศปรับโครงสร้างองค์กรภายใน โดยมีการปรับส่วนของ JD Mall ที่เป็นรายได้หลักของบริษัท ออกมาเป็น 3 แผนกใหม่ เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางดีมากขึ้น
โดย 3 แผนกใหม่ใน JD Mall จะแบ่งออกเป็นฝ่ายที่รับผิดชอบดูแลพฤติกรรมลูกค้าและตลาด, ฝ่ายที่ดูแลความพึงพอใจลูกค้า และส่วนสุดท้ายคือการดูแลระบบหลังบ้าน บริการหลังการขาย และประเมินความเสี่ยง ซึ่งทั้งสามแผนกใหม่นี้จะขึ้นตรงกับ Xu Lei ผู้บริหารที่ดูแล JD Mall
JD.com บอกว่า การปรับโครงสร้างนี้เพื่อให้รองรับอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากนี้ หลังผ่านช่วงของการพัฒนาในสิบปีที่ผ่านมา
จากข่าว Richard Liu ซีอีโอ JD.com ถูกตำรวจ Minneapolis จับในข้อหาละเมิดทางเพศ แม้จะได้รับการปล่อยตัวทันที แต่เขาก็ยังตกเป็นผู้ต้องสงสัยของสังคม เพราะเหยื่อที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย Minnesota ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่าถูกเขาข่มขืนจริง ทำให้คดีนี้ยังคงคลุมเครือ
ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวเพิ่มเติมคือ อัยการ Minnesota จะไม่สั่งฟ้อง Richard Liu โดยให้เหตุผลว่าข้อกล่าวหายังขาดความสมเหตุสมผล และจากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจและอัยการนั้น ยังไม่สามารถระบุหลักฐานที่ชัดเจนตามความรับผิดชอบการพิสูจน์หลักฐานได้
JD.com เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซในจีนประกาศร่วมมือกับอินเทล เตรียมตั้งแล็บวิจัยโดยเน้นที่การพัฒนาเทคโนโลยี smart retail โดยจะนำ IoT เข้ามาใช้เพื่อการค้าปลีก
แล็บร่วม JD.com และอินเทลนี้จะเน้นพัฒนาเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติ, โซลูชั่นด้านสื่อและการโฆษณา กับเทคโนโลยีที่จะใช้ในร้านค้า อย่างเช่น ชั้นวางของและป้ายราคาอัจฉริยะ, โซลูชั่นการเช็คเอาท์ เป็นต้น ซึ่งอินเทลจะเป็นผู้ช่วยในด้านเทคโนโลยีการคำนวณ ส่วน JD.com จะเน้นเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูล
JD.com อีคอมเมิร์ซรายใหญ่เบอร์สองของจีน ประกาศความร่วมมือกับ Mitsubishi Chemical ของญี่ปุ่น เพื่อสร้างโรงปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจีน พื้นที่ 11,040 ตารางเมตร สำหรับจำหน่ายบนแพลตฟอร์มของ JD.com
โดยโรงเพาะปลูกนี้เป็นการปลูกด้วยวิธีไฮโดรโปนิกส์ในระบบปิด ซึ่งไม่ใช้ดิน และนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาดูแลจัดการ ซึ่งการที่ JD.com เป็นผู้จัดจำหน่าย ได้เข้ามาควบคุมตั้งแต่กระบวนการต้นน้ำนี้ ทำให้สามารถดูแลคุณภาพสินค้าได้ว่าปลอดภัย มีโภชนาการ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยผักจากโรงเพาะปลูกนี้จะจำหน่ายผ่านช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์ของ 7FRESH ซูเปอร์มาร์เก็ตของ JD
จากเหตุซีอีโอ JD.com หรือ Richard Liu ถูกจับข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ (แต่ถูกปล่อยตัวโดยอ้างว่าเป็นการเข้าใจกันผิด ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวของคดีนี้เพิ่มเติม
Bloomberg ได้พูดคุยกับเหยื่อและทนายความของเหยื่อ และได้เห็นภาพชัดเจนขึ้นถึงคืนวันเกิดเหตุว่านักธุรกิจชาวจีนคนหนึ่งชื่อ Charlie Yao จากบริษัท Jumbo Sheen Enterprises Group ในเสินเจิ้นเป็นคนชวนเธอไปงานปาร์ตี้ในวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมาที่ Minnesota และจัดให้เธอนั่งข้าง Richard Liu พอดี นอกจากนั้นเธอยังถูกบังคับให้ดื่มแอลกอฮอล์เป็นจำนวนมากด้วย จนกระทั่งเธอถูก Liu ข่มขืนที่อพาร์ตเมนต์ของเธอ ซึ่งเธอก็เล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนเธอฟังผ่าน WeChat ด้วย โดย Liu ถูกจับกุมในเย็นวันรุ่งขึ้นถูกคุมตัวเป็นเวลาเกือบ 17 ชั่วโมง ก่อนจะได้รับการปล่อยตัวโดยไม่มีข้อกล่าวหาใดๆ
JD.com อีคอมเมิร์ซรายใหญ่เบอร์สองของจีน รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 3 ของปี 2018 มีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 25.1% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน เป็น 15,254 ล้านดอลลาร์ เฉพาะรายได้จากบริการเป็น 1,583 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 49.4% และมีกำไรสุทธิ 437 ล้านดอลลาร์
ซีอีโอ Richard Liu กล่าวว่าบริษัทยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสนี้ และยังคงยึดกลยุทธ์ความสะดวกของลูกค้า, ขายสินค้าของแท้มีคุณภาพ และร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในรูปแบบ Retail as a Service เพื่อให้พาร์ทเนอร์มาใช้โครงสร้างพื้นฐานของ JD นั่นเอง
JD.com อีคอมเมิร์ซรายใหญ่อันดับสองของจีน ประกาศสถิติยอดขายของเทศกาลคนโสด โดย JD.com จัดกิจกรรมตั้งแต่วันที่ 1-11 พฤศจิกายน 2018 มียอดขายสุทธิ (GMV) 1.59 แสนล้านหยวน หรือราว 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์ (มากหรือน้อย ก็ลองเทียบกับ Alibaba ที่ 2.135 แสนล้านหยวนในหนึ่งวัน)
Lei Xu หัวหน้าฝ่ายการตลาดของ JD.com ให้ความเห็นว่าพฤติกรรมลูกค้าจีนนั้นเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับคุณภาพมากขึ้น จากเดิมที่พิจารณาราคาเป็นหลัก ทำให้ลูกค้ายินดีซื้อสินค้าแบรนด์และสินค้านำเข้ามากขึ้น ซึ่งเป็นจุดขายของ JD.com ที่เน้นว่าจะไม่มีสินค้าปลอมแปลงวางจำหน่ายบนแพลตฟอร์ม
JD.com อีคอมเมิร์ซรายใหญ่อันดับ 2 ของจีน ประกาศเพิ่มบริการตัวใหม่ ซึ่งต่อยอดจากโครงสร้างพื้นฐานที่บริษัทมีการลงทุนเองมานาน นั่นคือบริการรับขนส่งพัสดุสินค้าทั่วประเทศจีน โดยในเบื้องต้นให้บริการรับพัสดุเฉพาะใน ปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว แต่สามารถจัดส่งไปยังปลายทางในจีนได้ทั้งหมด
สิ่งที่ JD.com แตกต่างจากคู่แข่ง คือการลงทุนในซัพพลายเชนของอีคอมเมิร์ซเองทั้งหมด ตั้งแต่คลังสินค้า รถบรรทุก และรถเล็กจัดส่งสินค้า ซึ่ง Zhenhui Wang ซีอีโอ JD.com กล่าวว่าบริษัทจึงสามารถนำสิ่งเหล่านี้มาต่อยอดเป็นบริการขนส่งสินค้าทั่วไปได้ด้วย ตามกลยุทธ์พัฒนาให้ JD.com เป็นแพลตฟอร์ม Retail-as-a-Service ที่คนทั่วไปสามารถร่วมใช้โครงสร้างพื้นฐานได้
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า JD.com อีคอมเมิร์ซรายใหญ่เบอร์สองของจีน เตรียมเปิดตัวร้านจำหน่ายสินค้าออนไลน์แฟล็กชิปบนแพลตฟอร์ม Google Shopping ภายในปีนี้ ซึ่งถือเป็นการบุกตลาดออนไลน์ในอเมริกาเต็มรูปแบบ แถมได้พาร์ทเนอร์ระดับกูเกิลด้วย
ทั้งนี้กูเกิลได้ประกาศลงทุนใน JD.com เป็นเงิน 550 ล้านดอลลาร์ ไปก่อนหน้านี้ โดย JD จะยังคงใช้กลยุทธ์แบบเดียวกับในจีน คือบริหารจัดการคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าเองทั้งหมด ซึ่งตอนนี้ JD ได้สร้างคลังสินค้าไว้แล้วในอเมริกาหลายแห่ง ทำให้การจำหน่ายสินค้าผ่าน Google Shopping นี้ เป็นการนำสินค้าที่อยู่ในอเมริกามาขายให้คนอเมริกาโดยตรง ไม่เหมือนกับ Alibaba
ประเด็น Richard Liu ซีอีโอ JD.com ที่โดนจับที่สหรัฐฯข้อหาเกี่ยวกับการละเมิดทางเพศแต่ถูกปล่อยตัวอย่างรวดเร็วหลังจากสอบปากคำไป 16 ชั่วโมง แม้ตัวคดีจะยังไม่มีรายละเอียดมาก แต่ประเด็นนี้กำลังเป็นหัวข้อสนทนาอันดับ 1 ของโลกออนไลน์จีนในตอนนี้
เกิดเหตุไม่คาดฝันเมื่อ Richard Liu ซีอีโอ JD.com ถูกตำรวจ Minneapolis จับในข้อหาละเมิดทางเพศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แต่ได้รับการปล่อยตัวแล้วหลังจากสอบสวนกัน 16 ชั่วโมง โดยทางบริษัทออกมาบอกว่าเป็นการเข้าใจผิด
ทางบริษัทออกแถลงการณ์ระบุว่า Richard Liu เดินทางไปสหรัฐฯเพื่อธุรกิจ และโดนตำรวจท้องที่ของ Minneapolis ในมินนิโซตาจับแต่เป็นการเข้าใจผิด ระบุว่าเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่มีข้อสงสัย จึงได้รับการปล่อยตัวในวันต่อมา อย่างไรก็ตามทางบริษัทและเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมถึงเหตุการณ์ดังกล่าว
JD บริษัทอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของจีน เปิดตัวแพลตฟอร์ม blockchain ของตัวเองชื่อ JD Blockchain Open Platform เพื่อให้ลูกค้าองค์กรมาเช่าใช้งาน
JD ระบุว่าแพลตฟอร์ม blockchain นี่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ Retail as a Service (RaaS) ที่ต้องการเปิดเทคโนโลยีของตัวเองให้บริษัทอื่นๆ มาใช้งานได้ด้วย ตอนนี้มีลูกค้ารายแรกที่ใช้งาน JD Blockchain แล้วคือบริษัทประกัน China Pacific Insurance Company (CPIC) ใช้ทำระบบติดตามใบแจ้งหนี้อิเล็กทรอนิกส์
JD ไม่ได้ให้ข้อมูลชัดเจนว่าแพลตฟอร์มของตัวเองใช้เทคโนโลยีตัวไหนบ้าง บอกกว้างๆ เพียงว่ารองรับเทคโนโลยี blockchain หลายยี่ห้อ (multiple blockchain bottom layers) และเพิ่มด้วยเครื่องมือที่พัฒนาเองกับเครื่องมือของบริษัทอื่นๆ ด้วย
JD.com อีคอมเมิร์ซรายใหญ่อันดับ 2 ของจีน ที่เพิ่งเริ่มเปิดให้บริการในประเทศไทยด้วย รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2 ของปี 2018 สิ้นสุดเดือนมิถุนายน มีรายได้รวม 18,481 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 31% จากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน และกลับไปขาดทุนอีกครั้ง 334 ล้านดอลลาร์ โดยมีจำนวนลูกค้า 313.8 ล้านคน เพิ่มขึ้น 21.5%
ซีอีโอ Richard Liu กล่าวว่า JD.com ยังคงเติบโตในฐานะอีคอมเมิร์ซที่ไว้วางใจได้มากที่สุดในจีน เนื่องจากการเน้นคุณภาพสินค้า และให้ประสบการณ์ช็อปปิ้งด้วยบริการที่เหนือกว่า โดยบริษัทยังคงลงทุนด้านเทคโนโลยีต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพระบบหลังบ้าน ตามกลยุทธ์สร้าง Retail as a Service สำหรับทั้ง JD.com และพาร์ทเนอร์ทั้งหมด
ไม่ใช่แค่ Amazon ที่ทำร้านค้าไร้แคชเชียร์ ฝั่งจีน JD ก็ทำเหมือนกัน และที่สำคัญคือบุกอาเซียนแล้ว โดยเปิดที่จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียเป็นที่แรก
ร้านค้า JD.ID อยู่ในห้างในจาการ์ตา พื้นที่ 270 ตารางเมตร ลูกค้าสามารถเข้ามาเลือกซื้อเสื้อผ้าด้วยการสแกน QR ที่เครื่องรับสแกน และยังมีระบบสแกนใบหน้ายืนยันตัวตนลูกค้าอีกชั้น จากนั้นก็สามารถลองเสื้อ เลือกซื้อสินค้าต่างๆ และจ่ายเงินได้ด้วยตัวเอง โดยมีระบบติดตามแท็กสินค้าแต่ละชิ้นไว้ ลูกค้าสามารถเดินออกจากร้านพร้อมสินค้าได้เลยโดยต้องทำการเช็คเอาท์ด้วยการสแกนใบหน้าอีกครั้ง
อาเซียนกลายเป็นอีกพื้นที่ที่ JD สนใจลงทุน ในไทย JD ก็ลงทุนในร้านเสื้อผ้าแบรนด์ไทย Pomelo และลงทุนในบริการเรียกรถของอินโดนีเซียคือ Go-Jek ด้วย