The Wall Street Journal อ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องรายงานความคืบหน้า ของแผนการหาสถาบันการเงินพันธมิตรรายใหม่สำหรับ Apple Card บริการบัตรเครดิตของแอปเปิล ซึ่งเตรียมยกเลิกความร่วมมือกับธนาคาร Goldman Sachs เนื่องจากทาง Goldman Sachs ต้องการลดการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับลูกค้ารายย่อย

รายงานเรื่องนี้มีออกมาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยมีรายชื่อสถาบันการเงินหลายแห่งที่ทั้งแอปเปิลและ Goldman Sachs ไปเจรจาเพื่อเสนอขายพอร์ตลูกค้าที่มีมากกว่า 12 ล้านคน ซึ่งตอนนี้ให้บริการเฉพาะในสหรัฐอเมริกา

แม้ iPhone SE รุ่นปี 2022 ยังเป็นข่าวลือ อยู่ แต่ Samik Chatterjee นักวิเคราะห์จากสถาบันการเงิน J.P Morgan ก็ออกมาคาดการณ์ว่าหาก iPhone SE รุ่นปี 2022 รองรับ 5G และราคาถูกกว่า iPhone รุ่นหลัก ผู้ใช้ Android ที่ใช้มือถือรุ่นกลางถึงล่างกว่า 1.4 พันล้าน จากผู้ใช้ทั้งหมด 2.8 พันล้านคนที่ Google เคยระบุ อาจเปลี่ยนมาใช้ iPhone SE ได้

JPMorgan ยื่นฟ้อง Tesla เป็นมูลค่ากว่า 162 ล้านดอลลาร์ หลังทั้งสองบริษัทไม่สามารถตกลงผลประโยชน์ของวอร์แรนท์ที่ซื้อขายไว้ตั้งแต่ปี 2014

JPMorgan เคยถือวอร์แรนท์ของหุ้น Tesla ไว้ที่โดยมีราคาตามสัญญา 560.6388 ดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้ Tesla ต้องจ่ายเงินหรือมอบหุ้นให้ JPMorgan ตามมูลค่าส่วนต่าง หากราคาหุ้นสูง Tesla สูงกว่าราคาที่กำหนดไว้เมื่อใบสำคัญแสดงสิทธิ์นั้นหมดอายุในช่วงเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม ปี 2021

Jamie Dimon ซีอีโอของ JPMorgan Chase ไปขึ้นเวทีงานสัมมนา Institute of International Finance และกล่าวถึงสกุลเงิน Libra ของ Facebook สั้นๆ ว่าเป็นไอเดียที่ดี แต่มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ (It was a neat idea that’ll never happen)

เขายังวิจารณ์ Libra ว่าไม่ใช่สกุลเงินคริปโตตัวแรกที่มีแนวคิดค่าเงินเสถียร (stablecoin) โดยยกตัวอย่างสกุลเงินของ JPMorgan เองที่ชื่อ JPM Coin ว่าเป็น stablecoin เช่นกัน (หมายเหตุ: JPM Coin เป็นเงินคริปโตที่ใช้ในเครือข่ายปิดเฉพาะลูกค้าของ JPMorgan เท่านั้น)

Python 2 กำลังจะหมดซัพพอร์ทในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งศูนย์ความปลอดภัยไซเบอร์อังกฤษก็ออกมาเตือนให้ย้ายไป Python 3 ซึ่งถึงแม้ Python Foundation จะขยายเวลาซัพพอร์ทจากปี 2015 มาปี 2020 แล้วก็ตาม แต่หลายองค์กรก็น่าจะได้รับผลกระทบไม่น้อยและหนึ่งในนั้นคือธนาคาร JPMorgan

Chase Pay เป็นแอปจ่ายเงินจากธนาคาร Chase ของสหรัฐฯ​ ซึ่งอยู่ภายใต้เครือ JPMorgan Chase เปิดตัวเมื่อสี่ปีที่แล้วโดยจับมือกับกลุ่ม MCX เจ้าของแพลตฟอร์ม CurrentC ที่เกิดจากการรมตัวของกลุ่มร้านค้าปลีกในสหรัฐฯ และตอนหลัง JPMorgan Chase ก็ซื้อ MCX เข้ามาเพื่อเสริมทัพ Chase Pay ด้วย

ผ่านมาหลายปี Chase Pay ก็ยังไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร วันนี้ JPMorgan Chase จึงประกาศหยุดให้บริการแอปจ่ายเงินบนมือถือ Chase Pay ในปีหน้า ซึ่งหลังจากที่หยุดให้บริการแล้ว Chase Pay จะไม่สามารถจ่ายเงินที่แคชเชียร์ของร้านค้าได้อีก

แม้กระแสธนาคารดิจิทัลจะมาแรงในหลายประเทศ จนบางธนาคารต้องเปิดแบรนด์ใหม่ (เช่น UOB ที่เปิด TMRW หรือ Standard Chartered ที่ร่วมทุนกับพันธมิตรในฮ่องกง) เพื่อรองรับกับตลาดกลุ่มนี้ที่มีความแตกต่างจากลูกค้าธนาคารแบบเดิมๆ ทว่าโมเดลนี้อาจจะใช้ไม่ได้กับในสหรัฐอเมริกา เมื่อ JPMorgan (ชื่อเต็มคือ JPMorgan Chase & Co.) ประกาศปิด Finn แบรนด์ธนาคารดิจิทัลของตัวเอง หลังจากเปิดมาได้เพียงปีเดียวเท่านั้น

ชื่อของธนาคาร J.P. Morgan อาจเป็นที่คุ้นหูกันในโลกของเงินคริปโต เพราะซีอีโอ Jamie Dimon ออกมาให้สัมภาษณ์เชิงลบกับ Bitcoin และเงินคริปโตอยู่เรื่อยๆ (แม้เขาจะมองว่าเทคโนโลยี blockchain มีประโยชน์ก็ตาม)

ล่าสุด J.P. Morgan เปิดตัวเงินคริปโตของตัวเองแล้วในชื่อ JPM Coin เป้าหมายของมันเพื่อใช้ในการโอนเงินระหว่างประเทศเป็นหลัก

ธนาคารยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาบางราย เช่น JPMorgan Chase และ Bank of America เริ่มแบนการใช้บัตรเครดิตในการซื้อเงินคริปโตแล้ว ส่วนธนาคารอื่นอย่าง Citigroup บอกว่ากำลังพิจารณาทำด้วย และ Capital One กับ Discover ก็บอกว่าไม่สนับสนุนให้ทำธุรกรรมลักษณะนี้

กระบวนการของธนาคารเหล่านี้คือปฏิเสธการจ่ายเงิน ถ้าหากรูดบัตรทำธุรกรรมกับบริษัทที่ (ธนาคารรู้ว่า) ทำธุรกิจซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินคริปโต นโยบายนี้มีผลกับบัตรเครดิตส่วนบุคคลและบัตรองค์กร แต่ไม่รวมถึงบัตรเดบิต

Jamie Dimon ซีอีโอของธนาคาร JPMorgan Chase กลุ่มธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา ให้สัมภาษณ์กับ Fox Business โดยพูดถึงคำพูดเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วที่ว่า Bitcoin เป็นการฉ้อโกง (fraud) ถ้าพนักงานคนไหนซื้อจะไล่ออก โดยเขาบอกว่าเสียใจที่เคยพูดแบบนั้น

Dimon ยังย้ำความเห็นเดิมว่าเทคโนโลยี blockchain มีประโยชน์และเป็นของจริง มันสามารถนำเงินดอลลาร์หรือเยนไปเข้ารหัสได้ อย่างไรก็ตามเขามองว่าถ้าเป็นเงินจาก ICO ต้องดูเป็นรายตัวไป

ถึงแม้ซีอีโอของธนาคารใหญ่อเมริกาจะมีมุมมองที่เปลี่ยนไปกับ Bitcoin แต่เขาก็ยังบอกว่าไม่สนใจ ยอมรับว่าอาจจะมีมุมมองต่างไปจากคนอื่น และกังวลแบบที่หน่วยงานรัฐกังวลคือมันมีขนาดใหญ่มากขึ้นมาก

ช่วงนี้ข่าวไม่ดีของ GoPro ยังปรากฏออกมาเรื่อย ๆ หลังจากที่ปลดพนักงานไปแล้ว ล่าสุดก็เป็นเรื่องของการขายบริษัท โดย CNBC รายงานว่า บริษัท GoPro ได้จ้างบริษัท JPMorgan Chase เป็นที่ปรึกษามาหลายเดือนเพื่อหาโอกาสในการขายบริษัท

JPMorgan Chase นั้นเป็นกลุ่มธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา ซึ่งก่อนหน้านี้ GoPro เคยจ้างให้ JPMorgan ช่วยในการทำไอพีโอของบริษัทตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งการจ้าง JPMorgan ในครั้งนี้คือการหาโอกาสการขายบริษัทเท่านั้น ซึ่งแหล่งข่าวของ CNBC เผยว่าตอนนี้ยังไม่มีการรับประกันว่าจะขายบริษัทจริง และดีลนี้ถือเป็นความลับ และ GoPro ยังไม่ได้เริ่มกระบวนการพูดคุยเพื่อหาผู้ซื้อบริษัทอย่างจริงจัง

Cameron และ Tyler สองพี่น้อง Winklevoss ผู้ร่ำรวยเป็นเศรษฐีพันล้านจากบิตคอยน์และเป็นเจ้าของเว็บไซต์แลกเปลี่ยนบิตคอยน์ Gemini ได้ให้สัมภาษณ์กับ Fox Business เกี่ยวกับเรื่องบิตคอยน์โดยพาดพิงไปถึง Jamie Dimon ซีอีโอของ JPMorgan ว่าสกุลเงินดิจิทัลไม่เป็นฟองสบู่อย่างที่ Dimon กล่าวอ้าง และท้าให้เขาชอร์ตบิตคอยน์เลย ถ้าจะอ้างว่าเป็นการฉ้อโกงตามคำสัมภาษณ์ที่เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้

เมื่อไม่นานมานี้ Jamie Dimon ซีอีโอ JPMorgan บอกอนาคตฟองสบู่ Bitcoin จบไม่สวย และกลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากในแวดวง cryptocurrency ทั่วโลก

ล่าสุด Dimon ออกมาพูดเรื่องนี้อีกรอบในการให้สัมภาษณ์ช่อง CNBC ในประเทศอินเดีย เขาบอกว่าตอนนี้เงิน cryptocurrency อาจเป็นเรื่องแปลกใหม่ แต่เมื่อมันได้รับความนิยมมากขึ้น ก็จะส่งผลให้หน่วยงานภาครัฐเข้ามาควบคุมและปิดกั้นมากขึ้น ด้วยการขู่ว่าคนที่ซื้อขายเหรียญเหล่านี้จะต้องติดคุก

เขาบอกว่ากระบวนการขายเหรียญ ICO เป็นการสร้างมูลค่าจากความว่างเปล่า (it's creating something out of nothing) ซึ่งในมุมของเขาแล้วมันไม่มีค่าอะไรเลย และมันจะจบไม่สวย (it will end badly)

Jamie Dimon ซีอีโอของธนาคาร JPMorgan Chase กลุ่มธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา (คนเดียวกับที่พูดว่า "Silicon Valley is Coming" กระตุ้นวงการธนาคารทั่วโลกเรื่องฟินเทค) ออกปากพูดถึงตลาดเงินดิจิทัลว่า "จบไม่สวย" อย่างแน่นอน

เขาพูดถึงตลาด cryptocurrency ว่ามันเป็นการฉ้อโกง (fraud) ที่แย่ยิ่งกว่าฟองสบู่ทิวลิปของเนเธอร์แลนด์ในอดีตซะอีก และถ้าหากเขาพบว่าพนักงานลงทุนของ JPMorgan คนใดเข้าไปค้า Bitcoin เขาก็จะไล่ออกทันที ด้วยเหตุผลว่าละเมิดกฎของบริษัท และพนักงานคนนั้นโง่ ซึ่งเป็นสิ่งอันตรายต่อบริษัท

ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐฯ JPMorgan Chase ได้ออกจากกลุ่ม R3 ซึ่งเป็นกลุ่มที่พัฒนาเทคโนโลยี blockchain มาตรฐานกลางสำหรับนำมาใช้กับธุรกิจธนาคารและสถาบันการเงินแล้ว

ก่อนหน้า JPMorgan Chase นั้นก็มีสถาบันการเงินรายใหญ่หลายแห่งที่ถอนตัวจาก R3 อย่าง Goldman Sachs, Banco Santander, Morgan Stanley และ National Australian Bank แต่สถาบันการเงินเหล่านี้ก็ยังมีส่วนร่วมในสตาร์ทอัพ blockchain อื่น ๆ

JPMorgan Chase นั้นปัจจุบันยังเป็นสมาชิกของกลุ่ม blockchain อื่น ๆ อย่างเช่น Enterprise Ethereum Alliance ซึ่งตั้งขึ้นมาภายหลัง รวมถึงมีการลงทุนในสตาร์ทอัพ Axoni กับ Digital Asset Holdings และยังมีส่วนร่วมพัฒนา Hyperledger Project ซึ่งเป็นโครงการนำโดย The Linux Foundation อีกด้วย

Chase ธนาคารในสหรัฐฯ​ ภายใต้เครือ JPMorgan Chase ได้ตัดสินใจเข้าซื้อ MCX เจ้าของแพลตฟอร์มระบบจ่ายเงิน CurrentC เพื่อช่วยขยายการใช้งาน Chase Pay ระบบจ่ายเงินของ Chase โดยก่อนหน้านี้ MCX ก็ได้เป็นพาร์ทเนอร์กับ JPMorgan Chase เปิดตัวระบบ Chase Pay มาแล้ว

MCX มีเครือข่ายร้านค้าที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ และบริษัทสมาชิกต่างก็เชื่อมต่อระบบ CurrentC เข้ากับระบบจ่ายเงินของตัวเองอยู่แล้ว ซึ่งระบบ Chase Pay ก็ใช้เทคโนโลยีคล้ายกับ CurrentC ดังนั้นการปรับปรุงระบบเพื่อให้รองรับเพิ่มเติมจึงไม่ใช่เรื่องยาก

นิตยสาร Bloomberg Markets ไปสัมภาษณ์ Jamie Dimon ซีอีโอของธนาคารอันดับต้นๆ ของโลก J.P. Morgan เกี่ยวกับอนาคตของโลกการเงินในหลายๆ ประเด็น มีหลายเรื่องน่าสนใจ รวมถึงเรื่อง FinTech ที่กำลังเป็นที่จับตา

ผมเลยสรุปมาให้อ่านกันครับ

ธนาคาร Chase ของสหรัฐอเมริกา (ใต้เครือ JP Morgan Chase) เปิดตัวระบบจ่ายเงินผ่านอุปกรณ์พกพา Chase Pay โดยจับมือกับกลุ่ม MCX เจ้าของแพลตฟอร์ม CurrentC ที่เป็นการรวมตัวของกลุ่มร้านค้าปลีกในสหรัฐ

ลูกค้าของธนาคาร Chase ที่มีเกือบ 100 ล้านบัญชีจะได้ใช้งาน Chase Pay ช่วงกลางปี 2016

เทคโนโลยีของ Chase Pay จะต่างไปจาก Apple Pay หรือ Google Pay ตรงที่ใช้การสแกน QR code แทน NFC ข้อดีของระบบ QR คือรองรับสมาร์ทโฟนเกือบทุกรุ่น และฝั่งของร้านค้าแทบไม่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์คิดเงินเลย (Chase ยืนยันว่าระบบของตัวเองปลอดภัย ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ใช้เทคโนโลยี token แบบเดียวกับ Apple Pay)