Shou Zi Chew ซีอีโอ TikTok โพสต์วิดีโอแถลงหลังจากศาลสูงสุดสหรัฐฯ ยืนยันคำสั่งแบน TikTok วันที่ 19 มกราคมนี้ ยกเว้น ByteDance ขายกิจการออกมาซึ่ง ByteDance ปฏิเสธแนวทางนี้แล้ว
Chew บอกว่าพวกเขาที่ TikTok ขอบคุณประธานาธิบดี Trump ที่มุ่งมั่นทำงานเพื่อหาทางออกให้ TikTok ใช้งานได้ต่อไปในสหรัฐอเมริกา เขายังบอกว่า Trump คือคนที่เข้าใจแพลตฟอร์มนี้อย่างแท้จริง เขาใช้ TikTok เชื่อมต่อผู้คนทั่วโลก และมียอดวิวคอนเทนต์รวมแล้วกว่า 6 หมื่นล้านครั้ง
แถลงการณ์ของ Chew น่าจะบอกใบ้ว่า TikTok เตรียมยื่นอุทธรณ์กับประธานาธิบดี Donald Trump อีกครั้ง เพื่อหาแนวทางให้ TikTok กลับมาใช้งานในอเมริกาได้อีกครั้ง
TikTok เตรียมโดนแบนจากสหรัฐฯ แน่ ๆ หลังศาลสูงสุดสหรัฐฯ ตัดสินให้ ByteDance ซึ่งเป็นบริษัทที่มีฐานอยู่ในจีนและเป็นเจ้าของ TikTok โอนกรรมสิทธิ์ภายในวันอาทิตย์ มิเช่นนั้นจะโดนแบน
แต่ ByteDance ปฏิเสธที่จะขาย TikTok ออกไป หมายความว่าเหล่า Users กว่า 170 ล้านแอคเคาท์จะถูกตัดสิทธิในการเข้าถึงแอป ไม่สามารถเล่น TikTok ได้อีก
การแบน TikTok ของสหรัฐฯ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ทำให้ผู้ใช้งานชาวอเมริกันจำนวนมากหันไปใช้แอปจีนอย่าง Xiaohongshu หรือชื่อภาษาอังกฤษ RedNote เพิ่มมากขึ้น จนล่าสุดขึ้นอันดับ 1 ใน App Store ของสหรัฐฯ
การหันไปใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจีน ไม่ว่าจะเป็น Xiaohongshu หรือแอปอื่น ๆ ทำให้ผู้ใช้งานสหรัฐฯ จำนวนมากหันมาเรียนภาษาจีนกลางผ่าน Duolingo ตามรายงานที่ Duolingo บอกผ่าน X ว่าผู้เรียนภาษาจีนกลางรายใหม่ในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น 216% เทียบกับปีที่แล้ว และมีการดาวน์โหลดแอป Duolingo เพิ่มขึ้น 36% ในช่วงต้นเดือนมกราคม
The Verge อ้างอีเมลภายในที่ TikTok ส่งให้พนักงานในสหรัฐ บอกว่าบริษัทยังคงวางแผนในขั้นถัดไป ก่อนศาลจะออกคำตัดสินซึ่งคาดว่าเร็วที่สุดคือวันพุธที่ 15 มกราคม
TikTok บอกว่าบริษัทจะยังคงดำเนินงานต่อไปในตอนนี้ตามปกติ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแอปก็ตาม ย้ำว่ากฎหมายนี้มีผลเฉพาะส่วนการใช้งานแอปของคนอเมริกา แต่ไม่มีผลกับการทำงานของพนักงานของ TikTok
ทั้งนี้หาก TikTok ถูกแบนในวันที่ 19 มกราคมจริง โอกาสที่แอปจะกลับมาให้บริการก็ยังมีสูง เพราะ Donald Trump จะสาบานตนรับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม และท่าทีของเขาไม่ต้องการให้แบน TikTok รวมทั้งมีข่าวว่า Shou Zi Chew ซีอีโอ TikTok ได้เข้าพบกับ Trump ก่อนหน้านี้ด้วย
กฎหมายแบนแอป TikTok ในอเมริกาจะมีผลวันที่ 19 มกราคมนี้ ซึ่งวิธีการที่จะทำให้ TikTok ยังสามารถใช้งานได้ต่อไปที่นั่นคือ ByteDance ต้องขายธุรกิจ TikTok ส่วนในอเมริกาออกมา ให้ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทจีน จึงทำให้มีรายงานข่าวเป็นระยะว่ากลุ่มทุนในสหรัฐติดต่อแสดงความสนใจ
รายงานล่าสุดของ Bloomberg อ้างแหล่งข่าวบอกว่าทางการจีนได้เข้ามาช่วยพิจารณาทางเลือกที่เป็นไปได้ โดยหนึ่งในนั้นคือขาย TikTok ให้กับ Elon Musk บนเงื่อนไขการทำธุรกิจที่ยังไม่ได้สรุปรายละเอียด อย่างไรก็ตามทั้ง Musk และตัวแทนของทางการจีนปฏิเสธที่จะให้ความเห็นต่อข่าวนี้
มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนในอเมริกา ซึ่ง TikTok ยังคงคำสั่งจะถูกแบนในวันที่ 19 มกราคมนี้ โดยแอปยอดนิยมคือ Xiaohongshu แอปโซเชียลจากจีน ซึ่งขึ้นอันดับ 1 ใน App Store ของอเมริกาตอนนี้ ส่วนอันดับ 2 คือ Lemon8 ที่มี ByteDance เจ้าของ TikTok เป็นเจ้าของเช่นกัน ตามรายงานก่อนหน้านี้
Xiaohongshu (小红书) หรือชื่อภาษาอังกฤษ REDnote (App Store, Google Play) เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลวิดีโอแนวตั้งขนาดสั้น เปิดตัวปี 2013 เพื่อแข่งขันกับ TikTok ในจีนในแนวทางที่ต่างออกไป เพราะการเรียงโพสต์ให้กดดูคล้าย Pinterest ผสม Instagram จำนวนผู้ใช้งานรวมมีมากกว่า 300 ล้านบัญชี และ 79% เป็นผู้หญิง บริษัทผู้พัฒนาได้รับเงินจากนักลงทุนในจีนรวมแล้ว 917 ล้านดอลลาร์ มูลค่ากิจการประมาณ 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ และยังไม่ไอพีโอเข้าตลาดหุ้น
มีรายงานหลังศาลสูงสุดสหรัฐได้รับฟังคำโต้แย้งด้วยวาจา ตามที่ TikTok ได้ยื่นอุทธรณ์ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายสั่งแบนแอปในอเมริกาเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งกฎหมายนี้ระบุให้ ByteDance ต้องขายกิจการ TikTok ในอเมริกาออกมา หรือมิฉะนั้นแอปจะถูกแบนในประเทศ มีผลวันที่ 19 มกราคมนี้ ซึ่ง TikTok แย้งว่าคำสั่งนี้ขัดกับหลักเสรีภาพในการแสดงออกในรัฐธรรมนูญสหรัฐ
ตอนนี้ลอสแองเจลิสกำลังเผชิญมหันตภัยไฟป่าอย่างรุนแรง ครอบคลุมพื้นที่ 45 ตารางไมล์ ทำลายอาคารกว่า 1,300 หลัง และส่งผลให้ประชาชนกว่า 180,000 คนต้องอพยพออกจากพื้นที่ กระทบหลากหลายธุรกิจ เช่น TikTok ที่สำนักงานในลอสแองเจลิสต้องปิดทำการตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม ไปจนถึง 12 มกราคม เพราะไฟดับจากพายุ
อย่างไรก็ตาม TikTok แจ้งให้พนักงานทำงานจากที่บ้านในช่วงที่ออฟฟิศปิด และบอกให้พนักงานใช้วันลากิจหรือลาป่วยหากไม่สามารถทำงานได้ในช่วงเวลาดังกล่าว (ไม่ได้ให้หยุดไปเลยฟรี ๆ) เว้นแต่หัวหน้าทีมจะตัดสินใจเป็นอย่างอื่น
ตอนนี้ลอสแองเจลิสกำลังเผชิญมหันตภัยไฟป่าอย่างรุนแรง ครอบคลุมพื้นที่ 45 ตารางไมล์ ทำลายอาคารกว่า 1,300 หลัง และส่งผลให้ประชาชนกว่า 180,000 คนต้องอพยพออกจากพื้นที่ กระทบหลากหลายธุรกิจ เช่น TikTok ที่สำนักงานในลอสแองเจลิสต้องปิดทำการตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม ไปจนถึง 12 มกราคม เพราะไฟดับจากพายุ
อย่างไรก็ตาม TikTok แจ้งให้พนักงานทำงานจากที่บ้านในช่วงที่ออฟฟิศปิด และบอกให้พนักงานใช้วันลากิจหรือลาป่วยหากไม่สามารถทำงานได้ในช่วงเวลาดังกล่าว (ไม่ได้ให้หยุดไปเลยฟรี ๆ) เว้นแต่หัวหน้าทีมจะตัดสินใจเป็นอย่างอื่น
กฎหมายแบน TikTok ในสหรัฐอเมริกาจะมีผลวันที่ 19 มกราคมนี้ หากไม่มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงใดออกมา ทำให้มีความเคลื่อนไหวหลายอย่าง ล่าสุด Frank McCourt มหาเศรษฐีนักธุรกิจชาวอเมริกัน ในฐานะประธานโครงการไม่แสวงหากำไร Project Liberty ที่มีเป้าหมายปกป้องสิทธิเสรีภาพบนอินเทอร์เน็ต ประกาศยื่นข้อเสนอซื้อกิจการ TikTok ในอเมริกาจาก ByteDance
ผู้ยื่นคำเสนอซื้อคือกลุ่มทุนที่มีทั้ง Project Liberty และเครือข่ายพันธมิตรซึ่งมีนักธุรกิจคนดัง Kevin O’Leary รวมอยู่ด้วย กลุ่มทุนนี้เรียกรวมกันว่า "The People’s Bid for TikTok" เพื่อปรับโครงสร้างแพลตฟอร์ม TikTok ให้มีเทคโนโลยีเป็นของอเมริกา และปกป้องเสียงของผู้ใช้งานในประเทศกว่า 170 ล้านคน
ประเด็นการแบน TikTok ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งตามกฎหมายจะมีผลวันที่ 19 มกราคมนี้ ยังมีความเคลื่อนไหวน่าสนใจ เมื่อมีรายงานว่าผู้ใช้งาน TikTok ในอเมริกาพบโพสต์ที่ได้รับการสนับสนุน เป็นเนื้อหาแนะนำให้ย้ายไปใช้งานแอป Lemon8 กันแทน โดยบอกว่าเป็นแอปสำรองของ TikTok
Lemon8 เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลเน้นการโพสต์รูปและเนื้อหาซึ่งมีเจ้าของคือ ByteDance ที่เป็นเจ้าของ TikTok นั่นเอง ในการสมัครใช้งานก็สามารถใช้บัญชี TikTok เชื่อมต่อได้เลย
กระแสนี้ดูจะได้ผลดีด้วยเพราะตอนนี้ใน App Store สหรัฐอเมริกา Lemon8 ขึ้นเป็นแอปยอดนิยมแซง TikTok ไปแล้ว
TikTok Shop รายงานว่าในปี 2024 ร้านค้าและแบรนด์ไทยโตขึ้น 8 เท่าจากปีก่อน โดยยอดออเดอร์คำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นกว่า 7.8 เท่า และ 70% ของยอดขาย (GMV) มาจากครีเอเตอร์ไทยใน TikTok Shop
นอกจากนี้ TikTok บอกว่า 3 ปัจจัยหลักที่ทำให้ร้านค้าและแบรนด์ไทยโตอย่างก้าวกระโดดในปีที่ผ่านมีาดังนี้:
มาเลเซียออกใบอนุญาต WeChat และ TikTok ให้บริการโซเชียลมีเดียในประเทศ ซึ่งเป็นสองบริษัทแรกที่ได้ใบอนุญาต หลังกฎหมายเริ่มมีผลปีนี้ ระบุว่าผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และรับส่งข้อความ ที่มีผู้ใช้งานในมาเลเซียมากกว่า 8 ล้านคน ต้องมีใบอนุญาตจากรัฐบาล มิฉะนั้นจะมีความผิดตามกฎหมาย
หน่วยงานดูแลการสื่อสารและสื่อของมาเลเซียยังเปิดเผยว่า Telegram และ Meta Platforms ซึ่งเป็นเจ้าของ Facebook, Instagram และ WhatsApp ก็เริ่มดำเนินการขอใบอนุญาตแล้ว ส่วน X และ YouTube ยังไม่ได้มาขอใบอนุญาต โดย X ให้เหตุผลว่าแพลตฟอร์มมีคนใช้งานในมาเลเซียไม่ถึง 8 ล้านคน ขณะที่ YouTube มองว่าแพลตฟอร์มวิดีโอของตนไม่เข้าเงื่อนไขตามกฎหมายนี้ แม้หน่วยงานกำกับดูแลจะยืนยันว่าเข้าเกณฑ์ก็ตาม
ศาลสูงสุดของเวเนซุเอลาสั่งปรับเงิน TikTok 10 ล้านดอลลาร์ โดยให้เหตุผลว่าแพลตฟอร์มปล่อยให้มีการทำชาเลนจ์ดมสารเคมีจนมีเยาวชนเข้าโรงพยาบาลมากกว่า 200 คน และมี 3 คน เสียชีวิต ทั้งนี้ศาลเวเนซุเอลาบอกว่า TikTok มีเวลา 8 วัน ในการจ่ายเงินค่าปรับ หากไม่จ่ายเงินจะมีมาตรการขั้นถัดไป แต่ไม่ได้บอกว่าคืออะไร
ทางการเวเนซุเอลาบอกว่าจะนำเงินค่าปรับนี้มาตั้งกองทุนเยียวยาเหยื่อจากกิจกรรมดังกล่าวทั้งร่างกายและจิตใจ และเรียกร้องให้ TikTok ตั้งสำนักงานสาขาในประเทศ เพื่อให้มีกระบวนการประสานงานที่รวดเร็วขึ้น
ก่อนหน้านี้เวเนซุเอลาเคยออกคำสั่งบล็อก X แต่เป็นเหตุผลที่ Elon Musk ร่วมผสมโรงตำหนิประธานาธิบดีของประเทศว่าโกงการเลือกตั้ง
Donald Trump ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐออกคำแถลงต่อศาลสูงสุดแห่งสหรัฐเกี่ยวกับคำสั่งแบน TikTok ในประเทศ โดยเขาขอให้ศาลพิจารณายกเว้นการบังคับใช้กฎหมายตามกำหนดเส้นตายวันที่ 19 มกราคม 2025 ออกไปก่อน เพราะเขาเตรียมใช้การเมืองนำไปสู่การเจรจาหารือเพื่อหาทางออกเรื่องนี้ โดยไม่ได้ให้รายละเอียดว่าจะเจรจาอะไรอย่างไร
กฎหมายแบน TikTok จะมีผลในวันที่ 19 มกราคมปีหน้า โดยศาลสูงสุดสหรัฐได้นัดพิจารณาคดีในวันที่ 10 มกราคม อย่างไรก็ตาม โดนัลด์ ทรัมป์ แสดงท่าทีที่น่าสนใจต่อเรื่องนี้ โดยเขาได้กล่าวบนเวทีงาน AmericaFest ซึ่งจัดโดยกลุ่มอนุรักษนิยม Turning Point ว่า บางทีอาจจะต้องเก็บแอปนี้เอาไว้สักพัก
ทรัมป์ระบุเพิ่มเติมว่า น่าจะต้องคิดเรื่องนี้กัน เพราะเขาได้ลองใช้ TikTok แล้วได้ผลตอบรับระดับพันล้านวิว นอกจากนี้ เมื่อสัปดาห์ก่อน เขาได้พบกับ CEO ของ TikTok พร้อมแถลงว่าเขารู้สึกดีกับ TikTok เพราะแคมเปญหาเสียงเลือกตั้งของเขาประสบความสำเร็จไม่น้อยในกลุ่มคนหนุ่มสาว และ TikTok ก็น่าจะมีส่วนช่วยในเรื่องนี้
Edi Rama นายกรัฐมนตรีของแอลเบเนียบอกว่าหลังการหารือกับกลุ่มผู้ปกครองและครูทั่วประเทศ รัฐบาลจึงออกคำสั่งแบนแอป TikTok ไม่สามารถใช้งานได้ในประเทศเป็นระยะเวลา 1 ปี เริ่มมีผลตั้งแต่ช่วงต้นปีหน้า โดยคำสั่งนี้มีผลกับผู้ใช้งานทุกคนในประเทศแอลเบเนีย
การหารือจนนำมาสู่คำสั่งดังกล่าวเริ่มต้นจากเหตุการณ์ นักเรียนอายุ 14 ปี ถูกเพื่อนร่วมชั้นเรียนแทงจนเสียชีวิตเมื่อเดือนพฤศจิกายน ซึ่งนายกรัฐมนตรี Rama กล่าวโทษว่า TikTok มีส่วนในการส่งเสริมความรุนแรงของเด็กเยาวชนในโรงเรียน นอกจากนี้ Rama ยังบอกว่าทางการจะดูผลลัพธ์หลังการแบนแอปเป็นเวลา 1 ปี ว่าเป็นอย่างไร รวมทั้งประเทศต่าง ๆ มีมุมมองอย่างไรต่อคำสั่งนี้
ตัวแทนของ TikTok ยังไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นในคำสั่งนี้
ศาลสูงสุดสหรัฐตกลงรับคำอุทธรณ์ของ TikTok เพื่อพิจารณาว่ากฎหมายแบนแอปในสหรัฐอเมริกา ละเมิดรัฐธรรมนูญเรื่องเสรีภาพในการแสดงออกหรือไม่ ตามที่ TikTok ประกาศว่าจะยื่นต่อศาลสูงสุด หลังจากศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเห็นด้วยกับกฎหมายนี้
กฎหมายแบนแอป TikTok จะมีผลในวันที่ 19 มกราคมปีหน้า โดยศาลสูงสุดสหรัฐได้นัดพิจารณาคดีในวันที่ 10 มกราคม จึงเป็นการไต่สวนก่อนที่กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้ ซึ่งคำร้องเรียนนี้มาจากทั้ง TikTok และกลุ่มผู้ใช้งาน TikTok ในอเมริกา
รายงานจาก Coefficient Capital ร่วมกับ The New Consumer เผยว่า ล่าสุด ยอดใช้จ่ายรายเดือนบน TikTok Shop เติบโตแซงหน้า Shein และ Sephora แล้วในสหรัฐอเมริกา โดยโตมากถึง 156% จากปีก่อนหน้า
ตั้งแต่เปิดตัวในเดือนกันยายน ปี 2023 TikTok Shop ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว สะท้อนจากรายงานที่พบว่า 80% ของชาวอเมริกันใช้ TikTok Shop อย่างน้อยเดือนละครั้ง
ความคืบหน้าของคำสั่งแบนแอป TikTok ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะมีผลในวันที่ 19 มกราคม หลังจากที่ศาลอุทธรณ์สหรัฐปฏิเสธคำขอคุ้มครองฉุกเฉินของ TikTok ทำให้ TikTok ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีการัฐบาลกลางสหรัฐแล้ว เพื่อต่อสู้คดีนี้ในศาลสูงสุด รวมทั้งขอให้คุ้มครองฉุกเฉินเพื่อเลื่อนการบังคับใช้คำสั่งนี้ออกไปด้วย
มีรายงานว่าในวันเดียวกับที่ TikTok ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา Shou Zi Chew ซีอีโอ TikTok ก็เข้าพบว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ Donald Trump ที่บ้านพักตากอากาศ Mar-a-Lago ด้วย
ความคืบหน้าล่าสุดของคำสั่งแบน TikTok ในสหรัฐอเมริกา หลังจาก TikTok ยื่นคำร้องต่อศาลสหรัฐเพื่อขอให้ออกคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉิน เพื่อไม่ให้แอปถูกแบนตามกำหนดเวลา 19 มกราคม ปีหน้า ซึ่งอาจไม่ทันการพิจารณาคดีของฎีกา ซึ่งผลก็เป็นไปตามคาดนั่นคือศาลอุทธรณ์รัฐบาลกลางปฏิเสธคำขอนี้
ศาลอุทธรณ์รัฐบาลกลางลงมติเป็นเอกฉันท์ปฏิเสธคำขอนี้ โดยให้เหตุผลว่าไม่มีเหตุผลที่ต้องให้การคุ้มครองฉุกเฉิน ทำให้ TikTok ต้องเดินหน้าสู่ขั้นตอนถัดไปคือการอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ซึ่งอาจใช้เวลาพิจารณาคดีอีกระยะหนึ่ง และไม่ทันวันที่ 19 มกราคมนี้ ทำให้แอปถูกแบนก่อน
TikTok สำนักงานแคนาดายื่นคำร้องต่อศาลรัฐบาลกลาง เพื่อขอให้ออกคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉิน ตามที่รัฐบาลแคนาดาออกคำสั่งปิดสำนักงานในประเทศเมื่อเดือนที่แล้ว
TikTok บอกว่าคำสั่งนี้สร้างผลกระทบต่อพนักงานและชุมชนที่เกี่ยวข้องจำนวนหลายร้อยคน ซึ่งพวกเขามีหน้าสนับสนุนชุมชนผู้ใช้งาน TikTok ในแคนาดาที่มีมากกว่า 14 ล้านคน โดยเชื่อว่ารัฐบาลแคนาดาสามารถหาทางออกในประเด็นที่กังวลได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อพนักงานในประเทศ
TikTok ยื่นคำร้องต่อศาลสหรัฐเพื่อขอให้ออกคำสั่งฉุกเฉิน ไม่ให้แอปถูกแบนในสหรัฐอเมริกาที่จะมีผลบังคับใช้เดือนหน้า ซึ่งคำร้องนี้ออกมาหลังจากศาลอุทธรณ์รับรองคำสั่งแบนนี้ ทำให้ TikTok ต้องอุทธรณ์ต่อที่ศาลฎีกาสูงสุด แต่การพิจารณาอาจไม่ทันกำหนดเวลาในวันที่ 19 มกราคมนี้
TikTok บอกว่าแพลตฟอร์มมีผู้ใช้งานชาวอเมริกามากกว่า 170 ล้านคน และประเมินผลกระทบจากการสั่งแบน ว่าธุรกิจขนาดเล็กที่ทำการตลาดบนแพลตฟอร์ม จะมีผลกระทบรายได้ถึง 1 พันล้านดอลลาร์ ส่วนครีเอเตอร์สูญเสียรายได้ภายในเดือนเดียวถึง 300 ล้านดอลลาร์ โดยอ้างอิงจากตัวเลขรายได้โฆษณาบนแพลตฟอร์ม
ศาลอุทธรณ์แห่งรัฐบาลกลางสหรัฐออกคำสั่งรับรอง ว่าการสั่งแบน TikTok โดยรัฐสภาฯ นั้นชอบด้วยกฎหมาย ไม่ได้ขัดกับหลักรัฐธรรมนูญตามที่ TikTok ฟ้องกลับ ทำให้กำหนดเวลาที่ TikTok ต้องขายกิจการในอเมริกา ยังคงเป็น 19 มกราคม 2025 เหมือนเดิม มิฉะนั้นแพลตฟอร์มจะถูกแบนในประเทศสหรัฐอเมริกา
ผู้พิพากษา Douglas Ginsburg อธิบายว่ารัฐธรรมนูญนั้นปกป้องสิทธีเสรีภาพการแสดงในสหรัฐอเมริกา คำสั่งของรัฐบาลสหรัฐที่ออกมานั้น ก็เพื่อปกป้องเสรีภาพจากการรุกรานของต่างชาติ และเพื่อจำกัดการเข้าถึงข้อมูลของประชาชนในประเทศ
บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ออกแถลงการณ์หลังจากรัฐบาลออสเตรเลียอนุมัติกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ใช้งานโซเชียลมีเดียในทุกกรณี ซึ่งเป็นประเทศแรกในโลกที่ออกกฎหมายนี้ และอาจเป็นต้นแบบให้ประเทศอื่นศึกษาดูแนวทางตาม
Meta บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram บอกว่าบริษัทเคารพและพร้อมปฏิบัติตามกฎหมายของออสเตรเลีย แต่แสดงความกังวลว่ากฎหมายนี้ถูกเร่งรัดออกมา โดยยังไม่มีข้อมูลหลักฐานสนับสนุนชัดเจน ขณะที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างพัฒนาระบบแสดงเนื้อหา ให้เหมาะสมกับอายุผู้ใช้งาน รวมทั้งมีระบบให้ผู้ปกครองติดตามอยู่แล้ว