Disney+ ประกาศรายละเอียดแพ็คเกจรับชมแบบมีโฆษณา ซึ่งดิสนีย์เคยพูดถึงก่อนหน้านี้ โดยแพ็คเกจใหม่นี้มีผลเฉพาะกับลูกค้าในอเมริกา ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2022 เป็นต้นไป
แพ็คเกจใหม่ที่มีเฉพาะ Disney+ จะแบ่งเป็นแบบ Basic มีโฆษณา ราคา 7.99 ดอลลาร์ต่อเดือน ซึ่งเป็นราคาเดิมของแพ็คเกจแบบไม่มีโฆษณา และอีกแพ็คเกจคือ Premium ที่ไม่มีโฆษณา ปรับราคาขึ้นเป็น 10.99 ดอลลาร์ต่อเดือน นอกจากนี้ดิสนีย์ยังมีแพ็คเกจแบบบันเดิลที่รวม Hulu และ ESPN+ อีกด้วย
Warner Bros. Discovery บริษัทที่เกิดจากการควบรวมของ Warner Media และ Discover แถลงผลประกอบการครั้งแรกในฐานะบริษัทใหม่ รายได้ไตรมาส 2/2022 อยู่ที่ 9.8 พันล้านดอลลาร์ ขาดทุนสุทธิ 3.4 พันล้านดอลลาร์ เป็นผลจากการด้อยค่าสินทรัพย์และปรับโครงสร้างต่างๆ
Amazon Prime Video บริการสตรีมมิ่งในเครือ Amazon ให้บริการกับลูกค้าในประเทศไทยมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว แต่วันนี้ Amazon ประกาศเริ่มทำตลาดในไทยอย่างเป็นทางการ โดยดึงเอามาริโอ้ เมาเร่อ มาทำแคมเปญโฆษณาให้ลูกค้าในไทยรู้จัก
Amazon ยังประกาศลงทุนทำเนื้อหาออริจินัล (Local Originals) เรื่องแรกของประเทศไทย Comedy Island: Thailand มีกำหนดออกอากาศในปี 2566 และระบุว่ามีเนื้อหาออริจินัลจากประเทศไทยอีกหลายเรื่องอยู่ระหว่างการพัฒนา
NFL ลีกอเมริกันฟุตบอล เปิดตัวบริการสตรีมมิ่ง NFL+ ตามที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ คิดค่าบริการที่ 4.99 ดอลลาร์ต่อเดือน หรือจ่ายรายปี 39.99 ดอลลาร์ ส่วนลูกค้าบริการตัวเดิม NFL Game Pass จะถูกเปลี่ยนมาเป็น NFL+ แทน นอกจากนี้ยังมี NFL+ Premium ที่ราคา 9.99 ดอลลาร์ต่อเดือน ไม่มีโฆษณาสำหรับการชมย้อนหลัง และเพิ่มมุมกล้องอื่นเข้ามา
อย่างไรก็ตามในช่วงแรกคอนเทนต์ที่รับชมได้ยังจำกัด เฉพาะแมตช์พรีซีซัน โพสต์ซีซัน ไม่รวมแมตช์ปกติที่มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ช่องปกติ หรือแมตช์สำคัญที่มีผู้ซื้อลิขสิทธิ์ไปแล้ว และรับชมได้ผ่านสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตเท่านั้น แต่คาดว่าจะมีการปรับรูปแบบในอนาคตต่อไป
Amazon Prime Video บริการสตรีมมิ่งในเครือ Amazon ปรับอินเทอร์เฟซของแอพใหม่ เปลี่ยนมาใช้หน้าตาคล้ายกับสตรีมมิ่งค่ายอื่นๆ ที่เราคุ้นเคย โดยเริ่มจากเวอร์ชัน Android และสมาร์ททีวี กล่องสตรีมมิ่ง เกมคอนโซลก่อน จากนั้นเวอร์ชัน iOS และเว็บจะตามมาทีหลัง
อินเทอร์เฟซแบบใหม่ของ Prime Video ใช้แนวทางเมนูแยกหมวดหมู่แนวตั้ง วางชิดที่ขอบซ้ายมือสุดของหน้าจอ ส่วนรายการในแต่ละหมวดจะเป็นแถบเลื่อนแนวนอน พร้อมโชว์ภาพโปรโมทขนาดใหญ่บนหน้าจอ
ตัวแทนของ Amazon บอกว่าออกแบบอินเทอร์เฟซใหม่ให้เรียบง่ายขึ้น หน้าตาไม่รกเหมือนเวอร์ชันก่อน กระบวนการออกแบบและพัฒนาใช้เวลาทั้งหมด 18 เดือน นอกจากนี้อินเทอร์เฟซใหม่ยังโชว์รายการกีฬาสด (ในสหรัฐ) ให้เด่นชัดขึ้นด้วย
หนึ่งในข่าวเซอร์ไพร์สของแวดวงไอทีเมื่อสัปดาห์ที่แล้วคือ Netflix เลือกไมโครซอฟท์เป็นพาร์ทเนอร์โฆษณา สำหรับบริการสตรีมมิ่งแบบมีโฆษณาที่ประกาศไว้ ถือว่าพลิกโผจากเดิมที่มีชื่อของ Comcast และกูเกิลว่าเข้ามาแข่งขันด้วย (เมื่อพูดถึงชื่อไมโครซอฟท์ คงไม่มีใครนึกถึงในแง่โฆษณาแบบวิดีโอสักเท่าไรนัก)
Wall Street Journal รายงานเบื้องหลังการชิงชัยครั้งนี้ว่า เหตุผลหนึ่งที่ไมโครซอฟท์ชนะ เป็นเพราะยืนยันว่าจะไม่ทำบริการสตรีมมิ่งมาแข่งกับ Netflix แน่นอน ส่วนเอกสารภายใน Netflix เองระบุว่าเลือกไมโครซอฟท์เพราะนโยบายด้านข้อมูลส่วนตัว, แพลตฟอร์มเทคโนโลยี และทีมเซลส์ของบริษัท
Chrunchyroll เว็บสตรีมมิ่งอนิเมะรายใหญ่ของโลก ที่ปัจจุบันอยู่ในเครือ Sony Pictures ประกาศลดราคาค่าสมาชิกรายเดือนลงในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย
ราคาแพ็กเกจพรีเมียมของประเทศไทย แบบพื้นฐาน (Fan) ลดเหลือ 69 บาท/เดือน ส่วนแพ็กเกจแบบ Mega Fan ที่รองรับการชมออฟไลน์ และสตรีมพร้อมกันได้ 4 จอ อยู่ที่ 89 บาท/เดือน หากซื้อรายปีจะเหลือ 899 บาท หรือตกเดือนละ 75 บาท (ลดจากรายเดือนอีก 16%)
Crunchyroll ไม่ได้ระบุว่าทำไมถึงสวนกระแสตลาด ด้วยการลดราคาครั้งใหญ่ในหลายประเทศมาก เหตุผลหนึ่งที่เป็นไปได้คือหลัง Sony ซื้อกิจการและรวมบริการ Crunchyroll กับ Funimation เข้าด้วยกัน จึงปรับแพ็กเกจราคาที่แตกต่างกันให้ไปในทิศทางเดียวกัน
ก่อนหน้านี้ Netflix ได้ทดสอบระบบใหม่เพื่อแก้ปัญหาการหารบัญชี แชร์รหัสผ่าน แต่อยู่คนละบ้าน โดยเริ่มที่ ชิลี คอสตาริกา และเปรู ล่าสุด Netflix ได้ทดสอบระบบป้องกันปัญหานี้เพิ่มในอีก 5 ประเทศ คือ อาร์เจนตินา เอลซัลวาดอร์ ฮอนดูรัส กัวเตมาลา และสาธารณรัฐโดมินิกัน ซึ่งทั้งหมดอยู่ในกลุ่มลาตินอเมริกา โดยใช้วิธีการที่ต่างออกไป
Netflix ประกาศว่าไมโครซอฟท์จะมาเป็นพาร์ทเนอร์ สำหรับให้บริการระบบโฆษณา ในแพ็คเกจรับชมแบบมีโฆษณาที่บริษัทเคยเกริ่นก่อนหน้านี้ โดยไมโครซอฟท์จะมาช่วยทั้งส่วนของเทคโนโลยีและการขายโฆษณา
Netflix ให้เหตุผลที่เลือกไมโครซอฟท์เป็นพาร์ทเนอร์ ว่าบริษัทสามารถสนับสนุนได้ทุกความต้องการที่ Netflix มองหา รวมทั้งพร้อมปรับแนวทางร่วมกับบริษัทได้ ตลอดจนมีระบบป้องกันความเป็นส่วนตัวที่ดี
ส่วนคำถามสำคัญว่าแล้วแพ็คเกจราคาถูกลง แบบมีโฆษณา จะเริ่มมีให้บริการเมื่อใด Greg Peters ซีโอโอ Netflix บอกว่า สถานะตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นมาก ๆ และไม่ได้บอกกรอบเวลามา
Roger Goodell ประธานลีกอเมริกันฟุตบอล NFL ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ยืนยันว่าจะทำบริการสตรีมมิ่งของตัวเองชื่อ NFL+ ในฤดูกาลแข่งขันใหม่ 2022 ที่จะเริ่มในเดือนกันยายนนี้
ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าบริการ NFL+ จะมีเนื้อหาอะไรให้ชมบ้าง และมีแพ็กเกจราคาอย่างไร โดย Goodell บอกเพียงว่าบริการในช่วงเริ่มต้นจะยังค่อนข้างจำกัด แต่จะค่อยๆ เพิ่มเนื้อหาให้ดีขึ้นในระยะยาว
Stranger Things ซีซั่นที่ 4 เป็นซีรี่ส์บน Netflix เรื่องที่ 2 ที่ทำสถิติจำนวนชั่วโมงการรับชมสูงกว่า 1 พันล้านชั่วโมงต่อจาก Squid Game (1.65 พันล้านชั่วโมง) ซึ่ง Netflix วัดผลช่วง 28 วันแรกที่เริ่มฉาย
ตัวเลขล่าสุดของ Stranger Things ซีซั่นที่ 4 อยู่ที่ 1.15 พันล้านชั่วโมง และเนื่องจากซีรี่ส์ส่วน Volume 2 เพิ่งเริ่มฉายวันที่ 1 กรกฎาคม ตัวเลขจึงอาจเพิ่มสูงขึ้นได้อีก แต่จะแซง Squid Game หรือไม่ ต้องรอดูต่อไป
Stranger Things ซีซั่นที่ 4 Volume 2 ทำสถิติผู้ชม 301.3 ล้านชั่วโมง ใน 3 วันแรกที่เปิดตัว ส่วน Volume 1 ตัวเลขอยู่ที่ 335 ล้านชั่วโมง
Ted Sarandos ซีอีโอร่วม Netflix กล่าวในงานเทศกาลโฆษณา Cannes Lions ยืนยันว่า Netflix เตรียมออกแพ็คเกจที่มีโฆษณาแน่นอนในอนาคต ซึ่งเคยมีรายงานข่าวออกมาก่อนหน้านี้แล้ว หลังจากจำนวนสมาชิกลดลงในไตรมาสที่ผ่านมา และราคาหุ้นก็ปรับลดลงไปมาก
โดย Sarandos บอกว่า ยังมีลูกค้าอีกจำนวนมาก ที่มองว่าค่าสมาชิก Netflix แพงเกินไป แต่ถ้าจะมีราคาถูกกว่านี้แล้วมีโฆษณา พวกเขาก็ยอมรับได้ ซึ่งแพ็คเกจนี้จะเป็นทางเลือกเท่านั้น ไม่ใช่การแทรกโฆษณาเข้าไปให้กับสมาชิกทั้งหมด
การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดสตรีมมิ่ง ทำให้เจ้าตลาดอย่าง Netflix ต้องปรับกลยุทธ์ที่เคยใช้ได้ผลมายาวนานหลายอย่าง เช่น การมีแพ็กเกจราคาถูกลง แลกกับการมีโฆษณา, หันมาทำตลาดเกม และอาจทำคอนเทนต์ถ่ายทอดสด
ล่าสุดนักวิเคราะห์คาดว่าอีกนโยบายที่ต้องเปลี่ยนคือ การออกฉายซีรีส์รวดเดียวทั้งซีซัน เพื่อให้ผู้ชมดูได้ต่อเนื่อง (binge watch) ซึ่งสวนทางกับค่ายหนังอื่นๆ ที่ออกซีรีส์ใหม่สัปดาห์ละ 1 ตอน เพื่อดึงให้ผู้ชมจ่ายค่าสมาชิกไปนานที่สุดเท่าที่ทำได้
Media Partners Asia (MPA) บริษัทที่ปรึกษาและวิจัยตลาดสื่อ ออกรายงานวิเคราะห์ตลาดวิดีโอสตรีมมิ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีข้อมูลของประเทศไทยด้วย
ข้อมูลของ MPA มาจากการสำรวจผู้บริโภคใน 5 ประเทศ (อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย) ร่วมกับข้อมูลเชิงสถิติจากสมาร์ทโฟนของผู้บริโภคจำนวน 6,422 ราย พบประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
สำนักข่าว TechCrunch ได้รับการยืนยันจาก Disney ว่า หากบริการ Disney+ เปิดตัวแพ็คเกจราคาประหยัดที่มีโฆษณาระหว่างรับชม ตัวแพ็คเกจจะไม่มีการยิงโฆษณาในรายการที่มีเนื้อหาเหมาะกับ Preschooler หรือเด็กวัย 3-5 ปี และจะไม่มีการทำ Targeting หรือโฆษณาที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละคนเด็ดขาด
นอกจากนี้ Disney ยังยืนยันว่า แพ็คเกจราคาประหยัดที่มีโฆษณาระหว่างรับชมจะจำกัดโฆษณาให้เฉลี่ยที่ 4 นาที/ชม. โดยแพ็คเกจดังกล่าวจะเริ่มให้บริการในสหรัฐอเมริกาภายในสิ้นปี 2022 ก่อนขยายไปในตลาดอื่น ๆ แต่ถึงตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่า แพ็คเกจนี้มีราคาเท่าไร
เว็บข่าวไอที The Information อ้างรายงานการสำรวจข้อมูลจากบริษัท Antenna ระบุว่าสมาชิก Netflix ยกเลิกบริการในอัตราที่เพิ่มขึ้นจากเดิม
สถิติของ Antenna ระบุว่าการยกเลิกสมาชิกในไตรมาส 1/2022 มีจำนวน 3.6 ล้านราย เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนๆ หน้าที่เฉลี่ยอยู่ราว 2.4-2.6 ล้านรายต่อไตรมาส
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ สัดส่วนของสมาชิกที่สมัครมานานๆ แล้วยกเลิก (สีเทาในชาร์ท) เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย โดยสัดส่วนสมาชิกที่อยู่มานานเกิน 3 ปีแล้วยกเลิก เพิ่มสูงจาก 5% ในไตรมาส 1/2020 มาเป็น 10% ในไตรมาส 1/2021 และเพิ่มเป็น 13% ในไตรมาส 1/2022 ซึ่งถือเป็นสัญญาณไม่ดีนักสำหรับบริษัท
Paramount กลุ่มบริษัทสื่อบันเทิงเจ้าของสตูดิโอภาพยนตร์ Paramount เปิดเผยตัวเลขผู้สมัครใช้งานสตรีมมิ่ง Paramount+ ในรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด มีจำนวนเพิ่มขึ้น 6.8 ล้านบัญชีในไตรมาสเดียว ทำให้จำนวนสมาชิกรวมอยู่ที่ 39.6 ล้านบัญชี
Paramount+ เป็นสตรีมมิ่งที่รวมคอนเทนต์ภาพยนตร์จาก Paramount ซีรี่ส์ออริจินัลเช่น Halo, Star Trek Prodigy และถ่ายทอดสดกีฬาในอเมริกา ปัจจุบันให้บริการในอเมริกา ละตินอเมริกา แคนาดา กลุ่มประเทศ Nordic และในตะวันออกกลาง มีแผนขยายมาอังกฤษ ไอร์แลนด์ และเกาหลีใต้ เร็ว ๆ นี้ แพ็คเกจมีสองรูปแบบคือราคาถูกแบบมีโฆษณา และจ่ายแพงขึ้นแบบไม่มีโฆษณา
อัพเดต CNN ยืนยันข่าวนี้อย่างเป็นทางการแล้ว
The New York Times อ้างแหล่งข่าวไม่เปิดเผยตัวว่าระุว่า WarnerMedia/Discovery เตรียมปิดบริการ CNN+ หลังจากเปิดบริการมาไม่ถึงเดือนเท่านั้น
บริการสตรีมมิ่งนั้นเป็นธุรกิจที่ต้องการเงินลงทุนสูงเพื่อซื้อคอนเทนต์มาให้บริการต่อเนื่อง ตัวบริการ CNN+ เองก็เคยประกาศแผนว่าจะลงทุนเพิ่มอีกถึงพันล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาสี่ปีข้างหน้า แต่เมื่อ WarnerMedia ควบรวมกับ Discovery แล้วตอนนี้ก็มีแรงกดดันสูงให้ลดหนี้และรายจ่ายบริษัทลง นอกจากนี้ยอดสมาชิกช่วงเปิดตัวยังมีเพียงไม่ถึงหมื่นราย
WarnerMedia บริษัทแม่ของ HBO (ที่เพิ่งควบรวมกับ Discovery เป็น Warner Bros. Discovery เสร็จหมาดๆ) รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2022 โดยฝั่ง HBO มีสมาชิก 76.8 ล้านคน เพิ่มขึ้น 3 ล้านคนในไตรมาสที่ผ่านมา สวนทางกับ Netflix ที่มีสมาชิกลดลง 2 แสนราย (เหตุผลหลักคือถอนตัวจากรัสเซีย) และเพิ่มขึ้น 12.8 ล้านรายจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
วิธีการนับสมาชิกของ HBO นับรวมทั้งสมาชิกเคเบิลแบบดั้งเดิม และสมาชิกสตรีมมิ่ง HBO Max จึงอาจไม่สามารถเทียบกับบริการสตรีมมิ่งล้วนๆ อย่าง Netflix หรือ Disney+ ได้ตรงๆ
บริษัทวิจัยตลาด Kantar ประเมินว่ามีผู้ใช้งานในสหราชอาณาจักรประมาณ 1.5 ล้านราย หยุดเป็นสมาชิกบริการวิดีโอสตรีมมิ่ง (เช่น Netflix, Disney+, Apple TV+) ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2021 ด้วยเหตุผลเรื่องเงินเฟ้อ สินค้าแพง ค่าพลังงานแพง สภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ จึงจำเป็นต้องปรับลดค่าใช้จ่ายลง
ข้อมูลจาก Kantar บอกว่า 58% ของครัวเรือนที่สำรวจยังสมัครบริการสตรีมมิ่งอย่างน้อย 1 ยี่ห้อ แต่ตัวเลขก็ลดลง 1.3% จากสิ้นปี 2021
การเลิกจ่ายค่าสมาชิกสตรีมมิ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ดีนักสำหรับอุตสาหกรรมนี้ โดยเฉพาะในอังกฤษที่ต้องจ่ายค่าไลเซนส์การเป็นเจ้าของทีวี ในราคา 159 ปอนด์ต่อปีให้รัฐบาลอยู่แล้วด้วย ทำให้ผู้บริโภคไม่อยากจ่ายเพิ่มอีกมากนัก
Netflix ประกาศหยุดให้บริการสตรีมมิ่งทั้งหมดในรัสเซียแล้ว กระทบสมาชิกในรัสเซียประมาณ 1 ล้านคน
ธุรกิจของ Netflix ในรัสเซียเป็นการร่วมทุนกับบริษัทสื่อทีวี Nation Media Group ของรัสเซีย โดยเริ่มให้บริการเมื่อปี 2016
ก่อนหน้านี้ Netflix ประกาศหยุดถ่ายทำภาพยนตร์-โปรเจคต์ใหม่ๆ ในรัสเซีย และยกระดับมาตรการขึ้นเป็นการหยุดให้บริการทั้งหมด ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าสมาชิกเหล่านี้จะได้รับเงินคืนหรือไม่
นอกจากนี้ Netflix ยังประกาศนำสารคดี Winter on Fire: Ukraine’s Fight for Freedom ในปี 2015 (เป็นเรื่องของเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างยูเครน-รัสเซียช่วงปี 2014) มาเปิดให้ดูฟรีบน YouTube ด้วย
ดิสนีย์ประกาศว่าบริการสตรีมมิ่ง Disney+ จะเพิ่มทางเลือกการสมัครใช้งานแบบที่มีโฆษณาแทรก ส่วนแบบไม่มีโฆษณาเดิมก็ยังคงอยู่ โดยจะเริ่มต้นในอเมริกาก่อนเป็นแห่งแรก ช่วงปลายปีนี้ และจะขยายไปยังต่างประเทศในปี 2023
ทั้งนี้แพ็คเกจรับชมแบบมีโฆษณาจะไม่ฟรี แต่มีค่าบริการรายเดือนที่ถูกลง และดิสนีย์ก็อธิบายที่มาของแพ็คเกจแบบนี้ ว่าจะช่วยให้บริษัทไปถึงเป้าหมายที่ต้องการฐานผู้ชม Disney+ เป็น 230-260 ล้านคน ภายในปี 2024
แฟนๆ Marvel ที่ยังดูซีรีส์ Marvel บน Netflix ไม่ครบ อาจต้องเร่งมือหน่อย เพราะซีรีส์ที่ Marvel ทำร่วมกับ Netflix กำลังจะถูกถอดออกจาก Netflix หลังในวันที่ 1 มีนาคมนี้ แปลว่าวันสุดท้ายที่ดูได้ คือ 28 กุมภาพันธ์
สำหรับ Netflix ประเทศไทย เรื่องที่จะออกมีทั้ง Daredevil, The Punisher, Jessica Jones, Iron Fist, Luke Cage และ The Defenders ส่วนในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร จะเพิ่มเรื่อง Agents of SHIELD ที่จะหลุดไปด้วย เรียกได้ว่าไปทั้งแผง (ของไทยหลุดไปนานแล้ว)
Disney+ ประกาศขยายพื้นที่ให้บริการอีกรวดเดียว 42 ประเทศ 11 ดินแดน (territory) ส่วนใหญ่อยู่ในแอฟริกา ตะวันออกกลาง ยุโรปตะวันออก และหมู่เกาะต่างๆ ในมหาสมุทรแอตแลนติก แต่ยังไม่ประกาศกำหนดเวลาที่ชัดเจนของแต่ละประเทศ
การขยายประเทศล็อตใหญ่ของ Disney+ น่าจะช่วยให้ตัวเลขสมาชิกเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลล่าสุดที่ Disney เปิดเผยเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2021 มีสมาชิก 118.1 ล้านรายใน 60 ประเทศ แต่ไตรมาสล่าสุดเติบโตเพิ่มเพียง 2 ล้านรายเท่านั้น
กูเกิลประกาศปิดแผนก YouTube Originals ที่ทำคอนเทนต์เอ็กซ์คลูซีฟ ซีรีส์ สารคดี ภาพยนตร์ ที่มีเฉพาะบน YouTube
YouTube Originals เริ่มต้นในปี 2016 เพื่อเป็นจุดขายให้คนมาสมัครบริการพรีเมียม YouTube Red (ชื่อในตอนนั้นก่อนเปลี่ยนมาเป็น YouTube Premium) ตัวอย่างรายการในยุคแรกๆ ได้แก่ เรียลลิตี้โชว์ของ PewDiePie ไปเจอเหตุการณ์น่ากลัว, ซีรีส์ตลก Sing It!, ซีรีส์โรแมนติก Single by 30 เป็นต้น
รายการที่ดังที่สุดของ YouTube Originals น่าจะเป็นซีรีส์ Cobra Kai (ภายหลังย้ายไปอยู่ Netflix) นอกจากนี้ยังมีรายการพิเศษของ Barack Obama และวง BTS ด้วย