JioCinema แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของ Viacom18 บริษัทในเครือกลุ่มทุนรายใหญ่อินเดีย Reliance และกลุ่ม Star India ประกาศรวมบริการสตรีมมิ่งกับ Disney+ Hotstar ผู้ให้บริการคู่แข่งรายใหญ่ในอินเดีย ภายใต้ชื่อบริการใหม่ JioHotstar ซึ่งรวมคอนเทนต์ของทั้งสองแพลตฟอร์มไว้ด้วยกัน
แพลตฟอร์มใหม่ JioHotstar มีคอนเทนต์จากสตูดิโอใหญ่ในอเมริกาทั้ง Disney, Warner Bros., HBO, NBCUniversal Peacock และ Paramount ส่วนคอนเทนต์แม่เหล็กอย่างการแข่งขันคริกเกต IPL ถูกปรับมาเป็นระบบ Subscription จ่ายเงินรับชมทั้งหมด จากก่อนหน้านี้เป็นระบบมีตัวเลือกดูฟรีมีโฆษณา
Disney+ Hotstar เปิดตัวแคมเปญ Valentry เทศกาลลองรัก ให้ผู้ใช้งานได้ทดลองดูคอนเทนต์เอเชีย 45 เรื่อง แบบไม่มีค่าใช้จ่าย จำกัดบางตอน
แคมเปญนี้รวบรวมคอนเทนต์หลากหลายแนว หลัก ๆ เป็นซีรีส์เกาหลี ญี่ปุ่น และจีน ไม่ว่าจะเป็นแอ็กชัน, คอเมดี้, แอนิเมชัน, ดราม่า, แฟนตาซี, ทริลเลอร์, ไซไฟ และเรียลลิตี้
สามารถรับชมคอนเทนต์เอเชียทั้ง 45 เรื่องผ่านแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ Disney+ Hotstar ตลอดช่วงเดือนแห่งความรัก ตั้งแต่ 10 กุมภาพันธ์ – 31 มีนาคม 2025
ดิสนีย์รายงานผลประกอบการของไตรมาสเดือนธันวาคม กลุ่มธุรกิจให้บริการสตรีมมิ่ง Direct-to-Consumer มีรายได้รวมส่วนนี้ 6,072 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน มีกำไรจากการดำเนินงานเฉพาะส่วน 293 ล้านดอลลาร์
ในไตรมาสที่ผ่านมาธุรกิจสตรีมมิ่งของดิสนีย์มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ คือการปรับโครงสร้างธุรกิจ Star India ทำให้บริการ Disney+ Hotstar เฉพาะในอินเดียปรับโครงสร้างการถือหุ้นใหม่ และดิสนีย์เป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อย จึงไม่มีการรวมรายได้ส่วนของอินเดียเป็นรายได้ Direct-to-Consumer โดยตรง มีเฉพาะ Disney+ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งไทย ที่จะนำมารวม
ดิสนีย์รายงานผลการดำเนินงานของไตรมาสเดือนกันยายน เฉพาะกลุ่มธุรกิจสตรีมมิ่ง (Direct-to-Consumer) มีรายได้รวม 6,296 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรจากการดำเนินงาน 321 ล้านดอลลาร์ ทำให้ธุรกิจสตรีมมิ่งของดิสนีย์มีกำไรเป็นบวกติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สอง หลังจากเริ่มมีกำไรครั้งแรกในไตรมาสก่อนหน้านี้
ดิสนีย์บอกว่าการเติบโตของธุรกิจกลุ่มนี้มาจากจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้น ราคาสมาชิกที่ปรับเพิ่มขึ้นมา จำนวนโฆษณาที่ลงมากขึ้น และค่าใช้จ่ายที่ลดลงของ Disney+
Disney+ และ Hulu (ในอเมริกา) เป็นแอปสตรีมมิ่งล่าสุดที่ยกเลิกวิธีการสมัคร Subscription ผ่านระบบ In-App ของ App Store ของแอปเปิล เพื่อไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้แพลตฟอร์ม
ผลจากการเปลี่ยนแปลงนี้ ผู้ใช้งานใหม่จึงต้องสร้างบัญชีผ่านเว็บไซต์ภายนอกเท่านั้น ไม่สามารถทำผ่านแอปได้โดยตรง ส่วนผู้ใช้งานเดิมที่สมัครผ่านระบบ In-App อยู่แล้วยังจ่ายเงินผ่านช่องทางเดิมได้ต่อไป
Disney+ เริ่มส่งข้อความแจ้งผู้ใช้งานที่ใช้บัญชีรวมกับผู้อื่นแต่ไม่ได้อยู่ในบ้านหลังเดียวกันว่าตัวเลือกแชร์บัญชีแบบจ่ายเงินเพิ่มพร้อมใช้งานแล้ว โดยก่อนหน้านี้ Disney+ คอนเฟิร์มว่าจะจัดการสายหารและขึ้นราคาบริการในสหรัฐฯ
ต่อจากนี้ บัญชีที่มีผู้ใช้อยู่บ้านอื่นจะต้องจ่ายค่าบริการเพิ่มสำหรับการใช้บัญชีร่วม บริการนี้เปิดให้ใช้แล้วในบางตลาด เช่น สหรัฐฯ แคนาดา คอสตาริกา กัวเตมาลา ยุโรป และเอเชียแปซิฟิก
Disney+ Hotstar ประกาศปรับราคาแพ็กเกจในประเทศไทย โดยเลิกขายแพ็กเกจ Basic เดิม 799 บาทต่อปี เปลี่ยนมาขายแพ็กเกจ Standard ราคา 1,590 บาทต่อปี แต่ดูได้อุปกรณ์เยอะขึ้น ความละเอียดสูงขึ้นเป็น Full HD
เดิมทีนั้น Disney+ Hotstar ในไทยมีขาย 2 แพ็กเกจ คือ Basic และ Premium ดังนี้
แพ็กเกจใหม่ Standard ที่เข้ามาแทน Basic คือ
จากประเด็นที่มีคนต้องการฟ้องดิสนีย์ เนื่องจากภรรยาของเขา ไปกินอาหารที่ร้านอาหารในสวนสนุก Walt Disney World แล้วแพ้อาหารจนเสียชีวิต แต่ดิสนีย์บอกว่าไม่สามารถฟ้องได้ เพราะเคยทดลองสมัครใช้งาน Disney+ และยอมรับเงื่อนไขข้อหนึ่งว่าจะไกล่เกลี่ยกับดิสนีย์นอกศาลในทุกข้อขัดแย้ง ล่าสุดดิสนีย์ยอมถอยแล้ว
Josh D'Amaro หัวหน้าฝ่าย Experience ของดิสนีย์เปิดเผยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องอ่อนไหวและมีการสูญเสียบุคคล จึงต้องหาทางออกที่เหมาะสม บริษัทจึงละเว้นสิทธิที่ให้ไกล่เกลี่ยนอกศาล และให้ดำเนินเรื่องนี้ต่อไปในศาล
สร้างกระแสสำหรับแฟนๆ Star Wars ไว้ค่อนข้างมากกับซีรีส์ The Acolyte ตั้งแต่ก่อนฉาย ที่เป็นเรื่องแรกที่ย้อนกลับไปเล่าในยุค High Republic หรือจนกระทั่งหลังฉายก็ตาม โดยตอนสุดท้ายของซีรีส์มีการทิ้งท้ายปลายเปิดถึงซีซัน 2 เอาไว้ด้วย แต่ล่าสุด Disney สั่งยกเลิกซีรีส์ชุดนี้แล้ว
การยกเลิกก็แน่นอนว่าสาเหตุมาจากจำนวนผู้ชมมีไม่ถึงเกณฑ์ ขณะที่งบประมาณในการสร้างก็ถือว่าค่อนข้างสูง โดยใช้งบไปที่ 180 ล้านดอลลาร์ หรือเฉลี่ย 22.5 ล้านดอลลาร์ต่อตอน ด้านคะแนนรีวิวบน Rotten Tomatoes แม้ฝั่งนักวิจารณ์จะค่อนข้างดีที่ 70% แต่ฝั่งผู้ชมคือต่ำเตี้ยเรี่ยดินที่ 18%
ที่มา - Deadline
เจฟฟรีย์ พิกโคโล ต้องการฟ้องร้องดิสนีย์และเจ้าของร้านอาหารใน Walt Disney World ในข้อหาทำให้ผู้อื่นเสียชีวิตโดยมิชอบ เนื่องจากภรรยาของเขา แพทย์หญิงกนกพร แต่งสวน เสียชีวิตจากอาการแพ้อาหารอย่างรุนแรง
อย่างไรก็ตาม ดิสนีย์อ้างว่า เจฟฟรีย์ พิกโคโล ไม่สามารถฟ้องร้องได้เพราะเคยสมัครทดลอง Disney+ เป็นเวลา 1 เดือน ในปี 2019 และได้ยอมรับเงื่อนไขในการลงทะเบียนว่า จะไกล่เกลี่ยกับดิสนีย์นอกศาลในทุกข้อขัดแย้ง
AIS Play ออกแพ็กเกจสตรีมมิ่ง Disney+ Hotstar แบบพิเศษ ราคา 799 บาทต่อปี ได้สิทธิดู 2 อุปกรณ์รวมบนทีวี และเพิ่มความละเอียดเป็น Full HD
ปกติแล้ว Disney+ Hotstar ในประเทศไทย มีแพ็กเกจ 2 ระดับคือ
Disney ประกาศขึ้นราคาบริการสตรีมมิ่งในสหรัฐอเมริกาทั้ง 3 ตัวคือ Disney+, Hulu, ESPN+ โดยแพ็กเกจ Disney+ แบบมีโฆษณาเพิ่มจากเดือนละ 7.99 ดอลลาร์เป็น 9.99 ดอลลาร์ และแพ็กเกจแบบไม่มีโฆษณาเพิ่มจาก 13.99 ดอลลาร์เป็น 15.99 ดอลลาร์
การเปลี่ยนแปลงนี้จะมีผลในวันที่ 17 ตุลาคม 2024 เฉพาะลูกค้าในสหรัฐอเมริกา และไม่รวมถึงกรณีของไทยที่เป็นบริการแยกอีกตัวคือ Disney+ Hotstar ซึ่งขึ้นราคาไปก่อนแล้ว
ในงานแถลงผลประกอบการของ Disney เมื่อคืนนี้ ซีอีโอ Bob Iger ยืนยันว่าจะเริ่มใช้มาตรการแบนลูกค้าที่แชร์รหัสผ่านกันในเดือนกันยายน 2024 แบบเดียวกับที่ Netflix ทำมาก่อนแล้ว และประสบความสำเร็จดี
ดิสนีย์รายงานผลประกอบการของไตรมาสเดือนมิถุนายน โดยธุรกิจสตรีมมิ่งทั้งหมดของดิสนีย์ (กลุ่ม Direct-to-Consumer หรือ DTC รวมกับ ESPN+) มีกำไรจากการดำเนินงานเป็นครั้งแรก 47 ล้านดอลลาร์ จากไตรมาสก่อนหน้านี้เฉพาะ DTC (Disney+ และ Hulu) ที่มีกำไร
Bob Iger ซีอีโอดิสนีย์กล่าวว่าไตรมาสที่ผ่านมาธุรกิจบันเทิงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทั้งภาพยนตร์ใน Box Office และธุรกิจสตรีมมิ่งที่มีกำไรเป็นครั้งแรก โดย Inside Out 2 ทำรายได้ทั่วโลกมากกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ เป็นภาพยนตร์อนิเมชันทำเงินสูงสุดตลอดกาล
Disney+ มีจำนวนสมาชิกทั่วโลก 118.3 ล้านบัญชี โดยยังไม่รวม Disney+ Hotstar ที่มีสมาชิก 35.5 ล้านบัญชี ส่วน Hulu มีสมาชิก 51.1 ล้านบัญชี
ดิสนีย์มีโครงการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ใน Disney+ โดยตั้งเป้าหมายให้ผู้ใช้งานใช้เวลาบนแพลตฟอร์มนานขึ้น เพิ่ม Engagement ซึ่งเป็นแนวทางเหมือนกับที่ Netflix ให้ความสำคัญในปัจจุบัน
รายงานของ The Wall Street Journal บอกว่าการโฟกัสที่ Engagement ผู้ใช้งาน ช่วยสองเรื่องคือ ลดความเสี่ยงผู้ใช้งานหนีไปแพลตฟอร์มอื่น และสามารถขายโฆษณาในแพ็คเกจที่มีโฆษณาได้ดีขึ้น
ฟีเจอร์ใหม่ที่ Disney+ เตรียมนำมาเสริม หลายอย่างก็เป็นสูตรเดียวกับ Netflix ใช้ก่อนหน้านี้ เช่น อัลกอริทึมแนะนำคอนเทนต์แยกแต่ละผู้ใช้งาน, ภาพหน้าปกที่ปรับสำหรับแต่ละคน, อีเมลเตือนหากคอนเทนต์ที่ดูยังดูไม่จบ และการไม่ปล่อยซีรีส์ออริจินัลรวดเดียวจนจบ แต่ปล่อยเป็นชุด เพื่อให้มาตามดูทุกสัปดาห์
สตูดิโอแอนิเมชัน Pixar ประกาศปลดพนักงานประมาณ 175 คน คิดเป็น 14% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด ซึ่งไม่ได้เป็นข่าวใหม่เพราะ Pixar เคยยืนยันแผนการปลดพนักงานเมื่อเดือนมกราคม แต่จำนวนพนักงานน้อยกว่าที่คาดกันก่อนหน้าว่า 20%
Pixar ประสบปัญหาตั้งแต่ช่วงการระบาดโควิด ที่มีการปรับแผนนำภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องยาวตั้งแต่ Soul, Luca และ Turning Red ลงแพลตฟอร์ม Disney+ ทันทีเพื่อดึงผู้ชม แต่ผลคือเมื่อบริษัทกลับมานำภาพยนตร์แอนิเมชันฉายที่โรงภาพยนตร์ก่อนเหมือนเดิมอย่าง Lightyear ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ส่วน Elemental แม้จะทำเงินถึง 495 ล้านดอลลาร์ แต่ก็น้อยกว่าผลงานในอดีตของ Pixar
Disney Entertainment และ Warner Bros. Discovery สองค่ายหนังยักษ์ใหญ่ของโลกที่เป็นคู่แข่งกันมายาวนาน ประกาศจับมือเป็นพันธมิตรกันในธุรกิจสตรีมมิ่ง โดยจะออกแพ็กเกจสตรีมมิ่งใหม่ที่มัดรวมเอาบริการสตรีมมิ่งทั้งสองค่ายเข้าด้วยกัน
แพ็กเกจบันเดิลตัวใหม่จะได้ทั้ง Disney+, Hulu (ปัจจุบันเป็นของ Disney 100% แล้ว) และ Max (HBO Max เดิม) ตอนนี้ยังไม่ประกาศราคา แต่จะมีให้เลือกทั้งแบบมีและไม่มีโฆษณา และจะเริ่มให้บริการในสหรัฐอเมริกาช่วงฤดูร้อนกลางปีนี้
ดิสนีย์รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส โดยได้รายงานจำนวนสมาชิก Disney+ ทั่วโลก เพิ่มขึ้นกว่า 6 ล้านบัญชี เป็น 117.6 ล้านบัญชีทั่วโลก ขณะที่ Hulu เพิ่มขึ้นเป็น 50.2 ล้านบัญชี และ ESPN+ มี 24.8 ล้านบัญชี
ประเด็นสำคัญคือส่วนธุรกิจสตรีมมิ่ง (เรียกรวมว่า Direct-to-Consumer) มีกำไรจากการดำเนินงานเป็นครั้งแรก หลังจากที่ขาดทุนมาโดยตลอด รายได้เฉพาะส่วนนี้ 5,642 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 14% และมีกำไรจากการดำเนินงาน 47 ล้านดอลลาร์ ซึ่งดิสนีย์ให้เหตุผลว่ามาจากจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้น และราคาสมาชิกที่เพิ่มขึ้น
Bob Iger ซีอีโอดิสนีย์ กล่าวว่าผลประกอบการในไตรมาสเติบโตดีจากธุรกิจสตรีมมิ่งและสวนสนุก
ก่อนหน้านี้ดิสนีย์เคยประกาศแผน เตรียมป้องกันผู้ใช้งานหารหรือแชร์รหัสผ่าน Disney+ ระหว่างกัน ซึ่งบอกว่าน่าจะเริ่มได้ในปี 2024 แต่ยังไม่ระบุช่วงเวลา ล่าสุดดิสนีย์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมแล้ว
Bob Iger ซีอีโอดิสนีย์ ให้สัมภาษณ์กับ CNBC บอกว่าดิสนีย์จะเริ่มเปิดใช้ระบบป้องกันการแชร์รหัสผ่านในเดือนมิถุนายนนี้ เริ่มในไม่กี่ประเทศก่อน จากนั้นจะขยายไปทั่วโลกในเดือนกันยายน รูปแบบการทำงานจะคล้ายกับระบบป้องกันการหารของ Netflix นั่นคือหากตรวจสอบพบการรับชมจากบ้านคนละหลัง จะขึ้นข้อความเตือนให้สมัครสมาชิกพ่วง โดยจ่ายค่าบริการเพิ่มบางส่วน อย่างไรก็ตาม Iger ยังไม่ได้ลงรายละเอียดค่าบริการส่วนนี้
Disney+ เริ่มผนวกคอนเทนต์จาก Hulu เข้ามา ตามที่เคยประกาศไว้ ตัวอย่างคอนเทนต์ของ Hulu ที่เพิ่มเข้ามาใน Disney+ ได้แก่ Grey’s Anatomy, Only Murders in the Building, Poor Things, The Bear
Hulu เป็นบริการสตรีมมิ่งที่มีเฉพาะในสหรัฐ ที่ค่ายสื่อยักษ์ใหญ่ 3 ค่ายเคยร่วมลงขันกัน หลังจากนั้น Disney ซื้อหุ้นทั้งหมดของ Hulu คืนมาได้สำเร็จในช่วงปลายปี 2023 และประกาศแผนระยะยาวในการควบรวมแอพ Hulu เข้ากับ Disney+
Disney+ เปิดเผยสถิติการรับชมภาพยนตร์บันทึกการแสดงคอนเสิร์ต Taylor Swift: The Eras Tour (Taylor’s Version) โดยมีจำนวนการรับชม 4.6 ล้านครั้ง ใน 3 วันแรกที่ลงแพลตฟอร์ม ทำให้เป็นภาพยนตร์ดนตรีที่มีการรับชมสูงสุดที่เคยมีมา
ทั้งนี้จำนวนวิวที่ Disney+ คำนวณ ใช้จำนวนชั่วโมงที่ถูกสตรีมทั้งหมด หารด้วยความยาวของคอนเทนต์ ซึ่งกรณีคอนเสิร์ต Taylor Swift: The Eras Tour นี้ มีความยาว 3 ชั่วโมง 30 นาที
Taylor Swift: The Eras Tour (Taylor’s Version) เป็นบันทึกการแสดงคอนเสิร์ตจาก 3 รอบแรกที่แสดงในลอสแอนเจลิส เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว มีตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการว่าดิสนีย์จ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์สำหรับเผยแพร่บันทึกการแสดงคอนเสิร์ตนี้ทั่วโลก ด้วยมูลค่า 75 ล้านดอลลาร์
แอปเปิลประกาศรายชื่อแอปสตรีมมิ่ง, ดูวิดีโอ และกีฬา ที่สามารถรับชมได้บน Vision Pro ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มขายในอเมริกาวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ได้แก่ Disney+, ESPN, NBA, MLB, PGA Tour, Max, Discovery+, Amazon Prime Video, Paramount+, Peacock, Pluto TV, Tubi, Fubo, Crunchyroll, Red Bull TV, IMAX, TikTok และ MUBI นอกจากนี้ยังสามารถเข้าถึงคอนเทนต์ผ่าน Safari ใน Vision Pro ได้อีกช่องทาง
จุดขายหนึ่งของ Vision Pro คือรองรับการชมภาพยนตร์ทั้งแบบ 2D และ 3D ซึ่งได้ Disney+ เป็นพาร์ตเนอร์ที่นำภาพยนตร์บางส่วนให้เลือกชมแบบ 3D ได้ด้วย โดยเรื่องที่ระบุเช่น Avatar: The Way of Water, Dune, Spider-Man: Into the Spider-Verse และ The Super Mario Bros. Movie
เว็บไซต์ TechCrunch อ้างแหล่งข่าว รายงานว่าสตูดิโอแอนิเมชัน Pixar เตรียมปลดพนักงาน ซึ่งตัวเลขอาจสูงถึง 20% ของพนักงานทั้งหมด 1,300 คน
Pixar ยืนยันข่าวว่าจะมีการปลดพนักงานจริง แต่บอกว่าตัวเลข 20% นั้นสูงเกินจริง แม้ไม่ยอมบอกว่าจะปลดพนักงานออกทั้งหมดเท่าไร โดยกำหนดการปลดจะเกิดขึ้นภายในปี 2024 นี้
เหตุผลของการปลดพนักงานออกคงหนีไม่พ้นหนังของ Pixar ในช่วงหลังทำเงินได้ไม่ตามเป้า เช่น Lightyear, Onward และล่าสุดคือ Elemental ทำเงินจากการฉายทั่วโลกราว 496 ล้านดอลลาร์
ถึงแม้เป็นคู่แข่งกันโดยตรงในวงการสตรีมมิ่ง แต่เมื่อรายการไม่ได้ซ้อนทับกัน ดีลธุรกิจก็เกิดขึ้นได้เสมอ ล่าสุด Netflix เซ็นสัญญากับ Disney ซื้อไลเซนส์รายการในเครือ Disney รวม 14 รายการไปฉายบน Netflix ตามกรอบเวลา 18 เดือน
รายการสำคัญในดีลรอบนี้คือซีรีส์ Grey’s Anatomy ของสถานีทีวี ABC ในเครือ Disney ที่กำลังจะออกซีซัน 20 (Netflix ได้ 19 ซีซันก่อนหน้าไปฉาย) นอกจากนี้ยังมีซีรีส์เรื่องอื่น เช่น Lost, This Is Us, Prison Break, Archer, How I Met Your Mother, White Collar, Home Improvement, The Resident, ESPN 30 for 30, My Wife and Kids, Reba, The Bernie Mac Show, Wonder Years รวมถึงซีรีส์ใหม่ The Hughleys ที่จะเริ่มฉายในปีหน้า
การแข่งขันคริกเกตรายการ ICC World Cup นัดชิงชนะเลิศระหว่าง อินเดียและออสเตรเลีย เป็นรายการถ่ายทอดสดออนไลน์ที่ทำสถิติใหม่จำนวนผู้ชมพร้อมกันสูงสุดอีกครั้ง โดยตัวเลขที่ Hotstar แพลตฟอร์มถ่ายทอดสดรายงานคือ 59 ล้านคน
ก่อนหน้านี้สถิติเดิมที่บันทึกไว้คือรายการ ICC World Cup นี้เอง เมื่อเดือนตุลาคม คู่ระหว่าง อินเดียและปากีสถาน ตัวเลขอยู่ที่ 35 ล้านคน ต่อมาเมื่อกลางสัปดาห์ รอบรองชนะเลิศระหว่าง อินเดียและนิวซีแลนด์ มีผู้ชม 52 ล้านคน
ผู้บริหาร Disney+ Hotstar บอกว่าตัวเลขผู้ชมการแข่งขันคริกเกตแมตช์ที่อินเดียลงแข่ง สามารถทำสถิติผู้ชมพร้อมกันสูงสุดขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดทัวร์นาเมนต์ สะท้อนการสนับสนุนและความนิยมของแฟนคริกเกตในอินเดีย
ดิสนีย์รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ผ่านมา บริการสตรีมมิ่ง Disney+ มีสมาชิกเพิ่มขึ้น 6.9 ล้านบัญชี รวม 112.6 ล้านบัญชี โดยมีคอนเทนต์เด่นในไตรมาสคือภาพยนตร์ Elemental, Little Mermaid และ Guardians of the Galaxy Vol. 3 ส่วนซีรี่ส์ออริจินัลมี Ahsoka และซีรี่ส์เกาหลี Moving
การเติบโตนี้ทำให้ภาพรวมส่วนธุรกิจ Direct-to-Consumer มีรายได้เฉพาะส่วนเพิ่มขึ้น 12% เป็น 5,036 ล้านดอลลาร์ ขาดทุนจากการดำเนินงานลดลงเป็น 420 ล้านดอลลาร์