Ming-Chi Kuo นักวิจัยตลาดจาก KGI Securities ที่มีประวัติเรื่องข้อมูลของแอปเปิลที่แม่นยำ ได้ออกมาเผยว่าแอปเปิลจะไม่วางขายอุปกรณ์ประเภทสวมใส่ได้จนกว่าจะปลายปี 2014 และเชื่อว่าหากมีการเดินสายผลิตจริง คงจะเป็นช่วงครึ่งหลังของปี 2014
เขาได้ให้สาเหตุว่า แอปเปิลต้องการโฟกัสกับการเปลี่ยนแปลง iOS ในปีนี้อย่างเต็มที่ อีกทั้งตลาดอุปกรณ์สวมใส่ได้ยังไม่ใหญ่พอ ส่วนสาเหตุที่แอปเปิลเลือกที่จะทำอุปกรณ์สำหรับใช้บนข้อมือก่อนแว่นตา ก็เพราะว่าการผลิตแว่นตาอัจฉริยะจำนวนมาก ๆ นั้นเป็นไปได้ยากกว่าการทำนาฬิกาข้อมือ (ยกตัวอย่าง Google Glass)
สำหรับจุดขายของอุปกรณ์ที่ว่านี้ คงหนีไม่พ้นการทำงานร่วมกับอุปกรณ์ iOS ตัวอื่น เช่นการรับการแจ้งเตือน (notifications) รวมไปถึงคุณสมบัติทางด้านสุขภาพและกีฬา
มีข่าวลือว่าแอปเปิลเริ่มทดสอบหน้าจอ OLED ขนาด 1.5" สำหรับใช้กับ Smart Watch โดยข้อมูลดังกล่าวออกมาจากบล็อกภาษาญี่ปุ่น Macotakara ที่รวบรวมข้อมูลมาจากหนังสือพิมพ์ไต้หวัน Economic Daily News
หน้าจอ OLED ขนาด 1.5" นี้ไม่ใช่หน้าจอขนาดที่แอปเปิลตั้งใจจะใช้ตั้งแต่ต้น แต่เป็นการลดขนาดลงมาจาก 1.8" ที่ดูจะใหญ่เกินไป และหน้าจอล็อตนี้จะสั่งจาก RiTdisplay เพื่อมาผลิตสินค้าตัวอย่างจำนวน 1,000 ชิ้น โดยมีผู้ผลิตเป็น Foxconn นั่นเอง
เพิ่งถึงมือนักพัฒนาไปได้ไม่นาน Google Glass ก็ไม่แคล้วถูกเข้าถึง root จนได้ด้วยฝีมือของนักพัฒนาหลายรายเสียด้วย
โดยหนึ่งในนักพัฒนาที่ออกมาบอกว่า root Google Glass ได้แล้วมี Jay Freeman หรือที่ชาวเจลเบรครู้จักกันดีในชื่อ Saurik แห่ง Cydia ที่ออกมาบอกว่าเขา root Google Glass ด้วยการหลอกให้ตัวฮาร์ดแวร์นั้นคิดว่าตัวมันเป็นอีมูเลเตอร์ ซึ่งสามารถเข้าถึง root ได้อยู่แล้ว
นอกจาก Freeman แล้วยังมีนักพัฒนาอีกหลายรายที่ออกมาประกาศว่า root Google Glass ได้ แต่ไม่ระบุว่าใช้วิธีใด
หลังจากกูเกิลเผยสเปคพร้อมกับส่งมอบ Google Glass ให้ผู้สั่งชุดแรกไปบ้างแล้ว ก็มีผู้ใช้ที่ได้รับตัวแว่นของจริงนำมาแกะกล่อง พร้อมโชว์ฟีเจอร์พื้นฐานกันอย่างรวดเร็ว
แพ็คเกจของ Google Glass นั้นมาในกล่องทูโทนสีดำขาว ใส่มาในถุงสีขาวอีกที ทั้งถุงและกล่องพิมพ์โลโก้ และรุ่น XE (Explorer Edition) ภายในบรรจุตัวแว่นตา และอุปกรณ์คู่ตัวอย่างเคสพลาสติกแข็ง แป้นรองจมูกสองชุด สายชาร์จ และอแดปเตอร์
ในฐานะแว่นตา Google Glass สามารถประกอบเข้ากับเลนส์ได้ด้วยตัวมันเอง (แปลว่าใส่ครอบเฉยๆ ไม่ได้ละทีนี้) ตัวเลนส์ที่ติดมามีเลนส์ใส และเลนส์กันแดดเท่านั้น
เป็นข่าวลือมาได้ซักพักว่ายักษ์ใหญ่เสิร์ชเอนจินจากจีน Baidu กำลังซุ่มทำอุปกรณ์ไอทีแบบสวมใส่ได้มาแข่งกับ Google Glass ซึ่งวันนี้ทาง Baidu ก็ออกมายืนยันแล้วว่ากำลังทำอยู่จริง
โค้ดเนมของอุปกรณ์ชิ้นนี้ถูกเรียกกันภายในว่า "Baidu Eye" ฟีเจอร์ส่วนใหญ่ใกล้เคียงกับ Google Glass มาก ทั้งการควบคุมด้วยเสียง สามารถประมวลผลและจดจำภาพถ่าย ใบหน้าได้ รวมถึงมีจอ LCD ในตัว (ตรงนี้น่าจะต่างกับ Google Glass)
ตอนนี้ Baidu Eye ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นมากๆ แต่ก็พอมีภาพของตัวต้นแบบออกมาให้เห็นบ้างแล้ว เป้าหมายของตอนนี้ของ Baidu คือการจับมือกับ Qualcomm เพื่อทำให้ Baidu Eye สามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า 12 ชั่วโมง รวมถึงสร้างแพลตฟอร์มเพื่อให้นักพัฒนามาทำแอพลงในอนาคต
ใกล้ถึงช่วงส่งของชุดแรกของ Google Glass ก็มีรายงานจาก Financial Times ที่ระบุว่า Google Glass จะผลิตในสหรัฐฯ เป็นชิ้นที่สอง ต่อจาก Nexus Q ที่เปิดตัวไปเมื่อปีก่อน
เหตุผลที่กูเกิลเลือกผลิต Google Glass ในสหรัฐฯ เนื่องมาจากจำนวนการผลิตที่จำกัดเพียงไม่กี่พันชิ้น และการผลิตมีความซับซ้อน การผลิตในสหรัฐฯ จึงสามารถสอดส่องการทำงานได้ละเอียดขึ้น และการผลิตจำนวนมากหลังล็อตแรกก็ยังจะทำในสหรัฐฯ อยู่ดี
สำหรับสถานที่ผลิต และโรงงานตกเป็นของ Foxconn ในเมืองซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นถิ่นของกูเกิลนั่นเอง
ที่มา - Financial Times
Xiaomi แบรนด์ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนหน้าใหม่ของจีนที่กำลังถูกจับตามอง เตรียมออกของใหม่อย่างรองเท้าอัจฉริยะ (smartshoes) หลังจากก่อนหน้านี้ได้เปิดตัว smart tv ไปก่อนแล้ว
โดยแผนการณ์ smartshoes ของ Xiaomi ออกมาจากปากของ Li Moqiang รองประธานฝ่ายเทคโนโลยีที่บอกว่าเจ้ารองเท้าคู่นี้จะสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเพื่อวัดค่าต่างๆ เช่นจำนวนก้าวเดิน อัตราการเต้นหัวใจ เป็นต้น ซึ่งจะมาพร้อมกับแอพเพื่อสุขภาพเมื่อเปิดตัวอีกมากมาย และแน่นอนว่าจะทำราคาได้คุ้มค่าตามสไตล์ของ Xiaomi แน่นอน
คาดกันว่าเจ้ารองเท้านี้ถ้าหากเปิดตัวแล้วคงอยู่ในกลุ่มสินค้า "Coolplay" ที่ตอนนี้มีขายเสื้อ และรองเท้าธรรมดาอยู่ก่อนแล้ว (รองเท้าธรรมดาที่ว่าขายอยู่ 99 หยวน หรือประมาณ 465 บาทครับ)
ในงาน SWSX ปีนี้ กูเกิลเองก็ไปขึ้นเวทีกับเขาด้วย โดยพกเจ้าแว่นตาที่หลายคนหมายปองอย่าง Google Glass ไปโชว์ของ โดยเน้นไปที่การใช้งานแอพบน Google Glass ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง
แอพที่กูเกิลหยิบมาโชว์เริ่มตั้งแต่ New York Times ที่ฟีเจอร์พื้นฐานคือการแสดงพาดหัวข่าวพร้อมชื่อผู้เขียน และยังสามารถให้ Google Glass อ่านข่าวแบบเต็มๆ ได้ด้วย รวมถึงรองรับ breaking news อีกด้วย
แอพต่อมาเป็นของกูเกิลเองนั่นคือ Gmail ที่จะเห็นเมลเข้ามาพร้อมกับภาพของผู้ส่ง ผู้ใช้ Google Glass สามารถเปิดเมล และตอบกลับได้ด้วยการพูด (พิมพ์ด้วย voice dictation)
พร้อมๆ กับการเปิดจอง Google Glass รอบที่สอง กูเกิลก็ปล่อยวิดีโอพรีวิวฟีเจอร์ของเจ้า Google Glass ออกมาอีกรอบ ซึ่งคราวนี้มีอินเทอร์เฟซสำหรับใช้งานจริงมาด้วย
ภายในวิดีโอที่เผยออกมามีฟีเจอร์พื้นฐานของ Google Glass ไล่ตั้งแต่การถ่ายภาพนิ่ง ถ่ายวิดีโอ การค้นหาด้วยเสียง การสั่งงานด้วยเสียง วิดีโอคอล รวมถึงการแปลภาษา ซึ่งจะมีหน้าจอสำหรับแสดงผลทางด้านขวาบน
เนื่องจากการใช้งาน Google Glass แทบจะสั่งงานด้วยเสียงแทบทั้งหมด อินเทอร์เฟซที่ออกมาจึงไม่มีปุ่มให้เห็นเลย จะมีเพียงแต่สัญลักษณ์ที่บอกว่ากำลังใช้งานฟังก์ชันไหนอยู่เท่านั้น
ดูวิดีโอได้ท้ายข่าวครับ
ในงาน Google I/O กูเกิลเคยเปิดให้สั่งจอง Google Glass รุ่น Explorer ซึ่งใกล้ส่งของให้กับผู้จองชุดแรกในเร็ววันแล้ว ในวันนี้กูเกิลก็ได้เปิดให้ผู้สนใจตัว Google Glass สามารถสั่งจองรอบใหม่ได้แล้วโดยครั้งนี้จะจับไปที่กลุ่มครีเอทีพโดยเฉพาะ
วิธีการที่จะได้จอง Google Glass ล็อตใหม่นี้ กูเกิลจะเปิดให้ผู้สนใจสมัครเข้าร่วมโดยบอกว่าถ้าคุณมีเจ้าแว่นดังกล่าว คุณจะทำอะไรกับมันผ่านแท็ก #ifihadglass ทั้ง Google+ และ Twitter โดยมีข้อกำหนดนิดหน่อยดังนี้
ข้อมูลใหม่ชี้ว่า Google Glass มีลำโพงปล่อยเสียงบริเวณด้านหลังใบหู เพื่อส่งสัญญาณเสียงผ่านกระดูกเข้าสู่หูส่วนในโดยตรง ทำให้ผู้สวมใส่ได้ยินเสียงได้อย่างชัดเจนและมีความเป็นส่วนตัวสูง
ลักษณะของแว่น Google Glass จะมีขาแว่นที่ยาวเลยใบหูไปประมาณ 2 นิ้ว ซึ่งที่ส่วนปลายดังกล่าวมีลำโพงขนาดเล็กสำหรับส่งเสียงเตือนต่างๆ ผ่านกระดูกเข้าไปยังหูส่วนในของผู้สวมใส่ได้โดยตรง ด้วยวิธีนี้ทำให้ผู้สวมใส่แว่นไม่จำเป็นต้องอุดหูด้วยหูฟัง ทำให้ยังคงสามารถรับฟังเสียงอื่นๆ ภายนอกได้ตามปกติ ที่สำคัญคือการส่งสัญญาณเสียงวิธีนี้จะไม่มีเสียงเล็ดลอดให้ผู้ที่อยู่บริเวณข้างเคียงได้ยิน ซึ่งทำให้มีความเป็นส่วนตัวสูง
Vuzix บริษัทผู้ผลิตแว่นตาไฮเทคพ่วงเทคโนโลยีสมัยใหม่เปิดตัวแว่นตารุ่นใหม่ในชื่อ Vuzix M100 ที่มีหน้าตา และฟังก์ชันละม้ายคล้ายคลึงกับแว่นตาในฝันของคนแถวนี้อย่าง Google Glass
สเปคของ Vuzix M100 ใช้ซีพียูความถี่ 1GHz มีกล้องวิดีโอความละเอียด 720p หน่วยความจำภายใน 4GB มี GPS และสามารถแสดงผลไปยังนัยน์ตาที่ความละเอียด WQVGA (ราวๆ 432x240 พิกเซล) โดยใช้ระบบปฏิบัติการเป็น Android 4.0 รุ่นปรับแต่ง สามารถลงแอพได้ แบตเตอรี่ใช้ได้ราว 8 ชั่วโมง
การใช้งานของ Vuzix M100 มันสามารถดูวิดีโอ ส่งข้อความ อีเมล และฟังวิทยุได้ โดยทำงานร่วมกับอุปกรณ์พกพาที่เชื่อมต่อกันอย่างสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต (ทั้ง Android และ iOS) แน่นอนว่าใช้เป็นแฮนฟรีได้ด้วย
สำหรับคนที่อยากได้กล้องแบบสวมใส่ได้อย่าง [OMG Life](http://www.blognone.com/node/36731) แต่สู้ราคาไม่ไหว อาจลองมอง Memoto กล้องแบบสวมใส่จากบริษัทสัญชาติสวีเดนในชื่อเดียวกัน ที่เพิ่งมาระดมทุนผ่านเว็บ KickStarter ได้
ตัว Memoto รูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสขอบมนขนาด 36 มม. และมีคลิปไว้สำหรับหนีบเข้ากับเสื้อ ด้านหน้าของตัวเครื่องมีกล้องความละเอียด 5 ล้านพิกเซลที่จะถ่ายภาพอัตโนมัติทุกๆ 30 วินาที มี GPS สำหรับเก็บพิกัดรูปถ่าย ตัวเครื่องมีชิปแฟลชขนาด 8GB สำหรับเก็บภาพถ่ายได้ราวๆ 4,000 รูป แบตเตอรี่อยู่ได้เต็มสองวัน
ควันหลงจากงาน Photokina 2012 ครับ
อุปกรณ์เทคโนโลยีแบบสวมใส่ได้ (wearable) เริ่มถูกพูดถึงมากขึ้น และเริ่มมีบางค่ายเปิดตัวอุปกรณ์ที่ว่ามา ยกตัวอย่างเด่นๆ ก็อย่าง Google Glass
ล่าสุดมีบริษัทสัญชาติอังกฤษ Oxford Metrics Group ได้เปิดตัวกล้องถ่ายภาพอัตโนมัติ (Autographer) แบบห้อยคอได้ในชื่อ OMG Life ที่ผนวกกล้องเข้ากับเซนเซอร์ห้าอย่างได้แก่
ตั้งแต่ Google Glass เผยโฉมออกมา โลกเราก็หันไปให้ความสนใจกับอุปกรณ์ไอทีสวมใส่ได้ (wearable) กันมากขึ้น และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งแนวคิดที่เปลี่ยนของใช้ประจำวันอย่างเสื้อยืด ให้กลายเป็นอุปกรณ์ไฮเทคไปแล้ว
เสื้อยืดไฮเทคที่ว่านี้มีชื่อว่า tshirtOS ในแง่ความเป็นเสื้อผ้า มันคือเสื้อที่ทำจากผ้าฝ้ายร้อยเปอร์เซนต์ แต่แตกต่างตรงที่พ่วงมาพร้อมกับเซนเซอร์หลากชนิด กล้อง ไมโครโฟน ลำโพง และหน้าจอ LED
การทำงานของ tshirtOS คือสามารถต่ออินเทอร์เน็ตผ่านสมาร์ทโฟน เพื่อแสดงข้อความต่างๆ จากแอพบนหน้าจอ LED ด้านหน้าของเสื้อได้
จากข่าวก่อนหน้านี้ว่า Valve ประกาศรับสมัครพนักงานด้าน Hardware จนเกิดการคาดเดาว่ารับเพื่อไปทำ Steam Box ตามข่าวลือก่อนหน้า
Michael Abrash โปรแกรมเมอร์อาวุโสของ Valve ออกมาปฏิเสธข่าวนี้แล้ว โดยเขาให้ข้อมูลว่าโครงการฮาร์ดแวร์ของ Valve ยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก เพราะมันคือ "คอมพิวเตอร์ที่สวมใส่ได้" (wearable computing)