ปัจจุบัน Amazon กำหนดสเปคอุปกรณ์ที่รัน Alexa ระบบผู้ช่วยอัจฉริยะไว้ว่าจะต้องเป็นโปรเซสเซอร์ ARM Coretex-A และแรม 100MB ซึ่งข้อจำกัดนี้ทำให้ Alexa ถูกวางไว้เป็นผู้ช่วยสำหรับอุปกรณ์ที่เป็นฮับสำหรับควบคุมอุปกรณ์อื่น ๆ อีกทีหนึ่ง
ล่าสุด Amazon ได้ปรับสเปคอุปกรณ์ที่รัน Alexa ลง โดยใช้แรมเริ่มต้นเพียง 1MB และโปรเซสเซอร์ Coretex-M ซึ่งหมายความว่า Alexa สามารถรันได้ตั้งแต่อุปกรณ์ IoT พื้นฐานอย่างหลอดไฟหรือของเล่นชิ้นเล็ก ๆ ไปจนถึงฮับสำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์เหล่านี้เข้าด้วยกัน
Dirk Didascalou รองประธานฝ่าย AWS IoT ระบุว่า ตอนนี้ทางบริษัทได้ออฟโหลดงานส่วนใหญ่ไปยังคลาวด์แล้ว อุปกรณ์ก็เลยไม่จำเป็นต้องฉลาดอีกต่อไป ตอนนี้สิ่งเดียวที่อุปกรณ์ต้องทำคือเปิดระบบตรวจจับคำเท่านั้น
Amazon เปิดตัว Fire TV Blaster เครื่องควบคุมโทรทัศน์และกล่องเคเบิลด้วยแสงอินฟาเรด ทำงานเป็นตัวแทนรีโมต เมื่อตั้งค่าให้ทำงานกับ Amazon Echo เสร็จแล้ว จะสามารถสั่ง Alexa ให้คุมอุปกรณ์ที่ใช้แสงอินฟาเรดได้ เช่น เปิดปิดทีวี, คุมกล่องเคเบิล, เพิ่มลดเสียง sound bar ฯลฯ ได้
อย่างไรก็ตามผู้ที่ต้องการใช้ Fire TV Blaster ต้องมี Fire TV Stick with Alexa Voice Remote, Fire TV Stick 4K หรือ Fire TV รุ่นที่ 3 และ Amazon Echo (รองรับทั้งแบบ smart display และลำโพง) เพื่อใช้งานอุปกรณ์ชิ้นนี้
เซเว่น-อีเลฟเว่นในสหรัฐฯ ให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าถึงบ้านโดยสามารถพูดสั่ง Google Assistant บน Google Home และ Alexa บน Amazon Echo ได้ สินค้าจะจัดส่งถึงบ้านภายใน 30 นาที สั่งซื้อสินค้าไม่มีออเดอร์ขั้นต่ำ แต่มีค่าจัดส่งอยู่ที่ 3.99 ดอลลาร์ บริการส่งของ 24 ชั่วโมง
Alexa เพิ่มความสามารถใหม่ใน Alexa for Business แจ้งเตือนเพื่อนร่วมงานผ่านอีเมลถ้ามีแนวโน้มจะเข้าประชุมสาย สามารถทำงานเชื่อมกับปฏิทินในโซลูชั่นองค์กรได้ทั้ง Microsoft Office 365 หรือ Microsoft Outlook, Google G Suite หรือ Gmail และ Apple iCloud
เราเห็นเจ้าของ Smart Assistant ทั้ง Amazon และ Google พยายามหาทางให้ผู้ช่วยเหล่านี้เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันเรามากขึ้น รวมถึงสามารถเรียกใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น และความพยายามล่าสุดของ Amazon อาจจะแหวก ๆ หน่อยแต่ก็น่าสนใจ เมื่อบริษัทเปิดตัว Echo Frames และ Echo Loop แว่นและแหวนสำหรับเรียกใช้งาน Alexa
Echo Frames ภายนอกเป็นแค่แว่นธรรมดา ไม่ได้มีกล้องหรือหน้าจอ แต่ฝังมาด้วยลำโพงแบบ beamforming 4 ตัวสำหรับส่งเสียงเข้าไปในหูโดยตรง เบื้องต้นคาดว่าน่าจะต้องกดที่ขาแว่น (temple) เพื่อเรียกสั่งงาน Alexa ที่สำคัญคือ Amazon บอกว่าสามารถใช้เรียก Google Assistant ได้ด้วย สนนราคาพิเศษช่วงแรก (invitation only) อยู่ที่ 179.99 เหรียญและใช้งานได้กับแอนดรอยด์เท่านั้น
เมื่อคืน Amazon จัดงานเปิดตัวชุดฮาร์ดแวร์อัจฉริยะของตัวเองใหม่ยกชุดในกลุ่ม Echo ตั้งแต่ลำโพง หูฟังไปจนถึงแว่น โดยเริ่มด้วยตัวท็อปลำโพงสเตอริโอ Echo Studio ที่ชนกับ Sonos One, Apple HomePod และ Google Home Max มีลำโพง 5 ทิศทาง วูฟเฟอร์ขนาด 5.25 นิ้ว มีลำโพงเล็ก (tweeter) ติดมาให้ข้างใน 1 ตัวและลำโพงช่วง midrange 2 ตัว DAC แบบ 24-bit สามารถเล่นเสียงแบบ 3D ด้วย Dolby Atmos ร่วมกับ 360 Reality Audio ของโซนี สามารถสั่ง Alexa ให้เปิดเพลง 3D Music ได้เลย
Echo Studio สามารรถจับคู่กันแล้วแพร์กับอุปกรณ์ Fire TV ได้ รองรับ multi-channel, Dolby Atmos และ Dolby Audio 5.1 รวมถึงรองรับโปรโตคอล Zigbee ภายในตัว ราคาอยู่ที่ 200 เหรียยญ
ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน Amazon เจอเรื่องฉาวความเป็นส่วนตัวเมื่อ Bloomberg รายงานว่าพนักงาน Amazon ฟังคลิปเสียงการใช้งานระหว่างผู้ใช้กับ Alexa เพื่อพัฒนาระบบให้ดีขึ้น ซึ่ง Amazon ก็ไม่ใช่บริษัทเดียวที่ใช้แนวทางนี้ เพราะแอปเปิลและเฟซบุ๊กก็ทำเหมือนกัน แต่หยุดโครงการไปแล้วทั้งคู่
ล่าสุด ในงานประกาศฮาร์ดแวร์ชุดใหญ่ Amazon เพิ่มฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัวดังนี้
กูเกิลมีเสียงผู้ช่วยอัจฉริยะเป็นเสียง John Legend แล้ว Amazon ก็ขอบ้าง ล่าสุดเปิดตัวเสียงใหม่ในผู้ช่วย Alexa เป็นดาราดังผู้รับบท นิค ฟิวรี่ ในจักรวาล Marvel คือ Samuel L. Jackson นั่นเอง
Amazon ใช้เทคโนโลยี text-to-speech มาเลียนเสียงของ Samuel L. Jackson แทนที่จะให้เขามาอัดเสียง โดยเสียงของเขาจะเริ่มเปิดให้ใช้งานภายในปี 2019 นี้
Amazon ประกาศความร่วมมือกับผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และบริษัทเทคโนโลยีร่วมกว่า 30 เจ้า ในการทำให้ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สามารถรองรับผู้ช่วยอัจฉริยะ Alexa ภายใต้ชื่อความร่วมมือว่า Voice Interoperability Initiative
แบรนด์ที่เข้าร่วมได้แก่ Baidu, BMW, Bose, Harman, Logitech, Microsoft, Salesforce, Sonos, Sound United, Sony Audio Group, Spotify และ Tencent ฯลฯ เท่ากับว่าฮาร์ดแวร์ปละซอฟต์แวร์จากบริษัทที่เข้าร่วม จะรองรับการใช้งาน Alexa เข้าไปเป็นอีกหนึ่งทางเลือกผู้ช่วยอัจฉริยะ เพื่อให้เกิดความหลากหลายทางการใช้งานมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในรายชื่อแบรนด์ทั้งหมด ไม่มีชื่อ กูเกิล, แอปเปิล, ซัมซุง ทั้งๆที่เป็นบิ๊กเนมของวงการเทคโนโลยี คาดว่าเป็นความพยายามรวมตัวเพื่อสู้รายใหญ่
Alexa เพิ่มความสามารถใหม่ Show and Tell ช่วยเหลือผู้พิการทางสายตา ด้วยการส่งเสียงบอกได้ว่า สิ่งที่เรากำลังถืออยู่คืออะไร วิธีการคือ ต้องยกสิ่งของจ่อที่หน้ากล้องที่หน้าจออัจฉริยะ Echo Show และถามว่า “Alexa, what am I holding,” ระบบุก็จะส่งเสียงเป็นคำตอบออกมา
Sarah Caplener หัวหน้าทีม Alexa for Amazon ของ Amazon กล่าวว่า ได้แนวคิดนี้มาจากฟีดแบคจากผู้ใช้งานที่มีปัญหาทางสายตา ฟีเจอร์นี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานจัดเรียงสิ่งของบนชั้นวางของตัวเองได้ สามารถดูวิธีการใช้งานได้จากคลิปด้านล่าง
Amazon ประกาศเพิ่มความสามารถใหม่ให้ผู้ช่วยอัจฉริยะ Alexa ผู้ใช้สามารถพูดสั่ง Alexa ให้บริจาคเงินหนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือแคนดิเดตที่ชอบได้ โดยเงินจะจ่ายผ่าน Amazon Pay เริ่มบริจาคได้สูงสุด 200 ดอลลาร์ โดยพูดว่า Alexa, donate to [ชื่อแคนดิเดต]
eMarketeer บริษัทวิจัยด้านการตลาดได้ออกรายงานที่ว่าด้วยจำนวนผู้ใช้งาน Voice Assistant อย่าง Siri, Alexa และ Google Assistant ในสหรัฐ พร้อมระบุว่าเทคโนโลยีนี้ออกจากสถานะ early-adoption และกลายเป็นเทคโนโลยีที่แมส (mainstream) แล้ว ซึ่งรวมทั้งการใช้งานบนมือถือและลำโพงอัจฉริยะ
ตัวเลขผู้ใช้งานในสหรัฐเมื่อปี 2018 ที่ใช้งานอย่างน้อยเดือนละครั้ง eMarketeer คาดว่าจะอยู่ที่ราว 111.8 ล้านคน เพิ่มขึ้นมา 9.5% จาก 102 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว คิดเป็นสัดส่วน 39.4% ของจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตและ 33.8% ของประชากรทั้งหมด และคาดว่าปี 2021 ผู้ใช้จะอยู่ที่ราว 122.7 ล้าน คิดเป็น 42.4% ผู้ใช้งานอินเเทอร์เน็ตและ 36.6% ของประชากรสหรัฐ
Amazon ประกาศความสามารถทางภาษาของผู้ช่วยอัจฉริยะ Alexa ว่ากำลังพัฒนาให้สามารถรับคำสั่งและโต้ตอบกับผู้ใช้ในภาษาฮินดีได้ โดยเปิดรับให้นักพัฒนาเข้ามาพัฒนาทักษะ Alexa ในภาษาฮินดีผ่านช่องทาง Alexa Skills Kit โดยต้องเข้าไปเลือกเป็นภาษา IN ก่อนที่ Alexa Developer Console
ในอินเดียมีการใช้หลายภาษา โดยฮินดีเป็นหนึ่งในภาษาทางการที่คนอินเดียใช้กัน ซึ่ง Google Assistant มีรองรับภาษาฮินดีแล้ว
Bloomberg รายงานว่า Amazon กำลังเตรียมปล่อย Echo ระดับไฮเอนด์ภายในปีหน้า เน้นจับกลุ่มตลาดลำโพงอัจฉริยะไฮเอนด์อย่าง Sonos หรือ HomePod ของ Apple
สำหรับลำโพง Amazon Echo รุ่นไฮเอนด์ที่จะเปิดตัวนี้ จะมีขนาดตัวเครื่องที่กว้างกว่า Echo รุ่นปัจจุบัน โดยสเปคคร่าว ๆ คือจะมีทวีตเตอร์แยกกัน 4 ตัวเพื่อคุณภาพเสียงที่ดี มาพร้อมผู้ช่วยส่วนตัว Alexa เหมือน Echo รุ่นอื่น ๆ รวมถึงใช้งานร่วมกับบริการสตรีมมิ่งเพลงคุณภาพสูงของ Amazon ได้ด้วย (ปัจจุบันคาดการณ์ว่าบริการสตรีมมิ่งเพลงคุณภาพสูงของ Amazon อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบ)
Amazon ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ด้านความเป็นส่วนตัวของ Alexa ให้รองรับคำสั่ง “Alexa, delete what I said today” เพื่อสั่งให้ Alexa ลบข้อมูลที่สั่งการในวันนี้ทั้งหมด
การเพิ่มฟีเจอร์นี้ เพื่อให้ผู้ใช้สะดวกขึ้นในการลบข้อมูล เพราะคำถามบางอย่างก็ไม่สะดวกจะให้คนอื่นในบ้านรู้ และยังทำให้ภาพลักษณ์ของ Amazon ดูดีขึ้นด้วย เนื่องจากช่วงหลังมีข่าวเรื่อง Alexa ทำข้อมูลหลุดออกมา และมีกฎหมายใหม่ที่จะเริ่มบังคับใช้ในประเด็นนี้บ้างแล้ว Amazon จึงต้องเตรียมการไว้ก่อน
นอกจากคำสั่งลบคำพูดวันนี้แล้ว ก็มี “Alexa, delete what I just said” เพื่อสั่งลบสิ่งที่เพิ่งพูดไปเร็ว ๆ นี้ได้ด้วย แต่ Alexa จะยังไม่มีคำสั่งให้ลบทั้งหมด ผู้ใช้จะต้องเข้าไปลบที่หน้า Alexa Privacy เอง
ประกาศสำคัญอันหนึ่งในงาน Google I/O 2019 คือ การควบรวมแบรนด์สมาร์ทโฮม Nest เข้ามาอยู่ใต้ Google และยุบรวมโปรแกรม Works with Nest (WWN) ที่เชื่อมต่อแอพต่างๆ เข้ากับเครื่องใช้ไฟฟ้าของ Nest เข้ากับโปรแกรม Works with Google Assistant (WWGA)
ประกาศนี้ทำให้ลูกค้า Nest เดิมไม่พอใจ เพราะต้องย้ายบัญชี Nest มาใช้บัญชี Google Account แทน อีกครั้งฟีเจอร์หลายอย่างของฝั่ง Google Assistant ก็ยังไม่ทัดเทียมกับ Nest ด้วย
ล่าสุดกูเกิลจึงต้องออกมาลดแรงเสียดทานนี้ โดยประกาศว่า
Amazon ประกาศเปิดใช้งานโหมด Alexa Guard บน Amazon Echo แล้ว เป็นโหมดที่ช่วยให้ Alexa ช่วยปกป้องบ้าน ไม่ว่าจะจากไมโครโฟนของตัวลำโพง เพื่อฟังเสียงกระจกแตก, เสียงสัญญาณไฟไหม้ เป็นต้น ไปจนถึงทำงานร่วมกับหลอดไฟอัจฉริยะและอุปกรณ์ความปลอดภัยอื่นๆ ภายในบ้าน
ผู้ใช้ต้องเลือกเปิดในตัวเลือก Guard ในหน้า Setting ของ Alexa และสั่งงาน Alexa ก่อนออกจากบ้านว่า "I'm leaving" เพื่อเปิดใช้งาน โดยหาก Alexa พบความผิดปกติ จะส่งการแจ้งเตือนไปยังผู้ใช้บนสมาร์ทโฟน รวมถึงหากมีไฟอัจฉริยะอยู่ในบ้าน Alexa จะเปิดปิดไฟให้เหมือนมีคนอยู่บ้านให้ด้วย
Portal ฮาร์ดแวร์หน้าจอที่ไว้วิดีโอคอลคุยกันมีอัพเดตใหม่ในงาน F8 ด้วยเช่นกัน คือนอกจากจะคุยกันผ่านช่องทาง Facebook Messenger ได้แล้ว ยังคุยผ่าน WhatsApp ได้ด้วย
การเพิ่ม WhatsApp เข้ามานั้นหมายถึงผู้ใช้จะสามารถวิดีโอคอลกับเพื่อนได้แบบเข้ารหัส นอกจากนี้ยังเพิ่ม Facebook Live สร้างคลิปไลฟ์จากตัวฮาร์ดแวร์ได้เลย
Portal ยังมีการเพิ่มทักษะเสียงอัจฉริยะ Alexa ของ Amazon, Flash Briefings ตัวควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้าน, แอพ Amazon Prime Video พร้อมทั้งมีลูกเล่นใหม่เพิ่มคือสติกเกอร์แบบ AR และ Instant Games เล่นเกมผ่านแชทได้เหมือนอย่างที่ Messenger มี
Amazon ประกาศว่าตอนนี้นักพัฒนาสามารถเข้ามาร่วมฝึกทักษะ Alexa ผู้ช่วยอัจฉริยะในภาษาสเปนได้แล้วผ่าน Alexa Skills Kit และคาดว่า Alexa จะสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้งานเป็นภาษาสเปนได้ภายในปีนี้
ในสหรัฐฯมีคนพูดสเปนมากถึง 48.6 ล้านราย โดยเฉพาะในรัฐเทกซัส นิวเม็กซิโก แอริโซนา และแคลิฟอร์เนีย ที่มีพรมแดนใกล้เม็กซิโก ทักษะภาษาสเปนของ Alexa นอกจากจะมีในลำโพงฉริยะ Echo แล้ว ยังรวมถึงอุปกรณ์จากบริษัทอื่น เช่น Bose, Sony , Philips, TP Link และ Honeywell และ Facebook เองก็มีการคาดกันว่าจะเปิดตัวอุปกรณ์ที่มี Alexa บิวต์อินเข้ามา
ปัจจุบัน Alexa สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษ อิตาลี โปรตุเกส ญี่ปุ่น เยอรมัน ฝรั่งเศสได้
รัฐบาลอังกฤษประกาศว่าประชาชนสามารถถามข้อมูลรัฐ 12,000 ชิ้น จาก Alexa และ Google Assistant ได้แล้ว โดยทางรัฐบาลระบุว่าได้ทดลองโครงการให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลรัฐผ่านผู้ช่วยอัจฉริยะ โดยที่ประชาชนไม่ต้องพิมพ์ค้นหามาได้หกเดือนแล้ว ซึ่งตัวอย่างที่รัฐบาลยกมาจะเป็นข้อมูลทั่วไป เช่น ถามวันหยุดธนาคาร, ค่าแรงขั้นต่ำ, ถามหาสวัสดิการเด็ก, การทำพาสปอร์ต เป็นต้น
หลังจากลือมาสักระยะ วันนี้ Amazon ก็ได้เปิดตัวบริการสตรีมมิ่งเพลงแบบฟรีมีโฆษณาอย่างเป็นทางการแล้วในสหรัฐฯ เพิ่มเติมจาก Prime Music และ Music Unlimited เพื่อผู้ใช้อุปกรณ์ Alexa โดยเฉพาะ
Amazon ระบุว่า ผู้ใช้สามารถสั่งเล่นเพลงจากอุปกรณ์ที่มีระบบผู้ช่วยส่วนตัว Alexa ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการสั่งเล่นเพลงตามศิลปิน, ยุค, หรือเพลย์ลิสต์ โดยถ้าผู้ใช้ไม่ได้สมัครสมาชิก Prime จะมีโฆษณา แต่ถ้าสมัครสมาชิก Prime ไว้แล้วก็จะเป็น Prime Music โดยอัตโนมัติ (คือไม่มีโฆษณาแสดง) ส่วนไลบรารีก็จะใช้แบบเดียวกับ Prime Music คือมีเพลงอยู่ราว 2 ล้านเพลง (ส่วน Music Unlimited มีเพลงราว 50 ล้านเพลง)
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ตอนนี้ Amazon กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาหูฟังไร้สายแบบมี Alexa ในตัว เพื่อเป็นคู่แข่งกับ AirPods และหูฟังอื่น ๆ ในท้องตลาด โดยจะชูจุดเด่นเรื่องเสียงที่ดีกว่า AirPods และสามารถสั่ง Alexa ได้
ในรายงานระบุว่า Alexa บนหูฟัง Amazon จะสามารถสั่งสินค้า, เล่นเพลง หรือขอข้อมูลภาพอากาศและอื่น ๆ ได้ แต่ Amazon จะไม่ใส่ระบบเชื่อมต่อเครือข่ายโทรศัพท์มือถือเข้ามาให้ ดังนั้นหูฟังนี้จะต้องเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเพื่อใช้งาน
EA เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สำหรับเกม The Sims ทั้งฝั่งโลกแห่งความจริงคือ The Sims Alexa Skill และฝั่งโลกในเกมคือ Lin-Z ระบบผู้ช่วยส่วนตัวในเกม The Sims 4
สำหรับฟีเจอร์ Alexa skill ของ The Sims นั้น EA ได้ร่วมมือกับ Amazon พัฒนาระบบเพื่อให้ The Sims เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้เล่นเกมมากขึ้น โดยมีฟีเจอร์ดังนี้
ตอนนี้ The Sims Alexa Skill สามารถดาวน์โหลดได้แล้วทาง Alexa Skill Store
WeChat ถือเป็นแอพที่ครบเครื่องมากสำหรับคนจีนที่มีบริการหลายอย่างอยู่ข้างใน (คล้าย LINE) แต่ในแง่การใช้งานก็ต้องจำว่าเมนูแอพอยู่ตรงไหน ใช้งานอะไร ล่าสุด Tencent เจ้าของ WeChat เตรียมเปิดตัว Xiaowei ผู้ช่วยอัจฉริยะสั่งงานด้วยเสียงในการทำงานข้ามแอพในเครือ TenCent ไม่ว่าจะเป็นเปิดเพลงจาก QQ Music เรียกรถจากแอพภายนอกอย่าง Didi Chuxing
การสั่งงานเสียงอาจเป็นเรื่องที่คุ้นชินกับวัฒนธรรมเทคโนโลยีที่มาจากสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น Alexa, Siri, Google Assistant แต่สำหรับคนจีนยังถือเป็นเรื่องใหม่ และการใช้ผู้ช่วยอัจฉริยะใน WeChat ที่คนจีนส่วนใหญ่ใช้ ก็อาจส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้งานอุปกรณ์ของคนจีนได้ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายละเอียดว่าจะเปิดใช้งานเมื่อไร
Kohler เป็นอีกแบรนด์ที่คุ้นหูในเรื่องของสุขภัณฑ์ที่ใช้ในที่อยู่อาศัย ในโมงยามของ CES 2019 แบรนด์นี้ก็เปิดตัว Numi 2.0 โซลูชันห้องน้ำอัจฉริยะที่มาพร้อมแสงสีเสียง ทั้งลำโพงบิลท์อิน, แสงไฟปรับตามอารมณ์ และการรองรับคำสั่งเสียงผ่าน Alexa ของ Amazon (มีวิดีโอ)
Numi 2.0 เป็นภาคต่อของ Numi รุ่นแรกเมื่อปีกลายที่มากับฝักบัว กระจกเงา Verdara Voice Lighted Mirror และก๊อกน้ำอัจฉริยะมาก่อนแล้ว ทั้งหมดทำงานกับแอป Kohler Konnect
ว่าด้วยเรื่องราคา ตัวชักโครก Numi Intelligent Toilet สีขาวราคา 7,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 223,800 บาท) สีดำราคา 9,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 287,700 บาท) กระจกเงาขนาด 24 นิ้ว ราคาเริ่มต้นที่ 1,249 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 39,930 บาท), 40 นิ้ว ราคา 1,640 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 52,430 บาท)