ภาพการแข่งขันบริการสตรีมมิ่ง ที่หลายค่ายเตรียมเปิดให้บริการในช่วงปลายปีนี้ดูระอุขึ้นอีก เมื่อ Verizon ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ตลอดจนอินเทอร์เน็ตบ้านรายใหญ่ในอเมริกา ประกาศความร่วมมือกับ Disney+ โดยจะให้ลูกค้า Verizon รับชมรายการใน Disney+ ฟรี เป็นระยะเวลา 12 เดือน มีผลตั้งแต่ 12 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันแรกที่ Disney+ จะเริ่มให้บริการเฉพาะในสหรัฐฯ
อัตราค่าบริการของ Disney+ นั้นอยู่ที่ 6.99 ดอลลาร์ ที่น่าสนใจคือการให้ใช้งานฟรีนั้น Apple TV+ เองก็ทำเช่นเดียวกัน แต่ให้ชมฟรี 12 เดือน เฉพาะลูกค้าที่ซื้ออุปกรณ์ใหม่
Disney+ ระบุว่าในปีแรกของการให้บริการ จะมีซีรี่ส์ออริจินัลอย่างน้อย 25 เรื่อง และภาพยนตร์กับสารคดีที่ผลิตเฉพาะอีกอย่างน้อย 10 เรื่อง
ใกล้วันเปิดตัวเข้าไปทุกทีสำหรับสตรีมมิ่ง Disney+ ที่จะเปิดตัวทางการ 12 พ.ย. นี้ และยิ่งเพิ่มความตื่นเต้นขึ้นไปอีกเมื่อบัญชีทวิตเตอร์ทางการของ Disney+ โพสต์ทวิตเตอร์ให้ดูเป็น Thread ว่าผู้ใช้งานจะได้ดูเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งตอนนี้มีมากกว่า 300 Thread แล้ว สามารถเข้าไปไล่ดูกันได้
นอกเหนือจากซีรีส์ออริจินัลที่รู้ๆ กัน ก็มีรวมเรื่องเก่าๆ ของดิสนีย์ไว้ด้วย เข่นการ์ตูนคลาสสิก Snow White and the Seven Dwarfs (1937), Pinocchio (1940), Swiss Family Robinson (1940), Fantasia (1940), Dumbo (1941) เป็นต้น
บริการสตรีมมิ่ง Disney+ ยังคงเรียกความสนใจต่อเนื่อง ถ้าไม่นับจุดเด่นเรื่องคอนเทนต์ในสังกัด ราคาของ Disney+ ก็ถือว่าดึงดูด เพราะตั้งราคา 6.99 ดอลลาร์ต่อเดือน ถูกกว่า Netflix เกือบครึ่ง, ราคานี้ได้ 4K เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องจ่ายเพิ่มอีกแบบ Netflix และยังมีราคาแบบบันเดิลรวม ESPN+ และ Hulu ที่ 12.99 ดอลลาร์ต่อเดือน สำหรับคนที่ต้องการดูคอนเทนต์เยอะขึ้นด้วย
ล่าสุด Disney+ ยังทำราคาถูกเป็นพิเศษในช่วงเปิดตัว โดยลดราคาลงไปอีก 33% หากสมัครสมาชิกแบบยาว 3 ปี หารเฉลี่ยออกมาแล้วเหลือเพียง 3.92 ดอลลาร์ต่อเดือน (120 บาท) เท่านั้น
ใกล้วันฉายเข้าไปทุกที และในงาน D23 วันนี้ Disney+ ประกาศชื่อซีรีส์ออริจินัลเพิ่มเเติมจากที่ Marvel เคยประกาศในงาน Comic Con ที่ซานดิเอโกดังนี้ คือ
ดิสนีย์ออกมาประกาศรายละเอียดการฉายสตรีมมิ่ง Disney+ เพิ่มเติมถึงอุปกรณ์ที่สามารถฉาย Disney+ ซึ่งในรายการอุปกรณ์ดังกล้าวไม่มี Amazon FireTV ที่มีฐานผู้ใช้งานสูง
อุปกรณ์ฉายสตรีมมิ่งที่ดิสนีย์ระบุมีดังนี้
ในการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ซีอีโอดิสนีย์ Bob Iger นอกจากจะเผยราคาแพ็กเกจของสตรีมมิ่งแล้ว ยังเผยรายละเอียดคอนเทนต์ที่เราจะได้เห็นกันใน Disney+ เพิ่มเติมด้วย
และน่าจะเป็นที่ถูกใจของแฟนหนังคลาสสิคอย่าง Home Alone, Night at the Museum ที่ทางบริษัทประกาศจะสร้างใหม่ นอกจากนี้ยังมีหนังที่ดัดแปลงจากหนังสือ Diary of a Wimpy Kid ทั้งหมดนี้จะนำมาฉายลง Disney+
มีรายละเอียดเพิ่มเติมจากสตรีมมิ่ง Disney+ ที่ใกล้จะเปิดตัวเต็มที ว่าในราคา 12.99 ดอลลาร์นี้ รวมบริการ Hulu และ ESPN แล้ว เท่ากับว่าได้ดูคอนเทนต์สามเจ้าในราคาที่ถูกกว่า Netflix
ในงาน San Diego Comic-Con วันนี้ Marvel ประกาศหนังและซีรีส์ชุดใหญ่ในเฟส 4 ที่จะมีลงฉายทั้งในโรงหนังและสตรีมมิ่ง Disney+ หลายเรื่องในปี 2020 - 2021 ดังนี้
ในงานเผยผลประกอบการของดิสนีย์ ไตรมาสสองปีนี้ ซีอีโอ Bob Iger ถือโอกาสนี้เปิดเผยว่า Avengers Endgame จะลงฉายใน Disney+ แบบเอ็กซ์คลูซีฟ 11 ธันวาคม
Disney+ จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการวันที่ 12 พ.ย.นี้ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าบนแพลตฟอร์มจะมีหนังจากสตูดิโอลูกของดิสนีย์ไม่ว่าจะเป็น Pixar รวมไปถึงสารคดีระดับโลกจาก National Geographic, จักรวาล Star Wars, Marvel และแน่นอนว่าต้องมี Avengers Endgame เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งตอนนี้หนังทำเงินทะลุ 2 พันล้านดอลล่าร์ไปเรียบร้อยแล้ว
ใน Disney+ ยังมีซีรีส์มาร์เวลที่จัดทำขึ้นชุดใหม่ด้วย คือ Falcon & Winter Soldier, WandaVision, Marvel’s What If…? (แอนิเมชัน), Loki (ซีรีส์)
Netflix เผยผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2019 ยังคงมีคนดูเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีสมาชิกที่สมัครดูจ่ยเงินเพิ่มขึ้น 9.6 ล้านราย ส่งผลให้ตอนนี้ Netflix มีสมาชิกทั่วโลก 149 ล้านราย มีรายได้เป็น 4.52 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งชนะการคาดการณ์ที่ Wall Street เคยประมาณไว้คือจะมีคนดูเพิ่มขึ้น 8.94 ล้านราย
Netflix ยังบอกด้วยว่า Umbrella Academy ซีรีส์ฮีโร่ช่วยโลกได้รับการตอบรับดี มีคนดูในช่วงเปิดตัว 4 สัปดาห์แรก 45 ล้านครัวเรือน (บัญชี) คิดเป็น 1 ใน 3 ของผู้ใช้งานทั่วโลกของ Netflix เลย หนังเรื่อง Triple Frontier ก็มีการรับชม 52 ล้านครัวเรือน (บัญชี) ในเดือนแรกของการเปิดตัว และหนังเรื่อง The Highwaymen มีการรับชม 40 ล้านครัวเรือน (บัญชี) ในเดือนแรกเช่นกัน
ผู้ใช้ Netflix อาจคุ้นชินกับการดูซีรีส์แบบ binge-watching หรือดูรวดเดียวจบทั้งซีซัน เพราะ Netflix มักปล่อยออริจินัลซีรีส์ของตัวเองมาแบบทีเดียวจบ ทว่าดูเหมือนคู่แข่ง Disney+ อาจจะเลือกไม่ใช้วิธีดังกล่าวก็เป็นได้
Anthony Breznican นักข่าวจาก Entertainment Weekly ทวีตระบุว่าได้สอบถามจากแหล่งข่าวของตัวเอง ยืนยันว่า The Mandalorian ออริจินัลซีรีส์บน Disney+ เรื่องแรกจะเริ่มฉายวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ วันเดียวกับที่ Disney+ เปิดให้บริการ โดยการฉายจะปล่อยสัปดาห์ละตอนเหมือนซีรีส์ในแบบเดิม
นอกจากภาพยนตร์ Star Wars Episode IX: The Rise of Skywalker ยังมีภาพยนตร์ซีรีส์ live-action เรื่องแรกของจักรวาล Star Wars คือ The Mandalorian ที่จะฉายแบบเอ็กซ์คลูซีฟบน Disney+ ในเดือนพฤศจิกายนนี้
ในงาน Star Wars Celebration ก็มีการเผยแพร่เทรลเลอร์แรกของ The Mandalorian (ให้ดูเฉพาะคนในงาน ยังไม่เผยแพร่ออนไลน์) และภาพบางส่วนของซีรีส์ออกมาแล้ว
หลังการเปิดตัวบริการสตรีมมิ่ง Disney+ ของดิสนีย์เองอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันก่อน ก็มีประเด็นว่าซีอีโอดิสนีย์ Bob Iger อาจต้องลาออกจากการเป็นบอร์ดบริหารของแอปเปิลหรือไม่ เนื่องจากแอปเปิลเองก็เพิ่งเปิดตัวบริการสตรีมมิ่ง Apple TV+ (ชื่อคล้ายกันอีก) ซึ่งมองว่าเป็นธุรกิจคู่แข่งกันได้
โดย Iger ให้สัมภาษณ์กับ CNBC บอกว่าเขารับทราบในประเด็นนี้ รวมทั้งงดเข้าร่วมหารือเมื่อแอปเปิลพูดถึงบริการสตรีมมิ่งในที่ประชุม เขาบอกว่าธุรกิจนี้สำหรับแอปเปิลนั้นถือว่ายังมีขนาดเล็กมาก จึงมองว่าไม่ใช่ปัญหาที่เขายังนั่งอยู่ในบอร์ด แต่ก็จะเฝ้าดูสถานการณ์ต่อไป
Bob Iger ซีอีโอของ Disney เผยภาพแรกของ Disney+ บริการสตรีมมิ่งภาพยนตร์ที่จะเปิดบริการช่วงปลายปีนี้ ในงานแถลงข่าวต่อนักลงทุนประจำปี
ข้อมูลอื่นๆ ที่แถลงในงานคือ รองรับหนังความละเอียด 4K และ HDR, หนังทุกเรื่องสามารถดาวน์โหลดเพื่อดูออฟไลน์ได้, มีแอพบนแพลตฟอร์ม Apple TV, Roku, PS4, Nintendo Switch รวมถึงรองรับ Android TV และ Chromecast ด้วย
ฝั่งของคอนเทนต์ที่จะอยู่บน Disney+ มีทั้งหนังของบริษัทเองอย่าง Captain Marvel, Avengers: Endgame, The Lion King และ Frozen 2 รวมถึงหนัง/ซีรีส์ใหม่ๆ ที่เพิ่งประกาศในงานนี้ เช่น
หลายคนอาจยังไม่ทราบว่าดิสนีย์มีแนวทางการปล่อยภาพยนตร์หนึ่งที่เรียกว่า Disney Vault เป็นการเก็บหนังคลาสสิคของดิสนีย์ไว้แล้วนานๆ จะปล่อยออกมาให้ซื้อกัน ถ้าไม่ซื้อภายในเวลาที่กำหนด หนังก็จะถูกเก็บเข้าไปอีกหลายปีไม่ขายในช่องทางอื่น ต้องรอจนกว่าดิสนีย์จะปล่อยออกมาขายอีกครั้ง
ล่าสุดซีอีโอดิสนีย์ Bob Iger บอกกับผู้ถือหุ้นว่า บริษัทจะยกเลิกโปรแกรม Disney Vault และหนังที่อยู่ในนั้นทั้งหมดจะมาอยู่บนสตรีมมิ่งใหม่ Disney+ เป็นการตอกย้ำความจริงจังของดิสนีย์ในการทำให้ Disney+ เป็นแพลตฟอร์มที่คนจะได้ดูหนังแบบ exclusive จริงๆ
ก่อนหน้านี้ Netflix ยกเลิกไม่ฉาย Luke Cage, Iron Fist และ Daredevil ซีซั่น 4 เป็นการส่งสัญญาณกลายๆ ว่า ซีรีส์ฮีโร่ของ Marvel จะไม่ได้ไปต่อบน Netflix ล่าสุดมีการยืนยันว่าซีรีส์เรื่อง The Punisher และ Jessica Jones ก็ไม่ได้ไปต่อเช่นกัน
ส่วนสตรีมมิ่งของดิสนีย์เจ้าของ Marvel ก็ใกล้จะเปิดตัวเต็มที และแฟนๆ Marvel ก็น่าจะสามารถหาดูซีรีส์ฮีโร่บน Disney+ ได้
อย่างไรก็ตามมีข้อมูลจาก Crimson Hexagon บริษัทวิเคราะห์โซเชียลมีเดียพฤติกรรมผู้บริโภคระบุว่า ความนิยมของซีรีส์ Marvel ทั้ง Luke Cage, Iron Fist, Daredevil และ Jessica Jones นั้นลดลงมาก ข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์ Jumpshot บอกว่าคนดู The Punisher ซีซั่น 2 ลดลง 40% จากการเปิดตัวซีซั่นแรกในปี 2017
ปี 2019 ถือเป็นปีที่การแข่งขันสตรีมมิ่งดุเดือด ในขณะที่ Netflix ก็ยังคงครองตลาดและอัดแน่นด้วยเนื้อหาดีๆ มากมาย ดิสนีย์ก็เตรียมจะเปิดตัวในปีนี้ ล่าสุดมีรายงานว่า Apple ก็ซุ่มทำอยู่และเตรียมจะเปิดตัวเดือนเมษายนนี้
เว็บไซต์ The Information รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวสามแห่งระบุว่า Apple ได้ติดต่อไปยังสตูดิโอหนังต่างๆ เพื่อนจะร่วมนำคอนเทนต์มาไว้บนสตรีมมิ่ง หนึ่งในสตูดิโอที่ Apple ติดต่อไปมี A24, Oprah Winfrey Network
สงครามสตรีมมิ่งที่กำลังจะคุกรุ่นในปีนี้ เพราะคู่แข่งใหม่ของ Netflix กำลังจะเกิดขึ้นนั่นก็คือ Warner และ Disney แต่ Netflix มองว่าคู่แข่งตัวจริงคือเวลาที่จำกัดของผู้ใช้งาน และคู่แข่งตัวจริงที่ดูดเวลาของผู้ชมได้ไม่แพ้ซีรีส์สนุกคือ เกม โดยเฉพาะ Fortnite
NBC ประกาศจะเปิดตัวสตรีมมิ่งดูฟรีมีโฆษณาในปี 2020 เป็นอีกแพลตฟอร์มแยกออกมาไม่เกี่ยวกับแพลตฟอร๋มอื่นที่มีอยู่ โดยลูกค้าที่เป็นสมาชิก NBC TV ในสหรัฐฯ อยู่แล้วสามารถดูฟรีได้ และจะให้บริการแก่ผู้ใช้บริการ Comcast Cable และ Sky ในต่างประเทศด้วย
เว็บไซต์ CNBC ยังรายงานด้วยว่า ตัวสตรีมมิ่งมีแบบจ่ายเงินสำหรับคนไม่อยากดูโฆษณารบกวน โดยราคาจะอยู่ที่ 12.99 ดอลลาร์ ช่วยให้คนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกเคเบิลทีวีสามารถเข้ามาดูสตรีมมิ่งใหม่ของ NBC ได้ด้วย คอนเทนต์ NBC ที่เด่นๆ คือหนังค่าย Universal รายการทีวี รายการกีฬาในเครือร่วม 1,500 ชั่วโมง ในการประกาศเปิดตัวทาง NBC ยังบอกด้วยว่าจะเดินหน้าซื้อลิขสิทธิ์เนื้อหาจากสตูดิโออื่นๆ
Ted Sarandos ผู้บริหารของ Netflix ตำแหน่ง Chief Content Officer ที่ดูแลงานด้านคอนเทนต์ทั้งหมด ตอบคำถามสื่อเอเชียเรื่องการแข่งขันระหว่าง Netflix กับ Disney+ ที่เพิ่งเปิดตัว ว่าเขาไม่กลัวคู่แข่งใดๆ
Sarandos บอกว่าตลาดวิดีโอสตรีมมิ่งมีผู้เล่นหน้าใหม่ๆ เข้ามาหลายราย ซึ่ง Disney เป็นหนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ที่กำลังจะเข้าตลาด แน่นอนว่าคอนเทนต์ของ Disney+ แตกต่างกับ Netflix ดังนั้นก็ขึ้นกับผู้บริโภคว่าชอบดูหนัง/ซีรีส์จากค่ายใด หรือจะสมัครทั้งสองค่ายก็ไม่ผิดอะไร
ในที่สุดก็ประกาศชื่อแล้วกับบริการสตรีมมิ่งของ Disney ที่จะใช้ชื่อว่า Disney+ โดยจะเปิดให้บริการในสหรัฐปลายปี 2019
หน้าเว็บ preview.disneyplus.com ที่เปิดให้ลงทะเบียนอีเมลเพื่อรับข่าวสารขึ้นโลโก้ที่ชี้ว่า นอกจากคอนเทนท์ในเครือดิสนีย์อย่าง Disney, Pixar, Marvel และ Star Wars แล้วยังมีคอนเทนท์จาก National Geographic ที่ได้มาจากฟ็อกซ์เข้ามาด้วย และที่สำคัญคือหน้าเว็บนี้มีภาษาไทย พอจะบอกใบ้ให้บริการในไทยแน่ๆ