ในที่สุด อินเทอร์เน็ตก็ได้ให้อภิสิทธิแก่ผู้ใช้อย่างมากที่สุดก็น่าจะเป็นตอนนี้ Web 2.0 มีผลกับคนเรามากขึ้น และแล้วบัดนี้ขอเสนอบริการใหม่จากโลกอินเตอร์เน็ต "ลาป่วยออนไลน์"

Call-in-Sick เป็นโปรแกรมที่ทำให้ทุก ๆ คนที่ทำงานดึกดื่นจากนั้นก็ตื่นไปทำงานไม่ทันสามารถโทรลาป่วยกับหัวหน้าได้จากที่ไหนก็ได้ เวลาไหนก็ได้ ส่วนใหญ่แล้วเวลาลาป่วยจะต้องโทรบอกแต่เช้า (แสดงความไม่ขี้เกียจ) แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว!

ถ้าใครอยู่ในอเมริกาหรือแคนาดา ลองเข้าไปดูครับ น่าสนใจดี ที่ Call-in-sick

ผลสำรวจวัยรุ่นในสหรัฐพบว่าอีเมลเป็นการสื่อสารที่ตกยุคไปแล้ว โดย IM, SMS และ MySpace เป็นวิธีที่ดีกว่าในการสื่อสารกับวัยรุ่น

สำนักข่าวหลายแห่งลงข่าวนี้กันแบบแรงๆ ผมลอกของ USA Today มาคือ "E-mail is so last millennium."

อีเมลยังไม่ตายง่ายๆ แต่ก็มีอัตราการใช้งานลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน วัยรุ่นในสหรัฐ 87% มีโอกาสได้ใช้งานอินเทอร์เน็ต ซึ่ง 89% ของคนกลุ่มนี้ใช้อีเมล ส่วนที่ตอบแบบสอบถามว่าใช้ IM ด้วยมีน้อยกว่าคือ 75%

ที่มา - Ars Technica

ก่อนหน้านี้ไมโครซอฟท์และยาฮูเคยประกาศถึงการเตรียมให้ความร่วมมือที่จะเชื่อมเครือข่ายทั้งสองเข้าหากัน ในวันนี้กระบวนการเริ่มต้นของการรวมตัวก็กำลังเดินหน้า เมื่อ Messenger 6.0 สำหรับเครื่องแมคที่น่าจะเปิดให้ดาวน์โหลดในวันนี้จะสามารถเริ่มรายชื่้อใน Contact List จากผู้ใช้บริการ Yahoo! Messenger ได้

การร่วมมือกันครั้งนี้ หลายฝ่ายระบุว่าเป็นความพยายามในการโค่นยักษ์อย่าง AOL ที่เป็นผู้ให้บริการ IM รายใหญ่ที่สุดในตลาด โดยผู้ใช้อยู่ถึง 53 ล้านราย ขณะที่ไมโครซอฟท์และยาฮูนั้นมีผู้ใช้อยู่ที่ 27 และ 22 ล้านรายตามลำดับ

หลังจากปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจไปมา Napster ที่โด่งดังมาจากการจุดประกายระบบการแชร์ไฟล์ ก็เตรียมประกาศขายธุรกิจของตัวเองแล้ว

โดยในตอนนี้ตัว Napster นั้นมีรายรับประมาณปีละ 100 ล้านดอลลาร์ พร้อมกับเงินสดหมุนเวียนในมืออีก 100 ล้าน แต่ด้วยยอดขาดทุนสุทธิในไตรมาสที่แล้วถึง 10 ล้านดอลลาร์ และโอกาสที่จะเข้าไปแข่งขันกับผู้ให้บริการอื่นๆ อย่าง iTMS นั้นคงเป็นเรื่องยากจึงทำให้น่าสงสัยว่าใครจะมาซื้อธุรกิจในสภาวะนี้ แต่ในเรื่องของการเป็นที่รู้จักนั้นก็อาจจะทำให้มีการลงทุนเข้ามาก็เป็นได้ เช่นที่ AOL ซื้อเน็ตสเคปไปเพียงเพื่่อเอาโดเมน Netscape.com เท่านั้น

มีรายงานจาก Blog Poptech ว่า จริงๆ แล้วเมื่อนับรวมปัญหาในปี 2006 IE 6 นั้นปลอดภัยกว่า Firefox โดยนำผลจากเวบ Secunia ซึ่งรายงานปัญหารูโหว่ในโปรแกรมต่างๆ พบว่า ในปีนี้ Firefox มีปัญหาถึง 64 รายการ ส่วน IE 6 มีแค่ 30 รายการ ดังนั้น IE จึงปลอดภัยกว่า Firefox

ที่แน่ๆ คือ Comment ใน OSNews และ Poptech นี่อ่วมเลยทีเดียว

ที่มา - OSNews

ข่าวใหญ่ช่วงนี้คือผู้เชี่ยวชาญด้าน DNS ออกมาให้ข่าวว่าการที่ Vista สนับสนุนทั้ง IPv4 และ IPv6 ทำให้ต้องเรียก DNS สองรอบ ซึ่งจะส่งผลให้ DNS ของบรรดา ISP ได้รับปริมาณข้อมูลเพิ่มขึ้นมาก อาจทำให้อินเทอร์เน็ตใช้งานไม่ได้ในที่สุด

ไมโครซอฟท์ออกมาตอบโต้ข่าวนี้โดยบอกว่าระบบเรียกข้อมูลจาก DNS ของ Vista ได้รับการออกแบบมาอย่างดี และมีกรณีน้อยมากที่จะเรียก 2 ครั้ง

นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ก็มีความเห็นแตกต่างกันออกไป บางคนก็เห็นด้วยว่า Vista จะทำให้ปริมาณข้อมูลผ่าน DNS มีมากขึ้น แต่ขนาดจะทำให้อินเทอร์เน็ตพังก็ออกจะเวอร์เกินไปนิด

เพื่อนร่วมยุคสมัย Web 2.0 อย่าง del.icio.us, Flickr และ MySpace ขายกิจการฟันกำไรกันทั่วหน้าไปแล้ว ตอนนี้สายตาจึงจับจ้องอยู่ที่เว็บสุดฮอตอย่าง YouTube ว่าจะขายได้เท่าไรกัน (ตอนนี้ YouTube อยู่อันดับ 14 ของ Alexa)

โซนี่มีส่วนช่วยทำให้เรื่องนี้ง่ายขึ้น เพราะเพิ่งซื้อกิจการเว็บวิดีโอ Grouper ในราคา 65 ล้านเหรียญ ถ้าลองเทียบบัญญัติไตรยางค์แล้ว Grouper มีส่วนแบ่งตลาดไม่ถึง 1% ในขณะที่ YouTube มี 43% ก็พอจะตีตัวเลขออกมาได้ว่า 2 พันกว่าล้านเหรียญ (แน่นอนว่ามันเทียบตรงๆ แบบนี้ไม่ได้อยู่แล้วนะครับ)

เราคงคุ้นเคยกับในหนังที่ FBI หรือตำรวจตามล่าผู้ร้ายโดยการดักฟังโทรศัพท์ ถ้าสมัยใหม่หน่อยก็เป็นการดักฟังมือถือ แต่ตอนนี้เทคโนโลยีใหม่กว่าอย่าง Skype ก็ถูกนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์แล้ว

Kobi Alexander ผู้ก่อตั้งบริษัท Comverse ก่อคดีทางการเงินจากหุ้นของบริษัทตัวเอง และเป็นคนที่รัฐบาลสหรัฐต้องการตัว ซึ่งตำรวจตามรอยได้ว่าหมอนี่หลบไปอยู่ศรีลังกาเนื่องจาก Kobi ได้โทรผ่าน Skype เป็นเวลาหนึ่งนาที และตามไปจับได้ในที่สุด

หลังๆ อาจจะเห็นข่าวปัญหาวิดีโอใน YouTube ละเมิดลิขสิทธิ์ค่อนข้างเยอะ แต่ด้วยยอดคนเข้าถล่มทลาย (ให้โหลดวิดีโอวันละ 50 ล้านตอน, คนเข้าเดือนละ 13 ล้าน) ทำให้บรรดาค่ายเพลงทั้งหลายยอม YouTube ไปก่อน

ฝั่ง YouTube ก็เตรียมแก้ปัญหานี้อย่างยิ่งใหญ่ โดยการประกาศว่าจะเก็บมิวสิควิดีโอทั้งหมดที่มีมา (to have every music video ever created up on YouTube) ภายใน 12-18 เดือน ซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจากับค่ายเพลงต่างๆ

ต่อไปเวลาอ้างถึงมิวสิคเพลงไหน ก็ YouTube!

ที่มา - Ars Technica

เมื่อสองเดือนก่อนมีบริการใหม่ที่สร้างด้วย Google Map API คือ Wikimapia ที่ให้คุณสามารถมาร์กจุดที่คุณคิดว่าสำคัญทุกจุดบนโลกได้ตามใจคุณ ผมใช้บริการทีี่ว่านี่อยู่พักนึงครับ แล้วพบว่าการให้ลิงก์เพื่อน เพื่อบอกว่าไปนัดกินข้าวกันตรงไหน มันยังไม่สะดวกเท่าใหร่

วันนี้ Wikimapia เลยมีการเพิ่มบริการใหม่ให้ทุกท่านสามารถเอา Google Map ไปวางไว้บนเว็บได้อย่างง่ายมากๆ แค่กดเมนูแล้วเลือก Map on your page แล้วก็อปโค้ดมาวางในเว็บของเราก็ได้ Google Map มาไว้ในเว็บทันที

เวลานัดเจอกันต่อไปนี้ไม่มีหลงแน่ๆ ครับ

หลังจากไมโครซอฟท์ได้ทำการประกาศชื่อของ IE ในวินโดวส์วิสต้าว่า "Internet Explorer 7+" เพื่อที่จะให้แตกต่างจาก "Internet Explorer 7" บนวินโดวส์เอ็กซ์พีมาได้พักนึงแล้ว

แต่เนื่องจากว่าคงจะแยกแยะได้ไม่ชัดเจนพอไมโครซอฟท์จึงได้ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อของ Internet Explorer 7 ทั้งสองเวอร์ชันบนวินโดวส์วิสต้าและวินโดวส์เอ็กซ์พีให้เป็น

จากข่าวเก่า AOL ปั้น Netscape.com สู้ Digg.com ตอนนี้มีกระแสตอบรับจากฝั่ง digg แล้ว โดยมีคนเข้าไปฝัง javascript ใส่ในหน้าแรก ทำให้คนเข้าไปที่หน้าแรกของ netscape.com เจอกับข้อความป๊อบอัพออกมาว่า "fxxk" (เซ็นเซอร์นะครับ) และ "Hi to all you Diggers out there"

เรื่อง Cross-Site Scripting นี่น่ากลัวนะครับ ใครทำเวบก็ระวังๆ กันไว้บ้าง

ที่มา - digg

ถึงแม้ Podcast เพิ่งเกิดมาไม่นาน แต่ก็มีกระแสนิยมพูดถึงมากจนบางทีน่าสงสัยว่ามันเกินจริงไปหรือเปล่า (ผลวิจัยของ Forrester Research ในเดือนเมษาบอกว่า Podcast เป็นแค่ "hype")

แต่ตอนนี้มีผลสำรวจใหม่จากอีกสำนัก Nielsen Analytics ชื่อรายงานว่า The Economics of Podcasting ประมาณการให้เราว่า 6% ของประชากรอินเทอร์เน็ตของสหรัฐใช้งาน Podcast เป็นประจำ ส่วนใหญ่ประมาณ 3-4 ตอนต่อสัปดาห์ และความยาวเฉลี่ยประมาณ 44 นาที ซึ่งก็ถือว่าไม่น้อย

รายงานของ Pew Internet & American Life Project ฉบับล่าสุดเป็นเรื่องเกี่ยวกับบรรดา blogger ทั้งหลาย เป็นผลจากการสำรวจผ่านทางโทรศัพท์

ผลการสำรวจถือแม้จะไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไหร่ แต่ก็น่าสนใจไม่ใช่น้อย เผื่อไว้สำหรับการอ้างอิงในอนาคต ผมสรุปจากรายงานสรุปของเค้าอีกที

หลังจากปีที่แล้วเป็นข่าวอยู่ซักพักหนึ่งกับการกระโดดเข้าร่วมธุรกิจ WiFi ของกูเกิ้ล แต่ก็เงียบหายไป มาวันนี้ กูเกิ้ลก็เปิดให้ผู้ใช้บางกลุ่มใน Mountain View ทดสอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยสามารถดูพื้นที่ครอบคลุมได้ในเว็บไซต์ของกูเกิ้ล

โดยสถานะปัจจุบันยังเป็นการ "ซ่อน" SSID ไว โดยจะมีเพียงผู้ที่ได้รับเชิญเท่านั้นที่จะสามารถใช้ได้ แต่ว่ามีการรายงานมาในบางพื้นที่ว่า SSID ดังกล่าวไม่ได้ถูกซ่อนไว้อย่างที่กูเกิ้ลออกมาชี้แจง

แม้ช่วงหลังๆ จะแผ่วปลายไปบ้างไฟร์ฟอกซ์ยังคงสามารถรุกส่วนแบ่งตลาดได้อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดตัวเลขในสหรัฐนั้นก็ผ่านร้อยละ 15 ตามรายงานของ OneStat.com ส่วนตัวเลขทั่วโลกนั้นขึ้นมาอยู่ที่ ร้อยละ 12.93

ภูมิภาคที่ได้รับความนิยมสูงสุดยังคงเป็นยุโรป โดยตัวเลขนั้นวิ่งเข้าใกล้ร้อยละ 30 เต็มที โดยเฉพาะเบอร์หนึ่งอย่างเยอรมนีนั้นสามารถทำส่วนแบ่งได้ถึงร้อยละ 39 ทำให้เราอาจจะมีความหวังที่จะเห็นตัวเลข 50 กันอย่างไม่นานเกินรอ

ใครเคยเจอปัญหาน่ารำคาญอย่างพวก DNS ของ ISP ที่ใช้อยู่ไม่ยอมอัพเดตเว็บกันสักที หรือบาง ISP ดันฟอร์เวิร์ดเราไปหน้าโฆษณาเวลาเราพิมพ์ผิด ปัญหาพวกนี้กำลังหมดไปเมื่อมีบริการอย่าง OpenDNS เข้ามาแข่ง

โดย OpenDNS เป็นบริษัทที่เปิดขึ้นมาเพื่อให้บริการ DNS ฟรีๆ พร้อมเพิ่มความสามารถเช่นการป้องกัน Phishing ได้ในระดับ DNS เองเลย หรือจะเป็นการแก้คำผิดพื้นฐานอย่างเช่น www.blognone.cm ก็เข้าเว็บนี้ได้ วิธีใช้ก็ง่ายๆ แค่ตั้ง DNS Server ไปที่ 208.67.222.222 กับ 208.67.220.220

อิทธิพลของบล็อกในฐานะสื่อนอกกระแสเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หลายเรื่องก่อนที่จะมาเป็นข่าว CNN นั้นเริ่มมาจากบล็อกก่อน (เช่น การ์ตูนในเดนมาร์กที่ลบหลู่ศาสนาอิสลาม)

ทางกองทัพสหรัฐจึงมองว่า นี่เป็นโอกาสที่จะได้ข่าวกรองแบบใหม่ ที่อาจจะสดน้อยกว่าข่าวกรองจากสปายแบบ 007 แต่สดกว่าหาจาก CNN หรือสื่อในกระแสแน่นอน ซึ่งมันอาจช่วยป้องกันการก่อการร้ายหรือสงครามได้ จึงมีโครงการวิจัยข้อมูลจากบล็อกมาเป็นข่าวกรอง ในชื่อยาวเฟื้อย

"Automated Ontologically-Based Link Analysis of International Web Logs for the Timely Discovery of Relevant and Credible Information"

พักหลังเห็นบ้านเรามีหนังสือทำนองนี้ออกมาค่อนข้างเยอะ เราอาจสงสัยว่ามันรวยได้จริงหรือ คำตอบคือยาก แต่ไม่ใช่ไม่มี

สาเหตุที่การขายของบน eBay แล้วรวย (แบบเศรษฐี) ยากเป็นเพราะคนซื้อมีอำนาจต่อรองสูงกว่าขายแบบออฟไลน์มาก คนขายต้องยอมทำทุกอย่างซึ่งรวมถึงการตัดราคาเพื่อดึงคนซื้อไว้ อีกเหตุผลหนึ่งคือคนขายดีจริงๆ ต้องรักษาระดับ PowerSeller (ขั้นต่ำสุดระดับ Bronze ต้อง 1,000 เหรียญต่อเดือน ขั้นสูงสุด Titanium 150,000 เหรียญต่อเดือน) ซึ่งถ้ายอดขายตก ระดับก็ตก การรักษายอดขายต้องเพิ่มปริมาณสินค้า ซึ่งเกิดค่าใช้จ่ายการสต๊อกของตามมาอีก

หลายๆ คนอาจจะไปรู้จักกับคำว่าบล็อกครั้งแรกกันตอนเล่น MSN แม้ฟังก์ชั่นมันจะเยอะดี แต่ช้าจนน่ารำคาญ แถมพอเขียนๆ ไปเจอที่อื่นเจ๋งๆ ดันย้ายไม่ได้อีก เสียดายที่เขียนไปแล้วเลยต้องใช้กันต่อไป

ในจีนสงสัยมีคนคิดอย่างข้างบนกันเยอะ เลยมีคนเปิดเว็บ Blogger Spaces มาสำหรับให้คำแนะนำในการย้ายกันเป็นเรื่องเป็นราว แถมมีโปรแกรมย้ายให้เสร็จสรรพ งานนี้สำหรับคนอยากใช้ Blogger เท่านั้น แต่อีกหน่อยคงมีรายการย้ายไปพวก MySpace, TypePad, Wordpress.com (Exteen?) กันตามมาเรื่อยๆ

ช่วงหลัง AJAX ได้รับความสนใจกันสูงมาก ดูง่ายๆ ก็เว็บเมลต่างๆ พยายามใส่ AJAX กันจนเกร่อ ปัญหาที่ทุกคนคงเจอเหมือนๆ กันคือ AJAX มันช้ามาก เพราะความที่เป็นภาษาแบบ Interpret (เอาโค้ดมาแปลงสดๆ ตอนรันโปรแกรม) และการออกแบบที่ตั้งใจให้ใช้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ในเว็บเท่านั้น โดยเฉพาะการ Parse ไฟล์ XML ที่จาวาสคริปต์ทำได้ค่อนข้างช้ามาก

แนวคิดใหม่จึงเกิดขึ้นมาว่าในระหว่างที่เทคโนโลยีจาวาสคริปต์ยังไม่พร้อมสำหรับการใช้ทำ RIA เราควรใช้เทคโนโลยีที่เร็วกว่าอย่าง Flash ไปก่อน ส่งผลให้เราได้เทคโนโลยีใหม่ที่ชื่อว่า Fjax

สงครามแย่งพื้นที่บนหน้าจอของผู้ใช้ระหว่างกูเกิลและไมโครซอฟท์ยังคงเดินหน้าอย่างดุเดือด โดยวันนี้กูเกิลอกย้ำยุทธศาสตร์การร่วมมือกับมือที่สามเพื่อร่วมมือในการชิงพื้นที่ให้กับกูเกิลต่อไป และผู้ได้ผลประโยชน์รายล่าสุดคืออโดบี ผู้ผลิตซอฟต์แวร์กราฟิกรายใหญ่นั่นเอง

การร่วมมือกันครั้งนี้จะมีผลโดยการดาวน์โหลด Shockwave ของทางอโดบีจะมี Google Toolbar ติดไปด้วย และให้ผู้ใช้เลือกลงได้ทันที โดยอาจจะอาศัยโอกาสที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่กด Next กันอย่างเดียว ครองพื้นที่ของคนจำนวนมากไปด้วยในตัว

หลังจากข่้าวการปฏิเสธไม่ให้ Zooomr ซึ่งเป็นคู่แข่งที่เติบโตค่อนข้างเร็วเข้าใช้ API ของตน Flickr ก็ถูกโจมตีค่อนข้างหนักจากผู้ใช้กลุ่มหนึ่ง (ผมด้วย) ซึ่งแรงกดดันจากหลายๆ ด้านทำให้ Stewart Butterfield เข้าไปโพสในฟอรัมของ Flickr ว่าเขากำลังคิดเปลี่ยนใจให้คู่แข่งเข้ามาใช้ API ของ Flickr ได้ โดยมีเงื่อนไขว่าคู่แข่งต้องเปิด API ของตนให้เท่าเทียมกัน

อย่างไรก็ตามการ "เปิด" นี้เป็นการเปิด API เพื่อการค้า ดังนั้นอาจจะไม่จำเป็นต้องฟรีเสมอไป ณ เวลานี้ในประเด็นเงื่อนไขปลีกย่อยอื่นๆ ยังคงต้องรอดูกันต่อไป

Web 2.0 ส่วนมากมีข้อดีคือการเปิด API ให้คนนอกเข้าไปใช้งานได้ ทำให้มีการเขียนโปรแกรมเข้าไปเพิ่มความสามารถให้กับโปรแกรมได้เยอะ อย่าง Flock ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง แต่ข้อดีอีกอย่างคือผู้ใช้สามารถใช้ API เหล่านี้เพื่อย้ายข้ามไปมาระหว่างเว็บได้ด้วย ซึ่งข้อดีในส่วนนี้คงดีกับผู้ใช้แต่ไม่ดีกับเจ้าของเว็บแน่ๆ ทำให้เว็บส่วนมากมีการจำกัดว่าห้ามใช้ API เหล่านี้เพื่อการค้า ถ้าหากต้องการใช้ จะต้องขออนุญาตเท่านั้น

แต่ช่วงหลังที่เขียนบทความใน Blognone ผมกลับพบว่าผมต้องการความสามารถอื่นๆ มากกว่าพื้นฐานบ้าง เพราะการเขียนบล็อกเพื่อรีวีวโปรแกรมสักอัน แต่ต้องเขียนบน OOo Writer แล้วจับรูปภาพเข้า Paint.NET เพื่ออัพโหลดเข้า Flickr แล้วลิงก์มาเขียนบล็อก มันช่างปวดร้าวได้ใจกันจริงๆ แต่ Flock ให้คุณทำทุกอย่างข้างต้นได้ง่ายกว่า ฉะนั้นเลยไม่รีรอที่จะเอามารีวิวให้ดูกัน