NASA ประกาศยกเลิกการยิงจรวดตามภารกิจ Artemis I ตามแผนการที่วางไว้ เนื่องจากพบปัญหาเชื้อเพลิงรั่วในเครื่องยนต์ของจรวด SLS
NASA บอกว่าจะพยายามแก้ปัญหาและประกาศวันยิงจรวดใหม่อีกครั้งในภายหลัง จากประกาศเดิมคราวก่อน โอกาสยิง (launch opportunity) รอบหน้าที่สภาพแวดล้อมเหมาะสมกับการยิงจรวดคือวันที่ 2 กันยายน และ 5 กันยายน
ในที่สุด ภารกิจ Artemis I ยิงจรวดไปวนรอบดวงจันทร์ของ NASA ที่ล่าช้ามาหลายรอบ ก็จะเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ในวันนี้ 29 สิงหาคม 2022 มีกรอบเวลายิง 2 ช่วงโมง เริ่มตอน 19.33 น. ตามเวลาประเทศไทย (เวลาการถ่ายทอดสดจะเริ่ม 17.30 น. ผ่านทาง YouTube และเว็บไซต์ NASA)
ภารกิจ Artemis I มีความสำคัญเพราะเป็นก้าวแรกของ NASA ในการกลับสู่ดวงจันทร์ ถือเป็นการซ้อมครั้งแรกโดยยิงจรวดที่ยังไม่มีมนุษย์ (มีหุ่นนั่งไปแทนในที่นั่งมนุษย์) ก่อนส่งมนุษย์กลับไปดวงจันทร์อีกครั้งในภารกิจ Artemis III ราวปี 2025
หนึ่งในมุกที่เรามักจะนึกถึงเวลาเห็นภาพยนตร์เกี่ยวกับหายนะที่จะมีอุกกาบาตขนาดยักษ์ตกลงมาที่โลกคือการส่งอะไรสักอย่างพุ่งเข้าชนมันเพื่อให้มันเบี่ยงวิถีการเคลื่อนที่ไม่พุ่งตรงมาชนโลก ซึ่งที่ว่ามานี้คือไอเดียของโครงการ Double Asteroid Redirection Test (DART) เทคโนโลยีปกป้องโลกที่ NASA กำลังจะทดสอบจริงเดือนหน้า
ยาน DART มีน้ำหนัก 610 กิโลกรัม ติดตั้งระบบเซ็นเซอร์และซอฟต์แวร์เพื่อการนำทางสำหรับเคลื่อนที่พุ่งเข้าชนเป้าหมาย พร้อมกล้องถ่ายภาพเพื่อช่วยในการสังเกตการณ์และการนำทาง มันมีแผงโซลาร์เซลล์ที่เมื่อกางออกเต็มที่จะมีความยาว 8.5 เมตรทำหน้าที่สร้างพลังงานไฟฟ้าเลี้ยงระบบต่างๆ
NASA อนุมัติแผนการของภารกิจ Artemis I ที่จะส่งจรวดไปวนรอบดวงจันทร์ โดยเดินหน้าตามแผนการยิงจรวดวันที่ 29 สิงหาคม ตามกำหนดเดิม
ก่อนหน้านี้ NASA มีปัญหาเรื่องความพร้อมของจรวด Space Launch System (SLS) จนต้องเลื่อนภารกิจ Artemis I มาแล้วหลายรอบ แต่ตอนนี้คณะกรรมการตรวจสอบความพร้อม (Flight Readiness Review) อนุมัติเรียบร้อยแล้ว
NASA ประกาศรายชื่อ 13 ตำแหน่ง ที่มีโอกาสเป็นจุดจอดยาน Artemis III ซึ่งเป็นโครงการที่จะส่งนักบินอวกาศกลับไปสำรวจดวงจันทร์อีกครั้ง โดยครั้งนี้ประกาศว่าจะมีนักบินอวกาศหญิงและนักบินอวกาศผิวสีไปเหยียบดวงจันทร์ด้วย
ทั้ง 13 ตำแหน่ง อยู่บริเวณขั้วดวงจันทร์ใต้ (South Pole) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มนุษย์ไม่เคยไปสำรวจมาก่อน และคาดว่าจะใช้ศึกษาโอกาสในการตั้งสถานีระยะยาว (ดูรายละเอียดทั้ง 13 ตำแหน่งท้ายข่าว)
โครงการ Artemis III กำหนดส่งนักบินอวกาศไปดวงจันทร์ในปี 2025 จะใช้เวลาสำรวจบนจันทร์ 6.5 วัน ส่วน Artemis I ซึ่งเป็นจรวดลำแรกในโครงการ Artemis ที่จะไปดวงจันทร์ มีกำหนดยิงจรวดวันที่ 29 สิงหาคมนี้ ตามด้วย Artemis II ที่นำมนุษย์ไปโคจรรอบดวงจันทร์
NASA ประกาศกรอบเวลาใหม่สำหรับการยิงจรวด Space Launch System (SLS) พายานอวกาศ Orion ขึ้นไปวนรอบดวงจันทร์ หลังล่าช้ามาแล้วหลายรอบ (รอบล่าสุดจากปัญหาเชื้อเพลิงรั่วระหว่างซ้อมวางบนฐานยิงที่ Kennedy Space Center จนต้องกลับไปซ่อมมาใหม่)
กรอบเวลายิงจรวด (launch opportunity) ขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น ตำแหน่งของดวงจันทร์ มุมการรับแสงอาทิตย์ของแผงโซลาร์บนยาน สภาพอากาศ ฯลฯ โดย NASA ประกาศกรอบเวลายิงเบื้องต้น (potential launch opportunities) 3 ช่วงคือ
หลังจาก NASA เผยภาพถ่ายชุดแรกของกล้องโทรทรรศน์อวกาศ James Webb ยังมีภาพอีกชุดที่กล้อง James Webb ถ่ายให้กับสถาบันวิจัยกล้องโทรทรรศน์อวกาศ (Space Telescope Science Institute) โดยมาจากช่วงทดสอบอุปกรณ์ก่อนเริ่มปฏิบัติการจริงๆ เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม
ภาพถ่ายชุดนี้เป็นภาพถ่ายดาวพฤหัสและดาวเคราะห์น้อยอีกจำนวนหนึ่ง ด้วยกล้องอินฟราเรด NIRCam ทำให้เราเห็นทั้งจุดแดงยักษ์ (Great Red Spot) และดวงจันทร์บางดวงของดาวพฤหัส เช่น Europa, Thebe, Metis อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นภาพที่คมชัดและสว่างกว่าภาพถ่ายในอดีตมาก
NASA เปิดเผยภาพถ่ายอวกาศจากกล้อง James Webb Space Telescope ชุดแรกอีก 3 ภาพ (ข่าวภาพแรกที่เปิดเผยเมื่อวานนี้)
Cosmic Cliffs หน้าผารังสีคอสมิก เป็นการถ่ายภาพพื้นที่ NGC 3324 ที่อยู่ในเนบิวลา Carina Nebula ซึ่งกล้องในอดีตไม่เคยถ่ายได้เพราะติดฝุ่นคอสมิก แต่กล้อง Webb สามารถถ่ายได้เป็นครั้งแรกด้วยพลังของกล้อง Near-Infrared Camera (NIRCam) และ Mid-Infrared Instrument (MIRI) ภาพนี้ดูเหมือนกับภูเขาในอวกาศ - รายละเอียด
เมื่อคืนนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เป็นคนเปิดตัวภาพถ่ายจากกล้องโทรทรรศ์อวกาศ James Webb Space Telescope ซึ่งเป็นภาพถ่ายอวกาศในแนวลึก (Deep Field) ภาพแรกของกล้อง และเป็นภาพถ่ายอวกาศที่ไกลที่สุดและคมชัดที่สุดเท่าที่เคยถ่ายกันมา
ภาพนี้เป็นการถ่ายคลัสเตอร์กาแล็กซี่ SMACS 0723 ที่เห็นกาแล็กซี่นับพันที่อยู่ไกลมาก (4.6 พันล้านปีแสง) ด้วยกล้องอินฟราเรด Near-Infrared Camera (NIRCam) ใช้เวลาถ่ายภาพจากคลื่นอินฟราเรดที่ความยาวคลื่นต่างกันเป็นเวลานาน 12.5 ชั่วโมง (ถ้าเป็นกล้อง Hubble จะใช้เวลาถ่ายนานหลายสัปดาห์)
NASA ระบุว่าจะเปิดตัวภาพถ่ายทั้งชุด (ไบเดนเปิดมาแค่ภาพเดียว) ในคืนนี้ตามเวลาประเทศไทย
สำนักงานอวกาศออสเตรเลีย (Australian Space Agency) ประกาศความสำเร็จในการส่งจรวดเชิงพาณิชย์ร่วมกับ NASA เป็นครั้งแรกเมื่อคืนนี้ เวลา 20:44น. ตามเวลาในไทย จากท่าอวกาศยานใน Arnhem และเป็นการส่งจรวดเชิงพาณิชย์ครั้งแรกของ NASA ที่ทำนอกสหรัฐอเมริกา
โครงการส่งจรวดครั้งนี้มี 3 ลำ ในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม เพื่อศึกษาผลกระทบของแสงจากดวงดาวต่อพฤติกรรมของโลก โดยจรวดลำแรกจะส่งตัวตรวจสอบรังสีเอกซ์ ว่าผลต่อวิวัฒนาการกาแลกซีอย่างไร ส่วนจรวดอีกสองลำจะเป็นการสำรวจระบบดาวฤกษ์ Alpha Centauri
ท่าอวกาศยานใน Arnhem บริหารงานโดย Equatorial Launch Australia (ELA) มีจุดเด่นกว่าท่าอวกาศยานอื่นที่ทำให้ NASA เลือกใช้สำหรับภารกิจนี้ เพราะมีสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้งคงที่ และห่างจากเส้นศูนย์สูตรเพียง 12 องศา
องค์การอวกาศยุโรป หรือ European Space Agency (ESA) รายงานข้อมูลของโครงการ Mars Express ยานสำรวจดาวอังคาร ที่ส่งออกจากโลกไปตั้งแต่ปี 2003 ซึ่งมีอุปกรณ์ MARSIS ที่ใช้สัญญาณเรดาร์ตรวจสอบหาสิ่งที่อยู่ใต้ผิวดินของดาวอังคาร แต่ปัญหาคือซอฟต์แวร์ของ MARSIS ถูกผลิตขึ้นเมื่อ 19 ปีที่แล้ว ทำงานอยู่บน Windows 98
โดยทีมวิศวกรซอฟต์แวร์ของ Enginium ได้เข้ามาช่วย ESA ในการอัพเกรดซอฟต์แวร์ของ MARSIS เพื่อให้การเก็บข้อมูลภาพและรายละเอียดต่าง ๆ ทำได้ละเอียดมากขึ้น บนความท้าทายสำคัญคือโปรแกรมนี้ต้องทำงานอยู่บน Windows 98 ต่อไป ซึ่งผลลัพธ์นั้น ESA บอกว่าเหมือนได้ MARSIS ตัวใหม่ อย่างไรก็ตาม ESA ไม่ได้ให้รายละเอียดวิธีการอัพเกรดนี้
NASA เปิดเผยว่ากล้องโทรทรรศน์อวกาศ James Webb Space Telescope ที่ปัจจุบันโคจรรอบจุด L2 และอยู่ระหว่างเตรียมอุปกรณ์ตรวจวัด ถูกชนโดยอุกกาบาตขนาดเล็ก (micrometeoroid) ในช่วงวันที่ 23-25 พฤษภาคม 2022 ที่ผ่านมา
จุดที่โดนชนคือกระจกหลักของกล้อง แต่หลังตรวจสอบเบื้องต้นแล้วพบว่ากล้องยังทำงานได้ตามปกติ ซึ่ง NASA จะตรวจสอบในเชิงลึกต่อไป และ NASA ยอมรับว่าการชนรอบที่ผ่านมาก็ใหญ่กว่าที่เคยจำลองโมเดลกันไว้
หลังจากเลื่อนมานานหลายเดือน ในที่สุดแผนการขึ้นบินทดสอบจรวดอวกาศรุ่นใหม่ “Starship” ของ SpaceX อาจจะได้รับการอนุมัติจากสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐ ( Federal Aviation Administration หรือ FAA) ให้ปล่อยยานขึ้นสู่วงโคจรได้ในสัปดาห์นี้
Spaceflight กำลังรอผลการประเมินด้านสิ่งแวดล้อม (Programmatic Environmental Assessment หรือ PFA) ของ FAA อันเป็นการประเมินทั้งความคิดเห็นจากชุมชนโดยรอบ ความปลอดภัยสาธารณะ และความเสี่ยงต่อความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งจะเป็นการชี้ว่าการปล่อยจรวดขึ้นทดสอบบนวงโคจรในครั้งนี้ จะสามารถกระทำได้ในพื้นที่ Starbase launch facility ของ SpaceX เองใน โบก้าชิก้า รัฐเท็กซัสหรือไม่
ยาน CST-100 Starliner ของโบอิ้งจอดเทียบกับสถานีอวกาศสำเร็จหลังขึ้นสู่วงโคจรมาแล้ว 26 ชั่วโมง พร้อมกับเชื่อมต่อระบบไฟฟ้าและข้อมูลเข้ากับสถานีเป็นที่เรียบร้อย
ทีมงานจะรออีกหนึ่งวันก่อนจะเปิดประดูยาน และให้นักบินอวกาศเข้าไปใช้งาน ระหว่างนี้อุปกรณ์ใน Starliner เกือบทั้งหมดจะปิดไว้จนกว่าจะเตรียมกลับสู่โลก
หากภารกิจ OFT-2 ครั้งนี้ประสบความสำเร็จครบถ้วน ทางนาซ่าเตรียมทดสอบยานพร้อมนักบินอวกาศภายในปีนี้ ด้วยภารกิจ CFT (crew flight test) ต่อไป หากสำเร็จสหรัฐฯ ก็จะมีบริษัทให้บริการนำส่งนักบินอวกาศขึ้นสู่วงโคจรเป็นบริษัทที่สองต่อจาก SpaceX
ที่มา - Starliner Updates
United Launch Alliance (ULA) นำส่งยาน Starliner ของ Boeing ขึ้นสู่วงโคจรด้วยจรวด Atlas V สำเร็จ เตรียมเทียบท่าเข้ากับสถานีอวกาศนานาชาติเป็นครั้งแรก หลังจากกำหนดการเดิมยาน Starliner ต้องทดสอบเทียบท่าแบบไม่มีผู้โดยสารตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2019
โครงการ Starliner เป็นโครงการคู่ขนานที่ถูกเลือกภายใต้โครงการ Commercial Crew ของนาซ่าคู่กับโครงการยาน Dragon ของ SpaceX แต่ Starliner ประสบปัญหาล่าช้าหลายครั้ง ความล่าช้าสำคัญคือภารกิจ OFT อันแรกไม่สามารถขึ้นสู่วงโคจร
ที่มา - ULA
NASA ประกาศกรอบเวลาใหม่ของการยิงจรวดตามภารกิจ Artemis I ในโครงการ Artemis ที่จะส่งมนุษย์ไปลงผิวดวงจันทร์อีกครั้ง
โครงการ Artemis แบ่งออกเป็น 3 ภารกิจคือ I ซ้อมส่งจรวดที่ไม่มีมนุษย์ไปวนรอบดวงจันทร์ (2022), II ซ้อมส่งจรวดที่มีมนุษย์ไปวนรอบดวงจันทร์ (2024) และ III พามนุษย์ลงจอดบนดวงจันทร์จริงๆ
ภารกิจ Artemis I มีกำหนดต้องขึ้นอวกาศในปี 2022 นี้ แต่ถูกเลื่อนมาแล้วหลายครั้งจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะปัจจัยทางเทคนิคของจรวดใหม่ Space Launch System (SLS) ที่ยังไม่พร้อมดี
สัปดาห์ที่แล้ว NASA ประกาศว่ากล้องโทรทรรศน์อวกาศ James Webb Space Telescope (JWST) เรียงกระจกเสร็จสมบูรณ์แล้ว หลังเรียงกระจกขั้นแรกเสร็จไปช่วงกลางเดือนมีนาคม
ปัจจุบัน JWST ได้ภาพถ่ายที่คมชัดตามต้องการแล้ว ขั้นต่อไปคือการทดสอบอุปกรณ์ตรวจวัดทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการเตรียมตัวขั้นสุดท้ายของ JWST ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ก่อนเริ่มปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการช่วงกลางปีนี้
อุปกรณ์ตรวจวัดของ JWST มีทั้งหมด 5 ชนิด ได้แก่
Dmitry Rogozin ผู้อำนวยการ Roscosmos องค์กรอวกาศของรัสเซีย ยืนยันผ่านสื่อรัสเซียว่าจะถอนตัวจากสถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station หรือ ISS) หลังประเทศรัสเซียโดนแซงค์ชันด้านเศรษฐกิจ
Roscosmos ยังไม่กำหนดเวลาถอนตัวอย่างชัดเจน เพราะต้องรอการตัดสินใจจากรัฐบาลรัสเซีย แต่ก็ให้ข้อมูลว่าจะแจ้งประเทศอื่นๆ ล่วงหน้าเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี และรัสเซียจะยังปฏิบัติงานร่วมกับสถานีอวกาศนานาชาติไปถึงสิ้นปี 2024 เป็นอย่างน้อย
หลายคนอาจรู้จักโครงการดาวเทียม Starlink ของบริษัท SpaceX แต่ในอีกทางเรายังมีโครงการคล้ายๆ กันคือ Project Kuiper ของ Amazon ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2019 และเริ่มโชว์จานดาวเทียมในปี 2020
ล่าสุด Amazon ประกาศว่าเซ็นสัญญากับบริษัทจรวด 3 ราย เพื่อการันตีสล็อตการยิงจรวดรวมสูงสุด 83 ภารกิจ ส่งดาวเทียม 3,236 ดวงขึ้นวงโคจรระดับต่ำ (low earth orbit) ในอีก 5 ปีข้างหน้า
กล้องโทรทรรศน์อวกาศ James Webb Space Telescope (JWST) จัดเรียงกระจกหกเหลี่ยมทั้ง 18 บานเข้ากับกล้องหลัก Near-Infrared Camera เสร็จเรียบร้อยตามแผน และทดลองถ่ายภาพอวกาศภาพแรกมาให้ดูกันแล้ว
ภาพแรกของ JWST เป็นการถ่ายภาพเพื่อทดสอบการเรียงกระจก เลยเลือกถ่ายดาวฤกษ์ชื่อ 2MASS J17554042+6551277 ให้อยู่ตรงกลางภาพพอดี เพื่อลองดูว่ากระจกเรียงได้พอดีกันเสมือนเป็นแผ่นเดียวหรือไม่ โดย NASA ระบุว่าระบบกล้องของ JWST ไวต่อแสงมาก ดังนั้นเราจึงเห็นภาพกาแล็กซี่และดาวดวงอื่นๆ ติดมาด้วย
ขั้นถัดไป NASA จะปรับแต่งกระจกเพิ่มเติมเพื่อให้ทำงานเข้ากับอุปกรณ์อื่นๆ ใช้เวลา 6 สัปดาห์ แล้วเข้าสู่ขั้นเตรียมอุปกรณ์ตรวจวัดทางวิทยาศาสตร์ต่อไป
ในช่อง Telegram ของ Roskosmos องค์การอวกาศรัสเซีย ปล่อยวิดีโอตัดต่อเป็นคลิปมีม ที่มีโลโก้ RIA Novosti สื่อของฝั่งรัฐบาลรัสเซีย พร้อมแคปชั่นว่าทีม Roskosmos TV ทำคลิปล้อเลียนขำๆ ว่าเตรียมแยกโมดูลรัสเซียออกจากสถานีอวกาศ และส่วนของสหรัฐฯ ก็จะใช้งานต่อไม่ได้เมื่อขาดโมดูลรัสเซียไป
ในคลิปมีทั้งภาพนักบินอวกาศรัสเซียโบกมือลานักบินอวกาศอเมริกัน และมีภาพเรนเดอร์ การแยกส่วนโมดูลของรัสเซีย ตั้งแต่ Zarya ออกมาจากส่วนอื่น ๆ ของสถานีอวกาศนานาชาติ ซึ่งแม้จะเป็นคลิปขำๆ แต่รัสเซียเองก็มีแผนถอนตัวออกจากโครงการสถานีอวกาศนานาชาติในปี 2025 อยู่แล้ว และจะตั้งสถานีอวกาศ ROSS ของตัวเองจริงในปี 2024
Exoanalytic Solutions บริษัทเอกชนภายใต้สัญญาด้านข้อมูลกับหน่วยงาน Space Force ของสหรัฐฯ ระหว่างติดตามวงโคจรดาวเทียมนอกโลกในวันที่ 22 มกราคมที่ผ่านมา พบว่าดาวเทียม SJ-21 ของจีน ที่มีจุดประสงค์เพื่อ “ทดสอบและยืนยันเทคโนโลยีการเคลื่อนย้ายเศษชิ้นส่วนในอวกาศ” หายไปจากวงโคจรปกติในช่วงกลางวัน ที่การใช้กล้องส่องดาวเทียมทำได้ยาก
หลังจากค้นหาและติดตาม Exoanalytic Solutions พบว่า SJ-21 กำลังเคลื่อนตัวไปประกบกับดาวเทียม ระบุตำแหน่งของ BeiDou ที่พังแล้ว จากนั้นก็ทำการเคลื่อนย้ายดาวเทียม BeiDou ไปไว้ในวงโคจรสำหรับดาวเทียมที่ปลดประจำการ หรือ “graveyard orbit” เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงในการชนกับดาวเทียมอื่น
เมื่อคืนนี้ กล้องโทรทรรศน์อวกาศ James Webb Space Telescope (JWST) เดินทางไปถึงจุดหมายคือจุด Lagrange Point 2 (L2) ที่ห่างจากโลก 1.5 ล้านกิโลเมตร โดยหลังจากนี้ JWST จะโคจรอยู่รอบจุด L2 ไปเรื่อยๆ
การทำงานของ JWST หลังจากนี้จะใช้เวลาอีกราว 5 เดือนเพื่อ calibrate มุมของกระจกให้แม่นยำ (ระดับเกือบนาโนเมตร) และทดสอบอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ต่างๆ แล้วค่อยเริ่มถ่ายภาพอวกาศมาให้เราดูกัน
Amazon และ Cisco ประกาศแผนการส่งบริการ Alexa และ Webex ของตัวเองขึ้นยานอวกาศ Orion ของ NASA ไปดวงจันทร์ในภารกิจ Artemis I ซึ่งคาดว่าจะมีกำหนดยิงช่วงกลางปี 2022 นี้
Artemis I ถือเป็นภารกิจแรกของโครงการ Artemis ส่งมนุษย์กลับไปดวงจันทร์อีกครั้ง โดย Artemis I เป็นภารกิจทดสอบที่ไม่มีมนุษย์ขึ้นอวกาศไปด้วย ยานจะบินรอบดวงจันทร์แล้วกลับโลกโดยไม่ลงจอด, จากนั้นจะตามมาด้วย Artemis II ที่มีมนุษย์ไปด้วยแต่บินรอบเหมือนกัน และ Artemis III ที่นำมนุษย์กลับไปเหยียบดวงจันทร์ (คาดว่าเป็นปี 2024/2025 ตามลำดับ)
หลังกล้องโทรทรรศน์อวกาศ James Webb Space Telescope ถูกยิงขึ้นอวกาศเมื่อวันคริสต์มาส ก็ใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ค่อยๆ คลี่ฉากกั้นแสงอาทิตย์ 5 ชั้น และกางกระจกทั้ง 3 ส่วนออกมาอย่างช้าๆ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ผู้สร้างกล้องกังวลว่าถ้ามีความผิดพลาดใดๆ ขึ้นมาแม้นิดเดียว จะส่งผลให้โครงการมูลค่ามหาศาลล้มเหลวไปเลย
เมื่อคืนนี้ James Webb Space Telescope เสร็จสิ้นการกางกระจกชิ้นสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างทำงานได้ดีอย่างที่คาดไว้ ตอนนี้กล้องอยู่ในสถานะที่เกือบพร้อมทำงานแล้ว ขั้นตอนที่เหลือคือให้กล้องเดินทางไปยังจุด Lagrange 2 ซึ่งใช้เวลาอีกประมาณ 14 วัน