สงครามสตรีมมิ่งเดือด ต่างค่ายต่างก็พยายามจะดึงตัวผู้กำกับ, โปรดิวเซอร์เก่งๆ มาทำหนังและซีรีส์ลงแพลตฟอร์มเพื่อดึงดูดผู้ใช้งาน
ล่าสุด HBO กำลังเจรจาดีลสำคัญคือ ซีรีส์ภาคแยกที่ spin off มาจาก Parasite หนังเกาหลีที่กำลังมาแรงในขณะนี้ สร้างจากมือผู้กำกับและเขียนบทหนังเรื่องนี้เองอย่าง บงจุนโฮ และได้ Adam McKay ผู้กำกับที่ฝากฝีมือไว้ในหนัง The Big Short ด้วย
แอปเปิลเซ็นสัญญาจ้าง Richard Plepler อดีตประธานและซีอีโอของ HBO เป็นเวลา 5 ปี เพื่อมาช่วยสร้างคอนเทนต์ลงสตรีมมิ่ง Apple TV+ โดย Plepler ยังถือเป็นคนที่ช่วยปลุกปั้นซีรีส์ Game of Thrones และ Big Little Lies ให้โด่งดังด้วย
The New York Times ระบุว่า แอปเปิลทำสัญญาจ้างกับ Plepler และโปรดักชั่นของเขาคือ Eden Productions มาเพื่อสร้างคอนเทนต์หลากหลาย ทั้งซีรีส์ หนัง และสารคดี แต่ยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องคอนเทนต์ที่จะทำ
เว็บไซต์ Hollywood Reporter รวบรวมความเห็นจากคนในวงการหนังที่คลุกคลีกับฮอลลีวูดมานาน รวมทั้งนักลงทุน ผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ รวมกว่า 40 ราย ในการคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2020 มีการคาดการณ์อนาคตสตรีมมิ่งด้วย โดยในข่าวนี้จะคัดเฉพาะที่น่าสนใจและเกี่ยวกับอนาคตวงการสตรีมมิ่งที่การแข่งขันจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในปี 2020 ที่จะถึงนี้
บริษัทวิจัยตลาดแอป App Annie ได้เก็บข้อมูลแอปที่ไม่ใช่เกมแล้วผู้ใช้จ่ายเงินในแอปมากสุด 10 อันดับของปีนี้ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤศจิกายน 2019 ที่ผ่านมา มี Tinder, Netflix, Tencent Video (หรือ WeTV ในไทย) ครองสามอันดับแรกตามลำดับ
App Annie รายงานว่าโมเดลหาเงินแบบสมัครใช้บริการหาคู่สร้างรายได้ให้ Tinder มหาศาล ถ้าเทียบรายได้ของปี 2019 กับปี 2014 แล้ว Tinder นั้นเติบโตขึ้นถึง 920% และปีนี้ก็มีรายได้กว่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ (ราว 66,440 ล้านบาท) นอกจากนี้ Tinder ก็เริ่มทดสอบให้ผู้ใช้จ่ายเงินโดยไม่ผ่าน Google Play อีกด้วย
Variety Insight รวบรวมตัวเลขรายการทีวี ซีรีส์ และหนังที่ Netflix ออกใหม่เป็นออริจินัลคอนเทนต์ในปี 2019 เฉพาะในสหรัฐฯ รวมแล้ว 371 เรื่อง ถือว่าผลิตออกมาแทบจะวันละเรื่องเลยทีเดียว และเป็นตัวเลขมากกว่าที่ทั้งอุตสากรรมทีวีในอดีตจะผลิตกันได้
Netflix ประกาศสร้างซีรีส์ใหม่ คราวนี้เป็นเรื่องของสตาร์ทอัพสัญชาติสวีเดน Spotify ที่กลายเป็นสตรีมมิ่งเพลงรายใหญ่ ในตอนนี้ เนื้อเรื่องอิงจากหนังสือ Spotify Untold เขียนโดย Sven Carlsson และ Jonas Leijonhufvud นักข่าวธุรกิจ สร้างโดย Per-Olav Sørensen และโปรดักชั่น Yellow Bird UK
เวียนมาอีกครั้งแล้วสำหรับรางวัลลูกโลกทองคำหรือ Golden Globes งานแจกรางวัลแก่รายการโทรทัศน์และภาพยนตร์ จัดโดย Hollywood Foreign Press Association ล่าสุดประกาศผู้เข้าชิงแล้ว Netflix ได้เข้าชิงมากมาย
โดยหนัง Netflix ที่เข้าชิงคือ Marriage Story 6 รางวัล, The Irishman 5 รางวัล, The Two Popes 4 รางวัล, The Crown และ Unbelievable เข้าชิงฝั่งรายการโทรทัศน์เรื่องละ 4 รางวัล โดยมีซีรีส์เรื่อง Chernobyl จาก HBO เข้าท้าชิงด้วย
ปีนี้ยังมีรายการโทรทัศน์ฝั่ง Apple TV+ เข้าชิงด้วยทั้งที่เพิ่งเปิดตัวสตรีมมิ่งเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาคือ The Morning Show เข้าชิงรางวัลละครดราม่ายอดเยี่ยม และนักแสดงนำยอดเยี่ยม
ชาว Netflix เตรียมตัวตาแฉะกันไปยาวๆ เมื่อช่องเคเบิล JTBC ของเกาหลี เซ็นสัญญาป้อนคอนเทนต์ให้ Netflix 3 ปี รวมแล้วราว 20 เรื่อง โดยคอนเทนต์จะออกสู่สายตาชาวโลกในฐานะ Netflix Original Series
ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการทำสัญญานำคอนเทนต์ JTBC ไปลง Netflix แล้ว ไม่ว่าจะเป็น SKY Castle, Pretty Sister Who Buys Me Food หรือที่รู้จักใน Netflix ว่า Something In The Rain, Beauty Inside เป็นต้น แต่สัญญาครั้งใหม่นี้เป็นระยะยาว 3 ปีเลย
ก่อนหน้านี้ Amazon ได้ขยายบริการ Amazon Music เวอร์ชั่นฟังฟรีมีโฆษณาไปยังอุปกรณ์ Echo และอุปกรณ์ Alexa ล่าสุดขยายบริการเพิ่มไปยังผู้ใช้งานอุปกรณ์แอนดรอยด์ iOS และผู้ใช้ Fire TV ด้วย
นั่นหมายความว่า แม้คนใช้งานจะไม่ได้จ่ายค่าสมาชิก Amazon Prime ก็สามารถฟัง Amazon Music เวอร์ชั่นฟังฟรี แต่ต้องมีบัญชี Amazon เริ่มต้นที่อังกฤษและอเมริกาก่อน นอกจากนี้ยังฟังผ่านเว็บไซต์ได้ด้วย
Disney+ เปิดใช้งานวันที่ 12 พ.ย. ทีผ่านมา เฉพาะในสหรัฐฯและแคนาดาเท่านั้น ถือว่าผลตอบรับดีเกินคาด โดย Disney+ ออกมาเผยตัวเลขคนลงทะเบียนใช้งานมี 10 ล้านรายแล้ว
Disney+ ตอนเปิดตัวใหม่ๆ มีปัญหาการใช้งานบ้าง เช่น เข้าหน้าลงทะเบียนไม่ได้ มีปัญหาตรงระบบล็อกอินเป็นต้น ก่อนหน้านี้ Disney เคยกล่าวกับนักลงทุนไว้ว่า เป้าหมายคืออยากให้มีคนมาใช้งาน 60 ล้านราย และไปให้ถึง 90 ล้านรายภายในปี 2024
ปีนี้นับเป็นช่วงเวลาที่โลกกำลังเข้าสู่สงครามสตรีมมิ่งรอบใหม่ หลังจาก Netflix สามารถสร้างฐานผู้ใช้ได้นับร้อยล้านราย ผู้เล่นรายใหญ่ทั้ง Disney+, Apple TV+, HBO Max, Peacock ต่างเตรียมจะเปิดบริการในเร็วๆ นี้ และยังมีบริการสตรีมมิ่งรายเดิมที่พยายามตีตื้น Netflix ขึ้นมาอย่าง Hulu, Amazon Prime Video, YouTube Original ซึ่งแต่ละเจ้าก็พยายามลงทุนทำซีรีส์ด้วยทุนสูงเพื่อดึงดูดผู้ใช้งาน ผู้บริโภคโดยเฉพาะฝั่งสหรัฐฯ จะมีทางเลือกจำนวนมาก และกำลังจะเข้าสู่สภาวะเลือกไม่ถูกเพราะมีให้เลือกดูเต็มไปหมด (แต่เวลาชีวิตมีเท่าเดิม)
HBO Max ประกาศรายชื่อคอนเทนต์ พร้อมวันเปิดให้บริการสตรีมมิ่งเป็นเดือนพฤษภาคม 2020 ซึ่งนอกจากซีรีส์ขึ้นหิ้งที่ WarnerMedia (เจ้าของ HBO Max) มีในมืออยู่แล้วอย่าง Friends, The Fresh Prince of Bel-Air, Pretty Little Liars, Game of Thrones มีรายชื่อใหม่น่าสนใจดังนี้
HBO Max ปล่อยของออกมาแล้ว ด้วยการประกาศว่า สตรีมมิ่ง HBO Max จะฉายหนังการ์ตูนจากสตูดิโอจิบลิทั้ง 21 เรื่อง ถือเป็นครั้งแรกของทางสตูดิโอที่ตัวการ์ตูนจะได้ขึ้นฉายทางช่องทางสตรีมมิ่ง
สตูดิโอจิบลิ (Studio Ghibli) เป็นผู้สร้างการ์ตูนในตำนานของวงการหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น Spirited Away, สุสานหิ่งห้อย, โทโทโร่เพื่อนรัก, แม่มดน้อยกิกิ, ปอมโปโกะ ทานูกิป่วนโลก, เจ้าหญิงโมโนโนเกะ เป็นต้น ถือเป็นโอกาสดีที่คนดูรุ่นใหม่ ที่ยังไม่เคยรู้จักความงดงามของการ์ตูนค่ายนี้จะได้ดู ส่วนแฟนๆ สตูดิโอก็จะได้ดูผ่านสตรีมมิ่งง่ายๆ ไม่ต้องดูผ่านแผ่นซีดี
ในงานประกาศยุทธศาสตร์ Tencent ทางบริษัทเผยข้อมูลว่าสตรีมมิ่ง WeTV มีความนิยมเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากซีรีส์จีนเรื่อง "ปรมาจารย์ลัทธิมาร" หรือ หรือ The Untamed ช่วยดันยอดผู้ใช้งาน WeTV โตขึ้น 250%
แอพพลิเคชั่น WeTV เริ่มเปิดตัวในเดือนมิถุนายน 2018 คอนเทนต์เด่นนอกจาก ปรมาจารย์ลัทธิมาร แล้วยังมี Put Your Head On My Shoulder ทั้งสองเรื่องมีการจัดแฟนมีตนำดารามาพบปะแฟนๆ ในไทยแล้ว และได้รับการตอบรับอย่างดี ทางบริษัทระบุว่าจะมีแฟนมีตในไทยอีกเรื่อยๆ จากซีรีส์จีนเรื่องใหม่ๆ ที่กำลังจะลงฉาย
ปรมาจารย์ลัทธิมาร แสดงนำโดย เซียวจ้าน รับบทเป็น เว่ยอู๋เซี่ยน และ หวังอีป๋อ รับบทเป็น หลานจ้าน เนื้อเรื่องเป็นแนวกำลังภายใน ปกป้องยุทธภพ และทำเป็นแอนิเมชั่นลง WeTV มาแล้วด้วย
Tencent ประเทศไทยประกาศยุทธศาสตร์ในปี 2020 เน้นหนักด้านประสบการณ์ออฟไลน์ O2O เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน เช่น การจัดอีสปอร์ต อีเว้นท์เพลง และที่น่าจับตามองมากที่สุดคือ สตรีมมิ่ง WeTV ที่แม้เพิ่งจะเปิดตัวในไทยไม่ถึงปี แต่ก็เริ่มเดินหน้าสร้างซีรีส์ไทยลงแพลตฟอร์ม และตั้งเป้าว่าฐานคนดูกลุ่มต่อไปคือคนจีน
Reed Hastings ซีอีโอ Netflix ให้สัมภาษณ์ถึงสงครามสตรีมมิ่งที่กำลังจะเริ่มอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ ที่ Disney+ จะเปิดให้บริการในวันที่ 12 พฤศจิกายน โดยเขาบอกว่า มันเป็นการเริ่มต้นของสิ่งใหม่, โลกใหม่ที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน มันจะเป็นการแข่งขันที่ยากลำบาก แต่ผู้บริโภคก็จะมีทางเลือกมากขึ้น
Bloomberg รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวใกล้ชิดบอกว่า Netflix จะจ่ายโบนัสพิเศษให้คนทีมสร้างหนังที่ทำหนังออกมาได้รับการตอบรับที่ดี ประสบความสำเร็จ เป็นอีกกลยุทธ์ที่ช่วยให้ Netflix อยู่เหนือกว่าบริการสตรีมมิ่งคู่แข่งที่กำลังจะทยอยเปิดตัวกันภายในปีสองปีนี้
ราคา Apple TV+ มาแล้ว ราคาไทยแค่ 99 บาทต่อเดือน เรียกได้ว่าถูกสุดกว่าทุกเจ้า และยิ่งเป็นลูกค้าที่ซื้อฮาร์ดแวร์ iPhone, iPad, Apple TV, iPod touch, Mac ก็ยังได้ใช้ Apple TV+ ฟรีนาน 1 ปี
ปัญหาคือ ในมุมมองของคนทั่วไป ยังมีความรู้สึกว่า Apple TV+ ยังไม่ค่อยมีอะไรให้ดู หรือมีคอนเทนต์ไม่เยอะพอจะดึงดูด ยิ่งเป็นสมรภูมิสตรีมมิ่งที่สองเจ้าใหญ่อย่าง Netflix และ Disney+ ต่างก็ฟาดฟันกันและมีคอนเทนต์ขึ้นหิ้งของตัวเอง แล้ว Apple TV+ มีอะไรบ้าง
ผู้ใช้งาน Netflix อาจคุ้นกับพฤติกรรม binge watching หรือลงซีรีส์ทีเดียวทั้งซีซั่นดูรวดเดียวทั้งคืน ถือเป็นพฤติกรรมเสพคอนเทนต์แบบใหม่ จากเดิมที่คนต้องรอซีรีส์ตอนใหม่เป็นรายสัปดาห์ซึ่งเป็นธรรมเนียมเดิมของเคเบิลทีวี
อย่างไรก็ตาม บรรดาคู่แข่งหน้าใหม่ของ Netflix กลับยึดถือแนวทางเดิม ในงาน D23 ที่ดิสนีย์ประกาศไลน์อัพเนื้อหาใหม่ๆ ที่จะลงสตรีมมิ่ง Disney+ ก็ระบุด้วยว่าเนื้อหาซีรีส์จะลงเป็นรายสัปดาห์ เช่นเดียวกันกับ HBO Now ที่ยังคงยึดแนวทางลงคอนเทนต์ในรูปแบบของ HBO ด้านแอปเปิลก็มีข่าวลือว่าจะลงเป็นรายสัปดาห์ด้วย กล่าวคือเป็นการเลือกลงคอนเทนต์แนวทางนี้โดยสมัครใจแม้จะไม่มีข้อผูกมัดกับเคเบิลทีวี
เรียกได้ว่าสงครามสตรีมมิ่งยังคงเดือดไม่พอ เกาหลีเองก็ผลิตซีรีส์จนคนติดงอมแงมข้ามประเทศ ล่าสุด FTC ของเกาหลี ไฟเขียวอนุมัติการควบรวมธุรกิจสตรีมมิ่งเกาหลีสองแห่งเข้าด้วยกัน เพื่อจะได้แข่งกับ Netflix ได้
ดิสนีย์ออกมาประกาศรายละเอียดการฉายสตรีมมิ่ง Disney+ เพิ่มเติมถึงอุปกรณ์ที่สามารถฉาย Disney+ ซึ่งในรายการอุปกรณ์ดังกล้าวไม่มี Amazon FireTV ที่มีฐานผู้ใช้งานสูง
อุปกรณ์ฉายสตรีมมิ่งที่ดิสนีย์ระบุมีดังนี้
Bloomberg รายงานบุคคลไม่เปิดเผยชื่อระบุว่า Apple TV+ ที่เปิดตัวไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เตรียมจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งเป็นช่วงไล่เลี่ยกับที่ Disney+ จะเปิดตัวพอดี และราคาที่ตั้งไว้คาดว่าอยู่ที่ 9.99 ดอลลาร์ต่อเดือน มีการทดลองใช้งานฟรีด้วย
ในการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ซีอีโอดิสนีย์ Bob Iger นอกจากจะเผยราคาแพ็กเกจของสตรีมมิ่งแล้ว ยังเผยรายละเอียดคอนเทนต์ที่เราจะได้เห็นกันใน Disney+ เพิ่มเติมด้วย
และน่าจะเป็นที่ถูกใจของแฟนหนังคลาสสิคอย่าง Home Alone, Night at the Museum ที่ทางบริษัทประกาศจะสร้างใหม่ นอกจากนี้ยังมีหนังที่ดัดแปลงจากหนังสือ Diary of a Wimpy Kid ทั้งหมดนี้จะนำมาฉายลง Disney+
AT&T ช่วงนี้ดูมีความเคลื่อนไหวในการปั้นสตรีมมิ่งของตัวเองมากเป็นพิเศษ ล่าสุดประกาศเปลี่ยนชื่อ ไลฟ์สตรีมมิ่งของตัวเองจากชื่อ DirecTV Now เป็น AT&T TV Now
บรรดาบริษัทผู้ผลิตและเป็นเจ้าของคอนเทนต์ เริ่มทำสตรีมมิ่งของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Disney+, AT&T ที่เปิดตัวสตรีมมิ่ง HBO Max ด้าน NBCUniversal ก็จะเปิดตัวสตรีมมิ่งด้วย โดยจะมีคอนเทนต์เรือธงคือ The Office ที่กำลังจะหมดอายุใน Netflix
ล่าสุด Steve Burke ซีอีโอ Comcast บริษัทแม่ NBCUniversal เผยว่าสตรีมมิ่งใหม่จะเปิดตัวในเดือนเมษายน 2020 นี้ แต่ตัวสตรีมมิ่งจะไม่ได้เน้นที่ออริจินัลคอนเทนต์มาก แต่จะหนักไปทางคอนเทนต์ลิขสิทธิ์ และจะเป็นสตรีมมิ่งที่มีโฆษณา ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้แตกต่างจาก Netflix